วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ - ตอนที่ 878 ผมเป็นพลตรีประจำกองทัพอากาศ
“คุณ…”
“ผมเป็นพลตรีประจำกองทัพอากาศน่ะครับ” หลี่จิ่นตอบ “บริเวณที่เครื่องบินตกห่างจากฐานของเราไม่ไกล”
บทสนทนาพลันกลายเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมา หลินเฉี่ยนจึงไม่รู้ว่าจะตอบเขาว่าอะไร แต่อย่างน้อยเธอกับเขาก็มีหัวข้อให้ได้คุยกัน
“ผมคาดหวังกับนักแสดงไว้มากนะครับ”
“หืม”
“ถ้าผมไม่ชอบการแสดงของเธอ ผมอาจจะเดินออกไปกลางคันก็ได้”
“หนังของพี่หนิงไม่เคยทำให้ผิดหวังหรอกค่ะ” การแสดงของถังหนิงยอดเยี่ยมจนเธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปาก
เดิมทีหลินเฉี่ยนคิดว่าหลี่จิ่นจะตอบโต้กลับมา แต่เขากลับหันกลับไปจดจ่อกับการขับรถแทน เห็นได้ชัดว่าเขาสัมผัสได้ถึงความนับถือของเธอในตัวถังหนิง
“ผมมาช้านิดหน่อยเพราะปฏิบัติภารกิจอยู่น่ะครับ”
พูดอีกอย่างคือเขาไม่ได้ตั้งใจมาหาเธอช้า
“ฉันเข้าใจว่าคุณมาช้าค่ะ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งคุณไม่กลับมาล่ะคะ” หลินเฉี่ยนหันไปถามหลี่จิ่น
อยู่ๆ เขาก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
นี่จะเป็นปัญหาระหว่างพวกเขาตลอดไป ไม่ว่าหลินเฉี่ยนจะกล้าหาญแค่ไหน เธอคงจะไม่มีทางทนเห็นอีกครึ่งชีวิตของเธอต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงอยู่ทุกวันได้
…
งานฉายภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ของผู้รอดชีพถูกจัดขึ้นในค่ำคืนนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่วันฉายจริง แต่ก็มีคนดังมากหน้าหลายตาเข้าร่วมเพื่อแสดงการสนับสนุน
ความจริงแล้ว โม่ถิงไม่ได้สั่งศิลปินในสังกัดของเขา หากแต่พวกเขาก็ยังมาเข้าร่วมงานด้วยตัวเองอยู่ดี ด้วยต้องการเห็นการแสดงของถังหนิงอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้นงานรอบปฐมทัศน์นี้จึงเต็มไปด้วยทั้งสื่อมวลชนในปักกิ่ง นักวิจารณ์ภาพยนตร์ ผู้สร้างภาพยนตร์มากประสบการณ์ และแขกพิเศษอื่นๆ ในขณะที่ผู้กำกับยังยืนกรานที่จะเว้นที่นั่งแถวหน้าเอาไว้ให้ถังหนิง เขามั่นใจว่าเธอจะต้องมาปรากฏตัว
ทุกที่นั่งถูกจับจองก่อนภาพยนตร์จะเริ่มฉาย ทว่าในทุกครั้งที่ถึงฉากสำคัญของถังหนิง ทุกคนต่างจับจ้องมองไปยังที่นั่งด้านหน้าที่ถูกเว้นเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว น่าเสียดาย…ที่ถังหนิงไม่ได้อยู่ที่นี่…
ภาพยนตร์ยาวหนึ่งร้อยสามสิบหกนาที ตลอดการฉายไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ลุกขึ้นไปห้องน้ำ หรือส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กัน
พวกเขาเพียงแค่ดื่มด่ำไปกับห้วงอารมณ์…โดยเฉพาะในตอนที่ภาพยนตร์ดำเนินมาถึงตอนจบ
ถังหนิงเป็นคนมีความสามารถ ไม่ว่าเธอจะรับบทใด ก็มักจะทิ้งความประทับใจให้กับผู้ชมได้เสมอ
แม้แต่กับหลี่จิ่นซึ่งคาดหวังเอาไว้สูงยังไม่ลุกออกไปกลางคัน ความจริงแล้วเขารอจนกระทั่งหนังจบก่อนที่จะเอ่ยกับหลินเฉี่ยน “ผมไม่เห็นความแตกต่างระหว่างเธอกับผู้รอดชีวิตที่ผมเจอเมื่อหลายปีก่อนเลย”
คำพูดของหลี่จิ่นนับได้ว่าน่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะเขาเป็นผู้อยู่ในภารกิจช่วยชีวิตในครั้งนั้น ดังนั้นเรื่องที่ออกมาจากปากของเขาจึงบ่งบอกว่าผู้รอดชีพนั้นได้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
หลังจากงานจบลง บทความวิจารณ์หลากหลายเริ่มผุดขึ้นมาบนโลกออนไลน์
แน่นอนว่าในขณะที่แฟนๆ ซาบซึ้งกับสัจธรรมของชีวิตที่ไม่มีความแน่นอน พวกเขารู้สึกเสียดายนักแสดงมากฝีมือที่ยุติเส้นทางการแสดงของเธอกับเรื่องผู้รอดชีพ
ยิ่งถังหนิงถ่ายทำผู้รอดชีพด้วยสภาพร่างกายที่ยากลำบากด้วยแล้ว
“ใครก็ได้โน้มน้าวให้ถังหนิงกลับมาทีเถอะ…”
“ได้โปรดเถอะถังหนิง ช่วยยกโทษให้พวกเราที่ตาบอดด้วยเถอะนะ”
“ถังหนิงดูสง่างามมากจริงๆ ด้วยทักษะการแสดงของเธอ ต่อให้เธอฆ่าใครสักคนจริงๆ ฉันก็จะยังให้อภัยเธอได้”
“เรื่องที่ถังหนิงไม่มาปรากฏตัวที่งานฉายรอบปฐมทัศน์ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเธอทำตัวถอยห่างจากการเป็นนักแสดง”
สุดท้ายแล้วถังหนิงก็ไม่ได้มาร่วมงานฉายภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์
แทบจะเหมือนกับภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ
…
“หนังมันดีมากเลยค่ะ น่าเสียดายที่พี่หนิงไม่ได้ไปดูด้วยตัวเอง” หลินเฉี่ยนถอนหายใจออกมาระหว่างทางกลับบ้าน “ถึงแม้พี่หนิงจะยังเป็นส่วนหนึ่งของวงการภาพยนตร์ แต่มันก็ยังแตกต่างกับการเล่นหนังมากอยู่ดี การไม่ได้เห็นถังหนิงบนหน้าจออีกเหมือนมีอะไรขาดหายไปเลยค่ะ”
“ทุกคนมีทางเลือกของตัวเองทั้งนั้นแหละครับ”
แม้หลี่จิ่นจะไม่รู้วิธีปลอบใจคนแต่มันก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
“อีกอย่าง พ่อแม่ของผมรู้เรื่องของคุณแล้วนะครับ”
“!” หลินเฉี่ยนอึ้งไปเล็กน้อย
เขาเข้าใจว่าเธอยังต้องการเวลามากกว่านี้ในการรักษาแผลใจก่อนหน้านี้จึงพูดยืนยัน “ตอนนี้พวกเขายินดีที่จะรอครับ.
“แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงไม่อยากพบพวกท่าน”
“ฉันยังไม่พร้อมน่ะ สำหรับผู้หญิงแล้ว การไปพบพ่อแม่ของใครสักคนมันมีความหมายมากกว่านั้นค่ะ” หลินเฉี่ยนตอบ “อีกอย่างฉันคิดว่าเรายังไม่ถึงขั้นนั้นกันค่ะ ฉันไม่รู้เรื่องของคุณเลยสักอย่าง อย่างตอนที่คุณบอกว่าจะกลับมาภายในสามวัน แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าคุณไปไหน นอกจากรอไปเรื่อยๆ แล้วฉันก็ทำอะไรไม่ได้เลยนี่คะ”
ปัญหาที่หลินเฉี่ยนยกขึ้นมาเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลไม่น้อย เธอจึงคาดหวังให้หลี่จิ่นยอมถอยกลับไป แต่เขากลับตอบเธอกลับมา “ต่อไปนี้ผมจะให้คนคอยรายงานคุณแล้วกันนะครับ”
หลินเฉี่ยนพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก
เธอคิดมาตลอดว่าหลี่จิ่นเป็นคนเข้มงวดและน่าเบื่อเหมือนอย่างที่ซิงหลานบอกไว้ว่าเขาเป็นคนตัดขาดจากโลกภายนอก
ทว่าเขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเธอคิดผิดครั้งแล้วครั้งเล่า
จริงๆ แล้วหลี่จิ่นกลับใช้ชีวิตตามใจตัวเอง ดูจากการที่เขาคาดหวังกับภาพยนตร์ที่ดูไว้สูง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายร่างกำยำที่มีความคิดตื้นๆ แต่เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าในทุกๆ ด้าน
ความจริงแล้วสิ่งที่ทำให้หลินเฉี่ยนมั่นใจมากที่สุดคือการที่เขาเป็นคนมุ่งมั่นซึ่งไม่ยอมแพ้ไปง่ายๆ
ไม่อย่างนั้น ตอนที่เขารู้ถึงความแตกต่างของพวกเขาคงจะถอดใจไปแทนที่จะค่อยๆ ปรับตัวและเข้าใกล้เธอให้มากขึ้น
ว่ากันตามจริงก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่นัก การคบหากับชายคนนี้ไม่ได้ทำให้เหนื่อยใจเลยแม้แต่น้อย
….
ไม่นานผู้รอดชีพก็ถูกเผยสู่สายตาสาธารณชนอย่างเป็นทางการ โรงภาพยนตร์หลายแห่งโฆษณาหนังเรื่องนี้ในฐานะภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของถังหนิง และทำรายได้อย่างถล่มทลาย หลังจากเข้าฉายวันแรกยอดขายตั๋วเข้าชมพุ่งทะยานเข้าสู่สามร้อยล้านหยวน แม้ว่าทุกคนจะคิดไว้แล้วว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องดังเป็นพลุแตกแต่นึกไม่ถึงว่าจะได้รับเสียงตอบรับล้นหลามขนาดนี้
บรรดาแฟนๆ ยังป่าวประกาศถึงการแสดงระดับพระเจ้าของถังหนิง
ถึงจะเป็นเช่นนั้น ถังหนิงยังคงหายไปในกลีบเมฆ เธอไม่ได้โผล่หน้าออกมาให้เห็นแม้แต่ครั้งเดียว จนแทบจะดูเหมือนเธอกำลังใช้ความเงียบของเธอตอกกลับคนที่เคยดูถูกเธอเอาไว้
“เฮ้ ถังหนิงจะกลับมาในไม่ช้าก็เร็วนี้แหละ คอยดูได้เลย ถ้าเธอไม่กลับมาในตอนที่หนังของเธอกำลังไปได้สวย เธอจะกลับมาตอนไหนกันล่ะ”
“ฉันหวังว่าพรุ่งนี้เช้าที่ตื่นขึ้นมาจะได้เห็นถังหนิงประกาศว่าจะกลับมานะ หรืออย่างน้อยก็ได้รับข่าวว่าเธอจะเข้าร่วมงานก็ยังดี”
โชคไม่ดีนักที่ในยามที่พวกเขาลืมตาตื่นขึ้นมาในวันถัดมากลับไม่ได้รับข่าวใดๆ
ช่วงนี้ถังหนิงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บ้านและออกจากบ้านเป็นครั้งคราว จนแม้แต่ช่างภาพแอบถ่ายยังไม่อาจเก็บภาพเธอเอาไว้ได้มาก
“ปีนี้ไม่ค่อยมีหนังดีๆ เท่าไรนอกจากผู้รอดชีพ ถังหนิงต้องคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมไปได้อีกแน่ พอเวลานั้นมาถึงเธอจะยังซ่อนตัวอยู่แบบนี้ไหมนะ ฉันล่ะสงสัยจังเลย”
ถังหนิงรู้ถึงเสียงตอบรับของผู้คนภายนอก หากแต่เธอไม่ใช่นักแสดงถังหนิงอีกต่อไปแล้ว
ในขณะเดียวกันเฉียวเซินถือโอกาสนี้ไปดูผู้รอดชีพ หลังดูจบเขายิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าตัวเองต้องการถัง
หนิงในภาพยนตร์ของเขา
ทว่าเธอใจแข็งยิ่งกว่าเขาเสียอีก เขาจะไปทำอะไรได้
ที่แย่ที่สุดคือเขาไม่อาจทำอะไรได้เลยต่างหาก