วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ - ตอนที่ 1266 ประธานโม่ ถ้าคุณหึงก็พูดมาสิ
ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่กู้ชิงหลีได้พบกับถังหนิง เธอได้เอ่ยเตือนเขาแล้วว่าเขาผ่านเพียงบททดสอบของเธอ แต่ยังไม่ผ่านในส่วนของโม่ถิง ดังนั้นทันทีที่โม่ถิงฟื้นตัวจากอาการป่วยบ้าง เป็นธรรมดาที่เขาจะเชิญว่าที่ลูกเขยมาพูดคุยกัน
และไม่ให้โม่จื่อเหยียนรู้เรื่องนี้
แม้กู้ชิงหลีจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง เขาก็ยังประหม่าอยู่มากเมื่อได้พบกับโม่ถิง
การล่วงรู้ถึงสิ่งที่โม่ถิงชอบเป็นเรื่องยากอย่างที่เป็นมาตลอด
บางทีคนเดียวที่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่อาจมีเพียงถังหนิง
หากเป็นคนอื่น กู้ชิงหลีคงสามารถเตรียมการไว้ได้บ้าง หากแต่เมื่อเป็นโม่ถิงกับถังหนิง เขาไม่อาจรับประกันได้ว่าตัวเองจะทำทุกอย่างสุดความสามารถเพื่อให้พวกเขาพอใจได้หรือไม่
ไม่นานกู้ชิงหลีก็มาถึงไฮแอทรีเจนซี
ครั้งนี้เขาเคร่งเครียดขึ้นมากเมื่อไม่มีโม่จื่อเหยียนอยู่ด้วย แม้ถังหนิงจะบอกเขาตลอดว่าไม่ต้องตื่นตระหนกก็ตาม
โม่ถิงยังคงอยู่ในห้องทำงานเพราะอาการหวัดยังไม่หายดี และถังหนิงคงไม่ให้เขาออกมาข้างนอก
ถึงมันจะเป็นครั้งเดียวที่เขาเป็นหวัดในรอบสามสี่ปีนี้ก็ตาม!
“เข้าไปสิ ถิงอยู่ด้านในน่ะ”
กู้ชิงหลีมองหน้าถังหนิงก่อนพยักหน้ารับ เขาผลักประตูเข้าไปในห้องทำงาน
คนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างคือโม่ถิง เขาอยู่ในชุดเสื้อผ้าสีดำที่ชวนให้ดูห่างเหิน
“เข้ามาสิ”
กู้ชิงหลีเข้าไปหาโม่ถิง ชายคนนี้ดูไม่ต่างกับเมื่อยี่สิบปีก่อนแม้แต่น้อย ทว่าท่าทีน่ายำเกรงของเขากลับแข็งแกร่งกว่าเดิม
“คุณอาโม่ครับ”
“นั่งลงสิ” โม่ถิงบอกขณะหันไป เขานั่งลงที่โต๊ะของเขา แต่ไม่ได้วางสายตาไว้ที่กู้ชิงหลี กลับจดจ่ออยู่ที่เอกสารในมือแทน “ฉันติดตามดูความคืบหน้าของโม่จื่อเหยียนที่ไห่รุ่ยไม่กี่วันที่ผ่านมา ฉันจงใจท้าทายเธอนิดหน่อย แต่เธอก็แก้ไขมันได้ง่ายๆ ฉันมั่นใจว่าคุณคงช่วยเธอแน่”
กู้ชิงหลีชะงักไปคล้ายตอบอะไรไม่ถูก
หากเขาบอกว่า ใช่ ก็คงดูไม่เหมาะสมนัก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนนอกและไม่มีสิทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจที่เป็นความลับของบริษัท
แต่หากเขาบอกว่า ไม่ใช่ เขาก็จะดูเป็นคนลวงโลก
“ผมว่าคงไม่มีเรื่องไหนที่ปิดบังคุณอาได้หรอกครับ…ความจริงจื่อเหยียนเองรู้อยู่แล้วว่าต้องทำยังไง เธอก็แค่ขี้เกียจไปบ้างเท่านั้นเองครับ…”
พูดได้อีกอย่างคือเขารักจื่อเหยียนและเพียงต้องการช่วยเธอทำในสิ่งที่เจ้าตัวต้องการเท่านั้น
“ฉันรู้ดีกว่าคุณว่าเธอมีความสามารถเรื่องไหน” โม่ถิงบอกพลางเงยหน้าขึ้น “ฉันรู้สถานการณ์ของครอบครัวคุณด้วย เลยอยากจะรู้ว่าคุณนิยามคำว่าครอบครัวยังไง ตอบมาตามตรง ไม่ต้องทำเป็นพูดสวยหรู”
“คุณอาครับ ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้มีนิยามคำว่าครอบครัวในหัวว่ามันควรจะเป็นแบบไหนหรอกครับ ก่อนที่จื่อเหยียนจะปรากฏตัว ชีวิตของผมก็มีแต่ที่ทำงานกับที่บ้าน ผมอยู่อย่างนั้นมาเจ็ดปีเลยไม่ได้คิดว่าครอบครัวคืออะไร แต่ทันทีที่จื่อเหยียนโผล่มาผมก็เริ่มคาดหวังที่จะมีอนาคตร่วมกับเธอและลูกๆ ของเราครับ” เขาตอบด้วยท่าทีจริงจัง
“คุณมีธุรกิจเป็นของตัวเองไหม”
“ผมมีทรัพย์สินอยู่บ้างครับ”
“ถ้าผมขอให้คุณเลิกล้มเส้นทางการเป็นอาจารย์ของคุณแล้วสร้างตัวตนที่เหมาะสมกับลูกสาวของผมมากกว่านี้ คุณจะว่ายังไง” เห็นได้ชัดว่าโม่ถิงรู้เหตุผลที่เขามาสอนหนังสือจากคำถามนี้
กู้ชิงหลีครุ่นคิดชั่วขณะก่อนตอบ “จื่อเหยียนคงไม่ยอมให้คุณอาทำอย่างนั้นหรอกครับ เพราะเธอรู้ว่ามันจะทำผมไม่สบายใจ เธอดูออกว่าเวลาที่ผมไม่มีความสุข”
“โอเค” โม่ถิงหยุดไปครู่หนึ่งเมื่อจบคำถามนี้ “บอกตามตรงฉันก็ไม่ได้มีความเห็นอะไรมากนักหรอก ฉันแค่ถามเรื่องที่แม่ของจื่อเหยียนอยากรู้ ตอนนี้เธอไปแล้วฉันก็ไม่ต้องถามอะไรแล้ว”
ที่แท้ถังหนิงก็แอบฟังอยู่ตลอดเวลา
กู้ชิงหลีอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“ฉันไม่ได้คาดหวังมากนักหรอก ตระกูลโม่ไม่ได้เป็นพวกชอบรังแกใคร ถ้าคุณทำให้จื่อเหยียนเสียใจ ฉันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำลายชื่อเสียงของคุณและทำให้ล้มละลาย มันไม่ใช่แค่คำขู่ ฉันทำอย่างที่พูดตลอด หวังว่าคุณจะรู้เอาไว้ด้วย”
“ผมเข้าใจครับ คุณอาโม่”
“ถ้าคุณถามฉัน ฉันว่าคุณไม่ต้องจัดงานแต่งงานจะเป็นการดีที่สุด ฉันไม่อยากให้แม่ของเธอเครียดกับเรื่องนี้ ถ้าคุณต้องจัดงั้นก็เตรียมการทุกอย่างเองแล้วบอกเราตอนถึงเวลาแล้วกัน”
กู้ชิงหลีเข้าใจคำขอของอีกฝ่ายขณะที่ที่สัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามของเขา เขาเป็นผู้ชายที่รักภรรยาสุดหัวใจอย่างไร้ข้อกังขา
เขาเป็นทั้งสามีและพ่อที่ดี
ทว่าแน่นอนว่าถังหนิงรู้ว่าหากเธอไม่ได้ยืนข้างประตูห้องทำงาน โม่ถิงคงบอกให้กู้ชิงหลีพาโม่จื่อเหยียนไปและไม่ต้องกลับมาอีก
พ่อประเภทไหนทำอย่างนี้กัน
อย่างไรก็ตามสำหรับคู่รักที่อยู่กินกันมาหลายสิบปีมันก็เป็นเช่นนั้นมาเสมอ ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโม่ถิงคือการที่ลูกๆ ของเขาทำให้ถังหนิงหนักใจ ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกของพวกเขาทั้งสองคนก็ตาม อย่างไรเสียโม่จื่อเฉินกับโม่จื่อซีก็ทำให้ถังหนิงเครียดมามากพอแล้ว ดังนั้นตอนนี้ที่โม่จื่อเหยียนมีใครบางคนมาดูแลเธอ โม่ถิงจึงอดใจรอให้กู้ชิงหลีรับช่วงดูแลต่อจากพวกเขาไม่ได้
แน่นอนว่าเขาตามสืบเรื่องของกู้ชิงหลีมาแล้ว ทั้งนิสัยใจคอไปจนถึงวุฒิภาวะ และความสามารถตลอดจนสถานะทางสังคม ไม่มีจุดไหนที่น่าเป็นห่วง ที่สำคัญที่สุดคือลูกสาวของเขาชอบอีกฝ่าย
“ผมเข้าใจว่าคุณอาจจะบอกอะไรครับ ผมจะทำให้มั่นใจว่าไม่ไปรบกวนคุณน้าครับ”
“เท่านั้นแหละ คุณไปได้แล้ว”
กู้ชิงหลีนึกได้ว่าการพบกันครั้งนี้ง่ายดายกว่าที่คาดไว้ กลับกลายเป็นว่าถังหนิงเป็นฝ่ายที่เป็นห่วงมากกว่า
แน่นอนว่ามันเป็นเพราะดูเหมือนโม่จื่อเหยียนจะตาแหลมอยู่ทีเดียว
เขาอยู่ในห้องเพียงราวๆ ยี่สิบนาทีเท่านั้นก่อนจะลุกออกมา
ถังหนิงรอกระทั่งกู้ชิงหลีจากไปและเข้ามาในห้องทำงานอย่างเหนื่อยใจ “คุณทดสอบเสร็จทั้งอย่างนั้นเหรอคะ”
“จื่อเหยียนจับตามองเขามาสี่ปี คุณคิดว่าการทดสอบของเรามันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ล่ะครับ”
“ฉันละไม่รู้จะทำยังไงกับคุณดีจริงๆ ค่ะ” ถังหนิงยอมแพ้ “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำไมคุณยังเป็นห่วงว่าฉันจะหนักใจเรื่องลูกนักล่ะคะ”
“ถ้ามีความสุขคุณจะยังสาวไงครับ หมายความว่าคุณจะอยู่กับผมได้นานขึ้น…”
“พ่อคนไหนทนให้ลูกสาวแต่งงานออกไปได้บ้างล่ะ แต่คุณก็ยังอดใจจะส่งเหยียนเอ๋อร์ของเราออกไปไม่ไหวเนี่ยนะ” ถังหนิงบ่น “จริงๆ แล้วเหยียนเอ๋อร์เป็นคนที่ฉันห่วงน้อยที่สุดนะคะ แต่คุณก็ยังยกเธอให้ง่ายๆ ซะอย่างนั้น”
“แล้วคุณอยากให้ผมทำอะไรล่ะครับ คุณต้องเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเหยียนเอ๋อร์สิครับ” เขาตอบเสียงเบา “แล้วผมก็ยังไม่หายหวัดดีด้วย คุณมาบ่นผมแบบนี้ได้ยังไงครับ”
“ประธานโม่ ถ้าคุณหึงก็พูดมาสิคะ” ถังหนิงไม่มีทางเลือกนอกจากหยิบเสื้อคลุมให้สามี “คุณเป็นปู่คนแล้วนะคะ แต่ก็ยังทำตัวเป็นด็กไปได้”
“นั่นเพราะว่าผมเป็นห่วงคุณไงครับ” โม่ถิงบอกพลางกอดถังหนิงไว้ “ตอนนี้โลกเป็นของลูกหลานเราแล้วครับ เราทำหนังกันมาหลายปี ผมว่าเราทั้งสองคนก็เหนื่อยกันแล้ว ทำไมเราไม่ไปเที่ยววันหยุดกันล่ะครับ”
“วันหยุดอะไรกันคะ คุณแค่กังวลว่าฉันจะเครียดเรื่องงานแต่งงานของลูกสาวเราน่ะสิ ฉันรับปากค่ะว่าจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องเด็ดขาด โอเคไหมคะ”