วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ - ตอนที่ 1257 คุณเลิกพูดกำกวมได้ไหม
“ถ้าอย่างนั้นคุณวางแผนจะแนะนำผมกับคุณน้าคุณอาเมื่อไหร่ล่ะครับ” กู้ชิงหลีถามกลับ
ใบหน้าโม่จื่อเหยียนพลันขึ้นสีแดงระเนื่อคล้ายไม่มั่นใจว่าจะตอบอย่างไร แม้เธอจะชอบเขามาสี่ปีเธอก็รู้สึกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเร็วเกินไปและเธอยังไม่ได้เตรียมใจ
ดูเหมือนเขาจะรู้ใจเธอไปเสียหมด เขาเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะ “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่ทำให้คุณลำบากใจหรอก พอถึงเวลาที่เหมาะสมผมจะไปเจอคุณน้ากับคุณอาเองครับ”
“คุณจะรังแกฉันเหรอคะ”
โม่จื่อเหยียนอดที่จะมองค้อนใส่เขาไม่ได้ “ดูเหมือนฉันจะยังไม่เข้าใจคุณดีเลยนะคะ”
“คุณรู้สึกเสียใจงั้นเหรอครับ”
เธอส่ายหน้า “พี่สี่ของฉันมีเสน่ห์จะตายค่ะ”
ทั้งคู่เต้นรำกันในร้านอาหารหลังมื้อเย็นใต้แสงเทียนจบลง ทำนองหวานลอยเข้ามาในหูขณะที่ทั้งสองเต้นรำสอดประสานกันเป็นอย่างดี
โม่จื่อเหยียนวาบหวามลึกในใจ ยิ่งเมื่อได้อิงแอบกับกู้ชิงหลีและสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากกายของเขา มันชวนให้เธอใจลอยไปเล็กน้อย รู้สึกราวกับกำลังลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ…
เขาคือกู้ชิงหลีที่เธอชอบ กู้ชิงหลีที่แสนสุภาพและทรงเสน่ห์…
ทั้งคู่เดินกุมมือกันกลับหอหลังจากมื้อเย็น หากแต่ระหว่างทางกลับหอของเธอ อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้น “จริงๆ บ้านของผมก็มีหลายห้องนะครับ คุณว่าอย่างนั้นไหมครับ”
“ค่ะ มีห้องเยอะและมันก็อบอุ่นและน่าอยู่มากค่ะ ฉันชอบพวกมันมากเลย” โม่จื่อเหยียนไม่ได้รู้ถึงความหมายเบื้องหลังของคำพูดเขา
“ที่ผมพยายามจะบอกก็คือต่อให้มีอีกคนย้ายเข้ามา มันก็ยังกว้างขวางอยู่ดี คุณว่าอย่างนั้นไหมครับ”
“คุณมีแขกมาเยี่ยมเหรอคะ”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ กู้ชิงหลีก็อดขำออกมาไม่ได้ ความจริงแล้วเขาไม่ค่อยได้ขำออกมานัก “ผมไม่แน่ใจว่าต่อไปจะมีแขกหรือเปล่า แต่ว่าเมื่อไหร่นายหญิงของบ้านจะย้ายเข้ามาอยู่ล่ะครับ”
ตอนนี้เองที่ในที่สุดเธอก็เข้าใจสิ่งที่เขาหมายถึง
“พี่สี่คะ…คุณเลิกพูดกำกวมได้ไหมเนี่ย”
เขาลูบศีรษะเธอหลังจากหัวเราะเสร็จ “ผมไม่ได้พูดกำกวมเลยนะ คุณแค่ซื่อบื้อต่างหาก”
“คุณพูด…จริงเหรอคะ”
“ครับ เก็บเอาไปคิดดีๆ นะครับ” เขาพยักหน้าและประทับจูบหน้าผากเธออย่างอ่อนโยน “ฝันดีนะครับ”
โม่จื่อเหยียนถึงกับคิดไม่ตกเพราะเรื่องนี้ โดยเฉพาะเมื่อกลับถึงหอและนอนลงบนเตียง เธอพบว่าตัวเองเอาแต่คิดถึงคำพูดของเขาที่ว่า “เมื่อไหร่นายหญิงของบ้านจะย้ายเข้ามาอยู่ล่ะครับ”
เธออยากย้ายเข้าไปอยู่แค่ไหน หากแต่เธอก็คิดว่าพวกเขายังไม่ถึงขั้นนั้นกัน
สุดท้ายโม่จื่อเหยียนจึงลงเอยด้วยการรบกวนเพื่อนร่วมห้องของเธอ
“จื่อเหยียน แค่เพราะเธอนอนไม่หลับก็ไม่จำเป็นต้องมาระบายออกมากับเราที่เหลือหรอกนะ” เพื่อนของเธอบอกอย่างหงุดหงิดขณะที่มองโม่จื่อเหยียนพร้อมขอบตาคล้ำ
“ขอฉันถามอะไรพวกเธอหน่อยสิ เธอคิดว่าต้องคบกับแฟนนานแค่ไหนถึงจะย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกันได้ล่ะ”
“เธอมาวุ่นวายอะไรกลางดึกล่ะเนี่ย” เพื่อนร่วมห้องอีกคนบ่น
ตอนแรกโม่จื่อเหยียนคิดว่าเพื่อนของเธอคงจะบ่นจึงพลิกตัวและกลับไปนอน แต่นึกไม่ถึงว่าไม่กี่นาทีต่อมาจะมีใครบางคนตอบ “ความสัมพันธ์มันไม่ใช่เรื่องของเวลาหรอกนะ เธอคิดว่ายิ่งคบกันนานจะยิ่งรักกันจริงๆ น่ะเหรอ มันก็แค่เรื่องโกหกทั้งนั้นแหละ
“ฉันเลยเชื่อว่าถ้าความสัมพันธ์มันสุกงอมพอแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่คู่รักจะย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกันน่ะ”
“ฉันคิดว่าถ้าต่างฝ่ายเห็นคุณค่าของกันและกัน การย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันเป็นเรื่องปกติที่จะทำ พวกเขาไม่จำเป็นต้องรอให้พ่อแม่จุดพลุฉลองและอนุญาตถึงจะก้าวขึ้นไปอีกขั้นหรอก” เพื่อนร่วมห้องอีกคนเสริมขึ้น
“ฉันว่าประเด็นสำคัญคือเธอเชื่อใจแฟนของเธอหรือเปล่า ทุกความสัมพันธ์มีความยากลำบากของมันอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะมองมันยังไงต่างหาก ถ้าเธอกังวลกับทุกอย่างและห่วงว่าคนอื่นจะคิดกันยังไง โดยเฉพาะครอบครัวของเธอ งั้นก็ได้แต่รอเวลาคนรักของเธอตีจากไปนั่นแหละ”
หลังจากได้ฟังความเห็นของเพื่อนทั้งสามคน โม่จื่อเหยียนก็ตัดสินใจได้ว่าคำตอบสุดท้ายดูจะเข้าท่ากับเธอที่สุด ทุกครั้งที่กู้ชิงหลีพูดถึงความคืบหน้าในความสัมพันธ์ของพวกเขา เธอก็มักจะเป็นห่วงว่าพ่อแม่ของเธอจะคิดว่าเธอทำตัวง่ายเกินไปหรือไม่
เธอจึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง ในเมื่อเธอชอบและปรารถนาในตัวกู้ชิงหลีจริงๆ ทำไมเธอถึงทำตามที่ใจต้องการและตัดสินใจอย่างซื่อสัตย์ไม่ได้ล่ะ
“ขอบคุณนะ สาวๆ”
“เลิกวุ่นวายกลางดึกได้แล้ว นอนซะ”
หลังจากได้รับคำตอบโม่จื่อเหยียนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก เธอจึงหลับไปอย่างรวดเร็ว เช้าวันต่อมาทันทีที่ลืมตาตื่นเธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความหากู้ชิงหลี [ฉันคิดว่าฉันจะลองดูค่ะ]
[หือ] กู้ชิงหลีไม่ค่อยเข้าใจข้อความของเธอนัก
[ฉันหมายถึงว่าฉันจะลองเป็นนายหญิงของบ้านคุณค่ะ]
[อย่างนั้นก็เลือกวันอากาศดีๆ แล้วเก็บกระเป๋านะครับ ผมจะไปรับคุณเอง]
เมื่อโม่จื่อเหยียนเห็นเช่นนั้น เธอก็ยกยิ้มหวาน
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์น่าตกตะลึงอีกเรื่องก็ได้เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยวันนั้น เมื่อหนึ่งในสี่นางเอกดังแห่งวงการภาพยนตร์ตัดสินใจกลับมาเรียนอีกครั้ง และเลือกเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยของโม่จื่อเหยียน
ด้วยเหตุนี้จึงมีนักข่าวรายล้อมอยู่รอบมหาวิทยาลัยในเช้าตรู่วันนั้น
มันเป็นพลังของสื่อมวลชน
ไม่นานโม่จื่อเหยียนก็มาถึงห้องเรียน อย่างไรก็ตามเธอพบว่าหญิงสาวคนนั้นที่ทุกคนต่างคุ้นหน้าแต่ไม่ได้รู้จักจริงๆ ได้อยู่ที่นั่นด้วย รูปร่างของเธอเย้ายวน ใบหน้างดงาม และเป็นคนที่ทุกคนเห็นหน้าบนหน้าจอโทรทัศน์อยู่บ่อยครั้ง หากแต่ไม่เคยเห็นในชีวิตจริง โดยเฉพาะในชั้นเรียน
สำหรับโม่จื่อเหยียน หญิงสาวคนนี้เป็นเพียงศิลปินคนหนึ่งของไห่รุ่ย
ทว่าสำหรับคนอื่นที่เหลือ พวกเขาไม่อาจห้ามใจเข้าไปรุมล้อมเธอได้
โม่จื่อเหยียนแค่เพียงต้องการเข้าเรียนคาบของกู้ชิงหลีอย่างสงบ แต่เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวของหญิงสาวคนนี้สร้างความวุ่นวายไม่น้อย
เมื่อคาบเรียนจบลง ยังคงมีเหตุการณ์ชุลมุนที่หน้าประตู
เป็นธรรมดาที่กู้ชิงหลีจะขมวดคิ้ว โม่จื่อเหยียนดูออกว่าเขาเริ่มโกรธ แม้ว่าเขาจะแทบไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาก็ตาม
“ผมรู้ว่ามีนักศึกษาที่มีชื่อเสียงในชั้นเรียนของเรา แต่ผมหวังว่าคุณจะให้เกียรติสถานที่และไม่รบกวนคนอื่นนะครับ คาบเรียนวันนี้จะเป็นการศึกษาด้วยตัวเองครับ”
ด้วยมีเรื่องรบกวนมากเกินไป มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่กู้ชิงหลีจะสอนได้
นักแสดงสาวคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองกู้ชิงหลีอย่างงุนงง ก่อนจะก้มหน้าลงไปอีกครั้งแต่ไม่มีใครรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่
นักแสดงสาวคนนี้ชื่อว่าจี้เหม่ยอี๋
โม่จื่อเหยียนไม่ค่อยได้เห็นกู้ชิงหลีโกรธเธอจึงส่งข้อความไปหาเขา [ถ้าคุณโกรธคุณจะแก่เร็วนะคะ]
[ตั้งใจศึกษาด้วยตัวเองไปสิครับ ผมจะสอนคุณหลังจากเลิกคาบเอง]
โม่จื่อเหยียนแลบลิ้นใส่เขาและเขาก็มองเธอกลับอย่างเอ็นดู ทว่าการกระทำเหล่านี้ทั้งหมดล้วนตกอยู่ในสายตาของจี้เหม่ยอี๋
เธอจึงรอจนกว่าเสียงกริ่งเลิกเรียนจะดังและยกมือ “อาจารย์กู้คะ ฉันมีบางอย่างถามคุณหลังจากนี้ค่ะ”
“ถามมาสิครับ” เขาบอก
“แต่ว่ามันไม่สะดวกนี่คะ ต่อไปคุณไม่ได้อยากให้ฉันมาเข้าเรียนแบบเอิกเกริกไม่ใช่เหรอคะ”
“นั่นมันปัญหาของคุณไม่ใช่ของผม” กู้ชิงหลีไม่ยอมอ่อนข้อให้