วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 235 ฉันเป็นคนที่ถูกลักพาตัวมา
จางเหิงเห็นเธอกัดฟันแน่นไม่เปิดปากพูด และเขาเริ่มที่จะหมดความอดทนแล้ว“ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เฮ้ย พวกแก ตัดแขนของลูกมันซะ”
“หา——”หญิงสาวสะดุ้งขึ้น เธอรีบเข้าไปอุ้มลูกไว้ในอ้อมอก จากนั้นก็ตะคอกใส่จางเหิง“อย่ามาแตะลูกของฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะใช้ชีวิตของฉันแลกกับพวกแก”
“เพียงแค่เธอบอกมาว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน ฉันก็จะไม่แตะต้องลูกของเธอ”
“ได้ๆๆ ฉันพูดแล้วๆ”หญิงสาวเปิดปากอย่างกะทันหัน คนที่อยู่ในนั่นเงียบลงไปสักพัก เพื่อฟังเธอเล่า“ตอนเวลาสิบโมงกว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเคาะประตู แต่ว่าฉันไม่ได้เปิดให้ ฉะนั้นเธอก็เดินจากไป แต่ไปที่ไหนฉันก็ไม่รู้”
แน่นอนว่าจางเหิงก็ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เธอพูด กางเกงตัวนั้นเนื้อผ้าและฝีมือการตัดเย็บเป็นของแบรนด์ versace ของแท้ไม่ผิดแน่ และแม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะรูปร่างค่อนข้างผอม
แต่ดูแล้วคงจะสวมไม่ได้
จางเหิงใช้สายตามองไปด้านซ้ายขวาเพื่อส่งสัญญาณให้ลูกน้องมาปรึกษากันก่อน จากนั้นก็กระชากลูกชายของเธอออกมาจากอ้อมอกของแม่
“แม่ ผมกลัว——”เด็กชายเปล่งเสียงร้องตะโตนออกมา
“อย่ามาแตะลูกของฉัน”หญิงสาวคิดที่จะวิ่งเข้าไปช่วยลูก แต่ถูกชายสองคนจับไว้เสียก่อน
จางเหิงหยิบมีดยาวที่เหน็บอยู่ที่เอวออกมาเล่นไปพลางพร้อมกับพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ฉันขอเตือนเธอว่าถ้าหากยังไม่พูดออกมาล่ะก็ เธอรู้ใช่ไหมว่านิ้วที่มันขาดไปมันไม่สามารถจะต่อเข้าไปได้อีกแล้ว ”
น้ำตาของหญิงสาวไหลรินหล่นลงมา คำพูดจุกอยู่ที่ปากแต่เมื่อนึกถึงหน้าของมู่เวยเวยพร้อมกับเห็นแววตาอันบริสุทธิ์ของเด็กคนนั้น ก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะเห็นพวกเราได้รับอันตราย เธอขอร้องด้วยน้ำเสียงที่สะอึกสะอื้น “ฉันขอร้องพวกนายเถอะ ฉันไม่ได้พบพวกเธอจริงๆ ที่ฉันพูดมันเป็นความจริง”
“เชอะ!เธอเห็นว่าฉันเป็นตัวตลกหรือยังไง”เขาพูดขึ้นพร้อมกับยกมีดที่มีความวาววับขึ้นมา ปลายมีดที่มลงหวังจะตัดนิ้วของเด็กชาย แต่มีทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของเขา
“หยุดนะ!”
จางเหิงบิดมือเล็กน้อย มีดยาวด้ามนั้นฟันลงไปที่ด้านข้างของมือเด็ก ไม่โดนเด็กเลยแม้แต่น้อย
เขายิ้มอย่างสะใจ จากนั้นก็หันหลังกลับไปมองหญิงที่มีสีหน้าคับแค้นเดินออกมาจากห้องที่ซ่อนตัว“มู่เวยเวย ดูเหมือนว่าเธอยังใจอ่อนเกินไป อันที่จริงเมื่อฉันจัดการทุกอย่างจบลง หากว่าเธอไม่ออกมา บางครั้งเธออาจจะหนีรอดไปได้แล้ว”
มู่เวยเวยมีสีหน้าที่ไร้อารมณ์ สายตามีแต่ความรังเกลียด“ฉันไม่ใช่พวกแก ที่จะทำเรื่องที่น่ารังเกลียดและมันเลวทรามแบบนี้ได้ลงหรอก”
จางเหิงเก็บมีดยาวเหน็บลงไปที่เอวเหมือนเดิมและเดินเข้าไปตรงหน้าของเธอพร้อมพูดกับด้วยน้ำเสียงที่เศร้าๆว่า“ฉันอยากจะจัดการเธอในดาบเดียวลงซะที่นี้เลย และกลับไปบอกเจ้านายว่า เธอหนีไปแล้ว เธอคิดว่าความคิดนี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”
“จางเหิง นายคิดว่าสิ่งที่นายทำมันคือสิ่งที่ลูกผู้ชายควรทำแล้วหรอ?เย่ฉ่าวเฉินทำอะไรไว้กันนาย นายมีปัญญาก็ไปแก้แค้นกับเขาเองสิ จะมาคิดบัญชีกับผู้หญิงอย่างฉัน นายนี่มันไร้ความสามารถจริงๆ”มู่เวยเวยในใจไม่รู้สึกอะไรแล้วเมื่อมาถึงจุดๆนี้ มากสุดก็แค่ตามเขากลับไป ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกต่อไป
จางเหิงถูกคำพูดของเธอกระตุ้นต่อมโมโห เลยตบเข้าไปที่หน้าของเธอหนึ่งที ใบหน้าอันเนียนขาวของเธอบวมขึ้นมาทันที
“เพี๊ยะ——”เข้าไปที่บริเวณข้างหู แต่ครั้งนี้มู่เวยเวยส่งคืนกลับมาให้จางเหิงหนึ่งที
“เป็นอย่างไงบ้าง?รสชาติของการถูกตบมันรู้สึกดีไหม?”มู่เวยเวยยั่วโมโหเขา เธอไม่ใช่มู่เวยเวยคนก่อนที่ยอมเสียเปรียบให้ใครต่อใครอีกต่อไปแล้ว
จางเหิงบีบไปที่คอของเธอ จากนั้นก็พูดขู่เธอว่า“มู่เวยเวย เธอมันรนหาที”
“เอาสิ ฆ่าฉันเลย แล้วดูสิว่ากาวินจะตามมาหานายไหม?”มู่เวยเวยมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา
ลูกน้อยไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาตอนไหน หันกลับมามองเห็นฉากนี้เข้าก็รีบวิ่งเข้ามา เด็กน้อยใช้มืออันอวบอ้วนน่ารักน่าชังแกะมือของจางเหิงออกพร้อมกับปากพึมพำร้อง“อ้อแอ้ๆ”เสียงดัง
จางเหิงไม่ได้คลายมือออก แต่กลับมีท่าทางเหมือนปีศาจเพิ่มแรงบีบให้หนักขึ้น ลูกน้อยเห็นแม่หน้าแดงไปหมด เขาก็อ้าปากเล็กๆของเขากัดลงไปที่แขนของจางเหิง
เพราะเขายังเป็นเด็ก ฟันของเขาจึงมีแค่สามสีซีก จะเอาเรียวแรงมาจากไหน แต่ทว่าท่าทางของลูกน้อยให้มู่เวยเวยรู้สึกได้ถึงความประทับใจในชั่วขณะหนึ่ง
แน่นอนว่าเธอไม่อยากตาย และยิ่งไม่อยากตายโดยไม่มีค่าในเนื้อมือของเขาคนนี้ เธอใช้สายตามองดูคนที่อยู่ทางด้านหลังของจางเหิงจากนั้นก็พูดขึ้นว่า“พวกนายจะแค่ยืนมองดูเขาฆ่าฉันอย่างนั้นหรอ?หรือว่าพวกนายไม่กลัวว่าจะถูกเจ้านายลงโทษ?”
ประโยคนี้ทำให้ใครหลายๆคนมีปฏิกิริยาตอบสนอง มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาที่เข้ามาจับที่แขนของจางเหิงพร้อมกับพูดขึ้นว่า“พี่จาง ใจเย็นๆก่อน ที่เจ้านายท่านเก็บผู้หญิงคนนี้ไว้ต้องมีประโยชน์แน่ อย่าทำให้พี่น้องของพวกเราลำบากใจเลย”
เมื่อจางเหิงได้ฟังคำพูดประโยคนี้ของเขา ก็รู้ได้ทันทีว่ากาวินมีบทลงโทษลูกน้องได้โหดเหี้ยมมากขนาดไหน
จางเหิงกัดฟันแน่นพร้อมกับมองหน้าเธอ และค่อยๆคลายมือที่บีบคอเธอออก ลูกน้อยก็ค่อยๆอ้าปากปล่อยแขนของเขา
“มู่เวยเวย ความแค้นครั้งก่อนฉันต้องส่งกลับคืนให้เธอแน่”
มู่เวยเวยก็ไม่ได้มีท่าทีที่อ่อนลง “จางเหิง ใครเป็นคนทำใครเป็นคนรับ นายอยากแก้แค้นแน่นอนว่าฉันห้ามนายไม่ได้ แต่คิดให้ดีๆว่าความแค้นนี้ต้องไปชำระกับใคร ไม่ใช่มาลงกับผู้หญิงที่อ่อนแออย่างฉันคนนี้ เพราะแบบนี้ไม่เรียกว่าคนมีความสามารถหรอกนะ”
ดูเหมือนว่าเรื่องมันจะไม่หยุด ชายที่อยู่ทางด้านข้างเข้ามาพูดห้าม “คุณมู่ ถ้าคุณพูดน้อยลงก็ไม่ทำให้คุณตายหรอกนะ มีเรื่องอะไรที่อยากจะพูดรอให้ถึงตรงหน้าเจ้านายก่อนค่อยพูดจะดีกว่า”
มู่เวยเวย เชอะ ออกมา จากนั้นก็หันหลังกลับไปอุ้มลูกของหญิงสาวคนที่ช่วยเธอไว้ “พี่สาว ขอบคุณมากที่ช่วยฉัน”
“น้องสาว เมื่อกี้เธอไม่จำเป็นต้องออกมา ฉันไม่เชื่อหรอกว่าพวกมันจะตัดมือลูกชายของฉันได้ลงคอจริงๆ ”หญิงสาวยังคงพูดด้วยความคิดที่ใสซื่อ
เมื่อมู่เวยเวยมีรอยยิ้มบนใบหน้า ทำให้ทั่วทั้งห้องดูสว่างขึ้นมาทันตา “พี่สาว มันเป็นพวกปีศาจ จิตใจของมันทำได้อย่างแน่นอน หนูต้องไปแล้ว เดิมทีพรุ่งนี้อยากจะโทรศัพท์หาคนที่บ้าน แต่ดูเหมือนว่าคงจะไม่มีโอกาสแล้ว”
พี่สาวเมื่อได้ยินคำพูดนี้เข้าไปจมูกก็เริมแดงขึ้น “น้องสาว เป็นเพราะพี่ที่ไม่ดีเอง ตอนนั้นไม่ควรที่จะเก็บกางเกงตัวนั้นไว้ เธอคิดดูสิหากว่าฉันโยนทิ้งไปก็คงจะไม่เป็นแบบนี้แน่”
“ไม่หรอก ฉันไม่โทษคุณหรอก นี่คือชะตากรรมของฉัน ที่ต้องมาเจอเรื่องโชคร้ายตลอดๆแบบนี้”
ทั้งสองคนพูดกล่าวคำร่ำลากัน คำพูดพวกนี้เมื่อได้ยินถึงหูจางเหิงก็ทำให้เขารู้สึกสยิวหู จากนั้นก็ผลักที่ไหล่ของมู่เวยเวยพร้อมกับใช้อารมณ์ตะคอกใส่เธอว่า“ไป”
มู่เวยเวยเดินไปด้านหน้าได้เพียงสองสามก้าวจากนั้นเธอก็หยุดและหันมาตะคอดใส่จางเหิงด้วยความโมโหว่า “อย่ามาแตะต้องฉัน ฉันเธอเองได้”
……
เมื่อกลับมาถึงโรงแรมเวลาก็ปาไปเที่ยงคืนแล้ว กาวินยังไม่นอน เขามองดูมู่เวยเวยที่มีสีหน้าท่าทางที่แข็งกร้าว อีกทั้งใบหน้าที่มีการบวมแดง ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของจางเหิง
“มู่เวยเวย หรือว่าช่วงเวลาสองสามวันที่ผ่านมาฉันดูแลเธอไม่ดี ?เธอถึงได้หนีออกไป?”กาวินพูดออกมาเบาๆ
ใบหน้าของมู่เวยเวยก็ยังคงไร้ความรู้สึกอยู่ “คนเรามีสิทธิ์ที่จะทำอะไรตามใจตัวเอง แกยังตามจับฉันได้เลย แล้วทำไมฉันจะหนีไปไม่ได้?”
กาวินจ้องเธอสักพักจากนั้นก็พูดขึ้นว่า“ตามหาจับจนดึกจนดื่น ทุกคนคงจะเหนื่อยแล้ว ไม่พักเถอะ”
เมื่อได้ฟังเขาพูดจบ สามสีคนที่อยู่ในห้องถึงกลับมึนงง
“เจ้านาย คุณจะไม่จัดการทำอะไรเลยหรอ?”จางเหิงถามด้วยความประหลาดใจและความโมโห
กาวินขมวดคิ้วขึ้น ด้วยความรู้สึกรำคาญ“นายคิดจะทำอะไร?ฆ่าเธออย่างนั้นหรอ?หรือว่าอยากจะตัดขาของเธอ?”
“แต่ ก็ไม่ควรที่จะปล่อยเธอไปง่ายๆแบบนี้”
กาวินมีท่าทางที่เคร่งขรึมพร้อมกับพูดว่า“จางเหิง จำไว้ว่าที่เราทำแบบนี้มันมีจุดมุ่งหมายอยู่ พวกเราต้องการจะรีบหาขุมทรัพย์ให้เจอ อย่างอื่นยังไม่สำคัญ หากว่านายทำร้ายเธอตอนนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้แผนที่เราทำมาพัง แต่ยังจะทำให้ข่าวการเคลื่อนไหวของเขาลั่วไหลไปได้ นายคิดว่ามันคุ้มไหม?”
คำพูดของกาวินทำให้เขาพูดไม่ออก ในใจของเขาจะรู้สึกไม่ค่อยมีความสุขเป็นอย่างมาก
“ยังจะยืนอยู่ทำไมอีก?หรือว่าต้องการให้ฉันไปส่งเธอเข้านอน?”ประโยคนี้กาวินพูดกับมู่เวยเวย
มู่เวยเวยสะดุ้ง และรีบอุ้มเอาลูกวิ่งกลับไปที่ห้อง
เตียงด้านข้าง ในขณะที่อลิซกำลังนอนหลับอย่างมีความสุขอยู่นั้น มู่เวยเวยก็ได้นั่งซึมอยู่บนเตียง เธอมีความรู้สึกผิดหวังและหดหู่อยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกเสียดายกับสิ่งที่เธอทำลงไป อย่างน้อยเธอก็ได้ลองพยายามแล้ว เพียงแต่ตอนที่หนีไปไม่ได้วางแผนอะไรไว้เลย จึงทำให้จางเหิงรู้ตัว ครั้งต่อไปเธอต้องระวังให้มากกว่านี้
มู่เวยเวยที่นอนไม่หลับอยู่เตียง สมองของเธอคิดแต่เรื่องที่จะหลบหนี ทันใดนั้นก็เกิดไอเดียดีๆขึ้น เธอคิดวิธีดีๆวิธีหนึ่งออก
ท้องฟ้าไม่นานก็จะสว่างแล้ว อาจเป็นเพราะให้ยานอนหลับในปริมาณที่มากไปจึงทำให้อลิซยังนอนไม่ตื่น กาวินสั่งให้คนมาอุ้มเธอขึ้นรถไป
ส่วนมู่เวยเวยถูกเลือกให้ไปนั่งรถคันเดียวกันกับกาวิน ครั้งนี้เธอจะคิดหนีเห็นทีว่าจะไม่มีโอกาสแล้ว
“ในเมื่อเธอชอบหนี ต่อไปก็ไม่ต้องอยู่ที่โรงแรมแล้ว ขึ้นเขาไปกับพวกเราจะดีกว่า”กาวินชำเลืองตามองเธอพร้อมกับพูดขึ้น
“อย่างนั้นลูกของฉันจะทำยังไง?”
“เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเธอ ไม่อยากจะทิ้งเขาไว้ให้อยู่ที่นี่แล้วเธอก็แอบหนีไปใช่ไหม”
มู่เวยเวยกัดฟันกรอด ในป่ามีความชื้นอยู่มาก เธอต้องสวมเสื้อผ้าให้ลูกหลายๆชั้นถึงจะได้
พนักงานของโรงแรมเข้ามาจัดการทำความสะอาด พบว่าบนเตียงมีกระดาษชำระอยู่หลายแผน บนนั้นยังเขียนข้อความไว้ด้วย เมื่อพนักงานได้เห็นก็รีบเอาไปให้กับเจ้าของโรงแรม
“เจอมันที่ไหน?”เจ้าของโรงแรมถามด้วยความสงสัย
“ก็เจอในห้องที่ผู้หญิงสองคนพักอยู่”
เจ้าของโรงแรมเห็นข้อความที่อยู่บนกระดาษชำระที่เขียนโดยลิปสติก:ฉันชื่อมู่เวยเวย เป็นคนเมือง A ถูกคนพวกนี้จับตัวมา ขอความเห็นใจจากคนมีน้ำใจช่วยฉันแจ้งตำรวจด้วย ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง เธอยังเขียนเบอร์โทรศัพท์ไว้ในกระดาษอีกแผนหนึ่ง:นี่เป็นเบอร์โทรของคนที่บ้านฉัน ชื่อเย่ฉ่าวเฉิน
กระดาษพวกนี้เป็นฝีมือของมู่เวยเวยเขียนขึ้นมาเมื่อคืนนี้โดยใช้ลิปสติกของอลิซ เธอรู้ว่าโรงแรมแบบนี้ เมื่อแขกเช็คเอ้าท์ออกไปพนักงานก็จะเข้ามาทำความสะอาด เธอจึงเอากระดาษพวกนี้ซ่อนไว้ที่ใต้ผ้าปูที่นอน เธอเชื่อว่าพนักงานต้องเห็นมันได้แน่ๆ
“หัวหน้า ทำอย่างไรดี ?จะแจ้งตำรวจไหม?”
“ก็ว่าเรื่องที่ฉันเห็นคนพวกนั้นมีท่าทางแปลกๆ กลางดึกวิ่งลงมาถามฉันว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งออกไปไหม ที่แท้ก็เป็นคนที่พวกมันจับมา”เจ้าของโรงแรมพูดพึมพำเบาๆ
“หัวหน้า ตกลงคุณจะแจ้งตำรวจไหม คุณก็พูดออกมาสักคำสิ”พนักงานร้อนใจ เห็นหัวหน้ามีท่าทางเหม่อลอย จึงได้ถามขึ้นมาอีกครั้ง
เจ้าของโรงแรมขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า“เธอมีงานอะไรก็ไปทำซะ วันมะรืนนี้ก็จะเป็นวันเทศกาลแล้ว แขกที่มาเยี่ยมชมบนภูเขาต้องมีจำนวนมากแน่ เธอทำความสะอาดห้องของแขกให้ดูสะอาดสะอ้านหน่อย ส่วนเรื่องนี้ฉันจะเป็นคนจัดการเอง”
“ออ”พนักงานจึงเดินหงอยๆออกไป
เจ้าของโรงแรมมองจ้องไปที่กระดาษพวกนั้นสักพัก เขารู้สึกอ่อนไหว หากว่าผู้หญิงคนนั้นถูกขายให้บ้านไหนไปก็จะทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต เขาไม่สามารถที่จะขาดศีลธรรมต่อเรื่องพวกนี้ได้
สุดท้ายเขาจึงได้หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรออกไปตามเบอร์โทรที่เขียนไว้บนนั้น
เสียงรอสายของโทรศัพท์ดังชึ้นเป็นเวลานานพอสมควรก่อนที่จะมีคนรับ เสียงชายคนหนึ่งที่พูดอย่างสุภาพดังเข้ามาในสาย พร้อมกับมีเสียงดังแทรกเข้ามาด้วย
“สวัสดีครับ ขออนุญาตสอบถามว่านั่นคือคุณเย่ฉ่าวเฉินหรือเปล่า?”เจ้าของโรงแรมถาม
“ใช่ครับ แล้วคุณคือใคร?”
“ผมเป็นเจ้าของโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง เรื่องเป็นแบบนี้ ตึดๆๆ——”พึ่งจะพูดได้เพียงครึ่งหนึ่ง โทรศัพท์มีเสียงติดๆขัดๆ เมื่อมองดูแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีสัญญาณอีกแล้ว
“ไอ้โทรศัพท์เฮงซวยนี่ ทำไมเมื่อถึงเวลาที่สำคัญแบบนี้ถึงได้ไม่มีสัญญาณนะ?”เมื่อรอมาสักพัก โทรศัพท์ก็ยังไม่มีสัญญาณกลับมา เจ้าของโรงแรมจึงไปทำงานอย่างอื่น สุดท้ายทำนูนไปทำนี่มาก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย
เมือง A สวนสนุกของเย่ฮวางกรุ๊ป
มู่เทียนเย่กับเสี่ยวซีหร่านลงมาจากชิงช้าสวรรค์ พึ่งจะเดินก้าวขาลงมาได้ไม่กี่ก้าวก็มองเห็นจางเห่อเดินเข้ามาจากที่ไกลๆมองซ้ายมองขวาเหมือนกลับว่ากำลังมองหาใครอยู่
มู่เทียนเย่ดึงเสียวซีหร่านเข้ามาหลบที่ด้านหลังของต้นไม้ที่อยู่ทางด้านข้าง
“พวกเขากำลังหาคุณหรอ?”เสี่ยวซีหร่านถามด้วยความสงสัย
“อาจจะเป็นไปได้”มู่เทียนเย่พยักหน้า “สัญชาตญาณของเขาเป็นคนฉลาดมาก แน่นอนว่าต้องตรวจสอบหาอะไรบางอย่างเจอแน่”
“เหอะ หรือว่าที่เมื่อกี้เขาเชิญพวกเราให้ไปทานอาหารด้วยท่าทางดูอบอุ่น ก็ว่าแล้ว เขาเป็นมิตรกับพวกเราตั้งแต่ตอนไหนล่ะ”เสี่ยวซีหร่านจิ้มไปที่หน้าอกอันบึกบึนของมู่เที่ยนเย่ พร้อมกับหัวเราะคิกคักๆและพูดว่า“ฉันว่าคุณน่าจะปรากฎตัวออกไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยและก็ถามเขาไปเลยว่าเวยเวยอยู่ที่ไหน ทำไมคุณตามหามาตั้งนานแล้วก็ยังไม่ได้อะไรคืบหน้า”
มู่เทียนเย่อัดอั้นไม่พูดไม่จา
“ตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินเกิดความสงสัยแล้ว เขาต้องทำการตรวจสอบในสวนสนุกแห่งนี้อย่างเต็มกำลังแน่ คิดอยากที่จะบุกออกไปคงจะเป็นเรื่องยาก แทนที่จะถูกเขาเปิดโปงต่อหน้า ไม่สู้กับใช้อำนาจข้อได้เปรียบที่อยู่ในกำมือของตัวเองล่ะ”
มู่เทียนเย่คิดทบทวนอยู่ตั้งนานถึงจะพูดความรู้สึกที่อยู่ภายในใจของเขาออกมา“อันที่จริงเรื่องบุญคุณและความแค้นระหว่างฉันกับเขามันจบลงไปตั้งนานแล้ว ตอนปีนั้นฉันได้ทำร้ายน้องชายของเขา หลังจากนั้นเขาก็แก้แค้นฉัน ยังดีที่เราทั้งสองต่างยังมีชีวิตรอดกลับมาได้ ก็นับว่ามันเสมอกันแล้ว แต่สิ่งที่ฉันกังวลใจเพียงอย่างเดียวก็คือ หากว่ามู่เวยเวยรู้ว่าฉันยังไม่ตาย เธอต้องยกโทษให้เย่ฉ่าวเฉินอย่างแน่นอน เธอเป็นคนใจอ่อนง่าย หากว่าเธอกับไอ้คนเวเย่ฉ่าวเฉินนั่นตกลงอยู่ด้วยกันแล้วล่ะก็ ……”
“คุณล่ะก็ ”เสี่ยวซีหร่านจับไปที่แก้มของมู่เทียนเย่“เวยเวยเป็นผู้ใหญ่แล้ว เธอจะคิดยังไงมันก็เป็นเรื่องของเธอ คุณที่เป็นพี่ชายของเธอคิดจะอยู่กับเธอไปตลอดชีวิตหรืออย่าง
มู่เทียนเย่ทำหน้างอราวกับเด็กที่ไม่พอใจ “แต่ว่า เรื่องนี้เย่ฉ่าวเฉินจะได้ไม่ง่ายเกินไปหรอกหรอ”
“คุณทำใจรับไม่ได้ล่ะสิ”เสี่ยวซีหร่านพูดออกมาพร้อมกับสายตาที่เป็นประกาย เธอคิดอะไรดีๆออกแล้ว จากนั้นก็คล้องคอเขาลงมาและพูดข้างหูเขาว่า“ฉันจะบอกคุณให้ว่าวิธีที่คุณจะได้ระบายต้องทำยังไง”
……
ห้องควบคุมกล้องวงจรปิด เย่ฉ่าวเฉินกำลังใช้สายตามองไปที่หน้าจอมอนิเตอร์กว่าสิบหน้าจอ เพื่อต้องการหาว่าคนๆนั้นอยู่ตรงไหน แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
พร้อมกับน้ำเสียงที่มีความสงสัย“ฮาโหล?”
“เย่ฉ่าวเฉิน คุณกำลังหาคนอยู่ใช่ไหม?”เสี่ยวซีหร่านถามพลางหัวเราะขึ้น
หนังตาของเย่ฉ่าวเฉินเต้นตุบๆ พร้อมเสแสร้งว่า“ไม่มีนิ ฉันจะหาใครล่ะ?”
“OKถ้าไม่ได้หาก็แล้วไป”เมื่อพูดจบเสี่ยวซีหร่านกำลังจะทำการวางหูโทรศัพท์ แต่เย่ฉ่าวเฉินรีบเรียกเธอให้หยุด“รอเดี๋ยว……เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันกำลังตามหาคนอยู่?”
เสี่ยวซีหร่านพูดพร้อมกับมีเสียงหัวเราะ“ฉันก็เดาเอายังไงล่ะ เอาอย่างนี้ ฉันสามารถบอกคุณได้ว่าคนที่คุณต้องการจะหาอยู่ที่ไหน แต่ว่านะ คุณต้องตอบรับข้อเสนอของฉันมาสักข้อก่อน ”
“ข้อเสนออะไร?”เย่ฉ่าวเฉินเดาไม่ออก
และเมื่อได้ฟังเสี่ยวซีหร่านพูดต่อไปว่า“คุณก็แค่เล่นเครื่องเล่นที่อยู่ในสวนสนุกของคุณทั้งหมดทุกชิ้นหนึ่งรอบ ไม่รวมชิงช้าสวรรค์ และจะบอกคุณ”
เย่ฉ่าวเฉินพูดออกมาว่า“เธอจะบ้าไปแล้วหรอ”
“ไม่ยินยอมหรอ?อย่างนั้นก็ชั่งมันเถอะคุณค่อยๆหาต่อไปแล้วกัน”
“เสี่ยวซีหร่าน!”เย่ฉ่าวเฉินกดเสียงให้ต่ำลง พร้อมกับหายใจเข้าลึกๆเพื่อเป็นการสงบอารมณ์“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคนที่เธอบอกคือคนที่ฉันต้องการจะตามหา ?หากว่าไม่ใช่ล่ะ?”
“แล้วหากว่าใช่ล่ะ?”เสี่ยวซีหร่านตอบกลับเขา“ เย่ฉ่าวเฉินฉันเพียงแค่มีข้อเสนอให้คุณ ไม่ใช่ว่ากำลังอยากจะล้อคุณเล่น คุณเลือกได้ว่าจะยอมรับมันหรือไม่ อำนาจการตัดสินใจมันอยู่ในมือของคุณ”
เย่ฉ่าวเฉินอยากจะเปิดปากด่าเธอ แต่ว่าเรื่องนี้เป็นอำนาจการตัดสินใจที่อยู่ในมือของเขาอย่างนั้นหรือ?เห็นๆอยู่ว่าเป็นการบังคับเขา
“ตกลงแล้วนายทำได้หรือเปล่า?หากว่าทำไม่ได้ก็อย่ามาทำให้ฉันเสียเวลา หรือว่า เครื่องเล่นที่อยู่ในสวนสนุกของคุณมันไม่มีความปลอยภัย แม้แต่คุณเองก็ยังไม่กล้าที่จะลองขึ้นไปนั่งเล่นดู ?”เสี่ยวซีหร่านตั้งใจพูดยั่วยุเขา
ลูกผู้ชาย เกลียดที่สุดคือคำที่คนอื่นบอกว่า ทำไม่ได้!
ถึงตอนนี้ แม้ว่าเย่ฉ่าวเฉินจะรู้ว่าหลังจากที่เล่นเครื่องเล่นทั้งหมดแล้ว ชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของเขาคงไม่เหลือ แต่ว่าเขายังคงตอบตกลงว่า ได้ !เขาอยากรู้จริงๆว่า เพื่อนคนนั้นของเธอคือมู่เทียนเย่หรือไม่
“ได้ ฉันยินดีรับข้อเสนอของเธอ แต่ว่าสุดท้ายจะไปหาเธอได้ที่ไหน?”
“เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะโทรศัพท์หาคุณเอง เย่ฉ่าวเฉิน คุณอย่าเล่นขี้โกงนะ เพราะฉันกำลังคอยดูคุณอยู่”
เย่ฉ่าวเฉินพูดออกมาด้วยอารมณ์ไมโห“เชอะ!ฉันพูดได้ทำได้!”
“ได้ อย่างนั้นก็เริ่มเลย เริ่มจากเรือโจรสลัดก่อน”
เมื่อพูดจบเสี่ยวซีหร่านก็ว่างโทรศัพท์ไป ทิ้งให้เย่ฉ่าวเฉินโกรธจัดอยู่อีกทางด้านหนึ่งของโทรศัพท์
ยัยเสี่ยวซีหร่าน เธอวางแผ่นการทำให้คนวุ่นวายได้เป็นชุดๆได้เลยนะ
โกรธก็ส่วนเรื่องโกรธ เย่ฉ่าวเฉินยังมีเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย เขาถอดเสื้อสูทที่ท่อด้วยมือจากประเทศอิตาลีออก ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตและถอดกางเกง เดินออกจากเขตสำนักงานมุ่งหน้าไปยังสวนสนุก
จางเห่อตามเย่ฉ่าวเฉินอยู่ข้างๆไม่ห่าง และถามด้วยความเป็นห่วงว่า“นาย นายจะเล่นด้วยตัวเองจริงๆหรอครับ ”
เย่ฉ่าวเฉินมองเขาด้วยสายตาที่โมโห“นายคิดว่าท่าทางของฉันมันดูเหมือนจะไปเล่นเพื่อความสนุกๆอย่างนั้นหรอ?”
จางเห่อชะงัก เอ่อ ผมพูดผิดไปแล้ว
“คุณชาย……”
“คำพูดที่มันไร้สาระพูดให้น้อยลงหน่อย ตอนที่ฉันทำการเล่นเครื่องเล่นอยู่ ให้ตรวจสอบดูบริเวณรอบๆว่าจะสังเกตเห็นพวกเขาไหม”เย่ฉ่าวเฉินออกคำสั่ง
“ครับ คุณชาย”
เครื่องเล่นเรือโจรสลัดคนต่อแถวรอยาวมาก แต่ด้วยว่าเย่ฉ่าวเฉินเป็นเจ้าของสวนสนุกแห่งนี้ เขามีสิทธ์ที่จะเล่นก่อน ตอนที่เขาปรากฎตัวตรงหน้าขบวน คนกลุ่มเล็กๆก็มีการขยับเปิดทางให้เขาเล็กน้อย
“ว้าว เย่ฉ่าวเฉินมาเล่นด้วยตัวเองเลย”
สาวสวยที่ยืนต่อแถวอยู่ทางด้านหน้าใจกล้าถามเขาขึ้นว่า“ประธานเย่ คุณก็ต้องการที่จะเล่นหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินแสยะยิ้มเล็กน้อย “อือ ฉันอยากมาลองเล่นดูสักครั้ง รู้สึกว่ามันดูน่าสนใจดี ”ล้อเล่นหนะ นี่คือต่อหน้าสาธารณะชน และเขายังสามารถที่จะทำการโฆษณาสวนสนุกของเขาด้วยตัวเองได้อีก
ขึ้นเรือ รัดเข็มขัด ครึ่งนาทีจากนั้นเรือก็เริ่มเคลื่อนไหว เสียงร้องกรี๊ดกร๊าดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งหูสองข้าง
ตอนที่เย่ฉ่าวเฉินอยู่ด้านล่างมองขึ้นมา เขาไม่มีความรู้สึกว่าเรือโจรสลัดจะดูน่าตื้นเต้นขนาดนี้ แต่พอได้นั่งข้างในนี้ กลับรู้สึกว่ามีความตื่นเต้นเร้าใจอยู่พอสมควร
ตั้งแต่เล็กจนโต น้อยมากที่เย่ฉ่าวเฉินจะได้ไปเที่ยวสวนสนุก แต่ก่อนสวนสาธารณะก็ไม่ได้ติดตั้งเครื่องเล่นมากมาย และก็ไม่ได้ดีขนาดนี้ ได้เล่นรถบั๊มเพียงครั้งเดียวก็สามารถเอาไปพูดอวดคนอื่นได้หลายวัน ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้นั่งเรือโจรสลัด
หลายนาทีต่อจากนั้น เย่ฉ่าวเฉินเริ่มจะมีอาการเวียนหัว หัวใจก็เต้นเร็วขึ้น เขาบังคับตัวเองให้ก้าวขาลงมาจากเรือ จางเห่อเห็นท่าทางของเขาไม่ค่อยดีก็จะเดินเข้ามาพยุงตัวของเขาไว้ แต่ว่าถูกเย่ฉ่าวเฉินใช้สายตายจ้องให้จางเห่อหยุดก่อน
อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นลูกผู้ชายที่มีความอดทน พวกผู้หญิงที่นั่งบนเรือรอบเดียวกันกับเขายังดูท่าทางมีชีวิตชีวาปกติ แล้วเขาความสูงตั้งเจ็ดศอกจะแพ้ได้ยังไง
เขานั่งลงที่เก้าอี้ที่อยู่ทางด้านข้างเพื่อพักผ่อนและยื่นแขนออกไปเพื่อขอน้ำจากจางเห่อ
จางเห่อลังเลพร้อมกับถามขึ้นว่า“คุณชาย ผมว่าคุณอย่าดื่มน้ำเลยดีกว่า เพราะเครื่องเล่นชิ้นต่อไปคือรถไฟเหาะตีลังกาความเร็วสูง ”เขาพูดแบบเป็นในๆ เย่ฉ่าวเฉินฟังเข้าใจ เด็กคนนี้กลัวว่าตัวเองเล่นเสร็จแล้วจะอวกออกมา
ชั่งเถอะ เพื่อไม่ให้เป็นการขายหน้าคนอื่น ไม่ดื่มน่าจะดีกว่า
เย่ฉ่าวเฉินนั่งพักจนหายเหนื่อยแล้ว ก็มุ่งหน้าไปทางรถไฟเหาะความเร็วสูงทันที ได้ยินเสียงร้องตะโกนเสียงแหลมทะลุเมฆมาแต่ไกล
“เมื่อกี้อยู่ทางด้านล่างหาเสี่ยวซีหร่านเจอไหม?”เย่ฉ่าวเฉินเดินไปพลางถามไปพลาง
“ไม่มีครับ”
“ไร้ประโยชน์”เยฉ่าวเฉินด่าออกมาด้วยความโกรธหนึ่งประโยค
จางเห่อก้มหน้าไม่พูดไม่จา เขารู้ว่าตอนนี้ในใจของเย่ฉ่าวเฉินกำลังมีความโมโห
รถไปเหาะตีลังกาความเร็วสูงเป็นเครื่องเล่นที่เป็นจุดขายของสวนสนุกเย่ฮวางแห่งนี้ ความยาวทั้งหมดคือหนึ่งพันห้าร้อยเมตร หมุนเป็นวงกลม ตรงกลางมีจุดสูงสุดอยู่ห้ารอบ แม้จะดูเหมือนว่ามีระยะทางที่ยาวมาก แต่ใช้เวลานั่งเพียงแค่สองนาทีเท่านั้น
เครื่องเล่นชนิดนี้อยู่ในช่วงทำการทดลอง เย่ฉ่าวเฉินยืนมองอยู่ทางด้านล่าง เห็นคนจำนวนไม่น้อยเล่นเสร็จลงมาแล้วมีอาการอาเจียนออกมา บ้างก็ผมยุ่งไปหมด และก็ยังมีคนที่ลงมาแล้วนั่งกองอยู่กับพื้น ตอนนั้นเขาคิดเพียงแค่ว่า เขาจะไม่เล่นเครื่องเล่นชนิดนี้เด็ดขาด มันทำให้ภาพลักษณ์ดูแย่มากๆ เขาสามารถยอมรับความรู้สึกหวาดเสียวได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาชอบความรู้สึกหวาดเสียวเร้าใจแบบนี้
ไม่คิดเลยว่าจะ……
“เจ้านาย คุณยังโอเคอยู่ไหม”จางเห่อเห็นเย่ฉ่าวเฉินมีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย จึงถามด้วยความเป็นห่วง
เย่ฉ่าวเฉินกัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “ ฉันจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ?”
นั่งลงและสูดหายในลึกๆอยู่สามสี่ที จากนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็ไปขึ้นรถไฟเหาะ เขานั่งลงไปในที่นั่งทางด้านใน และมีสาวสวยคนหนึ่งเห็นเขาจึงรีบเข้ามานั่งทางด้านข้างของเขา
พนักงานอธิบายขั้นตอนการใช้เครื่องเล่นและการรัดเข็มขัดให้กับแขกที่มาใช้บริการ จากนั้นได้ทำการเดินตรวจสอบที่นั่งแต่ละคนอย่างละเอียด เมื่อพนักงานตรวจสอบเรียบบร้อยก็ได้ส่งสัญญาณแจ้งให้ห้องควบคุมเครื่องทราบ
ตอนที่รถไฟกำลังไต่ระดับขึ้นไปก็ยังไม่ได้มีความรู้สึกตื่นเต้นใดๆ แต่สาวสวยที่อยู่ทางด้านข้างของเย่ฉ่าวเฉินร้องกรี๊ดกร๊าดไม่หยุด เมื่อรถไฟปีนขึ้นมาถึงจุดสูงสุดหยุดได้เพียงสองวินาที จากนั้นก็แล่นลงมาด้วยความเร็วสูง
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้เปิดปากร้องขึ้น ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนได้ระบายเอาความกลัวและความขี้ขลาดออกมาไม่น้อย
เวลาสั้นๆเพียงสองนาทีราวกับว่าเขาได้ผ่านความตายมาแล้วสองสามครั้ง เมื่อรถไฟหยุดลง เย่ฉ่าวเฉินก็ถูกจางเห่อประคองลงมา ครั้งนี้เขาไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะปฏิเสธแล้ว
“คุณชาย ทำไมคอคุณคือได้แดงเป็นจ้ำๆแบบนี้ล่ะ มีการแพ้หรอ?”จางเห่อถามด้วยความตกใจ
เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโรย“ผู้หญิงที่นั่งทางด้านข้างเมื่อกี้ ผมของเธอยาวมาก แม่เจ้า เล่นเครื่องเล่นแบบนี้แล้วทำไมถึงได้ไม่รู้จักมัดเก็บให้มัดเรียบร้อยนะ”
ทันทีที่จางเห่อได้ฟังเหตุผลจากเขาก็เกือบจะ“คึกๆ”กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ พอจะนึกภาพออก เมื่อกี้ตอนนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ คุณชายใหญ่ของตระกูลเย่ รู้สึกรังเกลียดผู้หญิงคนที่นั่งทางด้านข้างที่ใช้ผมยาวๆของเธอมาตีเข้าที่หน้าและคอของเขา
“ยังเหลืออีกกี่ชนิด ?”เย่ฉ่าวเฉินที่หายใจหอบเหนื่อยถามขึ้น
จางเห่อทำท่าคิดและพูดขึ้นว่า“ jumping machine Tornado Flying mam wind and fire wheel และ super splash ทั้งหมดห้าชนิด”
ขณะที่จางเหอพูดชื่อเครื่องเล่นแต่ล่ะชนิด สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินก็ดูซีดขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเขาพูดจบสีหน้าหน้าของเย่ฉ่าวเฉินกลับดูไร้ความรู้สึกไปหมดแล้ว ทำไมเขาถึงต้องตอบรับข้อเสนอที่มันอ้อมค้อมของยัยเสี่ยวซีหร่านแบบนี้ด้วยนะ?
แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อตัวเองเป็นคนเลือกทางเดินนี้แล้ว แม้ว่าจะเดินตามไปแบบงงๆ ก็ต้องไปให้สุดทาง ไม่อย่างนั้นแล้วผู้หญิงคนนี้ต้องเอาเรื่องนี้มาพูดเยาะเย้ยเขาไปตลอดชีวิตแน่
“จางเห่อ นายทำให้ฉันสลบไปเลยได้ก็คงจะดี”เย่ฉ่าวเฉินมีความรู้สึกท้อเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องกรี๊ดๆอยู่ไม่ไกล ตอนนี้เขารู้สึกมีอาการเข่าอ่อนแล้ว
จางเห่อพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะคิกคัก“คุณชาย คุณอย่าพูดล้อเล่นเลย”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องไปที่จางเห่อ เขาใช้กำลังทำหมดที่มีพยุงตัวเองให้ยืนขึ้น
เย่ฉ่าวเฉินกัดฟันหลับตาเล่นเครื่องเล่นชิ้นที่อยู่ทางด้านหลังจนจบ ภาพลักษณ์ต่างๆรักษาไม่ได้ก็ชั่งมัน ในใจของเขาคิดแต่เพียงว่าในชาตินี้ไม่มีความคิดที่อยากจะเล่นเครื่องเล่นพวกนี้อีกแล้ว
อีกด้านหนึ่งทางระเบียงชั้นดาดฟ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง เสี่ยวซีหร่านถือกล้องส่องทางไกลดูเหตุการณ์ต่างๆไปพลางหัวเราะไปพลาง“คิดไม่ถึงเลยว่ากล้องส่องทางไกลที่ซื้อมาจากสวนสนุกจะมีประโยชน์ขนาดนี้ นี่ คุณรีบมาดูเย่ฉ่าวเฉินสิ ฉันรู้สึกว่าเขาใกล้จะเป็นลมไปแล้ว หา——”