วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ - ตอนที่ 790 จะปล่อยให้โม่ถิงแบกรับความผิดหรือ
[รางวัลเฟยเทียนกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ดูแล้วคงมีใครบางคนจงใจใส่ร้ายถังหนิง]
[ฉันไม่ได้จะอะไรหรอกนะแต่พวกเขาทำให้คำให้ร้ายพวกนั้นเลยเถิดเกินไป นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของถังหนิง ลูกของพวกเขาไม่สบายก็ทำให้กังวลแล้ว ตอนนี้หมอยังมาทำร้ายพวกเขาลับหลังอีก ช่างน่าปวดใจจริงๆ]
[ฉันจะเกาะติดข่าวนี้อย่างใจจดใจจ่อเลยล่ะ บางทีเรื่องนี้อาจจะพลิกล็อกก็ได้]
สมัยนี้ทุกครั้งที่มีข่าวเกิดขึ้นในวงการบันเทิงสาธารณชนมักให้ความสนใจเพียงไม่กี่วันก่อนที่ความจริงจะเปิดเผยเสียอีก ด้วยความถูกผิดนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะแบ่งแยกให้เห็นได้ชัดได้ด้วยสายตามนุษย์
อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าคำพูดของถังอี้เฉินนั้นทำให้ถานซูหลิงโกรธขึ้นมา
มีเพียงคนเป็นแม่เท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการดูแลลูกของตัวเอง
จะเป็นอะไรไปหากหมอจะวิพากษ์วิจารณ์แม่บ้าง หัวใจเธอทำจากแก้วหรืออย่างไร เธอทนไม่ได้เลยหรือ
“ตอนที่ลูกของฉันมีอาการภูมิต่ำมันไม่มีอะไรแน่นอนเลย บางกรณีก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ จะไม่ใช่เรื่องรุนแรงได้อย่างไร โดยเฉพาะกับเขาที่ป่วยมาแล้วหลายครั้งด้วย
“ตอนที่ฉันขอให้พ่อแม่ดูแลลูกของเขาก็ไม่ได้คาดหวังให้ต้องดูแลตลอดเวลา แต่ในเมื่อเด็กเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้วนั้นหมายความว่าพวกเขาป่วย ถ้าพ่อแม่ไม่สามารถแสดงให้เห็นความรักความห่วงใยตอนนี้จะไปทำตอนไหน
“อีกอย่างการที่ถังหนิงไม่ใส่ใจลูกชายของเธอก็เป็นเรื่องจริง ฉันไม่ได้โกหก ทำไมฉันต้องเป็นคนมาแก้ต่างให้ตัวเองด้วย
“ฉันเป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่ง คงเป็นเพราะ ‘ใครบางคน’ เป็นพี่สาวของถังหนิง เธอถึงออกมาพูดแทนครอบครัวของเธอ”
…
“นังนั่นนี่ เธอโรคจิตหรือเปล่าเนี่ย” แม้แต่หลงเจี่ยซึ่งเพิ่งได้เป็นแม่คนยังอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาหลังจากเห็นสัมภาษณ์ของถานซูหลิง “สมองของหมอคนนี้ทำมาจากถั่วกวนหรือยังไง”
“ใครจะไปรู้ ทั้งหมดที่ผมรู้คือความขัดแย้งนี้แพร่กระจายจากวงการบันเทิงไปจนถึงวงการแพทย์เรียบร้อยแล้วล่ะ” ลู่เช่อตอบขณะที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างหลงเจี่ยก่อนลงมือปอกผลไม้
“มันจะส่งผลกระทบกับโอกาสในการรับรางวัลเฟยเทียนของถังหนิงไหม”
“ผลกระทบแบบไหนล่ะ”
หลงเจี่ยผ่อนคลายลงและพยักหน้ารับเมื่อเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “ตราบใดที่ไม่มีผลกระทบอะไรก็ดีแล้วล่ะ”
ทว่าเมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้ หากโม่ถิงไม่ให้บทเรียนกับถานซูหลิงบ้างเธอคงไม่รู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร
ความจริงแล้วผู้อำนวยการโรงพยาบาลซึ่งถานซูหลิงทำงานอยู่ต้องการที่จะกำจัดเธอมานานแล้ว หากแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาแทบจะหาเหตุผลในการไล่เธอออกไม่ได้
ปกติแล้วเมื่อนิสัยของใครสักคนได้รับการยืนยันว่าเป็นปัญหาและทำให้คนรอบข้างอึดอัดใจ พวกเขาก็จะกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน คนส่วนมากจะพูดลับหลังว่าพวกเขาทำตัวเลวร้ายแค่ไหนและให้มุ่งเป้าไปที่นิสัยแย่ๆ ทั้งหมดของพวกเขา
ดังนั้นในยามที่เหล็กยังร้อนอยู่ผู้อำนวยการจึงตัดสินใจพูดกับถานซูหลิง “ซูหลิง เอาตามตรงนะคุณเป็นคนที่มีความสามารถ หลังจากที่ทำงานให้กับโรงพยาบาลมานาน ใครๆ ก็เห็นถึงความเป็นมืออาชีพของคุณและคุณก็เป็นหมอที่ดีที่สุดของเรา แต่ว่า… ตอนนี้คุณมีปัญหากับไห่รุ่ย โรงพยาบาลของเราไม่สามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้เราจึงตัดสินใจขอให้คุณลาออก”
อันที่จริงผู้อำนวยการเป็นคนที่สุภาพมาก
หากเป็นคนอื่นพวกเขาคงโกรธจนหัวเสียไปแล้ว
ถานซูหลิงรู้สึกถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีและคิดว่าไห่รุ่ยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จึงตอบกลับ “คุณจะต้องเสียใจกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
“ฉันเป็นหมอที่มีจรรยาบรรณที่ช่วยชีวิตและรักษาผู้คนจากอาการเจ็บป่วย ฉันรักษาคนมานับไม่ถ้วน คุณก็ยังทำแบบนี้กับฉันเพราะเรื่องไร้สาระที่ตัวเองจัดการไม่ได้เหรอ ฉันผิดหวังในตัวคุณจริงๆ ”
ทว่าเธอไม่ได้พูดเช่นนี้กับผู้อำนวยการโรงพยาบาลเพียงคนเดียว เธอยังเผยเรื่องนี้กับสื่ออีกด้วย
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันฉุกละหุกไปหมด ฉันถูกโรงพยาบาลไล่ออกเพราะมีปัญหากับไห่รุ่ยและโรงพยาบาลก็ไม่อยากเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง”
บางคนหลุดหัวเราะทันทีกับความตรงไปตรงมาและการออกมาพูดด้วยท่าทีขึงขังของเธอ แต่ก็มีบางส่วนที่ยังคิดว่าเธอได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
[นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไห่รุ่ยทำตามที่พวกเขาต้องการ การถูกไล่ออกเป็นการลงโทษที่เล็กน้อยไปเสียแล้ว หมอคนนี้น่าสงสารจริงๆ]
[ใครบอกให้เธอไปมีเรื่องกับโม่ถิงกันล่ะ เธอน่าเห็นใจออก]
[ไม่นะ ไห่รุ่ยจะใช้วิธีนี้แก้ปัญหาตลอดไม่ได้]
หากแต่ในความเป็นจริงนั้นไห่รุ่ยยังไม่ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เลยแม้แต่น้อย
“ดูรูปการณ์แล้วถานซูหลิงคนนี้คงไม่เป็นที่พอใจนักจนแม้แต่กับผู้อำนวยการโรงพยาบาลยังไม่เข้าข้างเธอ ข่าวเพิ่งออกมาไม่นานแต่เขาก็ไม่รอช้าที่จะกำจัดเธอ ถ้าเขาอยากให้ไห้รุ่ยแบกรับความผิดนี้แทนเขาคงต้องวางแผนมาดีแล้ว ดูเหมือนทุกอย่างจะพุ่งเป้ามาที่ไห่รุ่ยและความผิดทั้งหมดจะตกลงที่เราครับ”
นั่นคือคำพูดของฟังอวี้
ทว่าหากพวกเขาต้องการให้โม่ถิงรับผิด… พวกเขาคงเล่นผิดคนเสียแล้ว
“ไปสอบถามกับหมอที่โรงพยาบาล ฉันมั่นใจว่าต้องได้เบาะแสบางอย่างแน่” โม่ถิงสั่ง หากพวกเขาไม่ลงมือทำบางอย่างเรื่องนี้คงถูกมองว่าเป็นการกดขี่จากไห่รุ่ย
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมจะนำเรื่องมารายงานคุณในเร็วๆ นี้ครับ” การสืบหาข้อมูลไม่ใช่สิ่งที่ลู่เช่อเท่านั้นที่ทำได้ ฟังอวี้ก็ถนัดเรื่องนี้ด้วย
แม้ว่าเรื่องจะเกิดขึ้นจากการที่กั่วกั่วป่วยแต่กระแสเชิงลบเช่นนี้ล้วนส่งผลกับชื่อเสียงของไห่รุ่ยเช่นกัน
ไม่นานฟังอวี้ก็ได้รับข่าวจากแหล่งข้อมูลว่าหลักฐานได้รับการยืนยัน ซึ่งพิสูจน์ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับบุคลิกของถานซูหลิงและทางโรงพยาบาลได้ทนกับเรื่องนี้มานานแล้ว
หากพวกเขาต้องการหาเรื่องกับใครสักคน เหตุใดถึงกล้ามาทำกับไห่รุ่ย
จากนั้นฟังอวี้โทรรายงานเรื่องนี้ให้ถังหนิงรู้ก่อนที่ปลายสายจะตอบกลับ “จัดการตามสมควรได้เลย”
หลังจากผ่านการถูกให้ร้ายมาหลายครั้งถังหนิงชินชากับมันเสียแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมให้อภัยถานซูหลิง
เธอคิดง่ายๆ ว่าโม่ถิงคงทำตามที่ใจต้องการ ทว่าหากโม่ถิงลงมือแล้ว… ทั้งถานซูหลิงและโรงพยาบาลคงจะเดือดร้อนอย่างน่าสงสาร
“นัดกับผู้อำนวยการให้ที ฉันจะไปพบเขาเป็นการส่วนตัว”
‘เป็นการส่วนตัว’ ทันทีที่ฟังอวี้ได้ยินคำนี้เขาก็รู้ว่าการแสดงดีๆ กำลังเดินทางมาถึง
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเขาแสร้งทำเป็นเศรษฐีจากตระกูลที่ร่ำรวยและขอนัดพบผู้อำนวยการที่โรงแรมเกี่ยวกับเรื่องอาการป่วยของญาติของเขา
แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่ได้มีเพียงแต่โม่ถิงที่รอพบผู้อำนวยการ เขายังพานักข่าวที่น่าเชื่อถือที่สุดในปักกิ่งไปอีกด้วย
การตั้งตัวเป็นศัตรูของโม่ถิงไม่เคยจบสวย สิ่งที่ผู้อำนวยการคนนี้หวังได้มากที่สุดคือไม่ต้องลงเอยอย่างน่าเวทนาจนเกินไปนัก
การพิจารณารางวัลเฟยเทียนยังคงดำเนินต่อไป ฟังอวี้เข้าใจว่าโม่ถิงต้องการจบปัญหานี้ก่อนที่พิธีมอบรางวัลจะจัดขึ้นเพราะเขาอยากให้ทุกคนมองถังหนิงในฐานะผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ดังนั้นในเช้าวันถัดมาเขาจึงไปพบกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล
อีกฝ่ายไม่รู้ว่าสิ่งใดกำลังรออยู่ เขาคิดว่าครอบครัวเศรษฐีต้องการพบเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับอาการป่วยของสมาชิกครอบครัว ทว่าทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องส่วนตัวภายในโรงแรมก็ตกตะลึง เพราะว่านอกจากสื่อแล้วยังปรากฏตัวโม่ถิงอีกด้วย
“ผมต้องเข้าผิดห้องแน่” ผู้อำนวยการหันหลังทำทีจะออกจากห้อง เขาคิดว่าตัวเองเข้าห้องผิดจริงๆ แต่โม่ถิงกลับเอ่ยรั้งเขาไว้
“ผู้อำนวยการหลิน คุณมาถูกห้องแล้วล่ะครับ” เสียงทุ้มเข้มของโม่ถิงทำให้ทุกคนในห้องต่างนิ่งงันไป
ในขณะที่สีหน้าของเจ้าของชื่อดูไม่ดีนัก