วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 225 เวยเวย ดูแลตัวเองด้วย
หลังจากวางสาย มู่เวยเวยยังคงมือสั่น เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆหยิบโทรศัพท์ออกมา
เมื่อเขาได้ยินคำขอของอีกฝ่าย เดิมทีเขาวางแผนที่จะตามมู่เวยเวยขึ้นเครื่องบินไป แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าตัวเธอจะมี GPS อยู่ก็ตาม
“คุณไม่สามารถออกเดินทางไปพร้อมฉันได้ มันอันตรายเกินไป แค่ฉันขึ้นเครื่องบินก็มีคนจ้องมองแล้ว ฉันไม่ต้องการให้ลูกได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว”ใบหน้าของเธอมุดอยู่ในอ้อมแขนไม่ได้มองเขา แต่เย่ฉ่าวเฉินรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงที่หนักแน่นของเธอ
เย่ฉ่าวเฉินเงียบลง ในแง่หนึ่งเขาก็กลัวลูกเป็นอะไร อีกแง่หนึ่งก็กลัวมู่เวยเวยเกิดเรื่อง ทั้งฝ่ามือและหลังมือล้วนเป็นเนื้อ ตัดส่วนไหนออกไปก็เจ็บทั้งนั้น
จากนั้นไม่นาน เย่ฉ่าวเฉินก็พูดด้วยเสียงแหบว่า “ตกลง คุณไปก่อน ผมจะไปทีหลังคุณ” เมื่อพบว่าแผนที่ขุมทรัพย์ถูกขโมยไป ถึงเป็นเรื่องสมควรที่จะตามเธอไป
“อืม”มู่เวยเวยรู้ดีว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ลำบากสำหรับเขา แต่ก็ไม่มีทางออกสำหรับวิธีนี้แล้ว
“พยายามรั้งให้เขาอยู่เมือง A”
มู่เวยเวยพยักหน้า กระแอมและกดรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล ?”
“อาเหยียน เธอได้ของมาแล้วเหรอ ? !”น้ำเสียงของฉู่ซวนดูตื่นเต้น
มู่เวยเวยแสร้งเป็นดีใจ “ใช่แล้ว คุณก็ทราบข่าวดีนี่”
“เธอเอามาได้ ? !”
มู่เวยเวยเหลือบมองไปที่เย่ฉ่าวเฉินและพูดว่า “ฉันพูดกับเขาว่าอยากเห็นแผนที่ขุมทรัพย์ เขาก็หยิบออกมา ตอนนี้วางอยู่ในห้องหนังสือ ”
“ง่ายอย่างนี้เลย ?”ฉู่ซวนถามด้วยความแปลกใจ เขาคิดว่าต้องใช้ความพยายามหนักในการเอามา ไม่คิดเลยว่าจะง่ายอย่างนี้ ?
มู่เวยเวยยิ้มอย่างมีชัย “คุณไม่รู้จักคำพูดที่มีชื่อเสียงของจีนว่า วีรบุรุษยังพ่ายแพ้ต่อสาวงามเหรอ ?”หรือว่าคุณไม่เชื่อมั่นในรูปลักษณ์ของน้องสาว ? ”
เย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่ข้างๆหัวเราะเบาๆ เธอพูดถูก วีรบุรุษยังพ่ายแพ้ต่อสาวงาม แต่เป็นกับมู่เวยเวยไม่ใช่ฉู่เหยียน
ฉู่ซวนหัวเราะเสียงดังในโทรศัพท์ “แผนของสาวงามเยี่ยมจริงๆ ถ้างั้นคุณเตรียมพร้อมจะออกมาเมื่อไหร่ ผมจะไปกับคุณ”
มู่เวยเวยได้ยินประโยคสุดท้ายก็แสยะยิ้มออกมา “คุณจะไปด้วยกันกับฉัน ?”
“แน่นอนสิ งานของผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
มู่เวยเวยมองไปที่เย่ฉ่าวเฉินและพูดว่า “สวนสนุกจะเปิดเร็วๆนี้แล้วไม่ใช่เหรอ ? คุณออกไปตอนนี้ได้เหรอ ?”
“ส่วนใหญ่ก็เสร็จหมดแล้ว งานผมทางนี้ก็ไม่มีแล้ว” แต่ที่เขาไปยังมีอีกหนึ่งเหตุผล ก็คือถ้าเย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าฉู่เหยียนไม่อยู่แล้ว เขาจะต้องเป็นคนแรกที่เจอเรื่องทุกข์ทรมานนี้ มันจะอันตรายเกินไปถ้าเขายังอยู่ในเมือง A
มู่เวยเวยลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ฉู่ซวน พวกเราไปด้วยกันไม่ได้”
“ทำไมล่ะ ?”ฉู่ซวนสะดุ้ง
“คุณต้องช่วยฉันกันเย่ฉ่าวเฉิน แบบนี้ฉันถึงจะมีโอกาศออกห่างเขา มิฉะนั้นพรุ่งนี้ฉันยังไม่ทันถึงสนามบินก็คงโดนเขาจับกลับมา อย่างนั้นพวกเราก็จะถูกเปิดโปง”มู่เวยเวยพูดอย่างจริงจัง
ฉู่ซวนไม่พูดอะไร เขากำลังคำนวนความรุนแรงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย มู่เวยเวยพูดถูก แต่จะให้เขาเผชิญความโกรธของเย่ฉ่าวเฉิน พูดตามจริงเขาก็รู้สึกหวาดผวาอยู่บ้าง
มู่เวยเวยฟังเขาลังเลจึงพูดปลอบเขาไปว่า “ฉันรู้ว่าคุณกังวลเรื่องอะไร คุณจัดการเส้นทางล่วงหน้าไว้ ฉันขึ้นเครื่องบินแล้วจะโทรหาคุณ คุณก็สามารถถอนตัวออกมาได้ คุณไม่ต้องกังวล เมื่อฉันขึ้นเครื่องแล้วฉันจะบอกตัวตนที่แท้จริงกับเขา เขาไม่ทำอะไรคุณหรอก คุณเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลฉู่ และเขายังร่วมมือกับบริษัทคุณอีก”
ฉู่ซวนยังไม่พูดอะไร ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดยังไงกับสิ่งที่เธอพูด
หลังจากชะงักไปครึ่งนาที มู่เวยเวยก็ถอนหายใจและพูดว่า “ฉู่ซวน ถ้าหากว่าคุณไม่ช่วยฉัน พวกเราทั้งคู่ก็จะไปไหนได้ และแผนที่ขุมทรัพย์แผ่นนี้ก็จะไปไม่ถึงมือเพื่อนคุณ คุณคิดเอาเองเถอะ คิดได้แล้วให้คำตอบฉันด้วย”
เธอแกล้งจะวางสาย เสียงของฉู่ซวนก็ดังขึ้นมา “รอเดี๋ยว ผมรับปากคุณ คุณเตรียมพร้อมจะออกเดินทางเมื่อไหร่ ?”
“ออกเดินทางเช้าตรู่วันพรุ่งนี้”
“รู้แล้ว พรุ่งนี้ผมจะนัดเย่ฉ่าวเฉินไปไซน์งานก่อสร้าง คุณรีบไปหน่อย”
“ขอบคุณมากฉู่ซวน” มู่เวยเวยกดวางสาย อีกฝ่ายส่งที่หมายมาแล้ว นั่นคือสนามบินนานาชาติโฮโนลูลูบนเกาะฮาวาย
เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองและเมื่อมองไปที่แผนที่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ในหัวก็คิดถึงแผนที่โลก และพูดว่า “โฮโนลูลูอยู่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลและอากาศ มหาสมุทรแปซิฟิกเป็นที่รู้จักในนามทางแยกของมหาสมุทร เขาให้เธอไปที่นั่นมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน ไม่ว่าจะนั่งเครื่องหรือว่าเรือก็สามารถออกไปได้อย่างรวดเร็ว และยังไม่สามารถเดาทิศทางการเดินทางได้อีกด้วย”
มู่เวยเวยเห็นความกังวลจากแววตาของเขา จึงกระซิบว่า “ฉันจะดูแลตัวเอง นอกจากนี้ บนตัวฉันยังมีชิปติดตาม คุณรู้ได้ตลอดเวลาว่าฉันอยู่ที่ไหน ”
เย่ฉ่าวเฉินกดเก็บไว้ภายในใจ และดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนเขาด้วยเสียงอู้อี้ “แต่ผมยังเป็นกังวลมาก เวยเวย คุณไม่เข้าใจอารมณ์ผม”
เฝ้ามองหญิงสาวอันเป็นที่รักเข้าถ้ำเสือถ้ำหมาป่า โดยไม่มีอะไรที่เขาทำได้ ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เขาเกลียดตัวเอง
“คุณชอบที่จะควบคุมละครทุกอย่าง แต่เมื่อมีบางอย่างอยู่เหนือการควบคุมของคุณ คุณก็จะรู้สึกไม่ปลอดภัย ความรู้สึกนี้ฉันเข้าใจดี”
เย่ฉ่าวเฉินส่ายหัว และพูดปรับทุกข์ว่า “ไม่ ไม่เพียงแค่นั้น ผมรู้สึกไม่สบายใจก็เพราะคุณ ผมกลัวว่าจะเกิดไรขึ้นกับคุณ และก็กลัวว่าคุณจะไม่กลับมา ผมไม่กล้าคิดเลยว่าอนาคตที่ไม่มีคุณผมจะอยู่อย่างไร”
มู่เวยเวยนั่งอยู่ในอ้อมแขนเขาถามด้วยความประหลาดใจ ที่แท้ เขาก็กลัวว่าเธอจะหนีเขาไปอีกครั้ง ?
“คุณเดาถูก ถึงแม้ว่าคุณจะให้อภัยผม และก็ค่อยๆยอมรับผม แต่ผมก็ยังไม่มีความมั่นใจเลย ผมกลัวว่าถ้าหลังจากที่คุณช่วยลูกแล้วก็จะจากไปอย่างไม่ลังเลเลย ไปอยู่ในที่ๆไม่มีใครหาพบ และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย” เย่ฉ่าวเฉินมองเธออย่างลึกซึ้ง เสียงของเขาแหบแห้ง “ถ้าหากว่าคุณทำบบนั้นจริงๆ ก็เหมือนกับฆ่าผม ถ้าอย่างั้นอีกหลายสิบปีที่เหลืออยู่ผมจะอยู่ยังไง”
มู่เวยเวยรู้สึกประทับใจกับคำสารภาพของเขา ในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เมื่อก่อนเธอเคยคิดแบบนี้ แต่หลังจากเริ่มชอบเย่ฉ่าวเฉินขึ้นมาทีละนิด ความคิดนี้จึงเปลี่ยนไป
เธอเชื่อว่าเขาจะมอบความรักที่ดีที่สุดในโลกให้เธอ และให้ความรักแบบพ่อให้กับลูกเธอ ดังนั้น ทำไมเธอจึงไม่อยากให้โอกาศนี้กับตัวเอง ให้ลูกมีบ้านที่สมบูรณ์แบบล่ะ ?
มู่เวยเวยยกมือขึ้นแตะใบหน้าของเขาอย่างระมัดระวังและพูดขึ้นอย่างช้าๆว่า “ฉันสัญญากับคุณว่าถ้าหาลูกเจอแล้ว ฉันจะกลับบ้านพร้อมกับคุณ”
แววตาที่เศร้าหมองของเย่ฉ่าวเฉินกลายเป็นดาวที่สว่างไสวบนท้องฟ้าทันที เขาคว้ามือเธอด้วยความตื่นเต้น “จริงเหรอ ? เวยเวยคุณพูดจริงเหรอ ?”
“จริงๆ ฉันไม่มีวันไปจากคุณ เว้นแต่ว่าวันหนึ่งคุณจะเบื่อฉัน……”
“ไม่ ไม่มีวันนั้นแน่นอน”เย่ฉ่าวเฉินพูดขัดเธอขึ้นมา “ถึงแม้ว่าผมจะเบื่อตัวเองแต่ก็ไม่มีวันจะเบื่อคุณ”
“ไม่อยากจะเชื่อคุณเลย” มู่เวยเวยยิ้ม
เย่ฉ่าวเฉินลูบผิวที่บอบบางบนใบหน้าของเธอ และพูดความลับที่ซ่อนอยู่ภายในใจมานาน “เมื่อก่อนที่ผมทำเลวกับคุณ คุณรู้ไหมว่าเพราะอะไร ?”
มู่เวยเวยขมวดคิ้วคิด “เพราะว่าฉันเป็นน้องของมู่เทียนเย่ ?”
“นั่นก็ใช่ส่วนหนึ่ง”
“ยังมีอะไรอีก ? เพราะว่าครั้งแรกของฉันไม่ใช่คุณ ?” มู่เวยเวยถามอย่างลองเชิง ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะรู้แล้วว่าเขาเป็นผู้ชายคนแรกของตัวเอง แต่ก็ไม่อยากบอกเขา ไม่อย่างนั้น เขาจะยิ่งหยิ่งผยอง
“นี่ถือว่าเป็นชนวนเลยก็ว่าได้”
มู่เวยเวยคอนข้างไม่พอใจ “ยังมีเหตุผลอะไรอีก ? พูดตามจริง ในปัจจุบันก็พัฒนามาถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็เป็นผู้ชายที่มองเห็นท้องตลาด และเขาก็ให้ความสนใจกับหนังของผู้หญิงมาก เป็นความคิดของชายแท้จริงๆ”
เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจ “ที่ผมเป็นแบบนี้ ก็เพราะอิทธิพลของพ่อแม่”
“พ่อแม่คุณ ? เกิดอะไรขึ้นกับพวกท่าน ?” มู่เวยเวยสงสัยเข้าไปใหญ่
เย่ฉ่าวเฉินหยุดมองเธอด้วยแววตาซับซ้อนและพูดว่า “นี่เป็นเรื่องอื้อฉาวในครอบครัวผม ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครมาก่อน ผมเคยบอกว่า ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ไม่ค่อยดี เหตุผลที่สำคัญก็คือ…..แม่ของผมทรยศต่อการแต่งงาน เธอมีผู้ชายคนอื่น”
“ห๊ะ ?”มู่เวยเวยตกใจ เธอไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นเหตุผลแบบนี้ ใช้รูปลักษณ์ของเย่ฉ่าวเฉินเพื่อผลักดัน พ่อของเขาควรจะเป็นผู้ชายที่หล่อเหลา และมีฐานะการเงินที่ดี แต่ทำไม…….
“ตกใจใจมากใช่ไหม ตอนที่ผมรู้ความจริงพวกนี้ ผมก็ตกใจมาก”เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะกับตัวเอง “ในใจของผม แม่คือผู้หญิงที่อ่อนโยนและสง่างาม ผมยังจำได้ว่าตอนนั้นผมอยู่ชั้นมัธยมต้นปีที่สาม หลังจากผมเลิกเรียนกลับมาก็ได้ยินพ่อแม่ทะเลาะกัน นั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเขาทะเลาะกัน ดังนั้นมันจึงฝังใจมาก พ่อกล่าวหาว่าแม่ประพฤติชั่ว แม่กล่าวหาว่าพ่อไร้ความสามารถ…..เหอะเหอะ วันนั้นเป็นวันที่มีสีสันจริงๆ”
“นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็ห้าวันทะเลาะกันหนักสามวันทะเลาะกันเล็กน้อย จนผมชิน มีวันหนึ่งทะเลาะกัน คืนนั้นแม่ออกไปข้างนอกไม่กลับมา พ่อสูบบุหรี่อยู่ที่หน้าต่างทั้งคืน ในตอนนั้นผมเกลียดแม่มากจริงๆ และรู้สึกสงสารพ่อมาก วันรุ่งขึ้นแม่กลับมา พ่อก็พูดท้าหย่ากับเธอ แต่แม่ไม่ยินยอม เธอบอกว่าเธอไม่สามารถห่างลูกได้….เหอะ คุณว่ามันตลกไหม ? ตอนที่เธออยู่กับชายคนรักนั้น จะมาคิดถึงผมกับน้องชายที่ไหน? ผมรู้ ที่เธอจากไปไม่ได้ก็เพราะทรัพย์สินของตระกูลเย่”
มู่เวยเวยได้ยินเธอก็ตกใจ เธอไม่คาดคิดเลยว่าพ่อแม่ของตระกูลเย่ยังมีความลับด้วย
เย่ฉ่าวเฉินหยุดชั่วขณะและพูดต่อว่า “ชีวิตแบบนี้กินเวลานานถึงหนึ่งปี ชายคนรักนั้นหอบหนีเอาเงินเธอไปหมด ไม่เจอแม้แต่เงา แม่ร้องไห้อย่างมืดมน และกลับมาขอร้องพ่อให้อภัย แม้ว่าสีหน้าของพ่อผมจะเย็นชามาก แต่เขาก็เป็นคนที่ใจอ่อนมาก เขารักแม่มากจึงให้อภัยเธอ แต่ให้อภัยก็คือให้อภัย ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ถึงจุดเยือกแข็ง จนพวกเขาเสียชีวิต พ่อไม่ได้ให้อภัยเธอจริงๆ ตอนที่เสียชีวิตยังสั่งผมว่า ไม่ต้องฝังพวกเขาไว้ด้วยกัน เขาไม่อยากรู้จักแม่ในชาติหน้าอีกแล้ว”
เรื่องราวที่ยุ่งเหยิงและเจ็บปวดจบลงแล้ว มู่เวยเวยไม่รู้จะพูดอะไรดี เธอไม่อยากตัดสินผู้อาวุโสที่ล่วงลับอย่างหยาบคายได้
เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจยาวๆอย่างโล่งอกและพูดอย่างผ่อนคลายว่า “ผมคิดว่าจะปิดซ่อนเรื่องนี้ไปตลอดชีวติ ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะพูดออกมา ตอนนี้คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมหลังจากพวกเราแต่งงานผมถึงเกลียดคุณขนาดนั้น ?”
มู่เวยเวยไม่ใช่เป็นคนสมองหมู เขาพูดมาชัดเจนขนาดนี้ เธอรู้แน่นอน
“คุณคิดว่าฉันเหมือนกับแม่ของคุณ……”พูดถึงตรงนี้ มู่เวยเวยกล้ำกลืนคำว่ามีความสุขเข้าไป
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า “ใช่ ในตอนนั้นผมคิดแบบนั้น ดังนั้น เลยทำไม่ดีกับคุณ”
“หลังจากนั้นล่ะ ?ทำไมทัศนคติที่มีกับฉันถึงเปลี่ยนไป ? คำถามนี้ฝังอยู่ในใจมู่เวยเวยมานาน
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มเบาๆ “ต่อมาผมพบว่าคุณไม่ใช่แบบที่จินตนาการไว้ คุณจิตใจดีมากและรักตัวเอง เป็นบุคลิกที่ผมชอบ ดังนั้นจึงง่ายมากที่จะรักคุณ”
“คุณไม่สนใจแล้วเหรอว่าครั้งแรกของฉันไม่ใช่คุณ ?”
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างลึกซึ้งว่า ไม่สนใจ ผมรักคุณคนนี้ เมื่อก่อนผมไม่มีสิทธิ์ควบคุม แต่ต่อจากนี้คุณจะอยู่ในอาณาเขตของผม
มู่เวยเวยพยักหน้าด้วยความพอใจ “ความคิดดีขึ้นมากเลย ไม่เลว”
ในเมื่อเป็นแบบนี้ เธอก็ไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องที่โรงแรมกับเขาแล้ว เพราะยังไงเขาก็ไม่สนใจแล้ว
……
ในตอนค่ำ เย่ฉ่าวเฉินให้ฉินหม่าทำอาหารที่มู่เวยเวยชอบทั้งหมด เมื่อเห็นอาหารที่น่าทานเต็มโต๊ะ อารมณ์หดหู่ของมู่เวยเวยก็รู้สึกดีขึ้นมาก
เธอเป็นคนกินเก่ง เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ อาหารดีๆทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาก
“ขอบคุณมากค่ะฉินหม่า” มู่เวยเวยพูดขอบคุณอย่างจริงใจ
ฉินหม่ารู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ไอ่หย่า จะต้องขอบคุณอะไรกันขนาดนี้ คุณชอบทาน ฉินหม่าสามารถทำให้ทานได้ทุกวัน”
อาหารมื้อนี้ มู่เวยเวยทานอย่างซาบซึ้ง ผ่านคืนนี้ไป เธอก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ทานฝีมือฉินหม่าอีก
ในห้องนอน เย่ฉาวเฉินจะเป็นบ้า ปกติเขาจะลูบไล้ไปทั่วร่างกายของเธอ แต่พูดออกมาก็รู้สึกว่ามันเสียเวลา แต่ผลสุดท้ายคือ มู่เวยเวยร้องไห้และร้องขอความเมตตา เขาจึงปล่อยเธอ
หลังจากถูกเขาทรมาน มู่เวยเวยก็หลับไปอย่างไร้สติ เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้สึกง่วงนอนเลย เขาทนไม่ได้ที่จะหลับไป พรุ่งนี้เช้าเธอก็จะจากไปแล้ว โดยไม่ทราบอนาคตของเธอ
แสงจันทร์นอกหน้าต่างส่องแสงสีเงินบนพื้น ใบหน้าของเธออบอุ่นมีเลิดฝาด ความร้อนจากลมหายใจของเธอพ่นลงบนแขนของเขา ทำให้เขาอยากจะหยุดไว้
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ใบหน้านี้ตราตรึงอยู่ภายในใจของเขา แม้ว่าในตอนกลางวันเธอจะสวมหน้ากาก แต่เขาก็ยังเห็นเป็นใบหน้าเดิมของเธอ
เวยเวย คุณไม่มีทางรู้ว่าผมรักคุณมากขนาดไหน
เวลาในคืนนี้ดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าเย่ฉ่าวเฉินจะหยุดเวลาไว้หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถรั้งไม่ให้พระอาทิตย์ขึ้นได้
มู่เวยเวยตื่นขึ้นมาด้วยจูบของเขา เมื่อมองเห็นดวงตาสีม่วงที่มีเส้นเลือดของเขา ใจของเธอบีบรัดและจูบตอบกลับเขาไป
ด้วยความเพียรและเสน่หาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เย่ฉ่าวเฉินและเธอโอบกอดกันแน่น…….
หลังจากเสร็จ ก็เกือบจะแปดโมงแล้ว ไฟท์บินของมู่เวยเวยคือสิบโมงเช้า เธอจะช้าอีกไม่ได้แล้ว จึงลุกขึ้นไปอาบน้ำและเก็บกระเป๋า
สายตาของเย่ฉ่าวเฉินจ้องมองไปตามเธอ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“ฮัลโหล ? ประธานเย่ ”
เย่ฉ่าวเฉินคอแห้ง เขาพูดด้วยเสียงแหบว่า “ประธานฉู่ เช้าแบบนี้มีอะไร ?”
“จะแปดโมงแล้ว หรือว่าประธานเย่ยังไม่ตื่นนอน ?”น้ำเสียงของฉู่ซวนฟังดูผ่อนคลาย
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ประธานฉู่ มีผู้หญิงอยู่ข้างกายต้องใช้ความพยายามขนาดไหนในการตื่นนอน”
ฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบอะไรกลับมาหลายวินาที เป็นเย่ฉ่าวเฉินที่พูดขัดความเขินอายขึ้นมา “เช้าขนาดนี้ประธานฉู่มีเรื่องอะไร ?”
“อ่อใช่ คือแบบนี้ วันนี้ตอนเช้าผมจะไปไซน์งานก่อสร้าง คุณพอจะมีเวลาไหม ?”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างเงียบๆ “วันนี้ตอนเช้าเหรอ ? อาเหยียนบอกว่าเธออยากไปซื้อเสื้อผ้า ผมกะว่าจะไปกับเธอ”
“พระเจ้า”ฉู่ซวนอุทานออกมา “ประธานเย่ ไปช็อปปิ้งเป็นเพื่อนผู้หญิงเป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก คุณให้เธอไปเองเถอะ อีกครึ่งเดือนสวนสนุกก็จะเปิดแล้ว พวกเรายังต้องตรวจสอบอุปกรณ์อย่างละเอียด”
เย่ฉ่าวเฉินแกล้งทำเป็นลังเลและพูดว่า “ถ้างั้นก็ตกลง เดี๋ยวเจอกัน”
“เดี๋ยวเจอกัน”
กระเป่าเดินทางมู่เวยเวยมีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้น และก็ของใช้ประจำวันในห้องน้ำ กระเป๋าเป้ใบเดียวก็เพียงพอแล้ว
เย่ฉ่าวเฉินเอาการ์ดดำใส่เข้าไปกระเป๋าช่องหน้าสุด “นี่คือบัตรเครดิตของผม ทุกที่บนโลกนี้ขอเพียงมีธนาคารก็สามารถใช้ได้ ไม่จำกัด ถ้าเกิดว่าพวกเราขาดการติดต่อ คุณหยิบบัตรใบนี้ไปซื้อของถอนเงิน ผมก็จะสามารถรู้ได้ว่าคุณอยู่ที่ไหน ”
“ทราบแล้วค่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่เธออย่างละเอียด จากนั้นก็จับมือเธอเดินลงไปชั้นล่างอย่างเงียบๆ
พ่อบ้านหวังกับฉินหม่าเหมือนจะรู้เรื่องที่เธอจะจากไป ท่าทางพวกเขาดูเศร้าเล็กน้อย และตั้งแต่เธอลงมาพวกเขาก็มองไปรอบตัวเธอ
มู่เวยเวยฉีกยิ้ม “คุณอาหวัง ฉินหม่า พวกคุณอย่ามองฉันแบบนั้น ฉันจะกลับมาอย่างปลอดภัย” นี่คือสิ่งที่เธอพูดกับตัวเองและคนอื่นๆ
ฉินหม่าเช็ดที่มุมตา “คุณหนู ฉันทำอาหารเช้าแล้ว คุณทานก่อนแล้วค่อยไปเถอะ”
“ตกลง”
ฉินหม่าทำอาหารเช้าอย่างเยอะมากมาย ขนมปัง นมถั่วเหลือง ซาลาเปา โจ๊กไข่เยี่ยวม้า ไข่ต้มชา เกี๊ยวทอด และอีกมาก เต็มโต๊ะขนาดใหญ่ จมูกของมู่เวยเวยก็รู้สึกแสบเล็กน้อย
หลังจากนั่งลงกัดกินทีละคำ ในที่สุดก็กินไม่ไหวแล้ว มู่เวยเวยจึงวางตะเกียบลง
“อิ่มแล้ว ?” เย่ฉ่าวเฉินถาม
“อืม อิ่มมากเลย คิดว่าวันนี้ทั้งวันคงไม่ต้องกินอะไรแล้ว”
“ไปกันเถอะ” เย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้น เขาไม่ได้ทานแม้แต่คำเดียว แต่เฝ้าดูเธอกินอยู่ตลอดเวลา
พ่อบ้านหวังออกมาส่งเธอที่หน้าประตู “คุณหนู คุณรักษาตัวให้ดี จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเราจะรอคุณอยู่ที่บ้านนี้”
“ขอบคุณค่ะคุณอาหวัง ฉันจะจำไว้” มู่เวยเวยยิ้ม ในเวลานี้เธอทำได้แค่ยิ้ม ถ้าหากเธอร้องไห้พวกเขาก็จะรู้สึกแย่ เธอไม่อยากให้คนใจดีพวกนี้ปวดใจ
เย่ฉ่าวเฉินเอากระเป๋าเป้ใส่ไว้ที่กระโปรงท้ายรถ และทั้งสองก็นั่งอยู่ที่เบาะหลัง
ทันทีที่ขึ้นรถเย่ฉ่าวเฉินก็กุมมือเธอไว้ และบรรยากาศที่ไม่สบายใจก็แพร่กระจายไปทั่วรถ
เมื่อมาถึงในเมือง จางเห่อก็จอดรถไว้ที่ข้างทาง และหยิบกระเป๋าเป้ที่อยู่กระโปรงหลังรถออกมา พวกเขาไม่สามารถไปส่งมู่เวยเวยที่สนามบินได้ เพราะมันง่ายต่อการถูกพบเห็น
เย่ฉ่าวเฉินจับมือเธอแน่น และพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำว่า “ผมไม่อยู่ข้างกายคุณ คุณต้องดูแลตัวเองให้ดี”
“อืม”
“อย่าบีบคอฝ่ายตรงข้าม ถ้าพูดอะไรคุณก็ทำตาม ชีวิตสำคัญที่สุด เข้าใจไหม ?”
“อืม”
“ถ้าเจอลูก บอกเขาว่าพ่อรักเขามาก และจะพาเขากับแม่กลับมาบ้านอย่างแน่นอน”
“อืม”
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าเธอขึ้น ดวงตาของหญิงสาวเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาอย่างน่าสงสาร “อย่าร้องไห้ ถ้าคุณร้องไห้ผมก็จะทนไม่ได้ที่คุณจะไป”
มู่เวยเวยน้ำตาไหลและยิ้มออกมา “มันเหมือนกับการบอกลาชีวิต พรุ่งนี้คุณก็ต้องเริ่มเดินทางแล้ว ดูแลตัวเองให้ดี ฉันกับลูกยังรอคุณอยู่”
“ผมรู้แล้ว คุณก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี” เย่ฉ่าวเฉินไม่ละสายตาจากเธอ
“ฉันรู้แล้ว”มู่เวยเวยอ้าแขนกอดเอวเขาแล้วก็เอาคางวางไว้ที่ไหล่ หลับตาและสูดกลิ่นหอมของเขา และพูดเบาๆว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน”
เย่ฉ่าวเฉินตกใจกับการกระทำของเธอ แต่วินาทีต่อมาเขาก็กอดเธอแน่น ราวกับจะฝังเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา
“ห้ามบาดเจ็บ เพราะผมจะเจ็บปวด”
มู่เวยเวยพยักหน้าอย่างหนักแน่น
คำพูดนับพันอยู่ในอ้อมแขนที่เงียบสงบ ประมาณหนึ่งนาทีต่อมา มู่เวยเวยก็ปล่อยเขา และหันหลังลงรถไป
โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่ง มู่เวยเวยรับกระเป๋าเป้มาจากจางเห่อและยิ้มอย่างสดใสว่า “จางเห่อ ลาก่อน”
“ลาก่อน”จางเห่อตอบกลับ
มู่เวยเวยไม่ได้มองไปที่เย่ฉ่าวเฉินที่อยู่ในรถ และขึ้นไปนั่งบนรถแท็กซี่ เธอไม่ได้รักเขามากนัก แต่ไม่รู้ว่าทำไมในใจถึงรู้สึกเจ็บปวด
“สนามบิน ขอบคุณ”
รถแท็กซี่กดจุดมุ่งหมาย เมื่อการจราจรไปอย่างต่อเนื่อง เย่ฉ่าวเฉินเฝ้ามองจนรถหายลับสายตาไปด้วยความสิ้นหวัง ในใจก็รู้สึกว้าเหว่
จางเห่อเข้าไปนั่งในรถและถามเขาว่า “คุณชาย ตอนนี้จะไปที่ไหน ?”
สติของเย่ฉ่าวเฉินหายไปนานก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า “ไปบริษัท MK”
ในเวลานี้เขาไม่มีเวลาที่จะเศร้าโศกเสียใจ เขาต้องไปหาฉู่ซวน เขาหยิบโทรศัพท์ออกมากระแอมที่คอ และกดเบอร์ของฉู่ซวน ดังแค่สองครั้งก็โทรติดแล้ว
เย่ฉ่าวเฉินพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงปกติ “ประธานฉู่ คุณอยู่ที่ไหน ? พวกเราออกเดินทางเถอะ”
“ผมเพิ่งถึงบริษัท”
“ผมจะถึงล่างบริษัทคุณในอีกไม่ถึงสิบนาที คุณไปรถผมเถอะ จะได้สะดวก” เย่ฉ่าวเฉินพูดส่งๆ
แต่ฉู่ซวนมีแผนอื่น “ไม่ล่ะ หลังจากผมกลับมาจากไซต์งานก่อสร้างยังมีงานอีก ผมขับรถไปเองดีกว่า”
เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้บังคับ “ก็ได้ ถ้างั้นอีกสิบนาทีคุณลงมา คิดว่าผมคงถึงพอดี”
“ตกลง”
ในขณะที่วางสาย รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่ฉ่าวเฉินก็หายไปอย่างรวดเร็ว และถามจางเห่อด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยรึยัง ?”
“เรียบร้อยแล้วครับ คุณชายไม่ต้องกังวล อยู่ในอาณาเขตของเรา ฉู่ซวนก็ไปไหนไม่ได้”
“ฉันไม่ต้องการให้มีข้อผิดพลาด”
“ไม่มีปัญหาแน่นอนครับ”
เย่ฉ่าวเฉินเอนหลังพิงเบาะ กลิ่นหอมอ่อนๆของมู่เวยเวยยังคงอยู่ภายในลมหายใจของเขา เขาหลับตาและคิดว่าเธอยังอยู่ข้างกาย หลังจากเรื่องครั้งนี้ เขาก็ไม่อยากแยกจากเธอ ไม่แม้แต่วินาทีเดียว เพราะเขารู้ว่าหลังจากแยกจากเธอไม่กี่นาที เขาก็คิดถึงเธอแล้ว
คิดถึงมาก
ยังไม่ทันถึงข้างล่างบริษัท MK เย่ฉ่าวเฉินก็มองเห็นฉู่ซวนยืนรอรถด้วยสีหน้าที่กังวลเล็กน้อย และมองนาฬิกาข้อมือเป็นพักๆ เมื่อเขาเห็นรถของเย่ฉ่าวเฉินขับเข้ามา สีหน้าก็กลับมาเป็นปกติทันที
เย่ฉ่าวเฉินลงจากรถด้วยท่าทางเย็นชา เขาจับมือกับฉู่ซวนแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ วันนี้พวกเราไปตรวจสอบโครงการนิดหน่อย”
ฉู่ซวนมองเขาด้วยรอยยิ้มบางๆ และถามว่า “ประธานเย่มีธุระด่วน ?”
เย่ฉ่าวเฉินก็หัวเราะ “ก็ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร อาเหยียนอยากกินอาหารทะเลแถวชานเมืองตะวันออก แต่ว่าโต๊ะที่นั่นจองยากและยังไกลอีกด้วย ดังนั้นจึงอยากรีบเสร็จเร็วๆ สี่โมงเย็นออกเดินทาง ถึงที่นั่นก็เวลาอาหารเย็นพอดี”
ฉู่ซวนพูดพลางหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกันเถอะ เพื่อไม่ให้เสียเวลาทานอาหารของพวกคุณ”
“ร้านอาหารนั้นใช้ได้เลย ถ้างั้นเย็นนี้ทำไมพวกเราไม่ไปด้วยกันล่ะ ? อาเหยียนมักจะพูดเสมอว่าไม่ได้เจอคุณนานแล้ว”
ดวงตาของฉู่ซวนกระตุกสองสามครั้ง แม้จะรู้ว่าไปไม่ได้ แต่ก็ยังพูดตามเขาไปว่า “ก็ดี ผมก็ไม่ได้เจอเธอนานแล้ว ไม่รู้ว่าถูกประธานเย่ทำให้นิสัยเสียยังไงบ้างแล้ว”
แววตาของเย่ฉ่าวเฉินอบอุ่น“ เธอดีขนาดนั้น คู่ควรกับผม ไปเถอะ”
ฉู่ซวนไม่สงสัยเขา และขึ้นรถไปไซต์งานก่อสร้าง
จางเห่อเร่งความเร็วของรถ และให้รถของฉู่ซวนไปอยู่ข้างหน้า เมื่อถึงไซต์งานก่อนสร้างก็เก้าโมงครึ่งแล้ว ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง มู่เวยเวยก็จะขึ้นเครื่องแล้ว
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉู่ซวนเหลือบมอง มู่เวยเวยส่งข้อความมา เธอถึงสนามบินแล้ว ใจของเขาก็โล่งไปครึ่งหนึ่ง
เย่ฉ่าวเฉินที่อยู๋ข้างๆมองเห็นก็หัวเราะล้อเขาว่า “ประธานฉู่วันนี้คุณเรียกผมออกมา แต่ทำไมผมรู้สึกว่าคุณเหม่อลอย”
“เอ๋ ? เหรอ ? อาจจะเป็นเพราะสองสามวันนี้เหนื่อยเกินไป ”ฉู่ซวนปกปิดความตื่นตระหนก
“เหนื่อยก็พักผ่อน ที่นี่ยังมีผมดูอยู่” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างใจดี
ฉู่ซวนพูดอย่างมีความหมาย “ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ผมจะแอบขี้เกียจแล้ว ประธานเย่หนีไปตั้งกี่ครั้ง ”
“สมควรแล้ว”
เพื่อต้อนรับสิ่งดีๆที่กำลังจะเข้ามา
จำนวนคน พนักงานทั้งหมดได้มายังสถานที่ล่วงหน้าเพื่อทำความคุ้นเคยกับการทำงานต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดปัญหาขึ้นในเวลานั้น
ตั้งแต่ม้าหมุนไปยังชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ พนักงานล้วนกระตือรือร้นและมีความเป็นมืออาชีพ
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นมองและพูดว่า “ประธานฉู่ พวกเรานั่งชิงช้าสวรรค์เพื่อสมัผัสประสบการณ์ จากตรงนี้มองไปที่เมือง A เราจะมีความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป”
ฉู่ซวนตะลึง ขึ้นชิงช้าสวรรค์ ? แต่เขากำลังเตรียมที่จะหนีออกมา ถ้าติดอยู่ที่นี่จะทำยังไง ?
“นี่ ผมคงไม่คิดไปแล้ว ผมกลัวความสูงนิดหน่อย” ฉู่ซวนหาข้ออ้างที่แย่มาก
เย่ฉ่าวเฉินจะทิ้งโอกาสแบบนี้ไปได้ยังไง จึงเชิญเขาว่า “เมื่อไปถึงจุดสูงสุดคุณมองไปไกลๆก็โอเคแล้ว ไปเถอะ ถือว่าไปตรวจสอบการทำงานของชิงช้าสวรรค์”
ฉู่ซวนรู้สึกอึดอัดใจ และเหลือบมองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ เก้าโมงห้าสิบยังเหลือเวลาอีกสิบนาที
ถ้ารอบนี้ลงมาก็คงจะได้เวลาพอดี
ไม่มีทางเลือก ฉู่ซวนก้มหัวเข้าไปในกระเช้าไปนั่งตรงข้ามกับเย่ฉ่าวเฉิน และชิงช้าสวรรค์ก็ค่อยๆหมุนขึ้นอย่างช้าๆ
“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมนั่งชิงช้าสวรรค์กับผู้ชาย” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มบางๆ
ฉู่ซวนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อผ่อนคลายตัวเอง “ผมก็ด้วย”
หลังจากความเสียหาย เมือง A ก็ค่อยๆฟื้นตัวขึ้นกลับเข้าสู่ความรุ่งเรืองเหมือนในอดีต แต่เมื่อมองจากที่สูง ยังมีสถานที่อีกมากมายที่ยังทรุดโทรมอยู่ เนื่องจากตั้งอยู่ริมทะเลไอน้ำบางๆจึงลอยปกคลุมเมือง เมื่อลมพัดไอน้ำก็ลอยเหมือนผ้าโปร่งใส
“ประธานฉู่ คุณมีคนที่ชอบไหม ?”จู่ๆเย่ฉ่าวเฉินก็ถามขึ้น
แววตาของฉู่ซวนเปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง จากนั้นไม่นานก็พูดขึ้นว่า “มี”
“ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ ? ทำไมถึงไม่เคยมาเมือง A เลย ?”
ฉู่ซวนพูดอย่างลังเลว่า “เธอ…..ยุ่งมาก ไม่มีเวลา”
“ถ้างั้นคุณไปเยี่ยมเธอก็ได้”
“เธออยู่ต่างประเทศ ไปๆมาๆก็ลำบาก เมื่อโครงการนี้เสร็จสิ้น ผมก็จะไปหาเธอ ”ฉู่ซวนตัดสินใจจบการสนทนานี้ และถามเย่ฉ่าวเฉินว่า “ทำไมจู่ๆคุณถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา ”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มที่มุมปาก ดวงตาสีฟ้าเข้มทำให้คนมองมาที่เขา “ผมคิดถึงอาเหยียน ประธานฉู่คิดว่า ด้วยฐานะของผมแบบนี้ไปขอแต่งงาน พ่อแม่คุณจะคัดค้านไหม ?”
“คุณอยากแต่งงานกับอาเหยียน ?” ฉู่ซวนค่อนข้างประหลาดใจ
“ใช่ ผมชอบเธอมาก” เย่ฉ่าวเฉินแกล้งยิ้มอย่างขมขื่น “บอกคุณตามจริง ภรรยาของผมไม่ได้ไปเรียนที่ยุโรป แต่หายตัวไปแล้ว บางทีชีวิตนี้เธออาจไม่กลับมาแล้ว ตอนนี้มันไม่ง่ายเลยที่จะเจอผู้หญิงที่ผมชอบ ผมไม่อยากพลาดจากเธอ แต่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสตระกูลฉู่ของพวกคุณจะรังเกียจที่ผมเคยแต่งงานไหม”
ฉู่ซวนหัวเราะ ในใจก็รู้สึกกังวล ชายคนนี้รักอาเหยียนจริงเหรอ ? ไม่สนแล้ว รับปากไปก่อน หลังจากวันนี้ เขาก็จะได้รู้ความจริงทุกอย่าง
“อันนี้ พ่อแม่ของผมเป็นผู้อาวุโสที่ใจกว้างมาก ขอแค่อาเหยียนชอบ พวกเขาก็ไม่ขัดขวางเท่าไหร่”
“ถ้างั้นก็ดี”
เย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้นในกระเช้าขนาดเล็ก ทีแรกยังมองไปที่ภาพรวมของเมือง A แต่ในไม่ช้าเขาก็เบนสายตาไปทางสนามบิน
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมอง และกดรับก่อนที่เสียงจะดังรอบที่สอง
“ฮัลโหล ?”
“ฉันขึ้นเครื่องบินแล้ว ยังเหลือเวลาอีกสามนาทีก่อนเครื่องออก”มู่เวยเวยพูดเบาๆ
“อืม”เย่ฉ่าวเฉินไม่แสดงสีหน้าใดๆ ราวกับว่ารับโทรศัพท์เกี่ยวกับงาน มีเพียงแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ ว่าเวลานี้ในใจของเขาปั่นป่วนและเจ็บปวดขนาดไหน
“เย่ฉ่าวเฉิน ฉันคิดว่าฉันรักคุณขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว”
ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินกระพริบ ในดวงตามีความอ่อนโยนลึกซึ้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ผมรู้แล้ว”เขาใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการใช้น้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติ
“ลาก่อน”
เย่ฉ่าวเฉินถือโทรศัพท์ และฟังเสียงปิ๊บปิ๊บปิ๊บที่ดังออกมา ในใจรู้สึกตื่นเต้น หลังจากนั้นก็เอามือที่สั่นเทาใส่ในกระเป๋ากางเกง เพื่อไม่ให้คนตรงข้ามสังเกตเห็น
ในขณะที่ชิงช้าสรรค์ใกล้ถึงสุดสิ้นสุด ฉู่ซวนก็ได้รับข้อความที่รอมานาน ฉันขึ้นเครื่องบินแล้ว กำลังจะออกเดินทาง
เขาแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาก็ต้องออกไปแล้ว
สำหรับสวนสนุกแห่งนี้ ได้มีการเซ็นสัญญาและโครงการเสร็จสิ้นแล้ว ถึงแม้ว่าเย่ฉ่าวเฉินกับตระกูลฉู่จะมีช่องว่างระหว่างกัน แต่ขอเพียงสวนสนุกทำกำไร เย่ฉ่าวเฉินก็จะไม่หักหลังพวกเขาแน่นอน
เครื่องบินลำหนึ่งบินขึ้นจากท้องฟ้า และทั้งสองเงยหน้าขึ้นไปมองพร้อมกัน
เวยเวย รอผมก่อน เย่ฉ่าวเฉินพูดเงียบๆอยู่ภายในใจ
ฉู่ซวนเห็นว่าถึงเวลาแล้ว จึงแอบหยิบโทรศัพท์ส่งข้อความไปหาถังซือเซวียน ไม่กี่วินาที ถังซือเซวียนก็โทรศัพท์กลับมา
เขาหยิบมันขึ้นมาอย่างใจเย็น “อาถัง เกิดอะไรขึ้น ?”
“ประธานฉู่ คุณรีบกลับมาเถอะ มีการประชุมวิดิโอด่วนที่ฮ่องกงต้องการให้คุณเข้าร่วมด้วย” ถังซื่อเซวียนพูดเสียงดัง เย่ฉ่าวเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆได้ยินอย่างชัดเจน
ฉู่ซวนมองไปที่เย่ฉ่าวเฉินด้วยท่าทีนิ่งๆ และจงใจพูดว่า “การประชุมที่สำคัญแบบนี้ทำไมไม่แจ้งล่วงหน้า ?”
“ฉันก็ไม่ทราบค่ะ ท่านเลขานุการอาวุโสเพิ่งโทรศัพท์มาบอกค่ะ”
“อ่อ โอเคโอเค เป็นแบบนี้ทุกครั้ง เดี๋ยวผมรีบกลับไป”
ฉู่ซวนวางสายไป ก็หันมาพูดกับเย่ฉ่าวเฉินด้วยความเกรงใจว่า “ประธานเย่ ขอโทษจริงๆ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ผมไม่ควรเรียกคุณออกมาในวันนี้เลย”
เย่ฉ่าวเฉินมองดูเขาแสร้งทำแล้วยิ้มอ่อนๆว่า “ไม่เป็นไร ผมก็อยากมาดูพอดี คุณรีบกลับไปเถอะ”
ฉู่ซวนดีใจมาก “ถ้างั้นผมไปก่อนนะ”
ทันทีที่เขาขยับ เย่ฉ่าวเฉินก็หยุดเขาไว้ “รอเดี๋ยว”
เปลือกตาของฉู่ซวนกระตุกสองสามที ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มแข็งๆ “ยังมีเรื่องอะไรอีก ?”
เย่ฉ่าวเฉินถามอย่างใจเย็นว่า “คุณยังจะไปเล่นเกมในคืนนี้ไหม ?”
ฉู่ซวนใจเต้นแรง “ช่างเถอะ ผมไม่อยากเป็น กขค คุณไปสนุกเพลิดเพลินกับอาเหยียนเถอะ”
“โอเค เดี๋ยวถ้าได้พบคุณพ่อ ผมฝากคุณทักทายท่านด้วย”
“แน่นอน ลาก่อน”
ฉู่ซวนรีบเดินไปที่รถอย่างรวดเร็ว เย่ฉ่าวเฉินที่ยืนอยู่ข้างหลัง ดวงตาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
คิดจะหนีตอนนี้ ? ไม่มีทางซะล่ะ
เขาส่งสายตาให้จางเห่อ อีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้ และเดินออกไปโทรศัพท์