วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 242 : พาลูกไปก่อน
“ยังไม่ไปอีก? ” มู่เวยเวยแทบจะกรีดร้องใส่เขาด้วยกำลังทั้งหมด “ถ้าลูกเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา ฉันจะเกลียดคุณไปตลอดชีวิต”
โอกาสอันดีจะสูญเสียไปแล้ว
เย่ฉ่าวเฉินปวดใจจนยากที่จะอดกลั้น แขนก็อุ้มขึ้นมา นำลูกมาโอบกอดไว้แล้วหายไปในอากาศ
ทันทีที่กาวินกับจางเหิงรีบเข้ามาก็เห็นเหมือนเงาของคนคนหนึ่งหายไปอย่างฉับพลัน
“คลิก” ไฟถูกเปิด
ทั้งห้องก็สว่างขึ้นมา มู่เวยเวยปล่อยอลิซ ใช้มือบังแสงที่แยงตา มองดูแล้วไม่พบลูก จึงยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก
อลิซใช้หลังมือตบเข้าไปที่หน้าของเธออย่างเสียงดังฟังชัด “นังสารเลว”
หูของมู่เวยเวยถูกตบจนดังวึ๊ง มีรอยเลือดซึมที่มุมปาก เธอถ่มเลือดออกมาอย่างใจเย็น นั่งบนพื้นมองผู้คนที่เข้ามาด้วยสายตาไม่แยแสและเย้ยหยัน การแสดงออกบนใบหน้าของพวกเขาช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน
ตกใจ โกรธ เดือดดาล แล้วก็มีความหวาดกลัวเล็กน้อย
ใช่สิ เห็นคนคนหนึ่งที่มีชีวิตหายไปต่อหน้าต่อตา จะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร?
เพียงแต่เธอดีใจอย่างมาก ในที่สุดลูกก็ปลอดภัย ส่วนชีวิตของเธอ ก็ไม่ต้องคิดพิจารณาแล้ว
กาวินเห็นว่าเด็กไม่อยู่แล้ว ใจของเขาคล้ายกับก้อนที่ว่างเปล่า เดินเข้าไปข้างหน้า บีบคอของมู่เวยเวย ถามอย่างดุดันว่า “เมื่อกี้ใคร? แล้วเด็กล่ะ? ”
มู่เวยเวยยิ้มอย่างเย็นชาให้เขา
“ตอบคำถามฉัน! ”
มู่เวยเวยถูกบีบคอจนหายใจไม่ออก สายตาที่เย็นชามองไปที่ดวงตาที่สงสัยคู่นั้น “แน่นอนว่าเด็กกลับบ้านไปแล้ว”
กาวินตกตะลึง นึกถึงเงาดำที่ปรากฏสองสามครั้งนั้น ดูเหมือนว่าจะเข้าใจอะไร “บุคคลลึกลับนั้นก็คือเย่ฉ่าวเฉินใช่ไหม? ”
มู่เวยเวยหัวเราะ “ฉันไม่รู้ ไม่อย่างงั้น คุณก็ต้องไปถามเย่ฉ่าวเฉินเอง”
“คุณรนหาที่ตาย! ” มือกาวินยิ่งบีบแรงขึ้น เมื่อมู่เวยเวยกำลังตาเหลือก ก็มีรายงานด่วนจากลูกน้องที่อยู่ด้านหลัง “เจ้านาย มีหลายคนมาที่ชั้นสี่”
กาวินโยนผู้หญิงคนนั้นลงพื้นไป หึ ที่แท้ก็มีคนรับช่วงต่อ
“เอาตัวมันมา” มีความกระหายเลือดเผยออกมาจากในดวงตาจองกาวิน เมื่อหันไปมองหญิงสาวที่นอนหอบอยู่บนพื้นอย่างรุนแรงจึงพูดกับอลิซว่า “จับตาดูเธอไว้ อย่าให้เธอตาย ตอนนี้เธอคือเครื่องรางของเรา”
อลิซรีบสวมเสื้อผ้าให้ดีอย่างรวดเร็ว นำปืนสองกระบอกและกริชหนึ่งเล่มออกจากกระเป๋าเดินทางที่พกติดตัว จากนั้นก็ดึงมู่เวยเวยขึ้นมา “ไปเถอะ พวกเขาไม่ได้มาช่วยคุณหรือไง? ออกไปดูหน่อยว่าเป็นใคร”
กองกำลังทั้งสองฝ่ายเจอกันที่ทางเดินแคบๆ และมืดสลัว คนนำหน้าไม่ใช่ใครอื่น คือเย่ฉ่าวเฉินที่เพิ่งออกไปเมื่อกี้ ตาทั้งคู่ของเขายังคงเป็นสีม่วง ข้างๆ เขา เป็นมู่เทียนเย่ที่โกรธจนเผยความดุร้ายออกมา
“เย่ฉ่าวเฉิน เป็นคุณจริงๆ ด้วย” กาวินหัวเราะเยาะ เล็งปืนไปที่เย่ฉ่าวเฉิน “ฉันแปลกใจจริงๆ เลย สรุปแล้วคุณเป็นคนหรือเป็นผีกันแน่? ”
เย่ฉ่าวเฉินไม่ไร้สาระกับเขา “เวยเวยล่ะ? ส่งเธอมา แล้วฉันจะปล่อยพวกคุณไป”
“คุณคิดว่าฉันเป็นเด็กสามขวบหรือไง? หากไม่มีเครื่องรางตัวนี้ ฉันจะออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยได้อย่างไร? ”
“ขอเพียงแต่คุณปล่อยเธอ ฉันสาบาน จะไม่ตามหาอย่างแน่นอน”
“ฮ่าฮ่า” กาวินหัวเราะอย่างอันธพาล “น่าเสียดาย คนอย่างฉันนี้นอกจากตัวเองก็ไม่เชื่อใครแล้ว พาเธอมาให้ฉัน”
อลิซผลักมู่เวยเวยไปทางด้านหน้าของกลุ่มคน เธอยังคงสวมชุดนอนบางๆ ก้อนเขียวก้อนม่วงช้ำบนแขนที่ขาวราวกับหิมะ ใบหน้าทั้งหมดปูดบวมขึ้นมา
“เวยเวย——” มู่เวยเวยตะโกนออกมาอย่างเจ็บปวดใจ
มู่เวยเวยสั่นสะท้านเมื่อได้ยินเสียงนี้ มองจากไกลๆ ภายใต้แสงทางเดินที่สลัว เป็นชายคนหนึ่งยืนอยู่แต่รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ความดีใจและแปลกใจก็เข้ามาในใจเธอทันที เป็นพี่ เป็นพี่จริงๆ ด้วย
“พี่ พี่ คุณยังมีชีวิตอยู่ คุณยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ด้วย” มู่เวยเวยน้ำตาคลอเบ้า โผไปทางข้างหน้าเล็กน้อยอย่างตื่นเต้น ทว่าถูกอลิซขวางหน้าไว้ เพราะความวุ่นวายของเธอ คอจึงถูกกริชแหลมคมกรีดจนเป็นรอยเลือดสีแดงสด
อลิซหัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ เข้าหาคมมีดด้วยตนเองเลย”
“อย่าทำร้ายเธอ เธอตายแล้ว พวกคุณก็จะไม่มีชีวิตรอด” มู่เทียนเย่ตะโกนด้วยความโกรธและร้อนรนใจ
กาวินยิ้มอย่างเยือกเย็น “พวกคุณเปิดทาง ให้พวกเราออกไป ฉันก็จะไม่ฆ่าเธอ”
“คุณคิดว่าคุณจะหนีไปได้ใช่ไหม? ” ในตาของเย่ฉ่าวเฉินสีม่วงเข้มขึ้น
“ไม่ลองจะรู้ได้อย่างไรล่ะ? ” พูดจบ กาวินก็หยิบกริชในมือของอลิซ เงื้อมีดขึ้น แทงเข้าไปที่มู่เวยเวย
“อ้า——” มู่เวยเวยร้องออกมาอย่างน่าเวทนา ดึงกริชออก เลือดสดๆ ก็ไหล”พลั่ก”ออกมา
“หยุดนะ! ” ชายทั้งสองตะโกนด้วยความโกรธ มือที่ถือปืนก็สั่นเทา
มู่เวยเวยเกือบล้มลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด เคราะห์ดีที่อลิซรั้งเอวของเธอไว้ เธอจึงไม่ล้มลงไปกับพื้น
เย่ฉ่าวเฉินเจ็บปวดใจจนหายใจลำบาก จริงๆ ไม่อยากจะคำนึงถึงอะไรแล้วไปแย่งตัวเธอออกมา แต่ถ้าตนใช้การหายตัวอีกครั้ง คนข้างๆ มู่เวยเวยมีเนอะขนาดนั้น เขาไม่มั่นใจว่าจะช่วยเธอได้
กาวินมองความคิดของเย่ฉ่าวเฉินออก ในใจเขาหวาดกลัว ทว่าในสายตาก็ไม่แสดงความกลัวออกมาเลยแม้แต่น้อย “เย่ฉ่าวเฉิน คุณกำลังคิดจะใช้เวทมนตร์อยู่ใช่ไหม? งั้นคุณลองดูก็ได้ ดูว่าคุณจะสามารถช่วยเธอไปจากเงื้อมมือฉันได้ไหม”
พูดจบ กาวินก็จับข้อมือของหญิงสาวไว้แน่น ดูเหมือนว่าเงียบสงบไป มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ ตอนนี้เขาตึงเครียดขนาดไหน เขาเดิมพันอยู่ เดิมพันกับความห่วงใยของเย่ฉ่าวเฉินที่มีต่อมู่เวยเวย แต่ชั่วขณะที่เย่ฉ่าวเฉินลังเลใจ กาวินก็รู้เลยว่าเขาเดิมพันชนะแล้ว
“ยังไม่หลีกไปใช่ไหม? พวกคุณคงอยากเห็นผู้หญิงคนนี้เสียเลือดตายไปกับตาใช่ไหม? หรือว่า ฉันต้องแทงอีกที……”
“หยุดนะ! ” เย่ฉ่าวเฉินถอยให้หนึ่งก้าว กัดฟันพูดว่า “โอเค ฉันจะปล่อยพวกคุณไป”
“นี่สิถึงจะถูกต้อง เป็นอย่างนี้แต่แรก เธอก็ไม่ต้องทุกข์ทรมานกับมีดเล่มนี้หรอก ตอนนี้ ก็เอาปืนโยนลงพื้นซะ” กาวินพูดอย่างเย็นชา
เย่ฉ่าวเฉินและมู่เทียนเย่ก้มตัวลงและวางปืนลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล
“ปัง”เสียงปืนดังขึ้น เย่ฉ่าวเฉินล้มลงกับพื้น
“เย่ฉ่าวเฉิน——” มู่เวยเวยตะโกนกรีดร้องอย่างน่าอนาถ เลือดไหลโกรกออกมาจากไหล่
กาวินหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ จางเหิงถือปืนด้วยสีหน้าที่ดุร้าย
มู่เทียนเย่ปิดรูเลือดที่หน้าอกของเย่ฉ่าวเฉิน จ้องหน้ากาวินอย่างโหดเหี้ยม “คำพูดของคุณแม่งยังมีคุณธรรมอยู่ไหม? ”
จางเห่อตาแดง หยิบปืนจากพื้นขึ้นมาเตรียมจะยิง ทว่าถูกเย่ฉ่าวเฉินขวางไว้ “อย่า อย่ายิง ปล่อยพวกเขาไป”
“คุณชาย! ” จางเห่อโกรธอย่างมาก “เราต้องสู้ แน่นอนว่าจะช่วยคุณผู้หญิงกลับมาได้”
เย่ฉ่าวเฉินส่ายหัวอย่างอ่อนแรงแต่แน่วแน่ “ไม่ ปล่อยพวกเขาไป”
ในกรณีที่เคลื่อนไหวขึ้นมา เป็นไปได้อย่างมากว่ามู่เวยเวยจะเสียชีวิต เขาไม่สามารถให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้
“ยังไม่ไสหัวไปอีก? ” มู่เทียนเย่ตะโกนด้วยความโกรธ “ถ้าน้องสาวฉันตายล่ะก็ แน่นอนว่าฉันจะฝังพวกคุณทั้งหมด”
กาวินรู้ว่าไม่ควรอยู่ที่นี่นาน คุมตัวมู่เวยเวยที่เต็มไปด้วยเลือดเดินไปที่ลิฟต์
“พี่ ช่วยเย่ฉ่าวเฉินด้วย เขาตายไม่ได้นะ” มู่เวยเวยพูดอย่างอ่อนแรง
มู่เทียนเย่อยากจะเขกหัวเธอจริงๆ เวลาไหนแล้ว เธอยังห่วงเย่ฉ่าวเฉินอีก?
“เขาไม่เป็นอะไรหรอก คุณต้องรอดนะ พี่จะมาช่วยคุณอย่างแน่นอน”
มู่เวยเวยถูกผลักเข้าลิฟต์ไป ช่วงเวลาที่ประตูลิฟต์ปิดลง เธอไม่ทันได้เห็นเย่ฉ่าวเฉินกับพี่ชายเป็นครั้งสุดท้ายเลย ภาพตรงหน้ามืดลงแล้วก็ล้มลงอยู่ในลิฟต์
ตอนที่กาวินแทงมีดนั้นเมื่อกี้นี้ มู่เวยเวยก็เกือบจะเป็นลมไปแล้ว ยังยืนหยัดอยู่ตลอดเพราะไม่ต้องการให้ความขัดแย้งต่อฝ่ายตรงข้ามทวีความรุนแรงขึ้น
กาวินเป็นพวกเดนตายไม่มีความเป็นมนุษย์เลย เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เทียนเย่สามารถยิงได้โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย แต่เนื่องจากมู่เวยเวยอยู่ในเงื้อมมือของเขา เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เทียนเน่จึงมีความกังวลใจ หนึ่งคือมีความกังวลว่า จะต้องเสียเปรียบกว่าอย่างแน่นอน การบาดเจ็บของเย่ฉ่าวเฉินเมื่อกี้เป็นหลักฐานพิสูจน์ได้ดีมาก
“พยุงเธอขึ้นมา ชีวิตของเธอยังมีประโยชน์” กาวินพูดกับอลิซอย่างเย็นชา จากนั้นก็เล็งปืนเข้าที่หัวของจางเหิงอย่างเหี้ยมโหด “ใครใช้ให้มึงยิงห๊ะ? ”
จางเหิงไม่รู้สึกผิดต่อการกระทำของตนเองเลยแม้แต่น้อย ชั่วขณะที่เขาเห็นเย่ฉ่าวเฉินก็นึกถึงช่วงเวลาที่น่าอับอายขายขี้หน้านั้น สติหายไปอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งตอนนี้ สติของเขายังคงลอยอยู่ในอากาศ “ฉันต้องการฆ่าเย่ฉ่าวเฉิน อีกทั้งเราก็หนีมาได้แล้วไม่ใช่เหรอ? ”
“ถ้าอีกฝ่ายเสียสติแล้วตอบโต้ล่ะ? คืนนี้เราจะได้หนีไปไหม? ”
จางเหิงหน้าบึ้งไม่พูดจา การทำให้เย่ฉ่าวเฉินตายไป นี่คือเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของเขา
ลิฟต์ลงมาถึงชั้นหนึ่ง กวินก็วางปืนลง “กูจะคิดบัญชีกับมึงในภายหลังอีกที”
อลิซกับบอดี้การ์ดหนึ่งคนก็นำมู่เวยเวยที่หมดสติเข้าไปในรถ กำลังจะออกไป ล็อบบี้ของโรงแรมมีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง คนกลุ่มหนึ่งหามเย่ฉ่าวเฉินออกมา เขาหลับตาสนิท ไม่รู้ว่าตายแล้ว หรือหมดสติไป
“ออกรถ” กาวินออกคำสั่ง
รถสองคันหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
ทางด้านนี้ เย่ฉ่าวเฉินถูกนำตัวไปที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลเพื่อประชาชนในเมืองอย่างรวดเร็ว
ไฟในห้องผ่าตัดเปิดขึ้น
เด็กน้อยในอ้อมกอดของเสี่ยวซีหร่านหลับสนิท ไม่ได้รู้เรื่องราวตลอดคืนนี้เลย ว่าพ่อแม่ของตนได้รับบาดเจ็บสาหัส
มู่เทียนเย่โอบไหล่เสี่ยวซีหร่าน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าว่า “คุณอย่ารออยู่ที่นี่เลย ฉันให้หมอเปิดห้องพิเศษไว้ให้แล้ว คุณกับเด็กไปนอนเถอะ”
เสี่ยวซีหร่านส่ายหน้า ก้มไปมองเด็กน้อย “ฉันนอนไม่หลับหรอก รอให้ฉันอยากนอน ก็จะไปนอนเอง”
“ฉันกลัวว่าคุณจะล้าเกินไป หลายวันมานี้ติดตามพวกเราตลอด จนขอบตาคล้ำหมดแล้ว” มู่เทียนเย่พูดอย่างสงสาร
“ไม่เป็นไร รอช่วยเวยเวยกลับมาได้ก่อน ฉันจะนอนสามวันสามคืนแล้วก็บำรุงกลับมา” เสี่ยวซีหร่านเงยหน้าถามเขา “อาการบาดเจ็บของเวยเวยรุนแรงหรือเปล่านะ? เมื่อกี้ตอนฉันอยู่ในรถทำไมเห็นคนพยุงเธอออกมา เหมือนหมดสติไปแล้ว”
ในความเศร้าเสียใจก็นำมาซึ่งความโกรธอย่างมาก ตบบนเก้าอี้ “ฉันจะไม่ปล่อยไอ้สารเลวพวกนั้นไปแน่”
“โชคดีที่ครั้งนี้พาเจ้าหนูน้อยนี่ออกมาได้ ก็ไม่ถือว่ากลับมามือเปล่า ต่อไปเวยเวยก็ไม่ถูกควบคุมแล้ว เกิดหลบหนีขึ้นมาก็จะสะดวกมากขึ้น” เสี่ยวซีหร่านพูดปลอบเขาเบาๆ
“หวังว่าอย่างนั้น” ดวงตาของมู่เทียนเย่ตกลงบนใบหน้าที่หลับใหลของเด็กน้อย การแสดงออกก็อ่อนโยนลงมาก “หน้าตาเขาค่อนข้างเหมือนเย่ฉ่าวเฉิน ไม่ค่อยเหมือนเวยเวยเลย”
เสี่ยวซีหร่านหัวเราะ “แต่ฉันรู้สึกว่าจมูกของเจ้าตัวน้อยเหมือนคุณมาก ทั้งโด่งทั้งสวย แล้วก็ปาก มีส่วนเล็กน้อยที่เหมือน”
มู่เทียนเย่ตกใจเล็กน้อย “เหรอ? เหมือนจริงๆ เหรอ? ”
“ใช่ ยิ่งมองยิ่งเหมือน”
“นี่ก็พอได้” มู่เทียนเย่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ พูดว่าหลานชายเหมือนลุง เดิมทีก็เป็นเรื่องจริง
นอกจากพวกมู่เทียนเย่สองคน จางเห่อและเสี่ยวฟางกำลังรออยู่นอกห้องผ่าตัด จางเห่อไม่เคยเห็นคุณชายน้อยเลย เลยเหลือบมองเป็นครั้งเป็นคราว ใจเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม ถึงแม้ว่าตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินจะอยู่ในห้องผ่าตัดและน่ากังวลใจมาก แต่ไม่ขัดขวางความชื่นชอบที่มีต่อคุณชายน้อยได้
ใบหน้าน้อยๆ นั้น ช่างน่ารักเหลือเกิน เขายังไม่เคยเจอเด็กน้อยที่น่ารักขนาดนี้เลย
มู่เทียนเย่ใช้นิ้วลูบใบหน้าที่อบอุ่นของเด็กน้อยเบาๆ หลังจากนั้นก็พูดกับเสี่ยวซีหร่านว่า “พรุ่งนี้คุณพาเด็กกลับไปก่อน ต่อไปอาจจะอันตรายมากขึ้น ฉันเป็นห่วงคุณ”
เสี่ยวซีหร่านคิดๆ ดูแล้วพูดว่า “โอเค เด็กยังเล็กเกินไป ติดตามพวกคุณไปก็จะไม่สะดวกจริงๆ พรุ่งนี้ฉันกับเขาจะกลับไปเมืองA”
จางเห่อได้ยินการสนทนาของพวกเขาและพยักหน้าอย่างลนลาน “ถูกแล้วถูกแล้ว ที่พี่เสี่ยวจะอุ้มนายน้อยกลับไป ในกรณีที่ระหว่างทางคุณชายน้อยเกิดป่วยขึ้นมา คุณชายกับคุณผู้หญิงต้องเจ็บปวดใจมากแน่ๆ ”
เป็นครั้งแรกที่จางเห่อเรียกเสี่ยวซีหร่าน เสี่ยวซีหร่านฟังก็ไม่ค่อยรื่นหูเท่าไหร่ ให้เขาเรียกพี่เสี่ยว อย่างไรก็ตามมู่เทียนเย่อายุมากกว่าเขา เสี่ยวซีหร่านก็พอจะรับได้
“ไม่เช่นนั้นก็เอาอย่างนี้เถอะ พี่เสี่ยวก็พักอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ไปก่อน ในบ้านมีฉินหม่ากับพ่อบ้านหวังคอยดูแล มีห้องเด็กอ่อนที่เตรียมไว้เมื่อนานมาแล้ว ทุกอย่างเพียบพร้อม สะดวกสบายมาก”
มู่เทียนเย่ได้ฟังคำพูดนี้ก็ไม่เห็นด้วยเป็นคนแรก ถลึงตาใส่จางเห่อ “ตระกูลเย่ถึงกับมีอะไรที่ตระกูลมู่ของเราไม่มีเชียวเหรอ? ”
จางเห่อหัวเราะแหะแหะ พูดอย่างตีสนิทว่า “คุณชายมู่ ฉันไม่ได้หมายความว่าเช่นนี้ แน่นอนว่าตระกูลมู่ของพวกคุณไม่ขาดเหลืออะไรเลย แต่ฉินหม่ามีประสบการณ์ เธอเลี้ยงดูคุณชายกับคุณชายรองจนโต จะว่าไป พี่เสี่ยวก็ยุ่งมาก พี่เสี่ยวคุณไม่สามารถให้เธอมาหัวหมุนอยู่กับเด็กได้ใช่ไหมล่ะ? ”
มู่เทียนเย่เงียบกริบ อันที่จริงจางเห่อพูดก็ถูก คฤหาสน์ตงเจียวไม่มีแม้แต่คนใช้ หากจะต้องดูแลเด็ก มันจะยุ่งยากเกินไป
อีกทั้งเขาไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้เสี่ยวซีหรานออกไปดูแลเด็กคนนี้อย่างเต็มกำลัง เธอไม่มีหน้าที่รับผิดชอบอันนี้
นอกจากนี้ ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญ ถึงอย่างไรเด็กคนนี้ก็แซ่เย่ เขาเห็นจากสายตามู่เวยเวยที่มองเย่ฉ่าวเฉินก็เข้าใจ น้องสาวผู้โง่เขลานี้ตกหลุมรักเย่ฉ่าวเฉินแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง จัดการให้พวกเขาแยกจากกัน
“คุณคิดว่าอย่างไร? ” มู่เทียนเย่ถามความคิดเห็นของเสี่ยวซีหร่าน
เสี่ยวซีหร่านพยักหน้า “จางเห่อพูดถูก นี่คือลูกชายของเย่ฉ่าวเฉิน อยู่ตระกูลเย่ก็สมเหตุสมผลแล้ว เพียงแต่ฉันคิดว่า ฉันไม่คุ้นเคยที่จะอาศัยอยู่ในบ้านของผู้ชายคนอื่น ถ้าฉันคิดถึงเด็กน้อย ก็จะไปดูเขาเอง”
มู่เทียนเย่ก็หมายความเช่นนี้ เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงของตนเองอาศัยอยู่ในบ้านของเย่ฉ่าวเฉินเช่นกัน คิดๆ แล้วก็น่าอึดอัดใจ
ในกรณีที่ไม่มีเย่ฉ่าวเฉินอยู่ในเหตุการณ์ คนสามคนตัดสินใจร่วมกันอย่างมีความสุข แต่จางเห่อเชื่อว่า คุณชายต้องยกมือเห็นด้วยอย่างแน่นอน
เวลาตีสี่ ไฟในห้องผ่าตัดดับลง ประตูนั้นถูกผลักให้เปิดจากข้างใน
จางเห่อกับเสี่ยวฟางก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง รีบไปถามหมอ “ผ่าตัดเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้านายเราล่ะ? ”
“โชคดีเหลือเกิน หัวกระสุนกับหัวใจห่างกันเพียงสองเซนติเมตร อีกนิด เขาก็ไม่มีชีวิตรอดแล้ว เมื่อกี้เขาถูกส่งไปห้องไอซียูชั้นห้า สมาชิกในครอบครัวไปที่ชั้นห้าได้” สีหน้าหมอพูดอย่างเหนื่อยล้า
“ขอบคุณหมอมาก” จางเห่อไปชั้นห้าอย่างกังวลใจ เมื่อเห็นมู่เทียนเย่ลืมตาขึ้น ก็พูดเบาๆ ว่า “คุณชายมู่ เจ้านายประสบความสำเร็จในการผ่าตัดแล้ว คุณกับพี่เสี่ยวไปนอนสักพักเถอะ จะเช้าแล้ว”
“คุณไม่ต้องมาสนใจฉันหรอก ไปทำงานของพวกคุณเถอะ” มู่เทียนเย่พูดเรียบๆ
“อ้อ งั้นคุณมีปัญหาก็มาหาฉันนะ”
คนสองสามคนตามจางเห่อไป มู่เทียนเย่ก้มมองไปที่ผู้หญิงที่หลับอยู่บนไหล่ของตนเอง คิ้วที่ขมวดก็คลายลงมาก
เด็กถูกห่อด้วยเสื้อผ้าของผู้ใหญ่อย่างแน่นหนาและนอนบนเก้าอี้ทางด้านขวาของเขา
ก็ไม่รู้ว่าการบาดเจ็บของเวยเวยเป็นยังไงบ้าง มู่เทียนเย่คิดอย่างเป็นกังวล
หลังจากออกจากโรงแรม มู่เวยเวยก็หมดสติมาโดยตลอด บนรถ อลิซจัดการบาดแผลให้เธออย่างง่ายๆ เล็กน้อย เพื่อหยุดเลือด
กาวินเป็นผู้ช่วยอย่างไม่ลังเล นั่นเพราะอำนาจการควบคุมของเขา มีดนั้นดูเหมือนโหดร้ายทารุณ เลือดไหลทะลักออกมาเหมือนน้ำพุ แต่หลีกเลี่ยงจุดสำคัญทั้งหมด ก็ไม่ได้เป็นอันตรายต่อหลอดเลือดที่สำคัญ
รถยนต์เดินทางมานานมาก ก็ไม่พบคนของเย่ฉ่าวเฉินตามเข้ามา แต่กาวินก็ไม่สามารถโล่งใจได้ด้วยเหตุนี้ เขาไม่เข้าใจเล็กน้อย ว่าตกลงเย่ฉ่าวเฉินหาพวกเขาเจอได้ยังไง?
หรือว่า…..
กาวินนึกถึงความคิดที่ไม่เหมือนคนอื่นของเขา หรือเป็นไปได้ว่าระหว่างเขาและมู่เวยเวยมีการเหนี่ยวนำอะไรบางอย่าง?
ก็ไม่น่าใช่ ถ้าเขามีความสามารถเหนือธรรมชาติแบบนี้จริงๆ ทำไมตอนแรกต้องติดตั้งGPSไว้บนไหล่ของมู่เวยเวยด้วย?
แต่ที่สามารถเป็นไปได้มากที่สุดคือมู่เวยเวยเปิดเผยสถานที่พักของเธอ แต่เธอเปิดเผยได้อย่างไรล่ะ?
เธอมีคนคุมตัวอยู่ข้างๆ ตลอด ไม่มีโอกาสนี้โดยสิ้นเชิง
ดูแล้วเขาจะต้องตรวจสอบสักเล็กน้อย ไม่เช่นนั้น ไม่ว่าจะไปทางไหน เย่ฉ่าวเฉินก็จะไล่ตามมาถึงที่พัก
ท้องฟ้าทางด้านทิศตะวันออกค่อยๆ สว่างขึ้นมา พวกเขามาถึงเมืองชนบทเล็กๆ เมืองหนึ่ง กาวินขยี้ตาที่เมื่อยล้า แล้วพูดกับอลิซว่า “อีกสักพักก็เข้าถึงเมืองแล้ว คุณไปซื้อเสื้อผ้าผู้หญิงมาสองสามชุด แล้วก็ถือโอกาสซื้อยาแก้อักเสบมาด้วย”
เพราะเป็นช่วงที่ร้อนอบอ้าวที่สุดหลังฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิสูงมาก บาดแผลอักเสบได้ง่ายมาก เมื่อเกิดการอักเสบก็ยุ่งยากลำบากแล้ว
สีหน้าบนใบหน้าอลิซก็ไม่ดีมากนัก “เจ้านาย ต้องการหยุดพักผ่อนสักหน่อยไหม? ”
กาวินมองนอกหน้าต่าง กล่าวอย่างเห็นด้วยว่า “อืม พักผ่อนสักหน่อยก่อน”
ตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยต่างได้รับบาดเจ็บ ต่างฝ่ายต่างติดต่อกันไม่ได้ชั่วคราว ขณะที่พวกเขาพูดนี้ก็คือปลอดภัย
โรงพยาบาลของเมือง
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น เด็กน้อยก็ขยี้ตาดวงน้อยๆ ของตนเอง ตื่นขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
เพียงแต่ คนสองคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าคือใครล่ะ? แม่ล่ะ?
เขากลิ้งดวงตากลมโตมองหาไปทุกทิศทุกทาง เฮ้? แม่ล่ะ?
ร่างกายน้อยๆ ถูกผู้ชายอุ้มขึ้นมา เขาจ้องมองคนแปลกหน้านี้อย่างไม่หยุดยั้ง แปลกประหลาดใจ เขาอายุมากพอๆ กับแม่ แต่กลิ่นบนร่างกายแย่จัง ไม่มีกลิ่นหอมๆ เหมือนบนร่างกายของแม่
เขาไม่ชอบเลย
มู่เทียนเย่เห็นใบหน้าของเด็กน้อยที่มองเขาอย่างรังเกียจ อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม ช่างเหมือนพ่อของเขาจริงๆ
“ว้าว ตอนลืมตายิ่งสวยงาม” เสี่ยวซีหร่านอุทานอย่างตกตะลึงอยู่ข้างๆ
“ทำไมฉันเห็นว่าเขาจะร้องไห้ล่ะ? หิวหรือเปล่า หรือว่าไม่สบายตรงไหน? ” รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เทียนเย่เปลี่ยนเป็นทำอะไรไม่ถูก
“คุณอุ้มเขาไม่สบาย มาฉันอุ้มเอง” เสี่ยวซีหร่านรับเด็กน้อยมาจากในมือของเขา โอบเข้าในอ้อมกอดอย่างเป็นธรรมชาติมาก นี่คล้ายกับเป็นความสามารถโดยกำเนิดของผู้หญิงทุกคน
เด็กน้อยไม่รับความรักของเธอ และดิ้นรนต้องการที่จะยืนขึ้นมา เรียกเบาๆ ว่า “แม่ แม่”
มู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหร่านนิ่งอึ้งไปสองสามวินาที เล็กขนาดนี้เรียกแม่ได้แล้วเหรอ?
“แม่ แม่…..” เสียงเรียกของเด็กน้อย ต้องการเรียกให้แม่ออกมา แต่ครั้งนี้เขาผิดหวัง ไม่รู้ว่าทำไม น้ำตาก็เอ่อล้นคลอเบ้าในชั่วพริบตา ปากน้อยๆ ก็เบ้ขึ้นมา
“อ๊ะ ทำยังไงทำยังไง? เขาจะร้องไห้แล้ว” เสี่ยวซีหร่านตึงเครียดขึ้นมา แต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยหยอกล้อกับเด็กเล็ก ล้วนไม่มีประสบการณ์สักนิดเลย
มู่เทียนเย่ก็ร้อนใจ รีบกล่าวปลอบโยนว่า “เด็กน้อยไม่ต้องร้องนะ แม่มีธุระไม่อยู่ เดี๋ยวจะรีบกลับมา ฉันเป็นลุง”
เด็กน้อยสนใจลุงซะที่ไหน เขารู้จักเพียงแค่แม่ เออใช่ แล้วก็ตุ้ยนุ้ย
เสี่ยวซีหร่านยิ้ม “คุณพูดเรื่องเหล่านี้กับเขา เขาฟังเข้าใจที่ไหนกันล่ะ? ”
“งั้นทำยังไงล่ะ? เขาหิวเหรอ? พวกเราก็ไม่มีนมผงด้วยสิ” แต่ไหนแต่ไรมู่เทียนเย่ก็ไม่เคยจนตรอกแบบนี้ เผชิญหน้ากับเด็กอย่างทึ่มทื่อ
เสี่ยวซีหร่านสายตาก็เป็นประกายขึ้นมาในชั่วพริบตา พูดว่า “ไป ฉันนึกถึงสถานที่หนึ่งออกแล้ว”
“ที่ไหนที่ไหน? ” มู่เทียนเย่ลุกขึ้นตามฝีเท้าของเธอไป
“ตามฉันมาก็รู้แล้ว”
ผ่านไปหลายสิบนาที เด็กน้อยก็ถูกเหล่าพยาบาลแผนกสูตินรีเวชรายล้อมอย่างหนาแน่น
“ว้าว น่ารักเกินไปแล้ว ทำไมมีลูกน่ารักขนาดนี้น่ะ? ”
“ใช่ๆ น่ารักมากเลย”
เสี่ยวซีหร่านมองมู่เทียนยิ้มๆ อย่างอิ่มอกอิ่มใจ พูดกับกลุ่มพยาบาลว่า “ฝากพยาบาลสาวสวยทุกคนด้วยนะคะ แม่ของเด็กน้อยนอนอยู่ชั้นห้าโรงพยาบาล ฉันเป็นป้าของเด็กน้อย ไม่รู้ว่าจะดูแลเขายังไง พวกคุณ……”
“มาหาพวกเราถูกแล้ว” พยาบาลคนหนึ่งเต็มใจอาสา” “ฉันจะไปจัดการอะไรให้เด็กทานเล็กน้อย”
“ใช่แล้ว ห้องทำงานของพวกเรามีผ้าอ้อมเด็ก รีบเอามาใส่ให้เขาเถอะ”
“ฉันหาผ้าขนหนูเปียกมา เช็ดๆ หน้าให้เด็กน้อย”
เสี่ยวซีหร่านเบียดออกมาจากกลุ่มพยาบาล ยิ้มแล้วพูดจากใจว่า “หลานชายตัวน้อยนี้ของคุณตอนนี้ดึงดูดผู้หญิงให้มาชอบได้ขนาดนี้ โตขึ้นต้องน้อยๆ หน่อยไหม? ”
ใบหน้ามู่เทียนเย่รักและเอ็นดู กระซิบข้างๆ หูเธอว่า “ลูกของพวกเราจะต้องดึงดูดให้คนมาชอบได้อย่างมากแน่นอน”
บนใบหน้าของเสี่ยวซีหร่านร้อนผ่าว แต่ก็ไม่ได้โกรธ กลับพูดอย่างสง่าว่า “เมื่อก่อนฉันไม่ค่อยชอบเด็กสักเท่าไร รู้สึกว่าสร้างความยุ่งยากให้คนอื่น แต่เพียงได้เห็นเขาเมื่อวาน ทั้งหัวใจของฉันก็อ่อน อิอิ ให้กำเนิดเด็กมาเล่นสักคนก็น่าจะดี”
ความรักและทะนุถนอมในสายตาของมู่เทียนเย่ก็ยิ่งลึกซึ้ง “รอหาเวยเวยพบ พวกเราก็แต่งงานกัน แล้วก็ให้กำเนิดเด็กมาเล่น”
“เชอะ” เสี่ยวซีหร่านชายตามองเขา “ขอแต่งงานอะไรก็ไม่มียังอยากแต่งกับฉันไหม? ”
มู่เทียนเย่จงใจหยอกเย้าเธอ “ยังต้องขอแต่งงานอีกเหรอ? ”
“ไม่ต้องก็ได้” เสี่ยวซีหร่านยิ้มเบาๆ “งั้นฉันก็แต่งกับผู้ชายคนอื่นแล้วให้กำเนิดเด็กมาเล่น”
มู่เทียนเย่โอบเอวเล็กๆ ของผู้หญิง กระซิบข้างหูเธอว่า “ชั่วชีวิตนี้คุณสามารถมีเพียงฉันเป็นผู้ชายได้แค่คนเดียว ผู้ชายคนอื่นๆ มาคนหนึ่งฉันก็จะฆ่าคนหนึ่ง มาสองคนฉันก็จะฆ่าทั้งคู่”
เสี่ยวซีหร่านเอียงศีรษะมองเขา “เชอะ งั้นฉันก็ลองฝืนใจคิดไตร่ตรองดู”
รอหลังจากพยาบาลให้เด็กน้อยกินอิ่มแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้แล้ว เสี่ยวซีหร่านก็อุ้มเขาออกมาอย่างมีความสุข ขณะเดิน เหล่าพยาบาลก็ยังกำชับกันอย่างต่อเนื่อง มีปัญหาอะไรพาเด็กน้อยมาหาเราได้เลยนะ
เสี่ยวซีหร่านอดส่ายหน้าไม่ได้ นี่คือสังคมที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์จริงๆ
ห้องสังเกตการณ์ผู้ป่วยชั้นห้า เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ตื่นขึ้นมา และบาดแผลของเขาก็หายอย่างรวดเร็วในที่ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
เด็กน้อยไม่มีภูมิคุ้มกันโรค ดังนั้นดังนั้นเสี่ยวซีหร่านทำได้เพียงอุ้มเขามองผ่านหน้ากระจกหน้าต่าง สีหน้าท่าทางของเด็กน้อยเอาจริงเอาจังมาก ผู้ชายคนนั้นที่นอนเอนกายอยู่บนเตียง คล้ายกับว่าเขาเคยเห็นที่ไหน
เวลาแปดโมงกว่า เย่ฉ่าวเฉินถูกความเจ็บปวดของบาดแผลทำให้ตื่น เขาลืมตามองมู่เทียนเย่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงอย่างลวกๆ คำแรกที่เขาถามก็คือ “ลูกล่ะ? ”
ดวงตาของมู่เทียนเย่เงยขึ้นมาจากมือถือ แสดงสีหน้าเยือกเย็นมาก “ตอนที่คุณหมดสติ ถูกคนขโมยไปแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว ท่อออกซิเจนบนจมูกตกลงบนผ้าห่ม “คุณพูดอะไร? ถูกใครขโมยไป? ”
มู่เทียนเย่พูดโกหกอย่างเอาจริงเอาจัง “แน่นอนก็ต้องเป็นคนสวมหน้ากากคนนั้น”
“เป็นไปได้ยังไง? ” เย่ฉ่าวเฉินปิดแผลที่เจ็บปวดด้วยมือข้างเดียว “พวกเขาไม่ได้ไปก่อนแล้วเหรอ? ”
มู่เทียนเย่กำลังคิดจะแต่งนิยายต่อ จางเห่อก็เข้ามา “คุณชาย คุณฟื้นแล้ว? คุณรีบเอนนอนลงไป บาดแผลจะแยกได้”
เย่ฉ่าวเฉินถามจางเห่ออย่างร้อนใจว่า “ทำไมลูกถูกคนขโมยไปได้? ”
ใบหน้าจางเห่อสับสน ถามอย่างงุนงงว่า “ลูก? ลูกอยู่นะ พี่เสี่ยวอุ้มอยู่น่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินนิ่งอึ้งไป เข้าใจขึ้นมาทันทีว่ามู่เทียนเย่กำลังล้อเขาเล่น หันหน้าไปมองใบหน้าของผู้ชายที่ยิ้มเยาะ พูดอย่างโกรธเคืองว่า “มู่เทียนเย่ คุณเบื่อหน่ายขนาดนี้เลยเหรอ? ”
มู่เทียนเย่ยกขานั่งไขว่ห้าง “ฉันคิดว่าก็สนุกดีนะ”
“ปัญญาอ่อน เย่ฉ่าวเฉินพ่นออกมาสามคำ ค่อยๆ เอนกายกลับไปนอนยังหัวเตียง เวลานี้เขาจึงค้นพบว่า ทุกลมหายใจเข้าออกของตนเองเหมือนกับถูกเฉือนด้วยคมมีด เจ็บปวดจนคนสั่นไปทั่วทั้งตัว
จางเห่อเห็นสีหน้าของเขาซีดเผือด นึกถึงคำกำชับของหมอแล้วพูดว่า “คุณชาย หมอบอกว่าหมดฤทธิ์ยาชาแล้วจะปวดมาก คุณอดทนหน่อยนะ”
นี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะ ไม่อดทนแล้วจะทำยังไงได้?
เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆ ดีขึ้นสักพักใหญ่ๆ แล้วพูดกับจางเห่อว่า “อุ้มลูกเข้ามา ฉันอยากเจอ”
“ไม่ได้” มู่เทียนเย่ปฏิเสธโดยตรง
เย่ฉ่าวเฉินหันมองเขาตาขวาง ปรารถนาที่จะลุกขึ้นเข้าไปใกล้เขา
มู่เทียนเย่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วกล่าวว่า “ห้องผู้ป่วยนี้เชื้อโรคเยอะมาก เด็กน้อยไม่มีภูมิคุ้มกัน เข้ามาไม่ได้”
จางเห่อกลัวเย่ฉ่าวเฉินจะโมโหอีก กล่าวตอบสนองว่า “อืมๆ หมอก็พูดแบบนี้”
เย่ฉ่าวเฉินฟังถึงคำพูดนี้ ความโกรธบนใบหน้าจึงน้อยลง
“พูดถึงลูก ฉันมีเรื่องที่ต้องแจ้งให้คุณทราบ” น้ำเสียงของมู่เทียนเย่หนักแน่นมาก ทำให้เย่ฉ่าวเฉินอยากปฏิเสธไปโดยไม่รู้ตัว แจ้งให้ทราบ? มีสิทธิ์อะไรจัดการเรื่องของลูกชายเขา ไม่ปรึกษาหารือกับเขาโดยตรงเลยเหรอ?
แต่ทว่า พอเขาฟังข้อตกลงนี้ของมู่เทียนเย่จบ ก็ยินยอม “ฉันเห็นด้วย ให้เสี่ยวซีหร่านพาลูกกลับไป ฉินหม่าจะดูแลได้ดีมาก”
“ตั๋วเครื่องบินซื้อเรียบร้อยแล้ว เวลาบ่ายโมง รออีกสักครู่พวกเขาก็จะกลับไปเมืองA”
“งั้น….งั้นอย่างน้อยก็ให้ฉันเห็นลูกสักหน่อย ฉันยังไม่ได้มองเขาให้ชัดๆ เลย” ย้ำเสียงของเย่ฉ่าวเฉินแฝงไปด้วยความรู้สึกน้อยใจที่ไม่ได้พบมากนัก
มู่เทียนเย่แทบจะหัวเราะ ถึงอย่างไรก็เชิดหน้าแล้วพูดว่า “ตอนที่จะไปฉันจะให้ซีหร่านอุ้มเขาเข้ามา ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดของคุณคือพยายามฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง”
“ฉันรู้” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยท่าทีที่ไม่ดี ในใจเขารีบร้อนกว่าใคร หวังว่าตอนบ่ายจะสามารถออกจากโรงพยาบาลไปตามหาเวยเวย พ่นอารมณ์ที่ขุ่นมัวออกมา อดกลั้นความเจ็บปวดแล้วกล่าวถามว่า “ทางด้านเวยเวยตอนนี้ใครตามอยู่? ”
“ไม่ต้องถามแล้ว ถูกไอ้สารเลวนั่นสลัดทิ้งไปแล้ว” มู่เทียนเย่พูดอย่างหงุดหงิด
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองฝ้าเพดานอย่างกลัดกลุ้ม ที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้าคือภาพที่เวยเวยได้รับบาดเจ็บ ในใจก็เสียใจเล็กน้อย ถ้าเวลานั้นไม่อยากรู้อยากเห็นไปดูว่าไอ้คนชั่วนั่นหน้าตาเป็นยังไง ถ้าต่อมาเขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดใช้ความสามารถเหนือธรรมชาติขโมยเวยเวยออกมา ถ้าเขาระวังจางเหิงสักหน่อย ถ้า……
น่าเสียดายที่บนโลกนี้ไม่ได้มีคำว่าถ้ามากมายขนาดนี้ ดังนั้นจึงก่อให้เกิดสภาพการณ์เช่นวันนี้
ก่อนเสี่ยวซีหร่านจะออกไปก็อุ้มเด็กน้อยเข้ามาในห้องผู้ป่วย ที่เสี่ยวซีหร่านปลื้มอกปลื้มใจคือ ถึงแม้ว่าอารมณ์ของเด็กน้อยจะหงอยเหงาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ร้องไห้เลยสักนิด บางครั้งยังยิ้มๆ ให้เธอ
เย่ฉ่าวเฉินพยายามลุกนั่งขึ้นมา รอบดวงตาก็มีน้ำตาคลอๆ ขึ้นมาในฉับพลัน
เด็กน้อยนั่งข้างเตียงมองเขาอย่างงุนงงอยู่สองสามวินาที ก็คล้ายกับนึกอะไรขึ้นมาได้ “อุแว้——” ร้องไห้ออกมา หันตัวปีนป่ายไปยังอ้อมกอดของเสี่ยวซีหร่าน
เย่ฉ่าวเฉินหยุดชะงักรอยยิ้มที่รักใคร่เอ็นดูบนใบหน้า ทำไมเด็กน้อยถึงต่อต้านตนเองแบบนี้? ครั้งที่แล้วก็แบบนี้ ครั้งนี้ก็เช่นนี้
มู่เทียนเย่มองอยู่ข้างๆ อย่างดีใจมาก พูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นว่า “เย่ฉ่าวเฉิน คุณก็มีวันนี้เหมือนกันนะ”
เสี่ยวซีหร่านแปลกใจ อุ้มเด็กน้อยมาปลอบโยนสองสามคำแล้วพูดว่า “แปลกจริงๆ เด็กคนนี้วันนี้ผ่านคนอุ้มมานับไม่ถ้วน ล้วนไม่ร้องเลย ทำไมมองเขาทีเดียวก็ร้องแล้วล่ะ? ”
“ฉันจะรู้ได้ยังไง? ” เย่ฉ่าวเฉินบาดเจ็บทั้งใจบาดเจ็บทั้งร่างกาย
มู่เทียนเย่ทำเสียงไม่พอใจ “ตอนแรกที่เวยเวยตั้งท้อง คุณก็ทำร้ายฉันจนจมไปที่ก้นทะเล ตอนนั้นเวยเวยเกลียดคุณอย่างที่สุด บางทีเด็กในท้องก็รับรู้ได้ถึงความเคียดแค้นของเธอ ฉะนั้นก็เกลียดคุณตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว เป็นเรื่องปกติที่ตอนนี้จะเห็นคุณร้องไห้”
เดิมทีคำพูดไร้สาระของมู่เทียนเย่นี้ เสี่ยวซีหร่านได้ฟังก็ขำ ในตอนนั้นเขายังเด็กอยู่ จะไปรับรู้อะไร? เผอิญเย่ฉ่าวเฉินเชื่อคำพูดของมู่เทียนเย่ คนก็ซึมเศร้าไปชั่วขณะ สายตาจ้องมองไปที่ร่างที่อ้วนถ้วนสมบูรณ์ของเด็กน้อย ในแววตาไม่สดใสเลยแม้แต่น้อย
มู่เทียนเย่โจมต่เย่ฉ่าวเฉินได้สำเร็จ รู้สึกสบายใจมาก โอบเสี่ยวซีหร่านแล้วพูดว่า “ไปเถอะ ฉันจะไปส่งคุณที่สนามบิน เหยี่ยวราตรีรออยู่ที่นั่นแล้ว เขาจะส่งคุณกลับไปที่เมืองA
เห็นว่าลูกต้องไปแล้ว เย่ฉ่าวเฉินยังคงไม่ยอมแพ้ “เดี๋ยวสิ ให้ฉันมองเขาอีกที”
เสี่ยวซีหร่านใจดีกว่ามู่เทียนเย่ หยุดเดิน พยายามทำให้เด็กน้อยมองไปที่พ่อ ผลคือทำอย่างไรก็ไม่หันไป ศีรษะเล็กๆ วางอยู่บนไหล่ของเธอ น้ำตาคลอ ตลอดเวลา
ต่อเย่ฉ่าวเฉิน
“พอแล้วพอแล้ว พาเขาไปเถอะ ฉันก็นับว่ามองออกแล้ว หนูน้อยคนนี้มาที่โลกนี้เพื่อทวงหนี้จากฉัน ” เย่ฉ่าวเฉินโบกมือพูด
มู่เทียนเย่สนับสนุนอย่างมาก “ไม่รู้จะทำอย่างไร บนตัวเขาครึ่งหนึ่งเป็นเลือดเนื้อตระกูลมู่ของเรา”
บนทางไปสนามบิน เสี่ยวซีหร่านเล่นกับเด็กน้อยไปพลาง แล้วถามเขาไปด้วย “วันนี้คุณโกรธเย่ฉ่าวเฉินมากๆ เลยใช่ไหม”
“หึ! คาดไม่ถึงว่ามู่เวยเวยจะยกโทษให้เขาอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันจะสบายใจได้อย่างไร? โชคดีที่หลานชายตัวน้อยของฉันใจสู้ องอาจกล้าหาญเหมือนชายตระกูลมู่ของฉัน”
เสี่ยวซีหร่านส่ายหัวแล้วพูดหยอกล้อว่า “ฉันเห็นคุณกับเย่ฉ่าวเฉินโต้เถียงกัน ท่าทางการกระทำก็ไร้เดียงสามาก เหมือนเด็กอนุบาลสองคนทะเลาะกัน”
“มีที่ไหนกัน? ” มู่เทียนเย่ขมวดคิ้วแน่น
“มีแน่นอน” เสี่ยวซีหร่านยังยืนยัน
มู่เทียนเย่นึกถึงช่วงสองสามวันที่ผ่านมากับเย่ฉ่าวเฉิน เบ้ปากพูดว่า “นั่น อาจเป็นเพราะฉันสู้เขาไม่ได้จริงๆ ก็ได้แต่เสียดสีเขา ถ้าไม่ทำให้เขาสำลักไปสักสองสามประโยค ในใจฉันต้องอัดอั้นจนตายแน่ๆ ”
“เข้าใจแล้วเข้าใจแล้ว หลายครั้งฉันก็อยากเอาชนะเขาเหมือนกัน”
“ใช่ไหม ฉันก็ว่าอยู่ คนคนนี้ค้างชำระซะขนาดนั้น”
“อืมอืม ใช่”
ทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง เรื่องนี้ตกลงกันได้เป็นเอกฉันท์
เด็กน้อยไม่รู้หรอกว่าพวกเขาหัวเราะอะไรกัน ก็หัวเราะคิกคักตาม
พบกับเหยี่ยวราตรีที่สนามบิน มู่เทียนเย่กำชับเขาอย่างจริงจังว่า “ระหว่างทางดูแลพวกเขาทั้งสองคนให้ดี อย่าให้เกิดอุบัติเหตุใดๆ ”