วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ - ตอนที่ 1246 แต่คุณมันปีศาจร้ายนี่
เฉินจิ้งหรงรออยู่สามวันและตามหาผู้ชายของเธอตลอดสามวันนี้ แต่กลับไม่ได้ข่าวคราวจากทั้งถังหนิงและหลี่เซิ่งหยวน
ในที่สุดหลังผ่านสามวันนั้นมา ถังหนิงส่งใครบางคนไปรับเฉินจิ้งหรงและพาเธอเข้ามาในไห่รุ่ย
เฉินจิ้งหรงประหม่าเต็มที อย่างไรถังหนิงก็เป็นผู้หญิงที่ทั้งฉลาดและมองการณ์ไกลอย่างแท้จริง ซ้ำเธอยังขึ้นชื่อเรื่องการมองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่งในเพียงปราดเดียว เธอจึงรู้สึกว่าความคิดของเธอนั้นถูกเผยต่อหน้าถังหนิงอย่างหมดเปลือก
“คุณโม่คะ…”
ถังหนิงหันมา ท่าทางสง่างามและเฉลียวฉลาด แม้ว่าเธอจะอายุย่างเข้าห้าสิบแล้วก็ยังไม่มีร่องรอยของความแก่ตัว ดูผ่านๆ เธอยังดูเหมือนอยู่ในวัยสามสิบมากกว่าด้วยซ้ำ
คุณแม่คนนี้ดูอ่อนเยาว์มากนัก
“ทำตัวให้สบายเถอะ ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอก” ถังหนิงเอ่ยย้ำ “ฉันรู้เรื่องทุกอย่างระหว่างเธอกับลูกชายของฉันแล้ว…”
“ฉันละอายใจที่ยกเรื่องนี้มาพูดนะคะ” เฉินจิ้งหรงอธิบาย
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาเกี่ยวข้องหรอกนะ ทุกอย่างถูกแก้ไขตามวิธีมาตรฐานในวงการ แน่นอนว่ารวมถึงผู้ชายที่ช่วยเธอด้วย” ถังหนิงตอบ “คนแก่ๆ อย่างเราไม่เข้าใจคนหนุ่มสาวอย่างเธอหรอก และก็ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่ว่าทุกอย่างมันก็มีขีดจำกัด ฉันมั่นใจว่าเธอรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร ฉันไม่ได้ให้เธอมาที่นี่เพราะต้องการทำให้เธอเดือดร้อน ฉันเข้าใจเจตนาของเธอและรู้ว่าเธออยากช่วยเพื่อนนายแบบคนนั้นของเธอ
“แต่ฉันมีบางอย่างอยากจะถามเธอ เธอมีความสัมพันธ์อะไรกับนายแบบคนนั้นกันแน่”
เฉินจิ้งหรงมองหน้าถังหนิงอย่างตื่นตระหนก หลังลังเลใจอยู่ชั่วขณะในที่สุดเธอก็เอ่ยออกมา “เราชอบกันค่ะ”
“เธอไม่ได้ชอบลูกชายฉันเหรอ”
“จื่อซีเป็นชายในฝันของฉันมาตลอด ตอนที่ฉันรู้ว่าเขากำลังจะขอฉันแต่งงาน ฉันรู้สึกเหมือนฝันของฉันเป็นจริง แต่ตอนนี้ฉันตื่นจากความฝันแล้วและก็ถูกกระชากกลับไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริง กับจื่อซีฉันแค่รู้สึกว่าไม่เป็นธรรม แต่กับผู้ชายคนนี้ฉันปล่อยเขาไปไม่ได้จริงๆ ค่ะ” เธอตอบจากใจจริง “ฉันรับประกันได้ว่าตราบใดที่คุณหาหลี่เซิ่งหยวนเจอ ฉันยินดีอยู่ให้ห่างจากโม่จื่อซีและเหยาอันฉีค่ะ”
ถังหนิงเฝ้าสังเกตอีกฝ่ายอยู่ตลอดและดูออกว่าเธอไม่ได้โกหก
“เด็กน้อย กลับบ้านไปเถอะ ฉันเข้าใจคำขอของเธอแล้ว” ถังหนิงตอบ “ในเมื่อเธอชอบเขาจริงๆ ก็ใส่ใจด้วย อย่าโกหกอีก การโกหกเป็นพิษร้ายที่เจ็บปวดที่สุดในความสัมพันธ์แล้ว”
“ขอบคุณค่ะ คุณโม่”
“ตอนฉันอายุเท่าเธอ ฉันก็ไม่ได้ดีไปกว่าเธอ ฉันก็ทั้งต่อสู้และแย่งชิง แต่ตอนนี้ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนั้นแล้วล่ะ” ถังหนิงว่า “ฉันถึงได้เกลียดเธอได้ไม่เต็มที่ไง ฉันดูออกว่าเธอยังมีสติอยู่บ้าง”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอกล้าขอบางสิ่งหนึ่งกับคุณได้ไหมคะ คุณช่วยฉันหาตัวหลี่เซิ่งหยวนได้ไหมคะ”
ถังหนิงไม่ได้ให้คำตอบอีกฝ่าย ทำเพียงบอกให้เธอกลับบ้านไปก่อน
สำหรับไห่รุ่ย การหาคนคนหนึ่งเป็นแค่เกมเด็กเล่น ว่าแต่ทำไมพวกเขาต้องช่วยเธอกันล่ะ
ถังหนิงปล่อยให้เฉินจิ้งหรงรอไปอีกสามวัน กระทั่งในวันที่สี่เธอก็ติดต่อเฉินจิ้งหรงไปบอกว่าตอนนี้หลี่เซิ่งหยวนอยู่ที่บ้านของช่างถ่ายวิดีโอคนหนึ่ง เพื่อขอร้องให้เขาได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง…
…
เมื่อโม่จื่อซีกลับมาถึงบ้านและได้ยินถังหนิงพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
ทว่าหลังจากถอนใจกับเรื่องของเฉินจิ้งหรงเขาก็กอดแม่ตัวเอง “แม่ครับ ขอบคุณนะครับ หลังเครียดเรื่องของจื่อเฉิน แม่ก็ต้องมากังวลกับปัญหาของผมอีก”
“อย่าให้พ่อได้ยินเรื่องนี้เชียวละ”
“พ่อไม่ได้โง่สักหน่อย แม่คิดว่าพ่อไม่เข้าใจเหรอ เหตุผลเดียวที่พ่อเขาทนกับเราเพราะพ่อรักแม่แล้วรู้ว่าแม่ปวดใจเพราะเราต่างหาก”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ถังหนิงสั่นไหวไม่น้อย ถึงอย่างไรเธอก็อาศัยความรักของโม่ถิงจนมาได้ถึงทุกวันนี้
“ลูกนี่ปากหวานจริงๆ รู้จักเลือกคำพูดคำจา”
“ทีนี้ก็เหลือแค่คนเดียวแล้วนะครับ”
โม่จื่อซีกำลังพูดถึงโม่จื่อเหยียน หากแต่ดูเหมือนว่าจื่อเหยียนจะไม่คิดคบหากับใคร เธอทำงานยุ่งอยู่ทุกวันและดูแลซิงเจ๋อที่บ้านตระกูลโม่ทุกครั้งที่มีเวลา
ถังหนิงระบายยิ้มและไม่ได้พูดอะไร ในฐานะแม่เธอเข้าใจว่าลูกสาวกำลังคิดอะไรอยู่บ้าง
มีใครบางคนที่รักคนเพียงคนเดียวในชีวิตของพวกเขา…
“ดูจากท่าทางแม่แล้ว จื่อเหยียนคงมีคนในใจแล้วเหรอครับ”
ถังหนิงไม่ได้ตอบ แต่มันเหมือนเป็นการยอมรับเงียบๆ ทำไมโม่จื่อเหยียนถึงยังเรียนอยู่ในเมื่อเธอได้ขึ้นบริหารไห่รุ่ยแล้วกันล่ะ ไม่ใช่ว่าเธอจะขยันมากนักเสียหน่อย
ทั้งหมดเป็นเพราะเธอมีใครบางคนที่หมายตาไว้ที่มหาวิทยาลัยน่ะสิ!
โม่จื่อซีไม่ได้ถามไปมากกว่านี้ อย่างไรเสียเขาก็ต้องรู้อยู่ในไม่ช้าก็เร็ว แต่เมื่อเขากลับมาที่บ้านและเล่าเรื่องนี้ให้เหยาอันฉีฟัง เธอก็นึกถึงความร่าเริงของจื่อเหยียนทันที
“คนที่จื่อเหยียนชอบต้องน่าทึ่งมากแน่ๆ ค่ะ
“รูปร่างหน้าตาของเขาก็คงต้องดีมากเหมือนกัน”
ถึงอย่างไรการมีพ่ออย่างโม่ถิงที่บ้านเป็นมาตรฐาน ก็เป็นธรรมดาที่โม่จื่อเหยียนจะคาดหวังในตัวผู้ชายไว้สูงอยู่แล้ว
“เลิกพูดถึงเรื่องจื่อเหยียนกันเถอะค่ะ มาคุยเรื่องของเราดีกว่า” เหยาอันฉีจับเขาไว้พร้อมท่าทีที่เปลี่ยนเป็นจริงจังของเธอ
“มีอะไรเหรอครับ”
“ประจำเดือนฉันมาช้า ฉันว่าจะไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลพรุ่งนี้ พูดในทางการแพทย์มันไม่ง่ายที่สภาพร่างกายอย่างฉันจะตั้งท้องอีก”
“พูดบ้าๆ น่า มีผมอยู่ทั้งคนไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ถึงอย่างไรทั้งคู่ก็ไม่ได้นอนเมื่อโม่
จื่อซีอยู่ด้วยทุกครั้งไป แล้วการตั้งท้องจะไปยากเย็นได้อย่างไรกัน
แม้ว่าหมอจะบอกบางอย่างที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่เหยาอันฉีพูด หากแต่หมอก็บอกเพียงว่าเธอทำแท้งไม่ได้เท่านั้น
เหยาอันฉีมองหน้าเขา เขาไม่หวั่นใจแต่ยังภาคภูมิใจขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
โม่จื่อซีไม่ได้สนใจขณะที่อุ้มภรรยาไว้ในอ้อมแขน
เธอชะงักไปทันที “คืนนี้คุณแตะต้องฉันไม่ได้นะคะ ถ้าฉันท้องขึ้นมาจริงๆ ล่ะ”
โม่จื่อซีส่งยิ้มก่อนตอบ “คุณคิดว่าผมเป็นปีศาจร้ายหรือยังไง ผมแค่ไม่อยากให้คุณเดินเลยคิดจะอุ้มคุณเฉยๆ ต่างหากครับ”
“แต่คุณมันปีศาจร้ายนี่”
“อันฉี มีลูกสาวให้ผมสักคนสิครับ เราจะได้มีทั้งลูกชายกับลูกสาวไง” เขาเอ่ยพลางวางเธอลงบนเตียงและจุมพิตที่หน้าท้องเธอ
สายตาของเหยาอันฉีฉายแววอ่อนลง เธอสัมผัสได้ว่าหากเธอตั้งท้องจริง ลูกในท้องต้องเป็นเด็กผู้หญิงอย่างแน่นอน
วันถัดมาเหยาอันฉีไปทำงานและแวะไปแผนกสูติน รีเวชเพื่อตรวจร่างกาย
เธอได้รับผลตรวจเลือดในสองชั่วโมงต่อมา ระบุว่าเธอตั้งท้อง…อย่างไม่มีข้อสงสัย
แม้ว่าโม่จื่อซีจะอยู่ที่ฐานปฏิบัติการพิเศษ แต่ไม่นานเธอก็ได้รับสายจากเขาเพื่อถามไถ่ว่าเธอเป็นอย่างไร เหยาอันฉีตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้ “ความฝันคุณเป็นจริงแล้วค่ะ ฉันท้อง”
“ผมกำลังจะได้เป็นพ่อคนอีกครั้งแล้ว!” เขาตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น
โชคดีที่เขาพูดคำว่า อีกครั้ง ออกมาด้วยและไม่ลืมว่ามีซิงเจ๋ออยู่
“ค่ะ คุณจะได้เป็นพ่อคนอีกแล้ว” เหยาอันฉีรู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน เพราะครั้งนี้เธอมีโม่จื่อซีอยู่เคียงข้างในยามเจ็บปวดจากการคลอดลูก