วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 231 : เกิดเรื่องกับลูกแล้ว
กวินออกคำสั่ง บอดี้การ์ดทั้งสองคนก็เข้ามาจับแขนของมู่เวยเวยไว้
มู่เวยเวยรู้ดีว่ามันยากที่จะหลบหนี ท่าทีอ่อนโยนมาก “รอเดี๋ยว ฉีดยาชาได้ไหม? มันเจ็บเกินไป”
“ขอโทษด้วย ฉันไม่มีเงินมากพอหรอก” กวินแทบคลั่ง มีดเล่มนี้ปรารถนาที่จะตัดเส้นเลือดใหญ่ของเธอ เช่นนี้จะทำให้เธอสบายใจได้อย่างอย่างไร?
“กวิน คุณรอหน่อย……อื้อ——” มู่เวยเวยยังพูดไม่ทันจบ กวินก็ยัดผ้าก๊อซเข้าไปในปากเธอ
“นี่จะดีสำหรับคุณ กลัวว่าคุณจะกัดลิ้นขาดเพราะความเจ็บปวด” กวินยิ้มและเล่นกับมีดผ่าตัดอันแหลมคมในมือ มู่เวยเวยส่ายหน้าด้วยความตื่นกลัว เบิกตาโพลงมองมีดอันแหลมคมเล่มนั้นเข้าไปในเลือดเนื้อของเธอ
“ฮือๆๆ——” เจ็บปวดลึกไปถึงกระดูก น้ำตามู่เวยเวยหลั่งไหลทันที สองขาสองเท้าดิ้นรนอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แต่ทว่าไม่สามารถหยุดมีดผ่าตัดที่เคลื่อนไปมาในเนื้อเธอได้
ดวงตาของกวินกระหายเลือดและดุร้าย ดึงชิปออกมาไปพลาง พลางปลอบมู่เวยเวยอย่างอ่อนโยนไปด้วย “ฉันแนะนำว่าคุณอย่าขยับ คุณยิ่งขยับแรง มีดก็ยิ่งแทงลึกขึ้น”
“ฮือๆๆ——” มู่เวยเวยเจ็บจนตัวสั่น เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลออกมาจากหน้าผาก เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาก็ต้องทนรับความเจ็บปวดจากการผ่าตัดเช่นนี้ คลอดลูกยังง่ายกว่าเป็นหมื่นๆ เท่า
ตอนคลอดลูกเจ็บแทบตายก็จริง แต่ด้วยในใจความปรารถนาในการตั้งครรภ์ ไม่ทำก็ไม่ได้ การไม่คลอดก็หมายความว่าเด็กอาจขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตได้ แต่ตอนนี้ มู่เวยเวยถูกบังคับทั้งหมด บวกกับความกลัวภายในใจ ความเจ็บปวดนี้จึงเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าตัว การประหารด้วยวิธีหลิงฉือ (แล่เนื้อเป็นชิ้นๆ จนกว่าจะตาย) เป็นอย่างไร เธอได้เข้าใจอย่างแท้จริงแล้ว
เวลาผ่านไปช้าราวกับว่ามันหยุดนิ่ง มูเวยเวยรู้สึกได้ว่าแขนขวาของเธอไม่มีความรู้สึกใดๆ หน้าต่างด้านตรงข้ามพร่ามัวเล็กน้อย จนกระทั่งมืดมิดลงไป
เธอเจ็บปวดจนหมดสติไปแล้ว
กวินมองเธออย่างเหยียดหยาม การลงมือของเขาเร็วมาก ก็เอาชิปในเนื้อออกมาแทบหมด บอดี้การ์ดปล่อยมือ มู่เวยเวยก็ล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนปวกเปียก
“เอาผ้าพันแผลให้เธอหน่อย จากนั้นก็ลากออกมา” กวินนำชิปออกมาจากห้องผู้ป่วย หมอที่อยู่ข้างๆ ก็รีบเข้าไปจัดการอย่างเร่งด่วน
เย่ฉ่าวเฉินที่ตามหลังไปก็เห็นจุดสีแดงหยุดลง ขยายภาพดูก็เห็นว่าที่นั่นเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายใจ
ใครป่วย? เวยเวยหรือลูก? ทำไมสามสี่ชั่วโมงแล้ว จุดสีแดงก็ไม่ขยับสักนิ้วหนึ่ง นี่มันผิดปกติมาก หรือว่าจะเกิดเรื่องแล้ว?
เปลือกตาทั้งสองข้างกระตุกทันที เย่ฉ่าวเฉินสั่งให้คนขับเร่งความเร็ว สุดท้ายมาถึงโรงพยาบาลเอกชนก่อนมืด สังเกตข้างนอกไม่กี่นาที ทุกอย่างปกติมาก อีกทั้งยังไม่พบบอดี้การ์ดที่คอยสังเกตการณ์ด้านนอกด้วย
เย่ฉ่าวเฉินเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนเกินไป พูดกับเหยี่ยวราตรีที่อยู่ด้านหน้าว่า “เข้าไปดูหน่อย”
“ครับ เจ้านาย”
ไม่กี่นาทีเหยี่ยวราตรีก็วิ่งเข้ามา เคาะกระจกหน้าต่างรถแล้วพูดว่า “เจ้านาย ด้านในปกติมาก ไม่พบอะไรผิดปกติเลย”
เย่ฉ่าวเฉินหยิบโทรศัพท์และเดินไปที่ล็อบบี้ของโรงพยาบาล จอแสดงผลGPS ตำแหน่งของมู่เวยเวยอยู่ที่ชั้นหนึ่ง
เกือบจะพลบค่ำ ในห้องโถงมีคนน้อยมาก ว่างเปล่า ใจของเย่ฉ่าวเฉินก็ร้อนรนทันทีทันใด ต้องเกิดเรื่องแล้วอย่างแน่นอน
เมื่อกำลังมองหาใครสักคนอย่างร้อนใจ หมอคนหนึ่งก็เดินเข้ามา มองเย่ฉ่าวเฉินสองสามที จึงถามอย่างสงสัยว่า “มิทราบว่า คุณเย่เย่ฉ่าวเฉินใช่ไหม? ”
ฝีเท้าที่เร่งรีบของเย่ฉ่าวเฉินหยุดลง โผเข้าไปหาหมอ “ใช่ฉันเอง”
“มีคนให้เอาอันนี้ส่งมอบให้คุณ” หมอหยิบถุงพลาสติกใสออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ในถุงมีชิปเล็กๆ อยู่ด้านบนยังมีเลือดแดงสดที่แข็งตัวไปแล้ว
สมองของเย่ฉ่าวเฉิน”บูม”ว่างเปล่าไป รับถุงพลาสติกใสมาอย่างสั่นเทา เจ็บปวดใจราวกับมีคนเอามีดมาแทง
“ยังมีอันนี้ คนคนนั้นเอาให้คุณดู” หมอนำวิดีโอในโทรศัพท์ของตนเองส่งให้เขา
เย่ฉ่าวเฉินหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะกดปุ่มเล่น บนจอปรากฏภาพแรกคือมู่เวยเวยหมดสติอยู่ สีหน้าซีดเผือด บนแขนพันด้วยผ้าก๊อซ
จากนั้นก็ปรากฏภาพ ชายสวมหน้ากากสีเงินปรากฏในฉาก ด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายและประสบความสำเร็จในดวงตาของเขา “Hi คุณเย่ที่เคารพ นี่น่าจะเป็นครั้งที่สองที่เราได้เจอกัน จะแนะนำคุณให้อย่างหนึ่ง อยู่ให้ห่างฉันหน่อย มิเช่นนั้นครั้งต่อไปคุณอาจจะได้เห็นศพของผู้หญิงคนนี้ ฉันบอกแล้วว่า แค่ต้องการตามหาสมบัติ ฉันก็จะปล่อยเธอกับลูกของคุณกลับไป ฉะนั้น ควรจะทำอะไร คุณก็ไตร่ตรองด้วยตนเองเถอะ”
วิดีโอสั้นมาก เย่ฉ่าวเฉินเห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของใครบางคนเสร็จก็กลับไปมองที่มู่เวยเวย มีดเล่มนั้นหมุนบิดไปมาอยู่บนทรวงอก
“สรุปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ” เย่ฉ่าวเฉินกัดฟันถามหมอ
หมอถูกรัศมีความดุร้ายของเขาทำให้ตื่นกลัว หยิบโทรศัพท์มือถือจากเขาอย่างระมัดระวังและพูดว่า “มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในตอนเช้า มัดผู้หญิงคนหนึ่งมาทำCT ทั้งตัว หลังจากพบสิ่งที่อยู่บนไหล่ของเธอ ก็ใช้มีดผ่าตัดผ่าตัดแขนของเธอทั้งยังมีสติอยู่ เพื่อเอาของอันนั้นออกมา ไอ๊หยา ฉันเป็นหมอเคยเห็นความเจ็บปวดมาทั้งหมด ยังไม่เคยเห็นคนป่าเถื่อนแบบนี้มาก่อนเลย……”
“พูดเรื่องไร้สาระน้อยๆ หน่อย” เย่ฉ่าวเฉินพูดตัดบทเขาอย่างพาลๆ
หมออดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง กลืนน้ำลายและพูดตะกุกตะกักว่า “จากนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็หมดสติไป หมอของเราฆ่าเชื้อและพันผ้าพันแผลให้เธอ ต่อมาชายที่สวมหน้ากากก็เอาของสิ่งนี้ให้ฉัน บอกว่าคนที่ชื่อเย่ฉ่าวเฉินต้องมาตามหาอย่างแน่นอน ให้ฉันเอารูปให้คุณดู……สุดท้าย พวกเขาก็ลากผู้หญิงที่หมดสติคนนั้นออกไปจากโรงพยาบาล”
หน้าอกของเย่ฉ่าวเฉินยุบพองขึ้นลง ไหล่ของเขาที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บ เขารู้ดีว่าการเอาอะไรออกจากเนื้อโดยไม่ต้องใช้ยาชามันเจ็บปวดแค่ไหน คาดไม่ถึงว่าเวยเวยจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ใจของเขาเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น
“งั้น ไม่มีอะไรแล้ว ฉันไปก่อน ฉันยังต้องไปตรวจคนไข้” หมอพูดอย่างกลัวๆ ต้องการจะเดินจากไป เขาไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับคนเหล่านี้จริงๆ
“เดี๋ยว” เย่ฉ่าวเฉินตวาดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น หมอกลัวจนหลังพิงกำแพง แล้วโบกไม้โบกมือกล่าวว่า “ไม่เกี่ยวข้องกับฉันนะ ฉันไม่รู้จักพวกเขาด้วยซ้ำ”
“พวกเขาไปทางไหน? มีประมาณกี่คน? ” เย่ฉ่าวเฉินดวงตาสีแดง ถามหมอผู้บริสุทธิ์อย่างดุดัน
หมอถูกทำให้ตกใจไม่เบา “พวกเขาไปทางฝั่งเหนือ มีกี่คนไม่รู้ ที่เข้ามาในโรงพยาบาลประมาณเจ็ดแปดคน”
“พบเด็กไหม ประมาณครึ่งขวบ”
“ไม่มีนะ ไม่มีเด็ก เป็นผู้ใหญ่ทั้งหมด”
เย่ฉ่าวเฉินสูดหายใจอย่างแรง ยังดีที่เด็กไม่ได้เห็นกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้
เดินออกไปจากโรงพยาบาล ในสมองของเย่ฉ่าวเฉินก็เต็มไปด้วยท่าทางหมดสติของเวยเวย ฝ่าเท้าลอยอ่อนแรง ตอนลงบันไดก็เกือบล้มลงไป โชคดีที่เหยี่ยวราตรีตาไวมือไว ช่วยพยุงเขาไว้ได้
“เจ้านาย คุณเป็นอย่างไรบ้าง” เหยี่ยวราตรีถามอย่างเป็นห่วง
เย่ฉ่าวเฉินกุมหน้าอกของตนเอง มันจะเจ็บเจียนตายที่นั่น เขาส่ายหัวและพูดเบาๆ ว่า “ฉันไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร”
ปากบอกว่าไม่เป็นไร แต่เหยี่ยวราตรีก็ไม่เชื่อ บาดเจ็บจากการถูกยิงที่ไหล่ยังไม่หายดี แล้วก็เร่งการเดินทางทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดหย่อน หากไม่ใช่ว่ากลัวคนขับจะต้านทานไม่ไหว เย่ฉ่าวเฉินอาจจะอยู่บนท้องถนนเป็นเวลา 24 ชั่วโมงเลย
“เจ้านาย คุณพักสักนิดเถอะ คุณผู้หญิงกับคุณชายน้อยต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน คุณอย่ากังวลเกินไปเลย รักษาอาการบาดเจ็บให้ดีจะตามหาพวกเขาได้เร็วขึ้นนะ” เหยี่ยวราตรีไม่เคยก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของเจ้านาย แต่ตอนนี้เห็นท่าทีอย่างนี้ของเย่ฉ่าวเฉิน สุดท้ายก็อดที่จะกล่าวเตือนไม่ได้
เย่ฉ่าวเฉินส่ายหัว กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้ารันทดอย่างที่สุด “เหยี่ยวราตรี คุณไม่เข้าใจ ชีวิตของคนที่สำคัญที่สุดสองคนในชีวิตของฉันอยู่ในมือของคนอื่น ฉันจะนอนหลับได้อย่างไร? ฉันแทบรอไม่ไหวที่จะแลกชีวิตของตนเองเพื่อพวกเขา”
“เจ้านาย……” เหยี่ยวราตรีเป็นชายที่ไม่ประณีต ไม่สามารถปลอบโยนคนได้ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเห็นเย่ฉ่าวเฉินอ่อนแอเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร คงจะดีถ้าจางเฮ่ออยู่ที่นั่นในเวลานี้
เย่ฉ่าวเฉินมองขึ้นไปที่ภูเขาที่หลับใหลในตอนกลางคืน ไม่รู้ว่าตอนนี้มู่เวยเวยอยู่ที่ไหน เขาเสียใจเล็กน้อย รู้อย่างนี้ควรจะทำภาพที่ซ่อนสมบัติให้มีรายละเอียดมากขึ้นกว่านี้ กำหนดเฉพาะยอดเขาบางลูก เช่นนั้นเขาก็แค่เฝ้ารอดู แต่ไม่ใช่มืดรอบด้านเหมือนตอนนี้ ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย
ยืนด้วยหัวใจที่หนักอึ้งอยู่นาน เย่ฉ่าวเฉินจึงพูดว่า “หาโรงแรมใกล้ๆ วางแผนรับมืออีกครั้ง”
คิ้วที่ขมวดของเหยี่ยวราตรีก็คลายลงมาก “ครับ เจ้านาย”
เย่ฉ่าวเฉินยอมรับว่าตนเองร้อนใจมาก เลยทำให้คนข้างหน้าตึงเครียดเกินไป จนกระทั่งพวกเขาสงสัยในตัวเวยเวย มันไม่มีประโยชน์ที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ในตอนนี้ ทำได้แค่ใจเย็นลงมาเท่านั้น แล้วค่อยๆ วางแผนไป
จริงๆ แล้วเขาต้องการเจรจากับอีกฝ่ายมากกว่า เปลี่ยนเป็นจับเขาไปเป็นตัวประกัน ทรมานอย่างไรก็ได้ เขารับได้ทั้งหมด แต่ฝ่ายตรงข้ามเดิมทีจะไม่ให้โอกาสใดๆ
ตอนกลางคืน
เหยี่ยวราตรีอยู่ที่ห้องแอบโทรหาจางเฮ่อ ปกติแล้วเป็นชายที่มีจิตใจแข็งแกร่งคนหนึ่ง เวลานี้กลายเป็นลูกสมุนตัวเล็กๆ “พี่ ถ้าทางด้านคุณนั้นไม่มีเรื่องอะไรก็รีบมาที่นี่ ฉันไม่สามารถเข้าใจอารมณ์ของเจ้านายได้ ตอนเขาเศร้าฉันไม่สามารถปลอบโยนได้”
จางเฮ่อก็กลุ้มใจ “ฉันก็อยากไปมาก แต่ว่าเจ้านายไม่ให้ไป ทางด้านนี้ยังมีฉู่เซวียนนะ”
“งั้นจะทำอย่างไรดี ไอ๊หยา ฉันกลัวว่าเขาจะปลงไม่ตกจริงๆ ……”
“คุณพูดเหลวไหลอะไร ไม่รู้จักเจ้านายหรือไง จะปลงไม่ตกได้อย่างไร” จางเฮ่อหยุดไปชั่วขณะแล้วถามว่า “สรุปวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ”
เหยี่ยวราตรีเล่าสั้นๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายก็พูดว่า “ในตอนนั้นคุณไม่เห็นท่าทีของเจ้านาย ฉันรู้สึกสงสารเหลือเกิน”
จางเฮ่อถอนหายใจอย่าจนปัญญา เขาเข้าใจว่าความรักของเย่ฉ่าวเฉินที่มีต่อมู่เวยเวยนั้นลึกซึ้งเพียงใด ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น กลัวว่าเขาจะยิ่งโทษตัวเอง
“พี่ สรุปคุณพูดมาสิ ฉันต้องปลอบเจ้านายอย่างไร? ต้องเอาเหล้าให้เขาสักขวดไหม? ไม่ได้บอกว่าความเมาจะบรรเทาความเศร้าได้เหรอ? ”
“คุณไสหัวไปเลย เจ้านายยิ่งดื่มเหล้าในใจเขาก็ยิ่งเป็นทุกข์ได้ คุณอย่าทำอะไรเหลวไหล ฉันจะลองโทรหาเจ้านายดู”
เหยี่ยวราตรีรับทราบอย่างเกรงกลัว “ครับๆ พี่ งั้นฉันวางสายแล้ว คุณรีบไปปลอบใจเจ้านายเถอะ”
“อืม วางสายก่อน”
จางเฮ่ออยู่ห่างไกลจากเมืองAได้วางโครงเรื่องในใจไว้มากมาย จึงต่อสายโทรหาเย่ฉ่าวเฉิน
“มีเรื่องอะไร? ” เสียงของเย่ฉ่าวเฉินซึมเศร้าและอ่อนแรง จางเฮ่ออดไม่ได้ที่จะใจสั่นเล็กน้อย นี่เหมือนสูญเสียจิตวิญญาณไป
“คุณชาย คุณสบายดีไหม? ”
“ฉันไม่เป็นไร คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่า? ”
“คุณชาย ฉู่เซวียนปิดปากแน่น วิธีไหนฉันก็ใช้ไม่ได้ผล ไม่ปริปากสักนิด” จางเฮ่อรายงานสถานการณ์ทางด้านนี้ กล่าวอย่างระมัดระวังว่า “คุณชาย ต้องการปล่อยเขาไปไหม เราปล่อยสายให้ยาวเพื่อตกปลาตัวใหญ่ไหม? ”
เย่ฉ่าวเฉินคิดไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่มีความเสี่ยง หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายไม่ควรใช้เด็ดขาด คุณไปบอกเขา ฉันต้องการเจรจาต่อรองกับฝ่ายตรงข้าม เพียงแค่พวกเขาปล่อยเวยเวยและลูกกลับมา สมบัติฉันไม่ต้องการ แล้วก็จะไม่คิดบัญชีกับพวกเขาอย่างแน่นอน เงื่อนไขทั้งหมดฉันยินยอม ฉันต้องการแค่ให้พวกเขาปล่อยคน”
“ฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” จางเห่อถามด้วยความห่วงใยว่า “คุณชาย บาดแผลที่ถูกยิงของคุณยังไม่หายดี จะต้องพักผ่อนให้มากๆ ร่างกายดีแล้ว จะได้มีกำลังไปช่วยคุณนายและคุณชายน้อย”
“รู้แล้ว มีข่าวคราวรายงานฉันทันที”
วางสายโทรศัพท์ เย่ฉ่าวเฉินก็เอนตัวลงนอนจ้องมองฝ้าเพดาน สายตาว่างเปล่า ทำไมเขาถึงไม่รู้จักพักผ่อน? แต่ก็จนใจการนอนไม่หลับร้ายแรงเกินไป
ทางด้านจางเห่อวางสายแล้วก็รีบนั่งรถไปหาฉู่เซวียนทันที
ในห้องมืดขนาดเล็กที่เหม็นโฉ่ ฉู่เซวียนที่เดิมทีสูงสง่าเวลานี้เทียบไม่ได้แม้กระทั่งคนร่อนเร่พเนจรข้างถนน จางเห่อก็ถือว่าใจดี เห็นฉู่เซวียนทานข้าวเข้าห้องน้ำแล้วไม่สบายใจจริงๆ จึงคืนแขนทั้งสองข้างให้โดยปกปิดเย่ฉ่าวเฉิน แต่เพิ่มโซ่ตรวนมือและโซ่ตรวนเท้าที่หนักอึ้งเข้าไป
อาหารปกติแล้วให้น้อยมาก อย่างมากก็แค่ไม่ให้หิวตาย ด้วยเหตุนี้ช่วงเวลาสองสามวันสั้นๆ ฉู่เฉวียนก็ผอมจนกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก
“ฉู่เซวียน คุณออกมา พวกเรามาเจรจากัน” จางเห่อพูดเรียบๆ
ฉู่เซวียนขยับผมด้านหน้าที่ยาวเล็กน้อย ปรากฏสายตาที่จองหอง “ฉันและคุณไม่มีอะไรต้องคุยกัน ไม่ต้องเสียแรงเปล่า”
“ฉู่เซวียน ตอนนี้มีโอกาสเดียว โอกาสเดียวที่คุณชายและพวกคุณจะหาทางออกเรื่องนี้ได้อย่างสันติ ถ้าคุณอยากออกจากที่นี่ คนทั้งหมดก็จะไม่ได้รับผลกระทบ ออกมาเจรจากัน” พูดท่อนนี้จบ จางเห่อก็ออกมาจากห้องมืดขนาดเล็ก เขาจนปัญญาที่จะพูดคุยสนทนาในห้องที่ส่งกลิ่นเหม็นได้
รออยู่ใต้ต้นไม้สองสามนาที เสียงโซ่ตรวนที่กลัดกลุ้มเข้ามา รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของจางเห่อ ดูเหมือนว่าทุกคนมีความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่
จางเห่อจุดบุหรี่มวนหนึ่ง ส่งให้ฉู่เซวียน บุคคลนั้นก็ไม่ได้รังเกียจ ใส่เข้าปากโดยตรง
“พูดสิ โอกาสอะไร” ฉู่เซวียนสูดบุหรี่อย่างเต็มที่ทีหนึ่ง ส่งเสียงแหบแห้งกล่าวถาม
“ฉันรู้ว่าคุณสามารถติดต่อกับคนที่อยู่เบื้องหลังคุณได้ ฉะนั้นคุณชายอยากจะเจรจากับคุณ ต้องการแค่อีกฝ่ายปล่อยคุณนายและคุณชายน้อยกลับมาอย่างปลอดภัย เงื่อนไขอะไรเขายินยอมทั้งหมด สมบัติไม่ต้องการเลยสักชิ้น แล้วก็ไม่แก้แค้นอย่างแน่นอน คุณยังคุณเป็นคุณชายใหญ่ของบริษัทMK สวนสนุกก็ยังร่วมมือตามปกติต่อไป ในที่สุดเพื่อนของคุณคือใคร เขาก็จะไม่ไปสืบสวน เป็นยังไง เงื่อนไขนี้มากพอเลยใช่ไหม”
ฉู่เซวียนมองจางเห่ออย่างเกินความคาดหมาย ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “เย่ฉ่าวเฉินใจดีขนาดนี้เลยเหรอ? ทำไมฉันถึงไม่เชื่อแบบนั้นล่ะ? ”
จางเห่อถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฉันบอกคุณตามตรงเลยนะ วันนี้ตอนเช้าคุณนายถูกเพื่อนของคุณทรมานจนหมดสติไป ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นคุณชายใจอ่อน จึงฝากให้ฉันมาบอกคุณ”
บุหรี่ที่นิ้วฉู่เซวียนสั่นเล็กน้อย ขี้บุหรี่ตกลงในทันที เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เขาทรมานมู่เวยเวยเหรอ? ”
“อืมไม่เพียงเช่นนี้ ยังทิ้งวิดีโอหนึ่งให้เย่ฉ่าวเฉินดูด้วย คุณชายเห็นความน่าสงสารของคุณนายจึงตัดสินใจแน่วแน่แบบนี้ ไม่เช่นนั้นคุณคิดดูว่า ด้วยนิสัยใจคอของคุณชายพวกฉัน เขาไม่ฆ่าพวกคุณทิ้งจะสามารถแก้ไขความแค้นได้ยังไง? ”
ฉู่เซวียนสีหน้าไม่แสดงออก คล้ายกับความคิดในสมองหยุดอยู่ที่คำพูดที่จางเห่อเพิ่งพูดเมื่อกี้
“เขาทำอะไรเวยเวย? ” ฉู่เซวียนถามอย่างทื่อๆ
จางเห่อมองเขาอย่างแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าฉู่เซวียนจะให้ความสนใจกับเรื่องนี้ หรือว่า….จางเห่อนึกขึ้นได้ว่าเขาจงรักภักดีกับคนคนนั้น ในทันทีก็คล้ายกับรู้สึกว่าระหว่างพวกเขาไม่ได้ธรรมดาแบบนั้น
เชี่ย ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ งั้นก็มีบทความที่ต้องทำแล้วล่ะ
“โดยละเอียดสถานการณ์อะไรฉันก็ไม่รู้ชัดเจน เพียงแต่ได้ฟังคุณชายพูดว่า คุณนายสงบไปแล้ว อีกทั้งยังทรมานมาก ก็ไม่รู้ว่าไอ้สารเลวที่อยู่เบื้องหลังคุณนั้นทำอะไรเธอ” จางเห่อพูดขอโทษมู่เวยเวยในใจ แล้วจึงพูดเรื่อยเปื่อยต่อ “แต่ทุกคนเป็นผู้ชาย เกิดเรื่องอะไร…..”
“พูดเหลวไหล! ” ฉู่เซวียนเสียงเฉียบขาดตัดบทคำพูดของเขา “เขาไม่สามารถล่วงเกินเวยเวยได้ ไม่ได้เด็ดขาด”
ในใจจางเห่อตื่นเต้นขึ้นมา เดิมทีประตูชีวิตเจ้าหมอนี่อยู่ที่นี่ งั้นช่วงเวลานี้ความนุ่มนวลความแข็งแกร่งล้วนก็เสียแรงเปล่าหรือเปล่า
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ถึงแม้ว่าคุณชายจะไม่ได้พูดชัดเจน แต่ฉันก็ฟังออกถึงในคำพูดของเขา คุณลองคิดดู คุณชายของพวกฉันถ้าไม่ได้รับความทุกข์จากการโจมตีที่ร้ายแรงเช่นนี้ จะละทิ้งการแก้แค้นและเสนอข้อตกลงแบบนี้ได้ยังไง? ” จางเห่อเทน้ำมันเบนซินหนึ่งถังลงบนความโกรธของใครบางคน “ตูม”ไฟลุกไหม้ขึ้นมา
ชัดเจนว่าฉู่เซวียนเริ่มใจร้อนไม่เป็นสุข บุหรี่ในมือก็หยิบไว้ไม่มั่นคงเล็กน้อย เขาเดินไปที่จุดเดิมด้วยเท้าที่สวมโซ่ตรวน “ครืดๆ” หนักอึ้งและพันกันยุ่งเหยิง เหมือนกับความรู้สึกภายในใจเขาเวลานี้
เขารู้ว่าคนคนนั้นอยู่ไม่ไกลกับเขามาโดยตลอด ไม่ปฏิเสธแล้วก็ไม่รับปาก เขาคิดถึงใจของเขา ดังนั้นเขาจึงรับปากจากช่วยเขาหาแผนที่สมบัติ นึกไม่ถึงเลยว่า……
“ฉู่เซวียน พูดตามความจริง ฉันนับถือคุณจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ ที่คุณให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเพื่อนเช่นนี้ คุณถูกพวกเราจับได้แล้ว แต่อีกฝ่ายข่าวคราวที่ส่งถึงกันสักนิดก็ไม่มี แล้วก็ไม่ได้ส่งคนมาช่วยชีวิตคุณ เสียแรงที่ฉันวางแผนไว้อย่างแน่นหนาเช่นนี้เพื่อรอให้คนจำนวนมากมาติดกับดัก ไม่นึกเลยว่าความสามารถจะเสียไปโดยไร้ประโยชน์”
ฉู่เซวียนไม่พูดจา เพียงสูบบุหรี่อย่างเต็มที่อีกทีหนึ่ง จากนั้นก็สำลักแล้วไอออกมาอย่างรุนแรง
จางเห่อยิ้มอย่างเยือกเย็น รอเขาหยุดไอแล้วพูดอีกว่า “การปฏิบัติตัวของคุณชายฉันเข้าใจเป็นที่สุด ถึงแม้ว่าบางครั้งเขาจะผิดมนุษย์มนาทั่วไป แต่เป็นคนที่รักษาคำพูดอย่างเด็ดขาด บอกว่าไม่สืบสวนก็จะไม่สืบสวนอย่างเด็ดขาด เรื่องเล็กน้อยนี้คุณสามารถวางใจได้ทั้งหมด”
หลังจากพูดในสิ่งที่ควรจะพูดจบแล้ว จางเห่อก็สูบบุหรี่เงียบๆ อย่างด้านข้าง แล้วยังส่งให้ฉู่เซวียนอีกมวนหนึ่ง พอบุหรี่มวนหนึ่งเกือบหมดไฟ เขาก็ได้ยินฉู่เซวียนพูดว่า “เอามือถือมาให้ฉัน ฉันจะคุยกับเขา”
จางเห่อที่เตรียมมือถือไว้ในกระเป๋าก่อนแล้วก็หยิบออกมาให้เขา “ฉันชอบเจรจากับคนที่ฉลาด” ถึงแม้ว่าช่วงเวลานี้ผู้ชายคนนี้จะดื้อดึงเกินไปก็ตาม
ฉู่เซวียนนำบุหรี่ทิ้งลงบนพื้นแล้วเหยียบอย่างรุนแรง รับมือถือเข้ารหัสผ่านแล้วต่อสายไปที่เบอร์นั้นอย่างไม่ลังเล เขาไม่ใช่นักปราชญ์ เขาก็มีความรู้สึก ก็ไม่อยากเหนื่อยมาแทบตายแต่ต้องเสียประโยชน์ให้คนอื่น
เสียงรอยสายดังอยู่นานมากจึงกดรับ แต่ไม่มีคนพูด เงียบสงัดผิดปกติ
“ฉันเอง ฉู่เซวียน”
เสียงที่ดึงดูดและเต็มไปด้วยความยั่วยวนของกวินดังเข้ามา “อาเซวียน คุณจริงๆ เหรอ? ฉันยังคิดว่าเป็นคนอื่น คุณอยู่ที่ไหน? สบายดีไหม? ”
ฉู่เซวียนได้ยินเสียงของเขาจมูกก็แสบร้อนขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่สามารถอธิบายได้เขาเงยหน้ามองแสงในยามราตรีที่มืดมิด จนปัญญาที่จะตอบกลับคำพูดของเขา ถามกลับไปว่า “มู่เวยเวยยังอยู่ในมือของคุณไหม? ”
“แน่นอน” กวินพูดอย่างลำพองใจ “ไม่เช่นนั้นฉันจะเอาอะไรไปข่มขู่เย่ฉ่าวเฉินล่ะ”
“เธอ…..สบายดีไหม? ”
“เฮ้ อาเซวียนทำไมคุณถึงห่วงใยผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาล่ะ? ”
“เปล่า ไม่ว่ายังไงเขาก็แสดงเป็นน้องสาวของฉันมาตั้งนาน ก็ถามด้วยความเคยชินสักหน่อย”
กวินยิ้มพาลๆ แล้วกล่าวว่า “เธอสบายดีนะ”
ไม่รู้ว่าคือจางเห่อบอกเป็นในให้กับจิตใจของเขา หรือว่าเขาว่องไวเกินไปกับกลิ่นที่ไม่เหมือนปกติในน้ำเสียงของกวิน ฉู่เซวียนจึงกำมือข้างนั้นที่ว่างอยู่แน่น
“วันนี้เย่ฉ่าวเฉินส่งคนมาเจรจากับฉัน อยากรู้เนื้อหาไหม? ”
กวินเงียบไปชั่วขณะ ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “เจรจาอะไร? ให้ฉันปล่อยมู่เวยเวยและลูกชายเขาเหรอ? ”
“ใช่ ต้องการแค่คุณปล่อยสองคนนั้น คุณก็หาสมบัติของคุณต่อไป เขารับปากว่าหลังจากเรื่องราวเสร็จสิ้นแล้วจะไม่สืบสวนคุณอย่างแน่นอน…..”
คำพูดของฉู่เซวียนยังไม่ทันจบ ก็ถูกอีกฝ่ายตัดบท “อาเซวียน คุณเปลี่ยนเป็นไร้เดียงสาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร คำสัญญาของเย่ฉ่าวเฉินคุณก็เชื่อเหรอ? ”
ฉู่เซวียนโมโห “ทำไมจะเชื่อไม่ได้ล่ะ? ที่คุณต้องการก็มีเพียงแค่สมบัติ เขาให้คุณ คุณปล่อยมู่เวยเวย นี่ไม่ยุติธรรมเหรอ? ”
“ยุติธรรม? บนโลกนี้มีความยุติธรรมที่ไหนกัน? ”
“หรือว่าคุณต้องการให้มู่เวยเวยอยู่กับคุณไปตลอดเหรอ? คุณกักตัวเธอไว้ข้างกาย ก็เป็นเพียงยันต์ป้องกันตัวของคุณเองก็เท่านั้น ในเมื่อตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินรับปากว่าจะไม่แก้แค้น คุณยังจะเก็บเธอไว้ทำอะไร? ” ฉู่เซวียนตำหนิคนอย่างฮึกเหิม
“เห๊อะ! คุณไม่ต้องมาพูดกับฉันแล้ว คำสัญญาของใครฉันก็ไม่เชื่อทั้งนั้น ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปจนกว่าฉันจะพบสมบัติ”
ฉู่เซวียนฟังถึงคำพูดนี้ เจ็บปวดใจจนยากที่จะอดกลั้น กล่าวอย่างเดือดดาลว่า “แม้แต่ฉันคุณก็ไม่เชื่องั้นเหรอ? ”
กวินตกใจ อึ้งอยู่นานจึงกล่าวปลอบโยนว่า “อาเซวียน คุณเป็นคนที่ฉันเชื่อใจที่สุด แต่ฉันไม่เชื่อเย่ฉ่าวเฉิน ดังนั้น ฉันไม่สามารถยอมรับเงื่อนไขใดๆ ก็ตามของเขา ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ฉันจะส่งคนไปช่วยคุณ”
ในใจฉู่เซวียนเศร้ารันทดไปชั่วขณะ “ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน”
กวินยังไม่ทันได้พูด จู่ๆ โทรศัพท์ทางด้านนั้นก็มีเสียงของจางเหิงเข้ามา “เจ้านาย มู่เวยเวยตัวร้อนมากเลย”
“ให้ตายเถอะ” กวินด่าเบาๆ คำหนึ่ง พูดกับฉู่เซวียนด้วยน้ำเสียงที่ร้อนใจว่า “ทางนี้ฉันมีเรื่องนิดหน่อย คุณดูแลตนเองให้ดีๆ ” ทางด้านนั้นก็มีเสียงตู๊ดๆๆ ของสายที่ไม่ว่างเข้ามา
ฉู่เซวียนหยิบมือถืออย่างไร้วิญญาณ ใจจมดิ่งไปถึงระดับต่ำสุด นี่คือคนที่เขายินดีที่จะทุ่มเทให้อย่างมากมาย สำหรับเขาฉันยอมเสียชื่อเสียงทั้งหมดของตระกูลฉู่ แต่ได้รับกลับมาเพียงแค่ประโยคเดียวว่า “ดูแลตัวเองให้ดี”
“ฮ่าๆๆ ” ฉู่เซวียนหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ความคิดที่เคยสนับสนุนเขามานานพังทลายลง ร่างกายของเขาถึงขีดจำกัดหนึ่งแล้ว ประคับประคองความศรัทธาทั้งหมด ตอนนี้ความศรัทธานี้ตัดขาดลงแล้ว ร่างกายก็ร่วงโรยลงไปในชั่วพริบตา โลกจมดิ่งสู่ความมืดมืดมิด
“ไอ๊หยา——” จางเห่อนึกไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์แบบนี้ รีบพูดกับลูกน้องที่อยู่ไม่ไกลว่า “เรียกหมอเข้ามา” โค้งตัวลงไปสำรวจลมหายใจของเขา ยังดีอยู่ น่าจะโมโหจนไปกระทบกับหัวใจ แล้วบวกกับอาหารบำรุงร่างกายที่ไม่เพียงพอมาเป็นเวลานานอีก จึงหมดสติไป
จางเห่อเรียกคนสองคนเข้ามา ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นำเขาโยนเข้าห้องน้ำแล้วทำความสะอาดให้ดี”
“ครับ”
ฉู่เซวียนถูกหามไป แต่จางเห่อกลัดกลุ้มใจ ดูท่าเขาและฝ่ายตรงข้ามจะเจรจาไม่สำเร็จ หยิบมือถือที่ตกลงบนพื้นขึ้นมา จางเห่อนำเบอร์โทรด้านบนส่งไปให้เย่ฉ่าวเฉิน แล้วก็แจ้งเรื่องราวเมื่อกี้นี้ให้ทราบ
“คุณชาย ฉู่เซวียนกับคนคนนี้เป็น…..” จางเห่อไม่ทันได้พูดสองสามคำนั้นออกมา เขาคือชายแท้ตามมาตรฐาน
“ไม่ว่าจะเป็นอะไร ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว รอฉู่เซวียนฟื้นขึ้นมาแล้วถามข่าวคราวทั้งหมดของอีกฝ่าย เขาไม่ใช่ต้องการหาสมบัติเหรอ? กูจะไปรื้อฐานที่มั่นของมัน” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างโหดเหี้ยม
“ครับ คุณชาย คุณนอนเร็วหน่อยเถอะ ดึกมากแล้ว”
“วางสายแล้วนะ”