วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ - ตอนที่ 830 อย่ามายุ่งกับศิลปินของฉัน
ระหว่างช่วงที่ลัวเซิงไม่มีถ่ายทำ เขาได้ติดตามดูรายการประกวดเจอร์นีย์
อันที่จริง เขาจำได้รางๆ ว่าหลงเจี่ยบอกว่าศิลปินคนใหม่ที่เพิ่งเซ็นสัญญาชื่อว่าซิงหลาน เขาจึงสังเกตหญิงสาวคนนี้เป็นพิเศษและก็พบว่าเธอไม่ได้โดดเด่นสะดุดตานักเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชน หากแต่กลับมีความมั่นใจที่เปี่ยมล้น
นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ลัวเซิงชอบในตัวเธอ ยิ่งได้ยินมาว่าเธอเข้ารอบด้วยการใช้เพลงเด็กแล้ว เขามั่นใจว่าเธอมีความสามารถพอที่จะคว้าชัยชนะมาได้
ในตอนนี้เองที่เขานึกถึงสิ่งที่หลงเจี่ยพูดก่อนหน้านี้ว่าให้เข้าไปทำความรู้จักกับผู้กำกับได้ แม้พวกเขาจะกลายเป็นคนสนิทกันไม่ได้แต่อย่างน้อยก็อยู่ในฐานะนักแสดงที่ว่าง่าย
ดังนั้นในคืนนั้น ระหว่างที่ลัวเซิงกำลังรอเข้าฉากต่อไป เขาเห็นว่าผู้กำกับดูไม่สบายใจในขณะที่เจ้าตัวกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
ลัวเซิงจึงเข้าไปหาเขาและเอ่ยถาม “ผู้กำกับครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ทันทีที่อีกฝ่ายเห็นลัวเซิง เขาวางสายก่อนส่งยิ้มให้ “ไม่มีอะไรหรอก กลับไปถ่ายทำต่อเถอะ”
“ถ้าคุณมีปัญหาอะไร คุยกับผมก็ได้นะครับ” ลัวเซิงไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านี้
ผู้กำกับมักชอบคนที่ว่าง่าย มีความสามารถ และขยันขันแข็ง ดังนั้นเมื่อได้ยินลัวเซิงพูดดังนั้น เขาจึงพูดเล่นกลับไป “ฉันติดหนี้อยู่น่ะ นายให้ฉันยืมเงินหน่อยได้ไหมล่ะ”
“เท่าไหร่ล่ะครับ”
“หนึ่งล้านหยวน” เขาแค่แกล้งหลอกให้ลัวเซิงตกใจเท่านั้น อย่างไรเด็กหนุ่มอย่างลัวเซิงที่ยังเป็นแค่นักแสดงหน้าใหม่ก็คงไม่มีทางให้ยืมเงินมากขนาดนี้แน่ ทว่าลัวเซิงกลับไม่ลังเลแม้แต่น้อยและโทรหาหลงเจี่ยเพื่อยืมเงินหนึ่งล้านหยวนทันที
เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของลัวเซิง ผู้กำกับก็โบกมือปฏิเสธพัลวัน “ฉันแค่ล้อเล่น ฉันยังเป็นผู้กำกับอยู่นะ อย่าทำเหมือนฉันกำลังรับสินบนอยู่สิ”
ลัวเซิงเก็บโทรศัพท์ของเขาก่อนยกยิ้ม “ผู้จัดการของผมเป็นคนใจดีครับ ถ้าคุณเดือดร้อนจริงๆ ผมก็ยินดีจะช่วยเหลือคุณนะครับ”
“โอ้” ผู้กำกับหรี่ตามองและพาลัวเซิงไปที่บริเวณบันได ก่อนชายทั้งสองคนจะนั่งลงคุยกัน “ฉันรู้ว่านายเคยเป็นสมาชิกวงบอยแบนด์และเป็นนักร้องมาก่อน จากนั้นถึงค่อยเซ็นสัญญากับต้นสังกัดใหม่และเริ่มต้นทำงานสายนี้ นี่ พ่อหนุ่ม ทำไมจากนี้ไปนายไม่มาทำงานกับฉันซะล่ะ”
ลัวเซิงครุ่นคิดครู่หนึ่งและส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ครับ ผมเป็นเพื่อนกับคุณได้ แต่ผมจะไม่มีทางออกจากเอเจนซี่ของผมเด็ดขาด”
“บอกฉันมาว่านายอยู่สังกัดไหน”
“จู้ซิงมีเดียครับ”
“ฉันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลยแฮะ” ผู้กำกับว่าขึ้นขณะที่ส่ายศีรษะไปมา “ต้องเป็นเอเจนซี่ใหม่แน่ๆ ฉันไม่คิดว่านายจะมีอนาคตที่ยาวไกลกับพวกเขาหรอกนะ นายจะต้องดิ้นรนไปอย่างน้อยสามปีกว่าจะเห็นผลเลยล่ะ”
“มันจะไม่นานขนาดนั้นหรอกครับ ผมเชื่อว่าผมจะมีชื่อเสียงขึ้นมาให้ได้ภายในหนึ่งปีนี้” ลัวเซิงเอ่ยอย่างมั่นใจ
“เจ้านายของนายเป็นใครกัน ทำไมถึงได้มั่นใจขนาดนี้”
ลัวเซิงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ เมื่อนึกได้ว่าหลงเจี่ยบอกให้ทำตัวจริงใจกับผู้กำกับ เขาจึงตอบอีกฝ่ายไปอย่างไม่ลังเล “ถังหนิงครับ”
“ใครนะ” ดวงตาของผู้กำกับแทบจะหลุดออกมาด้วยความตกใจ
“ถังหนิงครับ!” ลัวเซิงกล่าวซ้ำ “ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนักแสดงที่ชื่อถังหนิงครับ”
“เด็กดี นี่มันข่าวใหญ่เลยนะ ฉันละสงสัยมาสักพักแล้วว่าถังหนิงหลบไปทำอะไรหลังจากที่หายไปจากวงการ เธอมาเป็นผู้จัดการเองหรอกเหรอเนี่ย เพราะเธอเป็นเจ้านายของนาย งั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ฉันจะโน้มน้าวนายแล้วล่ะ ถ้าเธอคว้ารางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมมาด้วยตัวเองได้ การช่วยนายก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรล่ะนะ” ผู้กำกับว่าขึ้นอย่างตื่นเต้น “ทำไมถึงไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยล่ะเนี่ย”
“เธอยังไม่ได้เผยเรื่องนี้น่ะครับ…”
อีกฝ่ายเข้าใจและพยักหน้ารับ “ไม่ต้องห่วงหรอก พ่อหนุ่ม ฉันจะเก็บความลับเอาไว้ให้นายเอง นายกำลังจะได้เป็นดาราดาวรุ่งในอนาคต จริงๆ แล้วนายมีทักษะการแสดงที่ดีเลยล่ะ หลังจากถ่ายทำเรื่องนี้จบ ฉันจะแนะนำนายให้ผู้กำกับคนอื่นๆ และช่วยแนะนำนายให้รู้จักกับผู้มีอิทธิพลในแวดวงภาพยนตร์แล้วกันนะ”
“ขอบคุณครับ ผู้กำกับ” ลัวเซิงกล่าวขอบคุณทันที
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันหรอก สมัยนี้ไม่ค่อยมีคนจริงใจในวงการนี้เท่าไหร่น่ะ ถังหนิงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนนั้น ฉันเป็นแฟนคลับเธอ แต่น่าเสียดายที่เธอจะไม่ถ่ายหนังอีกแล้ว”
ครั้งนี้ลัวเซิงได้โอกาสคุยกับผู้กำกับแบบเปิดอกในท้ายที่สุด แน่นอนว่าเขายังไม่ได้ทำความรู้จักกับคนที่ผู้กำกับใกล้ชิดด้วย แต่นับจากวันนี้ไปเขาจะเชื่อคำของถังหนิงอย่างไม่มีข้อสงสัย
…
ในเวลาเดียวกัน ในที่สุดเฉวียนจื่อเยี่ยก็รู้ว่าหลินเฉี่ยนไปเป็นผู้จัดการและกำลังดูแลหญิงสาวที่กำลังเข้าร่วมการประกวดร้องเพลงรายการหนึ่ง
ในฐานะพี่ชายของเธอ เฉวียนจื่อเยี่ยรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสเดียวที่เขาจะตอบโต้กลับ ดังนั้นในระหว่างที่จะถึงรอบสามร้อยคนสุดท้าย ในตอนที่หลินเฉี่ยนไปส่งซิงหลานที่บ้าน เธอเจอเฉวียนจื่อเยี่ยยืนพิงกำแพงอยู่ท่ามกลางความมืด ด้านนอกประตูบ้านของซิงหลาน
“ทำไมนายมาอยู่ที่นี่” หลินเฉี่ยนขมวดคิ้วมุ่นด้วยท่าทีเย็นชา
“เขาเป็นใครเหรอคะ” ด้วยบรรยากาศที่มืดมิด ซิงหลานจึงเห็นหน้าเฉวียนจื่อเยี่ยไม่ชัดนัก รู้แค่ว่าเป็นผู้ชายที่สูงมาก
“คุณขึ้นไปก่อนนะคะ” หลินเฉี่ยนบอก
“อะไรกัน กลัวว่าฉันจะทำร้ายเธอหรือยังไง” เขาก้าวออกมาจากความมืด เผยตัวให้เห็นในแสงไฟ จากนั้นจึงยื่นมือมาหาซิงหลานอย่างมีสเน่ห์ “สวัสดีครับ ผมเฉวียนจื่อเยี่ย”
“เฉวียนจื่อเยี่ย…”
“ซิงหลาน พี่ชายของฉันเขาเป็นคนบ้า ไม่ต้องไปสนใจเขา เขามันตัวอันตราย” หลินเฉี่ยนบอกกับซิงหลานทันที “ไม่ว่าเขาจะพยายามเข้ามาตีสนิทคุณแค่ไหน ก็ห้ามเชื่อใจเขา เข้าใจไหม”
ซิงหลานรู้ว่าระหว่างพวกเขาคงมีเรื่องให้บาดหมางกัน
“ฉันจะปล่อยให้คุณสองคนคุยกันแล้วกันนะคะ ฉันจะขึ้นไปด้านบนก่อน”
“โอเคค่ะ”
เฉวียนจื่อเยี่ยเข้ามาขวางทางหลินเฉี่ยนทันทีที่ซิงหลานเดินจากไป “ดูเหมือนเธอจะกลัวว่าฉันจะทำอะไรเธอคนนั้นเลยนะ”
“ถ้านายอยากให้ฉันเกลียดนายไปตลอดชีวิต ก็ลองทำดูสิ” เธอตอกกลับ “ฉันเกลียดคนที่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ได้”
“เธอไม่ได้เกลียดอะไรทั้งนั้นแหละ เธอแค่เกลียดฉัน” เขาหัวเราะออกมาอย่างเฉยชา
“ก็ถูกของนาย”
สิ้นเสียงหลินเฉี่ยนก็ก้าวขึ้นรถตัวเอง ในจังหวะที่เธอจะติดเครื่อง เขาก็เข้ามาข่มขู่เธอ “เธอไม่ห่วงว่าฉันจะทำลายโอกาสของเธอในการประกวดเหรอ เธอเข้ารอบสามร้อยคนสุดท้ายแล้วนี่นา”
“ทำอย่างนี้ นายจะต้อนให้ฉันจนมุมใช่ไหม” เธอจ้องไปที่เขา “จะทำอะไรก็ตามใจเลย ยังไงฉันก็ต้องตอบแทนตระกูลเฉวียนที่เลี้ยงดูฉันมาอยู่แล้ว ใช่ไหมล่ะ”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างเธอกับแม่ฉันกันแน่”
“นายสืบเก่งนักไม่ใช่เหรอ นายคงทุ่มเทมามาก แล้วทำไมถึงยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยล่ะ”
ก่อนหน้านี้เฉวียนจื่อเยี่ยสั่งให้พ่อบ้านนัดทานข้าวเย็นกับแม่ของเขาให้เพื่อจะได้เค้นความจริงจากเธอ แต่เขากลับไม่ได้รับคำตอบใดๆ
“ฮ่าๆ เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ฉันเองก็ไม่ใช่เด็กๆ และศิลปินของเธอก็ดูบรรลุนิติภาวะแล้วด้วย ทำไมฉันไม่ลองจีบเธอดูล่ะ”
“นายจะอยากจีบใครก็ได้ แต่อย่ามายุ่งกับศิลปินของฉัน” หลินเฉี่ยนเอ่ยก่อนติดเครื่องและออกรถไป
เฉวียนจื่อเยี่ยขำออกมาและหายตัวไปในยามค่ำคืน ดูเหมือนเฉี่ยนเฉี่ยนของเขาจะยังระแวงเขาไม่เลิก ทว่าหากเธอต้องการจะเป็นผู้จัดการ เขาก็จะปล่อยให้เธอเป็น ส่วนเรื่องความขัดแย้งระหว่างเธอกับแม่ของเขา ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะรู้ความจริงเรื่องนี้
อีกอย่างเขาก็ไม่คิดว่าซิงหลานจะชนะได้โดยที่ไม่มีใครหนุนหลังอยู่
ฝันไปเถอะถังหนิง…