วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 232 : หนุ่มหล่อไร้ที่ติ อย่ามาแตะต้องฉัน
- Home
- วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
- บทที่ 232 : หนุ่มหล่อไร้ที่ติ อย่ามาแตะต้องฉัน
มู่เวยเวยถูกลากเข้าไปในรถแล้วก็เริ่มมีไข้สูง อีกทั้งยังสูงถึงสามสิบเก้าองศาอย่างรวดเร็ว คนก็สะลึมสะลือ ไม่ได้ตื่นขึ้นมาเลยตั้งแต่แรก
“หมอ จู่ๆ เธอเป็นไข้ได้อย่างไร? ” กวินขมวดคิ้วถาม
หมอของคลินิกในเมืองเล็กๆ พูดว่า “น่าจะเกิดจากการติดเชื้อที่แผล บวกกับหลายวันมานี้ร่างกายเธออ่อนล้ามาก พักผ่อนไม่เพียงพอ”
“งั้นตอนนี้ต้องทำยังไง? ”
“ฉันจะให้ยาลดไข้สักสองสามขวด ให้เสร็จแล้วค่อยกลับมาดู ถ้าพรุ่งนี้เช้าไข้ยังไม่ลด ก็ส่งไปตรวจที่โรงพยาบาลสักหน่อยเถอะ”
“ไม่ได้” กวินปฏิเสธหมอประจำหมู่บ้าน “เวลาของเราเร่งด่วนมาก ไม่ว่างไปดูอาการที่โรงพยาบาลหรอก”
หมอประจำหมู่บ้านหันไปมองชายที่สวมหน้ากากอย่างไม่พอใจ “คุณผู้ชายคนนี้ แต่ไหนแต่ไรมาฉันยังไม่เคยเห็นคนในครอบครัวอย่างคุณเช่นนี้เลย ถึงแม้เวลาจะบีบบังคับมาก ชีวิตคนก็สำคัญที่สุด คุณไม่รู้ใช่ไหมว่าเป็นไข้ก็สามารถตายได้? ”
“นี่มันเรื่องของฉัน” กวินพูดโดยไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย “คืนนี้คุณต้องทำให้ไข้เธอลดลง มิเช่นนั้น ถึงแม่ว่าพรุ่งนี้เธอจะป่วยอยู่ ฉันก็จะพาเธอออกเดินทางตามปกติ”
“คุณ……” หมอถูกเจ้าหมอนี่ทำให้โกรธจนไม่รู้จะพูดอะไร หัวอกของคนเป็นหมอ มักดูถูกสมาชิกในครอบครัวที่ขาดความรับผิดชอบเช่นนี้ โกรธมากจ้องมองไปทางกวิน สะบัดแขนเสื้อกลับไปปรุงยาที่คลินิก
ห้องเงียบมาก เพราะว่าเป็นไข้ คอกับหน้ามู่เวยเวยจึงแดงมาก ทว่าริมฝีปากขาวซีดจนน่าตกใจ
อลิซอุ้มเด็กเข้ามา กวินหันไปเห็นก็พูดว่า “อุ้มเด็กมาทำอะไร? ออกไป เดี๋ยวก็ติดเชื้อหรอก”
“ลูกงอแงไม่หยุดต้องการจะพบมู่เวยเวย ฉันอดไม่ได้ที่จะพาเขามาดู” อลิซพูดอธิบาย
เด็กเมื่อเห็นแม่ ก็ดิ้นรนต้องการออกจากอ้อมแขนของอลิซ ในปากก็อ้อแอ้ไม่รู้ว่าพูดอะไร
“เจ้านาย เธอเป็นอย่างไรบ้าง? ” อลิซกอดเด็กไว้แน่น กลัวว่าเขาจะล้มลงไป
กวินพูดอย่างหงุดหงิดว่า “เป็นไข้ อีกสักพักหมอจะมาให้น้ำเกลือ คาดว่าต้องให้ข้ามคืน”
อลิซมองเจ้านายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เห็นได้ชัดว่าอ่อนล้าเล็กน้อย ก็เลยพูดว่า “เจ้านาย คุณไปพักผ่อนเถอะ คืนนี้ฉันจะอยู่ที่นี่ดูเธอเอง”
กวินส่ายหัว “คุณดูแลเด็กให้ดีๆ ก็พอ ผู้ใหญ่ยังสามารถต้านทานได้ ถ้าเด็กป่วยจะยุ่ง ข้างหน้าเรายังต้องเดินทางไปอีกไม่น้อย ไม่สามารถเสียเวลาได้อีกแล้ว”
“งั้นฉันให้จางเหิงหรือใครก็ได้มาแทน คุณไม่สามารถพักอยู่ที่นี่ทั้งคืนได้หรอก”
“จางเหิง? ” กวินเงยหน้าขึ้นมองเธอ “คุณลืมไปแล้วเหรอว่าจางเหิงกับเย่ฉ่าวเฉินมีความแค้นต่อกัน ให้เขามา คาดว่ามู่เวยเวยจะมีชีวิตไม่ถึงพรุ่งนี้นะสิ” ส่วนคนอื่นๆ เขาก็ไม่ไว้ใจใคร
“แต่ว่าคุณ……” ประโยคหลังของอลิซนั้น”ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ชาย”ยังไม่ได้พูดออกไป กวินก็ตัดบทว่า “พอแล้ว คุณอย่าพูดเลย”
ตราบใดที่ผู้หญิงคนนี้ยังไม่ตาย เขากลัวจริงๆ ว่าเย่ฉ่าวเฉินจะกัดขึ้นมาเหมือนหมาบ้า นั่นเรียกได้ว่าวิญญาณไม่ไปไหน
อันที่จริงเขาก็ไม่อยากให้เธอตาย เพียงแต่ตอนที่อยู่โรงพยาบาลนั้นโกรธจนเดือดดาล ไม่มีสติเลย คิดแค่อยากจะทรมานผู้หญิงคนนี้อย่างโหดเหี้ยม ไม่คาดคิดว่าร่างกายของเธอจะรับไม่ไหวแบบนี้ ถ้ารู้อย่างนี้ ในตอนนั้นเขาก็จะยินยอมฉีดยาชาให้เธอ ก็ไม่ถึงขนาดว่ามีไข้สูงหรอก
อลิซเหลือบมองเจ้านายด้วยสีหน้าสับสน แล้วอุ้มเด็กที่เฝ้ามองแต่แม่ออกไปจากห้อง
เมื่อไหร่กันนะที่เจเนายสนใจผู้หญิงคนหนึ่งมากขนาดนี้? เขามีความสัมพันธ์พิเศษกับฉู่เซวียนไม่ใช่เหรอ? หรือว่าจะเป็นเหมือนที่เจ้านายของตนเองพูดจริงๆ มู่เวยเวยเป็นเพียงแค่ตัวประกันคนหนึ่งที่สำคัญมากงั้นเหรอ?
ไม่เข้าใจเลย
คืนนี้ กวินนั่งหลับตาพักผ่อนร่างกายอยู่บนเตียงอีกเตียงหนึ่ง ลืมตาเป็นครั้งคราวเพื่อดูปริมาณยาในขวดว่าเหลือเท่าไหร่ ให้ยามากเกินไปหรือเปล่า ทดสอบดูว่าไข้สูงของผู้หญิงคนนี้ลดลงมาหรือยัง เป็นห่วงเป็นกังวลจริงๆ
ยาลดไข้ให้ไปห้าขวดแล้ว มันเป็นเวลาตีสี่กว่าแล้ว กวินดึงหัวเข็มออก เห็นว่าใบหน้าที่แดงของมู่เวยเวยลดลงมากแล้ว จึงโล่งใจ ดูเหมือนว่าฉันไม่สามารถเสียเวลาในการเดินทางได้
ฉวยโอกาสตอนที่ยังมีเวลา กวินขึ้นเตียงแล้วนอนทันที
ท้องฟ้าค่อยๆ สว่าง มู่เวยเวยฟื้นจากหมดสติ สิ่งที่สะท้อนม่านตาคือเพดานสีขาว ที่นี่ที่ไหน?
ยกมือขึ้นนวดหัวที่ปวด มู่เวยเวยเห็นปลาสเตอร์ทางการแพทย์ที่หลังมือ ยังมีรอยแผลที่ช้ำ นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหมดสติ
ความเจ็บปวดนั้น สามารถตายได้เลยจริงๆ
เดี๋ยวนะ ลูกล่ะ?
มู่เวยเวยหันไปมอง นี่ ทำไมถึงเป็นไอ้สารเลวกวินนี่? อลิซที่อยู่ด้วยกันกับเธอล่ะ?
มู่เวยเวยลุกขึ้นมาจากเตียง ยังคงใส่เสื้อผ้าชุดเดิมของเมื่อวาน เพราะพิษไข้เหงื่อจึงออกมามาก เวลานี้ทั้งชื้นทั้งเหม็น
หันหน้าไปมองชายที่อยู่บนเตียงห่างออกไปหนึ่งเมตรอย่างเกลียดชัง ก็จะทำให้เขาได้ชิมลิ้มรสชาตินี้
การนอนหลับของกวินตื้นมาก ได้ยินเสียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ตื่นขึ้นมา ลืมตา มู่เวยเวยเตียงอยู่ตรงข้ามมองเขาด้วยสายตาเหมือนจะกินคน กวินตื่นขึ้นมา สมองยังคงไม่ตื่น ก็ถูกดวงตาของผู้หญิงคนนี้ทำให้หวาดกลัวโดยไม่รู้ตัว
“คุณคิดจะทำอะไร? ฆ่าฉันงั้นเหรอ? ” กวินตื่นขึ้นมา
“หึ” มู่เวยเวยทำน้ำเสียงเย็นชา “ฉันก็อยากจะทำแบบนี้ แต่ชีวิตฉันกับลูกสองชีวิตแลกกับคุณหนึ่งชีวิต ฉันคิดว่ามันไม่ค่อยคุ้มค่า”
เธออยากจะฆ่ากวิน เช่นนั้นเธอกับลูกชายก็จะไม่มีชีวิตรอด มู่เวยเวยไม่โง่พอที่จะทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้
กวอนยืนขึ้นขยับแข้งขยับขา พูดเหน็บแนมว่า “ดูเหมือนว่าคุณก็ยังมีสมองนี่”
“เพียงแต่ฉันก็ประหลาดใจมาก” มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นมองไปทางเขาอย่างเย้ยหยัน “คุณนอนยังต้องสวมหน้ากาก กวิน คุณไม่กลัวจะเอือมระอาหน้าเหรอ? หรือว่า สภาพคุณดูน่าเกลียด แม้แต่ตัวเองก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับตัวเอง”
ั่วขณะแขนขาทั้งสี่ของกวินก็แข็งทื่อ “มู่เวยเวย ผิวหนังเป็นเพียงภาระสำหรับฉัน เพียงแค่ทำให้ผู้หญิงเหล่านี้อย่างพวกคุณออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้พวกคุณมาชอบฉัน”
“อ่อ ฉะนั้นคุณก็ชอบผู้ชายใช่ไหม? ” มู่เวยเวยแทบจะพูดออกมาโดยไม่ยั้งคิด ยั่วยุในแววตา กลับกันเขาก็ไม่กล้าที่จะฆ่าตน พูดออกไปก็ดี
ชั่วขณะสายตาของกวินก็เคร่งขรึมลง ก้าวทีละก้าวๆ เข้ามาตรงหน้ามู่เวยเวย จับคอที่ละเอียดอ่อนของเธอ “จู่ๆ ฉันก็พบว่า ฉันก็สนใจผู้หญิงเหมือนกัน คุณอยากจะลองไหมล่ะ? ”
มู่เวยเวยมองตรงไปที่ดวงตาคู่นั้นหลังหน้ากาก “ขอโทษนะ ฉันไม่ได้อคติกับคนรักเพศเดียวกัน แต่กับคนอย่างคุณนี้ทว่ารู้สึกรังเกียจอย่างมาก”
“แล้วเชื่อไหมล่ะว่าตอนนี้ฉันจะฆ่าคุณแล้ว” กวินพูดจบก็ยกมือขึ้นใช้แรงเล็กน้อย เหมือนจับคอหงส์ สามารถบีบให้หักได้เลย
มู่เวยเวยก็ไม่อ่อนข้อ ยกมือขึ้นตรงไปแกะหน้ากากของเขา “ในเมื่อฉันจะตายแล้ว ขอดูใบหน้าที่แท้จริงของคุณคงไม่มากเกินไป” ระหว่างที่พูด มือของเธอก็แตะที่ขอบหน้ากากแล้ว กำลังจะเปิด ก็ถูกกวินปัดมือออก
“อย่ามาแตะต้องฉัน! ” กวินตวาดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
คอของมู่เวยเวยได้รับอิสรภาพ หัวเราอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ยังจะมาพูดว่าตนเองเป็นหนุ่มหล่อไร้ที่ติ ชิ ฉันว่าอัปลักษณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างไม่ต้องสงสัย”
กวินไม่เคยเห็นใครกล้าถอดหน้ากากตัวเองเลยตั้งแต่เขาใส่หน้ากากมา มู่เวยเวยเป็นคนแรก ดังนั้นเมื่อเธอทำเช่นนี้ เขาก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับเพื่อที่จะหลบหลีก
ตุบๆๆ——
ในใจอัดอั้นแทบตาย เขาอยากจะฆ่าผู้หญิงที่วุ่นวายตรงหน้านี้เสียจริง
“มู่เวยเวย ฉันไม่เคยเจอผู้หญิงหน้าไม่อายเช่นนี้อย่างคุณจริงๆ ”
“กวิน คุณน้ำเข้าสมองเหรอ? เห็นได้ชัดว่าคุณทำร้ายฉันจนมีสภาพเช่นนี้ แต่ตอนนี้กลับมาด่าฉันงั้นเหรอ? ” มู่เวยเวยลุกจากเตียงแล้วตรงไปผลักเขาออกไปข้างนอก “ออกไปออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ”
“อย่ามาแตะต้องฉัน” กวินพูดอีก แล้วผลักมือเธอออกไปด้วยความรังเกียจ คนที่คุ้นเคยกับเขาก็จะรู้ เขาค่อนข้างรักสะอาด ออกประตูไปแล้วเขาก็หันกลับมาพูดกับผู้หญิงคนนั้นว่า “มู่เวยเวย คุณเชื่อฟังฉันน่าจะดีที่สุด หากเกิดความคิดที่ไม่ดีอะไรขึ้นมาอีก ฉันจะไม่ใจอ่อนกับคุณเลย”
“หึ! คุณยังมีจิตใจอยู่ด้วยเหรอ? ” มู่เวยเวยพูดประโยคที่เหยียดหยามนี้จบ เสียงประตูก็ปิดดัง”ปัง” ถือโอกาสล็อกด้านใน จากนั้นก็ตรงไปที่ห้องน้ำ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในตอนนั้น มู่เวยเวยอัดอั้นอยากจะไปห้องน้ำ อดทนจนถึงเมื่อกี้ก็แทบจะทนไม่ไหว นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันลุกขึ้นไล่เขาออกไป
ลองคิดๆ ดู มู่เวยเวยให้น้พเกลือไปห้าขวด อดทนได้ตลอดทั้งคืนก็ถือว่าเก่งมาก
มู่เวยเวยอยากอาบน้ำมาก แต่แขนบาดเจ็บอยู่ ทำได้เพียงใช้ผ้าขนหนูเช็ดแก้ขัดไปก่อน เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา ก็เห็นน้ำเกลือห้าขวดโยนอยู่บนพื้น เธอตกตะลึงไปชั่วขณะ
ควไม่ใช่ไอ้สารเลวกวินนั่นอยู่ดูแลตนที่นี่ตลอดทั้งคืนหรอกนะ?
เชรด! สมองเขามีปัญหาจริงๆ คาดไม่ถึง……
แน่นอน มู่เวยเวยไม่ได้ประทับใจกวินเลยแม้แต่นิดเดียว เขาทำร้ายเธอจนหมดสติ ยังลักพาตัวเธอกับลูกมายังในที่ที่ลำบากเช่นนี้ สำหรับกวิน มู่เวยเวยมีแต่ความเกลียดชังและรังเกียจ
เตะขวดน้ำเกลือที่วางอยู่ มู่เวยเวยก็เปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปหาลูก ไข้สูงเพิ่งจะลดลง เธอยังครั่นเนื้อครั่นตัว ทั้งง่วงนอนอ่อนล้า เมื่อเดินไปถึงทางเดิน ก็ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะคิกคัก
มู่เวยเวยก็ดีใจ ผลักประตูเข้าไปเลย อลิซที่กำลังเย้าแหย่ให้เด็กหัวเราะ ก็มองมาที่เธอ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปทันที กลายเป็นสาวสวยที่เยือกเย็น
“คุณเข้ามาทำไมไม่เคาะประตู? ” อลิซถามอย่างไม่สบอารมณ์
“โทษที ฉันลืม”
เด็กเห็นแม่เข้ามา ก็ตื่นเต้นคลานขึ้นจากเตียงปีนมาหาเธอ มู่เวยเวยเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว นำเขามาไว้ในอ้อมกอด จูบใบหน้าอมชมพูของเขาอย่างรักใคร่ ถามอย่างอ่อนโยนว่า “ลูกคิดถึงแม่ไหม? ”
ลูกก็หัวเราคิกคัก ตอบโต้ด้วยการจูบที่ใบหน้าของเธอ ชั่วขณะมู่เวยเวยก็รู้สึกว่า ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยพลัง
อลิซมองไปที่มู่เวยเวยอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ในเมื่อหายดีแล้ว ก็เตรียมตัวออกเดินทางเถอะ”
“ฉันอยากพักสักวันหนึ่ง ไข้ของฉันยังไม่หายเลย” มู่เวยเวยต้องการถ่วงเวลา แต่ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของเธออลิซมองออก
“มู่เวยเวย ไม่ว่าคุณจะดีขึ้นหรือไม่ เจ้านายก็ตัดสินใจแล้วว่าจะออกเดินทาง ที่แตกต่างคือคุณขึ้นรถเอง กับมีคนอุ้มคุณขึ้นรถ ดังนั้น อย่าทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์เลย จะว่าไป ค้นหาสมบัติเจอให้เร็วที่สุด เรารวมตัวกันก็ดีแยกจากกันก็ดี นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราทุกคนคาดหวังเหรอ? ” อลิซพูดจบก็ไม่ได้สนใจเธอ เริ่มเก็บข้าวเก็บของเลย
มู่เวยเวยทำหน้าล้อเลียนใส่เธอจากด้านหลัง พูดพึมพำว่า “รวมตัวกันก็ดีจากกันก็ดีงั้นเหรอ? หวังว่าเมื่อถึงเวลาพวกคุณจะรักษาสัญญานะ” อุ้มลูกออกมา จู่ๆ ก็คิดขึ้นได้ สมบัติอยู่ที่ไหน? แผนที่สมบัตินั่นเดิมทีถูกวาดขึ้นโดยเย่ฉ่าวเฉิน นั่นก็คือสมบัตินี้อยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ พวกกวินไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบจะหาสามารถเจอได้อย่างไรล่ะ?
จบแล้ว หรือว่าเธอและลูกจะต้องถูกกวินบังคับตลอดไปเหรอ?
ไม่ๆๆ เย่ฉ่าวเฉินจะต้องมาช่วยพวกเธอ เธอต้องเชื่อมั่นเย่ฉ่าวเฉิน
……
เย่ฉ่าวเฉินสูญเสียข่าวคราวของมู่เวยเวยไปโดยสิ้นเชิง หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาจัดการส่งคนแปลกหน้าหลายต่อหลายคนเข้าไปล้วนไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย
บัตรธนาคารใบนั้นของมู่เวยเวยที่เขาให้ไม่ได้มีเงินออกไปสักแดงเดียว น่าจะถูกเจ้าคนที่สวมหน้ากากคนนั้นโยนทิ้งไปที่ไหนแล้วไม่รู้
และทางด้านของฉู่เซวียน นับตั้งแต่ที่ล้มลงไป ก็ยังไม่ได้ฟื้นขึ้นมาอีกเลย หมอตรวจแล้วบอกว่า คนไข้ร่างกายอ่อนแอมาเป็นเวลานาน บวกกับสภาพจิตใจที่กลัดกลุ้ม สามารถไม่อยากที่จะตื่นขึ้นมาด้วยจิตสำนึกได้
ได้ยินข่าวนี้แล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็สบถคำหยาบ แต่ก็จนปัญญา
เร็วๆ นี้ ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในสวนสนุก เขาไม่สามารถขาดงานพิธีเปิดได้ ด้วยการกระตุ้นครั้งแล้วครั้งเล่าของเลขาฯ หลิว เย่ฉ่าวเฉินจึงออกจากในเขาลึกและป่าดงดิบ กลับไปเมืองA
“ค้นหาตลอดทั้งวันห้ามหยุด เมื่อมีข่าวคราวอะไรแจ้งให้ฉันทราบทันที” เย่ฉ่าวเฉินเข้าตรวจสอบความปลอดภัย กำชับสั่งเหยี่ยวราตรี
“รับทราบเจ้านาย” เหยี่ยวราตรีพูดอย่างเคารพเชื่อฟัง
ใจของเย่ฉ่าวเฉินเป็นห่วง สั่งการต่อว่า “แล้วก็เมื่อคุณและพวกเขาเผชิญหน้ากัน ไม่ว่าคุณจะตอบโต้ยังไง ความปลอดภัยของมู่เวยเวยและลูกคือสิ่งแรก”
“เรื่องนี้ฉันรับรู้แน่นอนอยู่แล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินยื่นมือไปตบๆ บ่าของเหยี่ยวราตรี “ลำบากคุณและทุกคนแล้ว ฉันจัดการเรื่องของบริษัทเสร็จเรียบร้อยก็จะมาสมทบกับคุณ”
“อืม” ในใจเหยี่ยวราตรีอบอุ่น หนึ่งในเหตุผลที่เขาติดตามเย่ฉ่าวเฉิน เจ้านายคนนี้บางครั้งน่าเกรงขามมาก ยืนอยู่เหนือมวลชน บางครั้งก็เหมือนกับพี่ชายคนหนึ่ง ห่วงใยความเป็นความตายของพี่น้องทุกคน
เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
เย่ฉ่าวเฉินมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเทือกเขาที่ทับซ้อนกันอยู่ใต้ล่าง แม่น้ำที่ลดเลี้ยวเคี้ยวคด เขารู้ว่ามู่เวยเวยจะต้องอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของด้านล่าง แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหาเธอพบ
เรื่องราวคล้ายกับจมดิ่งหยุดนิ่ง เขารู้ว่าสมบัติเป็นเรื่องหลอกลวง แต่อีกฝ่ายไม่รับรู้ แล้วเขาก็พูดไม่ได้ ทำได้เพียงค้นหาเบาะแส
ก่อนหน้านี้สองสามวันเขายังหวังว่าฉู่เซวียนจะฟื้นขึ้นมาได้โดยเร็ว แต่ตอนนี้มาดูแล้ว เขาตื่นขึ้นมาก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถึงแม้ว่าเขาจะค้นแล้วยึดฐานที่มั่นของเขา แต่ก็อาจจะไม่สามารถทำให้ชายสวมหน้ากากปรากฏตัวได้.
ตกลงเขาควรจะทำยังไง?
สองสามชั่วโมง เครื่องบินลงจอดที่เมืองA จางเห่อมองเห็นเย่ฉ่าวเฉินที่สูงสง่าและเคร่งขรึมในกลุ่มฝูงชนได้อย่างรวดเร็ว
“คุณชาย คุณกลับมาแล้ว” จางเห่อยกกระเป๋าในมือของเขา เดินตามเขาไปสองก้าว ไม่เจอกันครึ่งเดือน คุณชายผอมไปมาก อีกทั้งยังดูเศร้าสร้อยอย่างมาก ในดวงตาสีฟ้าคู่นั้นซ่อนความกลัดกลุ้มใจอยู่ลึกๆ ทำให้เขามองผู้ชายคนนี้แล้วก็อดที่จะเจ็บปวดใจไม่ได้
“ช่วงนี้บริษัทไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญใช่ไหม? ” เย่ฉ่าวเฉินเดินไปพลางกล่าวถามไปพลาง
“เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือการเปิดกิจการสวนสนุกมะรืนนี้ ที่เหลืออื่นๆ ก็เป็นไปตามปกติ”
“ฉู่เซวียนยังไม่ฟื้นเหรอ? ”
“ยังครับ” จางเห่อหยุดไปชั่วขณะแล้วพูดว่า “เพียงแต่พ่อของฉู่เซวียนมา”
“ฉู่เจิ้นหยุน? ” เย่ฉ่าวเฉินร้องเชอะอย่างเย็นชา กล่าวอย่างเยาะเย้ยว่า “คาดไม่ถึงว่าเขาจะยังกล้าเหยียบเข้ามาเมืองA? ”
“ลูกชายคนโตหมดสติไปนานขนาดนี้แล้ว เขาจะไม่มาได้ยังไง? นอกจากนี้ เขาบอกว่าอยากเจรจากับคุณ”
“ได้สิ เจรจาก็เจรจา ช่วยนัดให้ฉันพรุ่งนี้ตอนเช้า”
“ครับ”
ขึ้นรถแล้ว เย่ฉ่าวเฉินมุ่งหน้าไปยังบริษัท
ระหว่างทางสามารถเห็นโฆษณาขนาดใหญ่ของสวนสนุกทุกหนทุกแห่ง ครอบคลุมเกือบทั้งถนนตั้งแต่สนามบินไปจนถึงสวนสนุก นอกจากนี้แล้วยังมีที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ทุกที่ของเมืองAที่เย่ฉ่าวเฉินไม่เห็น วิดีโอนี้ออกอากาศตลอดเวลา แม้แต่ทีวีและบนอินเทอร์เน็ตก็โพสต์รายงานที่เกี่ยวข้องมากมายในช่วงสองสามวันมานี้
แต่ผลการตอบรับจากโฆษณาเป็นอย่างไร ก็ต้องดูอัตราการหลั่งไหลของคนในวันมะรืนนี้
ท่านประธานที่หายสาบสูญไปครึ่งเดือนทันทีก็โผล่ที่หน้าประตูบริษัท ร.ป.ภ.สองคนยืดเอวแอ่นหลังทำความเคารพทันที เย่ฉ่าวเฉินนำเรื่องที่มีอยู่ในใจทั้งหมดซุกซ่อนไว้อย่างสมบูรณ์ เห็นเลขาฯ หลิวที่เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน พูดอย่างเย็นชาว่า “แจ้งผู้จัดการแผนกทั้งหมดเข้าประชุม”
“ค่ะ ประธานเย่”
การกลับมาของเย่ฉ่าวเฉินทำให้พนักงานที่หย่อนยานมาเป็นเวลานานประสาทตึงเครียดขึ้นมา ข่าวซุบซิบของบริษัทคือ เย่ฉ่าวเฉินพาฉู่เซวียนไปเที่ยวพักผ่อนต่างประเทศ แต่คนที่เห็นเย่ฉ่าวเฉินรู้สึกว่า ประธานเย่เรื่องนี้จะเป็นเรื่องปลอม คล้ายกับไม่มีความสุข
บรรยากาศในห้องประชุมทั้งตึงเครียดทั้งกดดัน ผู้จัดการแผนกหนึ่งเพิ่งรายงานความคืบหน้าของงานจบ เย่ฉ่าวเฉินก็นำข้อมูลในมือโยนออกไป “ตั้งนานขนาดนี้แล้ว คุณทำเรื่องเล็กน้อยแบบนี้เหรอ? เพราะฉันไม่อยู่บริษัทใช่ไหม ถ้าคุณไม่เร่งทำงานให้มีความคืบหน้าขึ้นมา คุณก็พาลูกน้องของคุณไสหัวออกไปให้พ้นฉัน เย่ฮวางของฉันไม่เลี้ยงพวกคุณที่ไม่มีประโยชน์แบบนี้”
“ค่ะ ท่านประธาน” ผู้จัดการเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก นั่งลงอย่างกลัวตัวสั่นงันงก
“ต่อไป ฝ่ายโฆษณาและฝ่ายวิศวกรรม วางแผนการเปิดกิจการในวันมะรืนนี้ว่ายังไง? ” น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเฉินเย็นชาราวกับคำสั่งตาย
“ประธานเย่ ฉันและประธานเฉินคิดอย่างนี้…….”
หลังจากสี่ชั่วโมงการประชุมก็จบสิ้น ยกเว้นเย่ฉ่าวเฉิน คนเกือบทั้งหมดเป่าปากโล่งอก ทุกคนหนีออกมาอย่างหงอยเหงาเศร้าซึมจากในห้องประชุม มีคนที่ปีติยินดี แล้วก็มีคนที่กลุ้มใจ
เย่ฉ่าวเฉินพิงที่เก้าอี้หลับตาพักเหนื่อย หัวคิ้วขมวดแน่น ริมฝีปากบางๆ ก็ปิดแน่นด้วยเหมือนกัน รู้สึกเหนื่อยล้าถึงที่สุด
“ประธานเย่ ฉันให้โรงแรมส่งอาหารเข้ามาให้ คุณทานแล้วค่อยทำงาน ตอนบ่ายยังต้องไปที่สวนสนุกอีก” จางเห่อโค้งตัวพูดเบาๆ
นานมาก เขาจึงได้ยินเย่ฉ่าวเฉินพูดว่า”อืม”คำหนึ่ง จางเห่อจมูกแสบร้อนอย่างไม่สามารถอธิบายได้ ช่วงปีนี้เย่ฉ่าวเฉินไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะหลังจากได้พบกับมู่เวยเวยด้วยแล้ว รอยยิ้มของเขามีมาก เสียใจก็มาก เพียงแต่ รสชาติของคนก็ยิ่งมากขึ้น
สวนสนุกที่กำลังจะเปิดมีความรื่นเริงเป็นพิเศษ พื้นฐานของโครงการทั้งหมดและความคาดหวังของตนเองก็ดูจะเหมือนกัน เพราะได้รับทราบล่วงหน้าแล้วว่าประธานเย่จะต้องมา เหล่าพนักงานล้วนหยิบความมีชีวิตชีวาและความกระปรี้ประเปร่าออกมาอย่างมาก
เย่ฉ่าวเฉินตรวจสอบทีละโครงการทีละโครงการ เพื่อรับรองว่าการเปิดพิธีในวันมะรืนนี้จะไม่เกิดปัญหาใดๆ ขึ้น เมื่อเห็นตัวการ์ตูนต่างๆ และฉากเกมที่เต็มไปด้วยความเป็นเด็ก ในใจของเย่ฉ่าวเฉินก็เจ็บปวดไม่น้อย
เมื่อเขาออกจากเมืองAไปหามู่เวยเวยและลูก เดิมทีวางแผนไว้ว่าจะพาพวกเขามาพิธีเปิดด้วยกัน สวนสนุกนี้ก็เป็นเหมือนกับของขวัญที่มอบให้ลูกชาย นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะไม่เป็นไปตามที่ใจหวัง คือเขาทะนงตัวมากเกินไป ไม่เพียงแต่ไม่สามารถพาสองแม่ลูกกลับมาได้ แต่ยังทำสูญหายไปแล้ว
เขาเป็นสามี เป็นพ่อที่ทำหน้าที่ได้ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งอย่างยิ่ง
ด้านข้างเฉินข่ายที่มาเป็นเพื่อนมองเย่ฉ่าวเฉินที่กำลังครุ่นคิด ก็คิดว่ามีปัญหาตรงไหนเกิดขึ้น กล่าวอย่างตกใจว่า “ประธานเย่ คุณคิดว่าตรงไหนไม่เหมาะสมหรือเปล่า? ”
เย่ฉ่าวเฉินดึงสติกลับมา ถามด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “ทำไมฉันถึงไม่เห็นฉากของหมีพูห์และตัวละครเลยล่ะ? ”
เฉินข่สยนิ่งอึ้งไป “ประธานเย่ ในแผนการของพวกเราไม่มีหมีพูห์นะ”
“เหรอ? งั้นเพิ่มไปอีกอันหนึ่ง วันนี้ตอนเย็นเพิ่มเข้าไป” เย่ฉ่าวเฉินพูดจบ ก็สาวเท้าเดินไปยังด้านหน้า
จนมืด สวนสนุกจึงตรวจสอบเสร็จไปครึ่งหนึ่ง ทานอาหารข้างทางเล็กน้อยตามสะดวก เย่ฉ่าวเฉินนั่งคนเดียวในโรงละครดูการแสดง แน่นอน นี่ก็เป็นรายการในการตรวจสอบอย่างหนึ่ง
จนถึงดึกดื่นห้าทุ่มกว่า ในที่สุดการเดินทางวันนี้ของเย่ฉ่าวเฉินก็จบสิ้น เพราะยังตรวจสอบไม่เสร็จ เขาจึงพักในโรงแรมคุยประเด็นสำคัญของสวนสนุกโดยตรง
“จางเห่อ พรุ่งนี้ให้ฉู่เจิ้นหยุนมาหาฉันที่นี่” เย่ฉ่าวเฉินพูดกับคนที่อยู่ด้านหลังก่อนที่จะเข้าห้อง เวลาคับขัน เขาไม่อยากเสียเวลาสักนาทีสองวินาทีกับคนตระกูลฉู่ ถือโอกาส เขาก็เลยพูดคุยปัญหาการถือหุ้นกับฉู่เจิ้นหยุนในสวนสนุกแห่งนี้
“รับทราบประธานเย่”
หลังจากอาบน้ำแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็พาร่างกายที่เหนื่อยล้าไปทั้งตัวเอนลงบนเตียง หยิบมือถือมาดู เหยี่ยวราตรีไม่ได้ส่งข่าวคราวมา
บางทีวันนี้ร่างกายอาจจะแบกรับการทำงานที่มากเกินไป คาดไม่ถึงว่าไม่นานเย่ฉ่าวเฉินก็หลับไป อีกทั้งไม่ฝันเลยตลอดคืน
ฉู่เจิ้นหยุนเป็นประธานคณะกรรมการบริษัทMKที่อายุกว่าหกสิบปีแล้ว แต่ยังคงเป็นคนที่หล่อเหลามีสง่า เป็นชายวัยกลางคนที่สง่ามีความรู้คนหนึ่ง เมื่อเขามาถึงสวนสนุก เย่ฉ่าวเฉินกำลังทานอาหารเช้าอยู่ที่ห้องอาหาร
“ประธานฉู่ยินดีต้อนรับ เป็นเกียรติอย่างยิ่ง” เย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้นยิ้มเล็กน้อยและเช็กแฮนด์กับเขา
ดวงตาของฉู่เจิ้นหยุนแดงก่ำเล็กน้อย น่าจะพักผ่อนไม่เพียงพอ เขาปล่อยมือเย่ฉ่าวเฉินแล้ว ก็กล่าวอย่างสุภาพว่า “ประธานเย่ ไม่ได้พบกันนานเลย”
“เป็นเวลานานมากแล้ว ประธานฉู่ เชิญนั่ง อยากทานอะไรหน่อยไหม? “เย่ฉ่าวเฉินกล่าวถามอย่างไม่รีบร้อน
ฉู่เจิ้นหยุนปฏิเสธอย่างสุภาพ “ไม่ต้องหรอก ฉันทานอาหารเช้ามาแล้ว”
“อ้อ อย่างนั้นฉันก็ไม่เกรงใจแล้วนะ” เย่ฉ่าวเฉินก้มหน้าทานอาหารของตนเองแล้วไม่ได้กล่าวทักทายอีก
เขาและฉู่เจิ้นหยุนพบกันครั้งแรกที่ฮ่องกง เขาเจรจาพูดคุยโครงการสวนสนุกกับเขาด้วยตนเอง เวลานั้นท่าทีของฉู่เจิ้นหยุนไม่ได้เย็นชา แต่ก็ถือว่าไม่ได้กระตือรือร้นโดยสิ้นเชิง หลังจากตัดสินใจเรื่องราวแน่วแน่แล้ว พวกเขาก็ไม่ได้พบกันอีกเลย
เย่ฉ่าวเฉินทานเกี๊ยวทอดในจานอย่างใจเย็น ทางด้านฉู่เจิ้นหยุนเก้อเขินเล็กน้อยไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากยังไง รอให้บุคคลตรงหน้าทานเกี๊ยวทอดชิ้นสุดท้ายเสร็จ ฉู่เจิ้นหยุนจึงพยักหน้าไปยังผู้ช่วย ผู้ช่วยจึงหยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า
“ประธานเย่ คุณลองดูอันนี้ก่อน” ฉู่เจิ้นหยุนส่งมอบเอกสารให้กับเย่ฉ่าวเฉิน
เย่ฉ่าวเฉินเช็ดมุมปากอย่างช้าๆ ยื่นมือไปรับเอกสาร เปิดหน้าแรก ประเด็นหัวข้อที่เขียน: หนังสือโอนสิทธิ์การถือหุ้น
โอ้ เขายังไม่ได้พูดอะไรเลย ฉู่เจิ้นหยุนก็หยิบสิ่งของออกมา เมื่อวานเขายังคิดอยู่ว่าจะให้เฒ่าเจ้าเล่ห์นี้สละสิทธิ์หุ้นสวนสนุกนี้ได้ยังไง
เย่ฉ่าวเฉินสแกนเอกสารเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว เนื้อหาทั่วไปคือ บริษัท MK ยอมสละส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมดในสวนสนุกโดยสมัครใจ สวนสนุกจะถูกควบคุมโดยเย่ฮวางทั้งหมด
นำเอกสารวางบนโต๊ะ เย่ฉ่าวเฉินนั่งไขว่ห้าง มือทั้งคู่วางซ้อนทับกันบนขา มองดวงตาที่สงบนิ่งของผู้ชายตรงหน้าคนนี้ น้ำเสียงไม่มีคลื่น “ประธานฉู่ นี่หมายความว่ายังไง? ”
ฉู่เจิ้นหยุนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ประธานเย่ คนอย่างฉันนี้ไม่ชอบพูดอ้อมค้อม พวกเราเปิดใจคุยกันเลยจะดีกว่า เป็นยังไง? ”
“ได้แน่นอน ฉันก็ชอบแบบตรงไปตรงมา”
ฉู่เจิ้นหยุนเงียบไปชั่วขณะแล้วพูดว่า “ฉู่เซวียนลูกชายฉัน ฉันหวังว่าประธานเย่จะปล่อยเขา เขาได้รับการลงโทษตามสมควรจากคุณแล้ว ฉันใช้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นทั้งหมดของสวนสนุกมาแลกเปลี่ยนกับเขา”
ผลลัพธ์นี้เป็นไปตามความคาดหวังของเย่ฉ่าวเฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกประหลาดใจ พูดอย่างเยือกเย็นว่า “ประธานฉู่ คุณรู้ไหมว่าลูกชายของคุณนำมาซึ่งความสูญเสียให้ฉันแบบไหน? ฉันเย่ฉ่าวเฉินยังไม่นำเรื่องถือหุ้นเล็กน้อยนี้มาอยู่ในสายตา”