วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 238 สัญญาณขอความช่วยเหลือของเธอ
มู่เทียนเย่จ้องไปด้วยใบหน้าหงุดหงิด เขาคิดมาตลอดว่าเป็นศัตรูจากภายนอก แต่ที่แท้คนที่อยู่เบื้องหลังก็เป็นหลานชายที่น่าสงสารของตัวเองกับหลานของภรรยาซะเอง”
“พี่สาว พวกเขาไม่ได้บอกหรอว่าจะไปไหน” เสี่ยวซีหร่านถามต่อ
“ไม่ได้บอก”
เย่ฉ่าวเฉินเดินมาตรงหน้าจางเห่อ กระซิบสองสามประโยค จากนั้นจางเห่อก็พยักหน้าและออกไป
ที่จะพูดก็พูดหมดแล้ว และไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลอะไรอีก ทุกคนจึงเตรียมตัวกลับ
ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง ที่พักกลายเป็นปัญหาหลัก เย่ฉ่าวเฉินถามพี่สาว “แถวนี้มีโรงแรมใหญ่ๆหน่อยมั้ยครับ
“แถวนี้มีแต่ภูเขา ไม่มีโรงแรมหรอกค่ะ ถ้าพวกคุณอยากได้ที่พักก็ต้องไปที่เมืองเล็กๆข้างหน้า ขับรถไปประมาณชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้วค่ะ”
“ครับ ขอบคุณมาก ไม่รบกวนแล้ว สวัสดีครับ” เย่ฉ่าวเฉินถอยตัวเดินออกไปข้างนอก แต่ก็ถูกพี่สาวรั้งไว้ก่อน
“คุณคะ พวกคุณต้องช่วยสาวน้อยคนนั้นกลับมาให้ได้นะคะ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่สบายใจไปตลอดชีวิต” พี่สาวพูดด้วยความรู้สึกผิด
เย่ฉ่าวเฉินไม่เคยอ่อนโยนกับผู้หญิงคนไหน แต่ตอนนี้เขากลับยิ้มให้หญิงชาวนาแสนเรียบง่ายคนนี้ “พี่สาวสบายใจได้ครับ ถ้าผมช่วยเวยเวยกลับมาได้ ผมจะพาเธอมาเยี่ยมแน่นอน”
พี่สาวรีบโบกมือ “ไม่ๆๆ ไม่ต้องมาเยี่ยมฉันค่ะ ชนชั้นอย่างพวกคุณไม่จำเป็นต้องมาถิ่นทุรกันดาลแบบนี้ แค่ให้สาวน้อยคนนั้นปลอดภัยก็พอแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ฉันต้องการค่ะ”
“แน่นอนครับ”
พี่สาวมาส่งทุกคนจนกระทั่งรถขับลับสายตาไป จากนั้นก็ถอนหายใจและเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงลูกชายร้องดังมาจากร้องครัว “แม่รีบมาเร็ว”
พี่สาวตกใจรีบวิ่งเข้าไปในครัว “มีอะไร เกิดอะไรขึ้น”
“ดูสิ”
พี่สาวมองตามนิ้วของลูกชาย ก่อนจะเห็นเงินสามห้อนวางอยู่บนเตาทำอาหารอย่างเรียบร้อย ก้อนละหนึ่งหมื่น ทั้งหมดสามหมื่น นี่เป็นรายได้ของบ้านพวกเขาทั้งปี
พี่สาวไม่ใช่คนโลภ เธออยากคืนเงินให้พวกเขามาก แต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้
เดือนตุลาคมในภูเขาถือว่าเป็นปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ทำให้ทุกที่มีความหนาวเย็น มู่เทียนเย่กลัวว่าเสี่ยวซีหร่านจะหนาวจึงเอาเสื้อของเขามาคลุมให้เธอ และหญิงสาวก็ยอมรับอย่างง่ายดาย
เย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่ข้างคนขับเห็นฉากนี้ก็รู้สึกขัดตา ผู้หญิงคนนี้แกร่งกว่าผู้ชายยังจะต้องการเสื้อคลุมอีกหรอ แต่ถ้าคิดดูดีๆ ถ้ามู่เวยเวยอยู่ข้างๆ เขาก็อาจจะห่มให้เธอหนากว่านี้อีก
กว่ารถจะมาถึงในเมืองเล็กๆก็ดึกแล้ว และก็หาโรงแรมได้แค่ที่เดียวเท่านั้น
ดังนั้นจึงเป็นอย่างนี้
วันถัดไปโรงแรมมีห้องว่างไม่พอ เหลืออยู่แค่ห้องเดียว และราคาก็สูงกว่ามาตรฐาน ห้องที่ธรรมดามากๆ แต่ราคาห้องกลับเท่ากับโรงแรมห้าดาวเลยทีเดียว
จางเห่อตั้งใจจะไปนอนในรถ แต่เย่ฉ่าวเฉินกลับบอกว่า “จางเห่อ นายนอนกับฉันก็พอ”
จางเห่อรู้สึกดีใจมาก เพราะเย่ฉ่าวเฉินออกเดินทาง ไม่เคยนอนกับใครมาก่อน
“บัตรประชาชน” เถ้าแก่ยื่นมือออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ทุกคนเลยหรอครับ” จางเห่อถาม
เถ้าแก่พยักหน้าอธิบาย “ปกติหนึ่งห้อง บัตรประชาชนหนึ่งใบก็ได้แล้ว แต่ตอนนี้เข้มงวดเลยต้องลงทะเบียนทุกคน”
พวกเขายื่นบัตรประชาชนให้เถ้าแก่ จากนั้นเถ้าแก่ก็ลงทะเบียนทีละคน จนเมื่อเขาได้เห็นบัตรประชาชนของเย่ฉ่าวเฉิน เขาก็เผลออ่านออกมาเบาๆ “เย่ฉ่าวเฉินหรอ”
เย่ฉ่าวเฉินหูไวมาก เมื่อได้ยินชื่อของตัวเองก็มองไปที่เถ้าแก่ “มีปัญหาอะไรมั้ย”
เถ้าแก่ตกใจกับสายตาเขาทันที รีบตอบว่า “ไม่มีอะไรครับ แค่รู้สึกเหมือนเคยเจอชื่อนี้ที่ไหน” ตอนนี้กระดาษชำระที่เขียนชื่อเย่ฉ่าวเฉินกับเบอร์โทรไว้คงกำลังร้องไห้อยู่ก้นถังขยะแล้ว
“เถ้าแก่ในเมืองนี้มีร้านอาหารดีๆมั้ย” จางเห่อถาม ครั้งนี้เขารับหน้าที่เป็นผู้ดูแลต้องจัดการทั้งเรื่องกินและที่พัก
เถ้าแก่ลงทะเบียนพลางพูด “อ๋อ เดี๋ยวไปตามถนนเส้นนี้ทางทิศเหนือ ห่างไปประมาณห้าร้อยเมตรมีร้านอาหารพื้นเมืองอยู่ รสชาติไม่เลว”
“ขอบคุณครับ”
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ ทุกคนก็ไปกินข้าว ตอนที่มู่เทียนเย่เดินผ่านเคาน์เตอร์แล้วเห็นบันทึกผู้เข้าพักหนาเตอะ เขาก็ใจเต้น หยุดเดินทันที
เมื่อเขาหยุด เสี่ยวซีหร่านก็หยุดตาม ส่วนเย่ฉ่าวเฉินกับจางเห่อเดินไปถึงประตูใหญ่ เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่ตามมา จึงเดินกลับไป
เถ้าแก่กำลังเปิดคอมดูละครที่กำลังฮิตตอนนี้ แต่เขาก็รู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องอยู่ จึงเงยหน้าขึ้นมามอง และก็เห็นกลุ่มคนที่เพิ่งลงทะเบียนให้เมื่อสักครู่
“มีอะไรมั้ย” เถ้าแก่ถาม
“ทุกคนที่มาพักที่นี่ต้องลงทะเบียนใช่มั้ยครับ” มู่เทียนเย่ถามหน้านิ่ง
“จะมีแค่ช่วงปีใหม่กับวันหยุดที่ลงบันทึกข้อมูลของทุกคน ปกติแล้วไม่มีกฎนี้ ทำไม” ไม่รู้ทำไมเถ้าแก่ถึงรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ
“ช่วงนี้มีคนที่ชื่อจางเหิงมาพักมั้ยครับ”
พอเขาพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนก็เข้าใจความคิดของมู่เทียนทันที
แก๊งที่ลักพาตัวมู่เวยเวยตอนนี้เขาพวกยืนยันได้แค่คนเดียวก็คือจางเหิง แต่พวกเขาอาจจะใช้บัตรปลอมก็ได้ ขนาดใบหน้ายังทำหนังปลอมมาใส่ได้ แค่บัตรประชาชนไม่กี่ใบก็คงทำได้ไม่ยาก
ถึงอย่างนั้นมู่เทียนเย่ก็ไม่อยากปล่อยเบาะแสไปสักอย่าง
“รอเดี๋ยวนะ ผมขอดูก่อน” เถ้าแก่เปิดสมุดบันทึกอยู่หลายหน้าก่อนจะตอบ “ไม่มีคนชื่อจางเหิง ที่นี่เป็นที่หางไกล ก็มีแต่คนในเมืองอย่างพวกคุณนี่แหละมาพัก”
มู่เทียนเย่รู้สึกผิดหวัง และอดไม่ได้ที่จะถามไปอีกหนึ่งประโยค “งั้นเคยมีคนมาพักเป็นกลุ่มมั้ย มีคนหนึ่งใส่หน้ากากสีเงิน แล้วก็มีผู้หญิงอายุยี่สิบกว่ากับลูกวัยหกเดือน
เถ้าแก่ได้ยินก็สีหน้าเปลี่ยนทันที เขาจำคนกลุ่มนี้ได้ดีมาก รีบพยักตอบ “เคยมาๆ”
“จริงหรอครับ” ไม่เพียงแต่มู่เทียนเย่ เสี่ยวซีหร่าน เย่ฉ่าวเฉินและคนอื่นๆก็ตื่นเต้นขึ้นมาเช่นกัน “แน่ใจนะ”
เถ้าแก่ตกใจกลัวกับท่าทางของพวกเขา จึงหดคอลงตอบ “จริงสิครับ วันก่อนมานอนที่นี่คืนนึง พวกคุณถามทำไม”
“พวกเราเป็นญาติของผู้หญิงคนนั้น กำลังออกมาตามหาเธอ” มู่เทียนเย่ตอบอย่างคลุมเคลือ
เถ้าแก่นึกถึงกระดาษทิชชู่ที่ขอความช่วยเหลือนั้นได้ และในที่สุดเขาก็นึกได้ว่าเคยเจอชื่อเย่ฉ่าวเฉินที่ไหน เขาเงยหน้ามองเย่ฉ่าวเฉินและพูด “อ๋อ คุณคือเย่ฉ่าวเฉินหรอ”
“ใช่ผมเอง”
“ตะกี้ผมก็ว่าคุ้นๆอยู่ ตอนนี้นึกออกแล้ว ก่อนออกไปผู้หญิงคนนั้นเอาทิชชู่มาให้ผม แล้วฝากผมแจ้งตำรวจ แล้วบนกระดาษก็เขียนชื่อกับเบอร์โทรคุณด้วย”
เย่ฉ่าวเฉินระเบิดอารมณ์ทันที เขาจ้องเถ้าแก่เขม็งถาม “แล้วทำไมคุณไม่โทรหาผม”
“ผมโทรแล้ว” เถ้าแก่อธิบาย “คุณรับแล้วด้วย แต่พอพูดได้แปบเดียวสัญญาณก็ตัดไป”
“เป็นไปได้ไง ทำไมผมไม่รู้” เย่ฉ่าวเฉินพูดพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา “วันไหน”
เถ้าแก่เปิดสมุดบันทึก “วันที่สิบเก้ากันยา พวกเขาเช็คเอ้าท์ตอนเช้า”
เย่ฉ่าวเฉินหาประวัติการโทรวันนั้นจนเจอ ตอนเช้ามีเบอร์จากเมืองFโทรมา เขาจำได้ว่าตอนนั้นเขากำลังส่งฉู่เจิ่นหยุนอยู่ พอมีเบอร์เข้าเขาก็รับและพูดแค่ประโยคเดียวแล้ววาง เขานึกว่าเป็นเบอร์มิจฉาชีพจึงไม่ได้โทรกลับ
ที่แท้…ก็เป็นสายขอความช่วยเหลือจากเวยเวย
ความเสียใจถาโถมเข้ามาในใจเขาทันที เย่ฉ่าวเฉินพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เสี่ยวซีหร่านกวาดตามองไปที่ทุกคนแล้วถามเถ้าแก่ “แล้วหลังจากนั้นคุณไม่โทรมาอีกหรอ”
เถ้าแก่พูดอย่างรู้สึกผิด “ตอนนั้นมีเรื่องเยอะมาก ผมเลยลืมเรื่องนี้ไป”
“คุณ!” มู่เทียนเย่เกือบจะตบเขา
ตอนนี้ทั้งสามคนไม่มีอารมณ์กินข้าวแล้ว เสี่ยวซีหร่านจึงพูดกับจางเห่อว่า “คุณพาทุกคนไปกินข้าวแล้วซื้อกลับมาด้วยนะคะ”
จางเห่อมองไปขอความเห็นจากเย่ฉ่าวเฉิน และเย่ฉ่าวเฉินก็ได้แต่พยักหน้า ตอนนี้ในหัวเขาคิดแต่เรื่องที่ไม่ได้รับสายนั้น
มู่เทียนเย่หยิบเงินจากกระเป๋าตังออกมาวางบนโต๊ะ และบอกเถ้าแก่ “มา พวกเรามาหาห้องนั่งคุยกันให้ละเอียด”
เมื่อเถ้าแก่เห็นอารมณ์รุนแรงของเขาก็ไม่กล้ารับเงิน จึงดันเงินกลับไป “พวกคุณถามอะไรผมก็จะตอบ ไม่ต้องให้เงิน”
“ห้ามโกหก” มู่เทียนเย่ขู่อย่างน่าเกรงขาม
เถ้าแก่เหยียดหลังตรง พูดอย่างสัตย์จริง “ไม่แน่นอน ผมเป็นนักธุรกิจต้องซื่อสัตย์เป็นที่ตั้ง ไม่มีทางโกหก และผมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคนพวกนั้น ทำไมผมต้องช่วยด้วย”
“รู้ก็ดี ไปเถอะ”
“นี่….” เถ้าแก่ชี้เงินสดบนโต๊ะด้วยท่าทางลังเล
“เงินค่าอาหารเช้าพรุ่งนี้ พวกซื้อมาเยอะหน่อย” มู่เทียนเย่พูดเสียงเย็น
เมื่อมีข้ออ้าง เถ้าแก่ก็รับเงินอย่างสบายใจ “ห้องทำงานผมอยู่ข้างๆ เข้าไปคุยกันเถอะ”
เมื่อทั้งสี่คนนั่งเรียบร้อยแล้ว สภาพของเย่ฉ่าวเฉินจึงดูดีขึ้นมาบ้าง มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเสียใจขนาดไหน
“คนกลุ่มนั้นมาพักตอนคืนวันที่28….”
เมื่อเถ้าแก่พูดเรื่องที่ตนรู้จนจบ บรรยากาศก็กดดันขึ้นมามาก ทั้งสามคนปะติดปะต่อเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นในใจ
มู่เวยเวยอุ้มลูกหนี และมาซ่อนตัวอยู่ที่บ้านพี่สาว คิดไม่ถึงว่าจะถูกจางเหิงจับได้และพากลับมา แต่จากที่ฟังเถ้าแก่เล่า คนใส่หน้ากากเงินนั่นไม่ได้ทำรุนแรงกับมู่เวยเวย อย่างน้อยคืนนั้นก็ไม่ได้ทำให้มู่เวยเวยต้องลำบากใจ
“คนที่ใส่หน้ากากเงินชื่ออะไร คุณรู้ไหม” เย่ฉ่าวเฉินถาม
“ไม่รู้ครับเขาไม่ค่อยพูด เรื่องทั้งหมดจางเหิงเป็นคนจัดการหมด”
“พวกเขามีทั้งหมดกี่คน” มู่เทียนเย่ถาม
เถ้าแก่นับนิ้วและตอบ “ถ้ารวมเพื่อนของคุณแล้วก็สิบคน ยังไม่รวมเด็ก”
“วันต่อไปพวกเขาไปทางไหน”
“ขึ้นไปบนเขา”
ต้องขึ้นเขาอยู่แล้ว เพราะจุดประสงค์ของพวกเขาที่นี่ก็คือขึ้นเขาหาสมบัติ
“เถ้าแก่ที่นี่มีตำนานมั้ย อย่างเช่นตรงไหนบนเขามีสมบัติอะไรอย่างนี้”
เถ้าแก่หลุดหัวเราะทันที “นี่หนูคนสวย ถ้าบนภูเขามีสมบัติคงไม่เหลือมาถึงตอนนี้หรอก มันน่าจะถูกขุดหมดแล้วแหละ”
เย่ฉ่าวเฉินเงียบอยู่ครู่หนึ่งและพูด “เถ้าแก่ช่วยพวกเราหานายพรานได้มั้ย พรุ่งนี้พวกเราจะขึ้นเขา”
“ไม่มีปัญหา” เถ้าแก่ตอบตกลงและมองพวกเขาอย่างสงสัย “แต่พวกคุณมาหาเพื่อนหรือมาหาสมบัติกันแน่”
“พวกเรามาตามเพื่อน แต่คนกลุ่มก่อนหน้ามาหาสมบัติ” เย่ฉ่าวเฉินอธิบายง่ายๆ
เถ้าแก่งง “แปลกจริงๆ ผมอยู่ที่นี่ตั้งแต่เล็กๆ ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าที่นี่มีสมบัติ คนพวกนั้นรู้ได้ยังไง”
“คิดว่ามีคนหลอกมา” เฉ่ฉ่าวเฉินพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ประโยคหลังเขาไม่ได้พูดออกมา จริงๆแล้วเป็นเขาเองที่หลอกพวกนั้นมา
เมื่อถามเรื่องราวทั้งหมดเร็จ พวกจางเห่อก็กลับมาพอดี ในมือเขาถือถุงพลาสติกที่บรรจุกล่องอาหารหลายชนิด
มู่เทียนเย่ลุกขึ้นก่อน “กินข้าวก่อนค่อยคุยกัน”
เย่ฉ่าวเฉินกับเสี่ยวซีหร่านไม่ออกความเห็น
จริงๆสถานการณ์ตอนนี้ดีกว่าที่เย่ฉ่าวเฉินคิดไว้มาก เขาคิดว่าต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะหาข้อมูลของมู่เวยเวยได้ คิดไม่ถึงว่าแค่วันเดียวจะได้ข้อมูลมากขนาดนี้
เขาเชื่อว่าถ้าตามเบาะแสนี้ไป เขาต้องหาเวยเวยกับลูกเจอ
……
อีกด้านหนึ่ง
ภายใต้การนำทางของคุณฉ่าย กลุ่มของกาวินก็ข้ามน้ำข้ามภูเขามาจนถึงปากถ้ำครึ่งเขา เด็กนอนหลับบนหลังมู่เวยเวยตั้งนานแล้ว และรองเท้าของเธอก็เลอะโคลนจนดูไม่ออกแล้วว่าเป็นแบบไหนสีอะไร
หลังจากเดินเป็นเวลานานเธอก็หมดแรง
เธอนั่งหอบอยู่บนก้อนหินใหญ่ หลังจากที่เธอหนีและไม่สำเร็จในวันนั้น ไม่ว่ากาวินจะไปไหนเธอก็ต้องตามเขาไปด้วย จึงทำให้เธอไม่มีเวลาพัก และโอกาส
แถมอลิซก็แสดงท่าทีไม่เป็นมิตรกับเธอมากๆด้วย แต่เธอก็เข้าใจดี เธอรู้ว่าถ้าไม่ใช่คำสั่งของกาวิน นอกจากจางเหิงแล้ว อลิซก็เอามีดมาจี้คอเธอหลายครั้งแล้วเหมือนกัน
คุณฉ่ายกับกาวินกำลังกระซิบคุยกันอยู่ไม่ไกล
“คุณว่าถ้ำนี้ใหญ่แค่ไหน” กาวินถาม
คุณฉ่ายมีท่าทีเคร่งขรึมมาก “ผมไม่รู้ แต่ไหนๆก็มาแล้ว ทำไมไม่เข้าไปดูหน่อยล่ะ”
กาวินมองถ้ำทึบ และคิดว่าจะให้ลูกน้องเข้าไปดู แต่เมื่อเห็นมู่เวยเวยนวดขาอยู่ จึงขมวดคิ้วพูด “มู่เวยเวยมานี่”
มู่เวยเวยเงยหน้ามองเขาอย่างใจเย็น “ทำไม”
กาวินพูดห้วนๆ “เข้าไปดูซิข้างในมีอะไรรึเปล่า”
“คุณบ้าหรอ” มู่เวยเวยโพล่งออกมา “ฉันจะเข้าไปได้ยังไง”
“เดินเข้าไปน่ะสิ ผมก็อยากเห็นคุณบินเข้าไปเหมือนกัน แต่เสียดายคุณไม่มีปีก” กาวินเย้ยเธออย่างเย็นชา และคนที่อยู่แถวนั้นก็ได้แต่มองเงียบๆ
มู่เวยเวยรู้ว่ากาวินต้องการทำร้ายเธอ ถ้ำมืดขนาดนั้น ใครจะไปรู้ว่าข้างในจะมีอะไร
“ฉันไม่ไป” มู่เวยเวยปฏิเสธ
กาวินแสยะยิ้มพูด “มู่เวยเวยผมว่าคุณเข้าใจผิดไปนะ คุณเป็นตัวประกัน ไม่ใช่แขก ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”
ความโกรธของมู่เวยเวยปะทุขึ้น “พวกคุณผู้ชายเยอะขนาดนี้ แต่ให้ผู้หญิงเข้าไปคนเดียวเนี่ยนะ”
“ใช่ มีปัญหาอะไรมั้ย” กาวินแกล้งถามซื่อๆ
“มีแน่นอน ฉัน ฉันไม่มีประสบการณ์เลย แถมไม่มีทักษะอะไร ถ้าในนั้นมีอะไร….”
กาวินส่งสายตามุ่งร้าย “ถึงได้ให้คุณไปไง”
“คุณ….” ในที่สุดมู่เวยเวยก็รู้ถึงเจตนาร้ายของเขา คนพวกนี้ตั้งใจเอาเธอเป็นหนูทดลอง แล้วเธอตกลงได้ยังไง
กาวินเห็นมู่เวยเวยตาหลุกหลิกก็รู้ทันทีว่าเธอกำลังใช้สมองอยู่ จึงพูดยิ้มๆ “มู่เวยเวย ผมว่าคุณประหยัดพลังงานหน่อยดีกว่า ยังไงคุณก็หนีไปไม่ได้ ตอนนี้ผมมีให้คุณสองทางเลือก หนึ่งแบกเด็กเข้าไปด้วยกัน หรือสองเอาเด็กไว้นอกถ้ำ คุณเข้าไปคนเดียว”
“กาวินคุณทำเกินไปแล้ว” มู่เวยเวยยังพูดไม่ทันจบ จางเหิงก็เดินมาข้างหลังเธอ ทำให้เธอตกใจยืนขึ้น และตวัดสายตาไปมองจางเหิงโกรธๆ “คุณจะทำอะไร”
“มู่เวยเวยเลือกเร็ว ผมไม่มีความอดทนขนาดนั้น” น้ำเสียงของกาวินเย็นชาขึ้น
มู่เวยเวยกัดฟันอย่างโกรธแค้น และจำใจเลือกทางที่ดีต่อลูกมากที่สุด เธอจะปล่อยให้ลูกเข้าไปเผชิญความลำบากกับเธอได้ยังไง
“โอเค ฉันเข้าไปคนเดียว” มู่เวยเวยพูดและคลายสายรัดที่อกเพื่อถอดกระเป๋าออกเหมือนครั้งที่แล้วที่หนีไป ลูกนอนหลับสนิทอยู่ในกระเป๋า แต่จางเหิงก็หยาบคายอย่างคาดไม่ถึง เขาถือกระเป๋าด้วยมือเดียวจนเด็กเกือบตกลงมา
มู่เวยเวยแทบจะเป็นลม “ไอ้เหี้ยจางเหิงเบาหน่อยไม่ได้รึไง”
“ไม่ได้” จางเหิงก็ตอบกลับอย่างโหดเหี้ยม
มู่เวยเวยคลั่ง
เธอนั่งลงบนหิวอีกครั้ง และจ้องกาวินพูดว่า “ฉันไม่ไปแล้ว จะฆ่าจะแกงกันก็ตามใจ”
“คุณแน่ใจนะ”
มู่เวยเวยทำท่าไม่สนใจ “ใช่ ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี ฉันไม่อยากทนกับไอ้สวะนี่แล้ว คุณช่วยมอบความสุขให้พวกเราแม่ลูกก็ได้ อย่างน้อยตายไปก็มีเพื่อนร่วมทาง”
“คุณเป็นตัวประกันชั้นดีขนาดนี้จะปล่อยให้ตายได้ยังไง” กาวินยิ้มเย็น และเดินมาอุ้มเด็กจากจางเหิงไป “ผมอยู่ทั้งคน ไม่มีใครทำร้ายลูกคุณได้ คุณไปอย่างสบายใจเถอะ”
มู่เวยเวยขมวดคิ้ว “ทำไมฉันฟังแล้วเหมือนคุณให้ฉันไปตายเลย”
“ไม่ใช่ ผมแค่ให้คุณไปสำรวจ เอาล่ะ ไม่ต้องพูดไร้สาระแล้ว ถ้าในถ้ำนี้มีสมบัติจริงๆ คุณกับลูกของคุณก็จะเป็นอิสระ”
มู่เวยเวยไม่ได้อยากตายจริงๆ เธอเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่า ลูกชายก็เพิ่งหกเดือน ชีวิตยังอีกยาวไกล ทำไมต้องมาตายด้วยน้ำมือคนพวกนี้ด้วย ที่เธอกังวลก็คือลูก ถ้าเธอเข้าไปในนั้น แล้วจางเหิงเกิดทำอะไรลูกเธอขึ้นมาจะทำยังไง ดังนั้นเธอต้องการรับรองความปลอดภัยของลูก
เธอรู้สึกได้ว่าถึงกาวินจะเลวแค่ไหน เขาก็ดีกับลูกของเธอจริงๆ ดังนั้นลูกอยู่ในมือเขาคงไม่เป็นอันตราย
มู่เวยเวยหายใจเข้าลึกๆให้กำลังใจตัวเอง และเดินเข้าไปในถ้ำอย่างโดดเดี่ยว”
“เดี๋ยว”
มู่เวยเวยหยุดเดินทันทีอย่างดีใจ หรือกาวินจะมีความรู้ผิดชอบชั่วดีและไม่ให้เธอไปแล้ว เธอรีบดึงสติกลับมา แต่ก็ได้ยินเขาพูดว่า “จางเหิง เอาเทียนกับไฟฉายให้เธอ”
จางเหิงหยิบเทียนและไฟฉายให้เธอโดยไม่ขัด
“จุดไฟ” มู่เวยเวยถือเทียนแล้วพูด เธออยู่กับพวกเขามาหลายวันจนได้เรียนรู้อะไรไม่น้อย พื้นที่ที่ไม่มีคนมานานแบบนี้อากาศน้อยมาก เทียนเอาไว้ใช้ตรวจว่าตรงนั้นมีอากาศรึเปล่า ถ้าไฟดับก็แปลว่าอย่าเข้าไปลึกกว่านั้น
มู่เวยเวยเหยียบตะไคร่เขียวฉ่ำเข้าไปในถ้ำ
ถ้ำเก่าอก่นี้เหมือนเป็นถ้ำที่งอกออกมาจากหินขนาดใหญ่ รอบๆเต็มไปด้วยหิน จากปากถ้ำหนึ่งหรือสองเมตรแสงแดดสามารถส่องถึงได้ มันถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำลื่นๆนุ่มๆ เมื่อดข้าไปเรื่อยๆถ้ำก็ยิ่งมืด มู่เวยเวยเปิดไฟฉาย ในขณะที่อีกมือก็ถือเทียนที่ยังไงส่องสว่างปกติอยู่
ทุกที่ที่ไฟฉายส่องไปมีแต่หินงอกแหลมๆ เส้นทางเริ่มเดินยากขึ้นเรื่อยๆ มู่เวยเวยเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาในใจ
ความมืดเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ทุกคนมักจะกลัวกับความมืดที่ไม่อาจรู้อะไรเลย
ตอนนี้มู่เวยเวยก็นึกถึงเสี่ยวซีหร่านขึ้นมา เพื่อนคนที่ชอบความท้าทาย ถ้าตอนนี้เธออยู่ที่นี่ต้องตื่นเต้นสุดๆแน่
ลมเย็นยะเยือกพัดมาจากในถ้ำ พร้อมด้วยกลิ่นเน่าโชยมา มู่เวยเวยขนลุกพูดกับตัวเองว่า “ถ้ำนี้จะลึกขนาดไหนกันนะ”
พูดจบเธอก็ได้ยินเสียง “พับๆ” ดังขึ้นมา เธอรีบส่องไฟฉายไปทั่วด้วยใจสั่นระรัว หน้าชา ขาสองข้างแทบทรุดลงไปกับพื้น
เธอเห็นบนถ้ำมีค้างคาวอยู่มากมายกำลังใช้สายตาเขียวๆจ้องมาที่เธออยู่ และก็มีอีกหลายตัวที่บินวนอยู่ข้างบนเพราะยังหาที่เกาะไม่ได้
มู่เวยเวยไม่เคยเห็นค้างคาวตัวเป็นๆมาก่อน แต่เคยเห็นในทีวีบ่อยมาก และที่ไหนที่มีค้างคาวก็มักจะมีการนองเลือดเสมอ ที่ไหนมีพวกมันก็มักมีศพและเลือด
มู่เวยเวยทำใจแข็งส่องไฟไปที่พื้น โชคดีที่นอกจากความมืดแล้วก็ไม่มีอะไรน่ากลัว
เธอไม่กล้าหายใจแรง เพราะกลัวจะสูดส่งไม่ดีต่อร่างกายเข้าไป เธอมองเทียนในมือที่ยังส่องแสงดีอยู่ แค่ดวงไฟเล็กลงน้อยเท่านั้น
เธอกลืนน้ำลายทำใจให้สงบ และยกมือขึ้นมาพนมมืดพูด “ขอโทษๆ ไม่รบกวนแล้ว ฉันไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษจริงๆ”
ค้างคาวดูจะไม่สนใจเธอมากนัก นอกจากจ้องเธอแล้วก็ไม่ได้โจมตีเธอ มู่เวยเวยเดินเข้าไปต่อ
“ติ๊งๆๆๆ….”
เสียงน้ำหยดดังเบาๆผ่านความมืด ราวกับน้ำหยดลงมาจากถ้ำลงไปในน้ำ ยิ่งอยู่ในถ้ำเสียงก็ยิ่งก้องกังวาล มู่เวยเวยหาที่มาของเสียงอย่างสงสัย จากนั้นหลายเมตรเธอก็เห็นแอ่งน้ำขนาดเมตรกว่าอยู่ตรงหน้า แอ่งน้ำใสมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าลึกขนาดไหน บนยอดเขาชุ่มชื้นมาก จึงมีน้ำหยดลงมาตามหินย้อย และตกลงในแอ่งน้ำพอดี
ไม่รู้ว่าน้ำหยดลงมาอย่างนี้กี่ร้อยปีแล้วถึงได้กลายเป็นแอ่งน้ำแบบนี้
มู่เวยเวยมองไปรอบๆ ในถ้ำตรงนี้นอกจากจะชื้นกว่าข้างหน้าแล้วก็ไม่มีอะไรไม่เหมือนกันอีก
ดังนั้นเธอจึงเดินผ่านแอ่งน้ำเดินลึกเข้าไปอีก เมื่อเธอเหยียบลงขอบแอ่งก็ได้ยินเสียง “แควก~” ดังขึ้นมา มู่เวยเวยตกใจจนแทบสิ้นสติ จึงกรี๊ดออกมาโดยไม่รู้ตัว
“กรี๊ดดด”
เสียงกรี๊ดหวาดกลัวสะท้อนออกมาจนถึงปากถ้ำ กาวินได้ยินก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เธอเจออะไรถึงกลัวขนาดนั้น
จางเหิงกับอลิซยืนขึ้นสบตากันยิ้มๆ ผู้หญิงคนนั้นกลัวอยู่ในนั้นก็ดี จะได้ไม่ต้องให้พวกเขาลงมือ
หลังจากตื่นตระหนก มู่เวยเวยก็ส่องไฟฉายไปในน้ำ ก่อนจะเห็นปลาตัวใหญ่ว่ายน้ำอยู่ และบางทีก็กระพือหางจนน้ำกระเด็น
มู่เวยเวยไม่เคยเห็นปลาแบบนี้มาก่อน มันดูสบายๆ ราวกับอยู่ในความมืดมานานแล้ว และดูไม่สนใจรูปลักษณ์ของตัวเองเลย
หัวใหญ่มาก ตาสองข้างเล็กๆ อาจะเป็นเพราะอยู่ในความมืดมานาน ความสามารถในการมองจึงลดลง แต่ก็มีหนวดมากมายบนหัวของมัน
มู่เวยเวยแปลกใจมาก มันมีชีวิตอยู่ได้ยังไง ในนี้ไม่มีปลาตัวเล็ก เธอเพิ่งจะคิดได้ถึงตรงนี้ปลาตัวใหญ่แสนน่าเกลียดก็หายไปในน้ำภายในพริบตา
หรือข้างล่างแอ่งน้ำนี้จะเชื่อมกับน้ำใต้ดิน นี่เป็นแหล่งออกซิเจน มันมาสูดอากาศ และบังเอิญเจอเธอพอดี
นี่มันถ้ำอะไรกันแน่ มู่เวยเวยพึมพำในใจ
อยากจะออกไปบอกกาวินตั้งแต่ตอนนี้จริงๆว่าในนี้ไม่มีอะไรอยู่เลย แต่เธอก็สงสัยว่าจะเจอกับอะไรอีก จึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปอีก
เปลวเทียนเริ่มวูบไหว มู่เวยเวยรู้สึกว่าเริ่มหายใจลำบากมากขึ้น ไม่ต้องเข้าไปแล้ว ส่วนลึกในใจบอกเธอ แต่สองขากลับไม่หยุดเดิน
ข้างหน้าเป็นทางเลี้ยว มู่เวยเวยยืนอยู่กับที่คิดอย่างจริงจังว่าจะเข้าไป หรือกลับไปดี
เมื่อตัดสินใจได้ มู่เวยเวยก็เดินเข้าไปด้วยใจระทึก เมื่อเดินไปถึงทางโค้ง เธอก็ชนกับอะไรบางอย่างจนล้มลงกับพื้น เทียนในมือร่วงลงพร้อมกับดับไป แต่โชคดีที่เธอยังกำไฟฉายไว้แน่น
“โอ้ย เจ็บชิบ” มู่เวยเวยยันมือกับพื้นพยุงตัวขึ้น แต่ก็รู้สึกว่ามือตัวเองจับโดนอะไรอยู่ เมื่อเอาไฟฉายมาส่องดู วิญญาณเธอก็ราวกับหลุดออกจากร่างทันที
“กรี๊ดๆๆๆ” มู่เวยเวยจ้องกะโหลกในมือและกรี๊ดเสียงดัง ตอนนี้มีแค่เสียงกรี๊ดเท่านั้นที่สามารถบรรเทาความกลัวในใจเธอได้
เธอโยนกะโหลกในมือลงพื้นอย่างรวดเร็ว ไฟฉายส่องไปทั่วจนทำให้มู่เวยเวยกลัวแทบตาย ทุกที่ที่ส่องไปมีแต่โครงกระดูก
เดินต่อไปไม่ไหวแล้ว มู่เวยเวยวิ่งออกไปข้างนอกด้วยขาอ่อนแรงโดยไม่คิดชีวิต ราวกับว่าข้างหลังมีวิญญาณเร่ร่อนกำลังตามเธอมา เสียงวิ่งที่ก้องกังวาลปลุกค้างคาวให้ตื่นขึ้นมา กระพือปีกบินออกมานอกถ้ำมากมาย
ฉากนี้ทำให้คนข้างนอกตกใจไปตามๆกัน ไม่เคยมีใครเคยเห็นค้างคาวเยอะขนาดนี้มาก่อน
กาวินอุ้มเด็กน้อยที่กำลังหลับอยู่ นอกจากสายตาจะมีความตกใจแล้วยังมีความกังวลด้วย มู่เวยเวยคงไม่ตกใจตายอยู่ข้างในใช่มั้ย
ความกังวลยังไม่ทันคลายลงก็เห็นร่างคุ้นตาวิ่งออกมาจากข้างใน พร้อมกับค้างคาวที่วิ่งวนอยู่รอบๆ….
ทันทีที่มู่เวยเวยวิ่งออกมาจากถ้ำ ก็ทรุดลงกับพื้นหอบอย่างรุนแรง ใบหน้าของเธอซีดเผือด ผมยุ่ง และดวงตาเต็มไปด้วยความผวา เทียนในมือของเธอไม่มีแล้ว เหลือแค่ไฟฉายที่เธอกำแน่นอยู่ในมือ
ทุกสายตาต่างจ้องไปที่เธอ บ้างก็สงสัย บ้างก็สะใจ และก็มีบางคนที่เป็นห่วง
“มู่เวยเวยคุณเจออะไรข้างใน” กาวินถาม
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาไม่พูดไม่จา ราวกับฟังไม่ออกว่าเขาพูดอะไร
กาวินอยากถามอีกครั้ง แต่ก็ถูกคุณฉ่ายห้ามไว้ก่อน “อย่าเพิ่งถามเลยครับ ถามไปก็ไม่ได้คำตอบ ตอนนี้เธอกลัวจนสติหลุดไปแล้ว ให้เธอพักหายใจก่อนเถอะ”
คุณฉ่ายพูดไม่ผิด มู่เวยเวยกลัวจนสติหลุดไปแล้ว
ฉายน่าสยดสยองนั้นเธอจะไม่ลืมไปตลอดชีวิต
เสียงหอบค่อยๆเบาลง แทนที่ด้วยเสียงสะอื้นเบาๆ ก่อนที่เสียงจะค่อยๆดังขึ้นและกลายเป็นร้องไห้เสียงดัง
ผู้หญิงคนเดียวร้องไห้อย่างเจ็บปวดท่ามกลางภูเขาที่เงียบสงบ คนรอบข้างไม่มีใครยื่นทิชชู่ให้ ไม่มีใครเลยที่ดึงเธอเข้าอ้อมกอดและปลอบอย่างอ่อนโยน
มู่เวยเวยรู้สึกเสียใจมาก
กาวินมองเธออย่างแปลกใจ คราวก่อนที่โรงพยาบาลเธอเจ็บหนักขนาดนั้นยังกัดฟันหลั่งน้ำตาเงียบๆ เขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งมาก ไม่คิดว่าจะมีช่วงเวลาอ่อนแอแบบนี้
ไม่รู้ว่าร้องไห้ไปนานแค่ไหน กาวินไม่ได้เข้าไปรบกวนเธอ การได้ร้องไห้เป็นการบรรเทาอารมณ์เมื่อเกิดความกลัว ถ้าอดกลั้นไว้อาจเกิดอาการทางจิตได้
ในที่สุดมู่เวยเวยก็หยุดร้อง ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา เธอหายใจเบาๆ และสงบจิตใจลง
“โอเค ตอนนี้บอกได้รึยังว่าเจออะไร ทำไมถึงกลัวขนาดนี้” กาวินถามอย่างใจเย็น
เธอเงยหน้าขึ้นมอง ตอบเขาเสียงสั่น “ข้างในมีศพเยอะมาก ไม่ใช่ศพ แต่เป็นโครงกระดูกเยอะมากๆ”
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที ไม่แปลกใจที่เธอจะตกใจขนาดนี้
“แน่ใจนะว่าเป็นโครงกระดูกคน ไม่ใช่สัตว์” กาวินถามต่อ
มู่เวยเวยส่ายหน้า “ไม่ใช่สัตว์ เป็นคน ฉัน ฉันยังได้จับกะโหลกด้วย พวกเขามองมาที่ฉัน….” พูดไป น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาเม็ดใหญ่
กาวินมองเธออย่างจนใจ และหันไปถามคุณฉ่าย “คุณคิดว่าไง”
คุณฉ่ายขมวดคิ้ว “ถ้ำนี้อยู่ไกลจากหมู่บ้านมากจะมีคนมาตายในนี้ได้ยังไง แถมถ้าเป็นโครงกระดูกแล้วล่ะก็แปลว่าตายมานานแล้ว”
“ให้คนเข้าไปดูอีกดีมั้ย” กาวินถามความเห็นเขา
คุณฉ่ายมองมู่เวยเวยอย่างลังเลและตอบ “ให้คนใจกล้าสองคนเข้าไปแล้วกัน ดูว่าหลังศพมีอะไร”
กาวินกวาดตาไปมองลูกน้องของตัวเอง ทุกคนต่างก้มหน้า แม้แต่จางเหิงกับอลิซก็เช่นกัน ทุกคนต่างมีเลือดมีเนื้อ ใครๆก็กลัวทั้งนั้น แถมยังมีเรื่องของมู่เวยเวยเป็นบทเรียนอีก
“จางเหิง มึงเลือกอีกสองคนตามเข้าไป” กาวินพูดเสียงเย็น
จางเหิงตัวเกร็งทันที แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงพยักหน้าอย่างจำใจ ก่อนจะเรียกชื่ออีกสองคน เตรียมของ และเดินเข้าไปในถ้ำ
“เดี๋ยวก่อน” มู่เวยเวยลุกยืน แม้ว่าขาของเธอจะอ่อนแรง แต่เธอก็สุขใจมากที่ได้ให้ความหนักใจแก่จางเหิงเข้าไปอีก ทั้งสามคนหันมามองเธอ มู่เวยเวยจึงพูด “ข้างในมีแอ่งน้ำ ในน้ำมีปลาใหญ่ๆเยอะมาก มันเป็นปลากินคน เมื่อกี้ฉันก็เกือบถูกพวกมันดึงลงไป”
จางเหิงกับพรรคพวกยังไม่ทันได้เดินเข้าไปก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอีกเท่าตัว
เมื่อทั้งสามคนเข้าถ้ำไปแล้ว สายตาของมู่เวยเวยก็ส่องประกายสุขใจขึ้นมา
“เมื่อกี้พูดจริงหรือหลอกพวกมัน” กาวินถามอย่างดุดัน
มู่เวยเวยยิ้มเย็น “ทำไมฉันต้องหลอกพวกเขาด้วย”
“เล่นตลก ไม่ก็ข่มขวัญพวกมันไง”
“หึ ฉันดูว่ามาพูดตลกรึไง” ตอนนี้มู่เวยเวยได้สติกลับมาแล้ว มีอารมณ์ต่อปากต่อคำแล้ว เธอเดินไปจะอุ้มลูกมาจากกาวิน แต่กาวินก็เดินถอยหลังสองก้าวอย่างรังเกียจ”
“กลิ่นบนตัวคุณไม่ดี อย่าเอาอะไรไม่ดีมาให้เด็ก”
มู่เวยเวยเพิ่งนึกได้ ใช่สิ เมื่อกี้เธอจับโครงกระดูกคน จะอุ้มลูกได้ยังไง
“ฉันไปล้างมือใกล้ๆนี้นะ” มู่เวยเวยจำได้ว่าใกล้ๆนี้มีลำธารเล็กๆไหลผ่าน ตอนมายังผ่านอยู่เลย
อลิซมองตามมู่เวยเวยไป และเดินมาถามกาวิน “ให้ฉันตามไปดูมั้ยคะ”