วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 249 : เด็กน้อยเชื่อฟังนะ เรียกพ่อ
แสงยามเช้าส่องเข้ามาทางหน้าต่าง สาดส่องคนสองคนที่ร่างหนึ่งใหญ่ร่างหนึ่งเล็ก อบอุ่นเช่นนั้น เต็มไปด้วยความรักเช่นนั้น ในเวลาสั้นๆ ในใจเย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกอบอุ่น
นี่คือชีวิตที่เขาต้องการมาตลอด แม้ว่าจะมีข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางความงดงามของเธอได้เลย
เด็กน้อยพบว่าเขาอยู่ จึงเงยหน้ามองเขา แล้วสอนแม่สุมกองไม้ต่อ
“เราควรทานข้าวเช้าได้แล้วนะ” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มแล้วพูดอย่างอ่อนโยน
มู่เวยเวยได้ฟังน้ำเสียงของเขา ก็เงยหน้าแล้วยิ้มอย่างสดใสไปทางเขา ในพริบตา ความหงุดหงิดทั้งหมดก็ถูกทำให้สงบลง
เย่ฉ่าวเฉินเดินไปข้างหน้าแล้วพยุงเธอขึ้นมาจากพื้น “ทานข้าวเช้า”
มู่เวยเวยพยักหน้าหนักๆ “อืม ทานข้าว”
เด็กน้อยไม่มีความสุข ก้าวไปข้างหน้าแล้วลากมืออีกข้าง พูดออดอ้อนว่า “แม่ อุ้มๆ”
ไม่รอให้มู่เวยเวยได้พูด เย่ฉ่าวเฉินก็พูดว่า “แม่ไม่มีแรงแล้ว มาฉันอุ้มคุณเอง? ”
“ไม่เอา” เด็กน้อยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
เย่ฉ่าวเฉินไม่คล้อยตามให้อารมณ์ของเขาเหมือนแต่ก่อน แต่เปลี่ยนเป็นวิธีการสื่อสารเป็นเข้มแข็งขึ้น “งั้นคุณก็เดินตามหลังไป คุณเดินได้แล้วไม่ใช่เหรอ? ”
เด็กน้อยโกรธหน้ามุ่ย ทว่าไม่ยอมปล่อยมือมู่เวยเวย
เย่ฉ่าวเฉินพูดต่อว่า “ตอนนี้คุณโตแล้ว น้ำหนักก็มากขึ้น แม่อุ้มคุณก็จะเหนื่อยมาก ให้คุณเลือกสองทาง หนึ่งคือเดินไปเอง สองคืนฉันอุ้มคุณไป เลือกหนึ่งอย่าง”
เด็กน้อยลังเล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเลือก หรือคิดถึงความหมายของคำพูดเมื่อกี้นี้ของเย่ฉ่าวเฉิน
เย่ฉ่าวเฉินไม่ยอมแพ้ เขาคิดดีแล้ว ว่าจะไม่คล้อยตามอารมณ์ของเขาอีก โดยเฉพาะเมื่อเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เขารู้สึกว่าตนเองต้องพูดให้ชัดเจนกับเจ้าเด็กน้อยคนนี้
แต่ว่า เขายังไม่ถึงหนึ่งขวบ ที่ตนเองพูดไป เขาจะฟังเข้าใจจริงๆ ใช่ไหม?
“คิดได้แล้วหรือยัง? ” เย่ฉ่าวเฉินถามเขาอย่างจริงจัง
เด็กน้อยมองไปที่เขาอย่างเย่อหยิ่ง ยื่นสองมือออกไปอย่างไม่เต็มใจ ไม่ได้อยากคืนดีกับเขา ที่สำคัญเดินไปก็เหนื่อย เขายังเรียนรู้ได้ไม่ดีมาก
ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินแสดงรอยยิ้มที่ประสบความสำเร็จ เดิมทีเจ้าเด็กคนนี้พูดดีๆ เพราะๆ จะไม่ยอมทำตาม
ก้มตัวไปอุ้มเด็กน้อยตัวนุ่มนิ่มขึ้นมาด้วยมือเดียว เขี่ยจมูกเล็กๆ ของเขา “ทำไมคุณถึงเอาใจยากขนาดนี้? ทำให้ฉันเหมือนต้องทำตามลูกชาย”
เด็กน้อยปากเบ้หันหน้าหนี เชอะ จากก้นบึ้งหัวใจบอกว่าไม่ชอบคุณก็เท่านั้น
“ไป ทานข้าวกัน” เย่ฉ่าวเฉินจูงมือมู่เวยเวยอีกข้างหนึ่งอย่างพึงพอใจ แล้วเดินไปทางห้องอาหาร
คำนึงถึงความปลอดภัยของเด็ก ในชั้นหนึ่งห้องเด็กอ่อนเป็นห้องที่มีแสงแดดส่องถึงจะดีที่สุด มู่เวยเวยอาศัยอยู่ที่นี่โดยไม่ต้องขึ้นลงบันได เขาออกสะดวกสบายมาก
อาหารเช้าอุดมสมบูรณ์มาก ฉินหม่าทำซุปบำรุงให้มู่เวยเวยอย่างสุดความสามารถ
“มา อ้าปาก” เย่ฉ่าวเฉินป้อนข้าวให้มู่เวยเวยก่อนตามปกติ “นี่คือโจ๊กข้าวเหนียวที่ต้มโดยฉินหม่า ด้านในมีพุทราจีนกับถั่วลิสงด้วย บำรุงเลือดดูแลผิวพรรณ”
เด็กน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อดื่มนมหมด ก็อ้าปากกินโจ๊กที่ฉินหม่าป้อน
พ่อบ้านหวังรีบเดินเข้ามา โค้งตัวพูดว่า “คุณชาย คุณชายมู่มา”
เย่ฉ่าวเฉินเบ้ปาก “เขามาทำไม? ”
“ฉันมาดูน้องสาวกับหลานชายฉัน ทำไม? ต้องให้คุณอนุญาตด้วยเหรอ? ” คนยังมาไม่ถึงเสียงก็มาก่อนเลย ต่อมา ที่เห็นในตอนนี้มู่เทียนเย่สวมเสื้อโค้ตยาวสีเทา ในมือมีของขวัญหนึ่งอัน
เย่ฉ่าวเฉินชำเลืองมองเขา คีบเต้าหู้หนึ่งชิ้นใส่ปากมู่เวยเวย มู่เทียนเย่นั่งข้างๆ เด็กน้อย พูดกับพ่อบ้านหวังอย่างปกติมากว่า “เอาโจ๊กให้ฉันถ้วยหนึ่งสิ ขอบคุณ”
“ครับ คุณชายมู่”
“อยากกินเองก็ไปตักเองสิ มาชี้นิ้วใช้คนจองฉันทำไม? ” เย่ฉ่าวเฉินพูดถากถางเขา
พ่อบ้านหวังหัวเราะ รู้ว่าคุณชายล้อเล่น แล้วเดินเข้าห้องครัวไป
มู่เทียนเย่ทำเป็นมองไม่เห็นเขา วางเครื่องบินบังคับไว้ด้านหน้าเด็กน้อย “เจ้าตัวเล็ก ไหนเรียกลุงสิ”
เด็กน้อยหยิบเครื่องบินบังคับมาอย่างมีความสุข เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ลุง”
“ว่านอนสอนง่ายเจ้าหลานชาย” มู่เทียนเย่ยื่นมือไปลูบศีรษะน้อยๆ ของเขา
เย่ฉ่าวเฉินอิจฉาสิ่งนี้มาก เด็กคนนี้ทักทายทุกคนอย่างเชื่อฟัง เพียงแต่ไม่เรียกเขาว่า”พ่อ”เท่านั้นเอง
พ่อบ้านหวังวางอาหารไว้ตรงหน้ามู่เทียนเย่แล้วออกไป คนมาทีหลังก็ไม่เกรงใจ หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วก็กิน
“บ้านคุณไม่มีคนทำกับข้าวเหรอ? จึงวิ่งมาบ้านฉันแต่เช้าเพื่อกินข้าว” เย่ฉ่าวเฉินใช้คำพูดต่อว่าด้วยจิตใจที่ไม่สงบ
มู่เทียนเย่พูดอย่างมั่นใจว่า “ใครบอกว่าฉันมากินข้าวล่ะ? ชัดเจนว่าฉันเอาของเล่นมาให้หลานชายต่างหาก”
“งั้นตอนนี่ส่งให้เสร็จแล้ว คุณก็ไปได้แล้ว”
“เย่ฉ่าวเฉิน ทำไมฉันพบว่ายิ่งนานวันคุณยิ่งใจแคบ นี่คือบ้านของคุณ มันไม่ใช่บ้านของหลานชายฉันเหรอ? ตอนนี้คุณไม่พูดอะไร เดี๋ยวฉันก็จะไปอยู่แล้ว”
“ฉันให้คุณไสหัวไป อย่ามาพูดอะไรกลับตาลปัตร”
“นี่! วันนี้ถ้าไม่เจอคุณจะอารมณ์เสียไหม เด็กน้อย มา ลุงจะพากลับบ้านของคุณ ไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินโมโห “คุณอย่ามาแตะต้องเขา นั่นคือลูกชายของฉัน”
มู่เทียนเย่พูดแทงใจเขา “เหรอ? งั้นทำไมฉันไม่เคยได้ยินเขาเรียกคุณว่าพ่อเลยล่ะ”
ประโยคนี้ทำให้เย่ฉ่าวเฉินกระอักเลือด วางถ้วยในมือลง มองด้วยความโกรธ “มู่เทียนเย่ คุณมาแต่เช้าเพื่อมาทะเลาะกับฉันใช่ไหม”
“คุณให้คุณค่ากับตัวเองมากเกินไปแล้ว เวลาของฉันมีค่าขนาดนั้น ทำไมต้องเอามาสิ้นเปลืองด้วยล่ะ? ” มู่เทียนเย่กินอย่างใจเย็น
“คุณไม่มีเรื่องอะไรก็รีบไสหัวไป ตระกูลเย่ไม่ต้อนรับคุณ”
“ถ้าไม่ใช่ว่าน้องสาวฉันกับหลานชายฉันอยู่ที่นี่นะ คุณคิดว่าฉันเต็มใจที่จะมาเหรอ? คุณจะใช้เกี้ยวแปดคนหามมาหามฉัน ฉันก็ไม่มาหรอก”
“ชิ! เกี้ยวแปดคนหามที่ฉันจะหามก็คือเวยเวย หามผู้ชายอย่างคุณ ฉันไม่เห็นจะน่าสนใจเลย”
สองคนนี้ว่ากันไปว่ากันมา ดูเหมือนเหตุการณ์รุนแรง แต่อาหวังที่ยืนอยู่ด้านนอกกับฉินหม่าที่ป้อนข้าวเด็กน้อยก็รู้ดี คาดว่าสองคนนี้จะไม่ทะเลาะกันขึ้นมา
หวนคิดไปเมื่อหนึ่งปีก่อน สองคนนี้ต่อสู้กับประหนึ่งน้ำกับไฟ ต้องการให้อีกฝ่ายตาย ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยคิดว่า วันหนึ่งพวกเขาสองคนจะนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกัน
นี่คือเรื่องที่ไม่กล้าจะคิดเมื่อหนึ่งปีก่อน ทว่าเพราะการปรากฏตัวของมู่เวยเวยและเจ้าตัวน้อย จึงได้เป็นจริงขึ้นมา
ตั้งแต่เรื่องส่วนตัวไปจนถึงงาน หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างได้รับการเหน็บแนม ท้ายที่สุดก็คุยในเรื่องเฉพาะเจาะจง
“ทางด้านนั้นคุณไม่ได้ข่าวของกาวินเลยเหรอ? ” หลังจากที่มู่เทียนเย่กินอิ่มแล้ว เช็ดปากเสร็จก็อุ้มเด็กขึ้นมา แล้วถามออกไป
เย่ฉ่าวเฉินหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากโต๊ะอาหาร เช็ดมุมปากของมู่เวยเวยเบาๆ “เหยี่ยวราตรีนำคนค้นหาอย่างเต็มกำลัง เพียงแต่เราไม่รู้จักหน้าตาของเขา ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร มีโอกาสเลือนราง ทางด้านนั้นของคุณล่ะ? ”
“ก็เหมือนกันกับคุณ”
“เรารื้อถอนซ่องโจรของเขา ทำลายรากฐานของเขาในหลายปีที่ผ่านมา ถ้าเขารู้ว่าเราทำเรื่องเหล่านี้ แน่นอนว่าเขาต้องโกรธและอับจนกลับมาหาโอกาสแก้แค้นเป็นแน่”
มู่เทียนเย่พยักหน้าเบาๆ อย่างเคร่งขรึม “ถูก ฉันก็คิดแบบนี้ ดังนั้นต้องเพิ่มกำลังคุ้มกัน เน้นหนักไปที่เวยเวยกับลูก ไม่ให้เขาทำแผนชั่วสำเร็จได้อีก”
“คุณวางใจเถอะ ตราบใดที่พวกเขาไม่ออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้ ใครก็ไม่สามารถทำร้ายพวกเขาในอาณาบริเวณฉันได้”
“อืม อย่างนี้ก็ดี”
เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เทียนเย่ปรึกษากันแล้ว นอกเหนือจากการไปโรงพยาบาลเพื่อการตรวจที่จำเป็น มู่เวยเวยก็อยู่คฤหาสน์ตระกูลเย่เพื่อพักฟื้นตลอด จนกว่าร่างกายเธอจะฟื้นตัว จนกว่าแสงแห่งความหวังจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
และเด็กน้อย ตอนนี้เขายังเล็กอยู่ เย่ฉ่าวเฉินไม่ต้องการให้เขาปะทะกับชาวโลกก่อนเวลาอันควร โดยเฉพาะตาคู่นี้ จะทำให้เกิดความโกลาหลแน่นอน
“ใช่แล้ว พรุ่งนี้เสี่ยวซีหร่านจะเชิญหมอจากอเมริกามาที่เมืองA นัดไว้ดีแล้ว เมื่อถึงเวลาก็พาเวยเวยไปที่โรงพยาบาลได้โดยตรง เราเจอกันที่โรงพยาบาลเลย บ่ายสามโมง อย่าลืมล่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่เขาอย่างดูถูก “เรื่องสำคัญแบบนี้จะลืมได้อย่างไรล่ะ? ”
“ใครจะรู้ล่ะ” มู่เทียนเย่พูดคำนี้จบ ก็อุ้มเด็กขึ้นมาแล้วเดินไปด้านนอก “เด็กน้อย ลุงจะไปสอนคุณว่าเครื่องบินบังคับนี้เล่นอย่างไร”
เย่ฉ่าวเฉินมองตามหลังเขาไปอย่างอิจฉา ถอนหายใจในใจ
มู่เทียนเย่เดินถึงหน้าประตูก็หยุดเดิน “ใช่สิ คุณคิดชื่อของลูกคุณได้แล้วหรือยัง? นานแล้วนะ เรียกแต่เด็กน้อยๆ เป็นเด็กผู้ชาย ฟังแล้วดูบอบบางเกินไป”
“นึกไว้สองสามชื่อแล้ว เดิมทีก็รอเวยเวย……” เย่ฉ่าวเฉินกลืนคำพูดด้านหลังไป เขาต้องการตั้งชื่อลูกด้วยกันกับเวยเวย สาเหตุเป็นเพราะอาการป่วยของเธอ ก็เลยล่าช้าไป
สายตามู่เทียนเย่มิงไปที่เวยเวยในแสงยามเช้า ด้วยสายตาอบอุ่น”ตามใจคุณเถอะ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าเรียกเด็กน้อยก็น่าฟังดี”
“อืม”
ในห้องอาหาร เย่ฉ่าวเฉินกินข้าวเสร็จ ก็จูงมู่เวยเวยออกไปเดินเล่น มู่เทียนเย่เล่นกับเด็กน้อยบนสนามหญ้าเหมือนกับเด็กโต เครื่องบินบังคับกำลังบินขึ้นลงอยู่ในอากาศ ทุกๆ ครั้งที่บินลงและบินวนจะได้รับเสียงดีใจจากเจ้าตัวน้อย
เย่ฉ่าวเฉินไม่ยอมแพ้ บ่นกับมู่เวยเวยว่า “มู่เทียนเย่ชอบเด็กขนาดนี้ ตนเองกับเสี่ยวซีหร่านไม่คลอดมาเล่นสักคน มาแย่งลูกชายฉันทำไม”
มู่เวยเวยไม่ตอบกลับ มีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าตลอด เธอดูสวยสดใสมากเช่นนี้ เหมือนเด็กสาวบริสุทธิ์คนหนึ่ง ทำให้คนอดไม่ได้ที่ต้องการทะนุถนอมเธอและดูแลเธอ
เวลาเที่ยง เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองไปที่คนที่ยังอยู่ในบ้านของเขาแล้วพูดว่า “วันนี้คุณว่างขนาดนี้เลยเหรอ? ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวซีหร่านเหรอ? ”
มู่เทียนเย่ที่ดูเหมือนอยู่ในบ้านของตัวเอง นอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟา เด็กน้อยที่เหนื่อยล้าจากการวิ่งแล้วนอนหลับอย่างสงบอยู่ในอ้อมแขนของเขา อย่าว่าแต่ นอนแบบนี้เลย ทั้งคนโตและเด็ก มีบางอย่างที่คล้ายกันมาก
“เธอกลับเมืองSไปแล้ว” มู่เทียนเย่พูดอย่างกระชับตรงประเด็น
แป๊บเดียวเย่ฉ่าวเฉินก็เข้าใจได้ทันที ที่เขาว่างขนาดนี้ เดิมทีการอยู่คนเดียวน่าเบื่อเกินไป นึกถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้มู่ซื่อแย่งธุรกิจเขาไปถึงสองครั้ง เย่ฉ่าวเฉินก็ถามว่า “ฉันมีสองเรื่องที่คิดไม่ออก”
“ว่า”
เย่ฉ่าวเฉินถามอย่างสงสัย “การจัดถิ่นฐานให้กับเมืองสีเขียวสองโครงการนั้นฉันกับในเมืองพูดคุยกันดีแล้ว คุณฉกสองกิจการนี้ไปจากในมือฉันได้อย่างไร? ”
มู่เทียนเย่หัวเราะ สายตาไม่ได้ละไปจากโทรศัพท์ “คุณมีคนในเมือง ฉันมีคนในมณฑล เราต่างอาศัยความสามารถ มีอะไรที่คิดไม่ออกล่ะ? ”
ในใจเย่ฉ่าวเฉินรู้สึกระคายอย่างมาก ถึงแม้ว่าอยากจะรู้ว่าคนในมณฑลของเขาคนนั้นเป็นใคร แต่เย่ฉ่าวเฉินเป็นคนที่แบ่งแยกเรื่องส่วนตัวชัดเจน รู้ว่ามันไม่เหมาะสมที่จะถาม ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยปากถาม
แม้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับมู่เทียนเย่จะผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะมู่เวยเวยกับเจ้าตัวน้อย ในเชิงธุรกิจ พี่น้องของตนยังต้องคิดบัญชี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้องเขยกับพี่เขยเลย?
เช่นนี้มู่เทียนเย่ใช้เวลาที่ตระกูลเย่ตลอดทั้งวัน เจ้าตัวเล็กเรียนรู้อะไรๆ ได้เร็วมาก เครื่องบินบังคับเล่นได้ลื่นไหลมาก
มู่เทียนเย่มองไปที่ดวงตาที่เป็นเอกลักษณ์คู่นั้น ถามเย่ฉ่าวเฉินที่อยู่ข้างๆ ว่า “เด็กน้อยหายตัวได้ใช่ไหม บินไปบินมาได้ใช่ไหม? มิฉะนั้นตาข้างหนึ่งจะเป็นสีม่วงได้อย่างไร”
เย่ฉ่าวเฉินนวดหัวคิ้วที่ปวด “คุณเดาถูก เขามีแววด้านนี้ให้เห็นอยู่แล้ว”
“อะไร? ” มู่เทียนเย่รู้สึกประหลาดใจ
“จริงๆ คุณไม่รู้สึกว่าเขาโตเร็วกว่าเด็กในวัยเดียวกันเหรอ? อีกทั้งจู่ๆ เมื่อคืนนี้เขาก็ทะลุประตูเข้ามา แววตาก็ไม่เปลี่ยน และตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าผิดปกติอะไร”
มู่เทียนเย่อ้าปากกว้าง “นี่เป็นไปได้ยังไง? ในกรณีที่ไปเรียนอนุบาล จู่ๆ เขาก็หายไปจู่ๆ ก็มาปรากฏตัว งั้นก็ทำให้ครูกับเด็กตกใจตายเหรอ”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วแน่น “ฉันยังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันอยากจะคุยกับเขาดีๆ แต่เขาเด็กเกินไป ตนเองก็ยังพูดไม่คล่อง จะฟังฉันพูดเข้าใจได้อย่างไร? ”
“งั้นก็รอให้เขาโตขึ้นหน่อย กลับกันตอนนี้เขาไม่ได้ออกไปไหน” มู่เทียนเย่ชะงักไป “เพียงแต่ว่า เขาต้องเล่นกับเด็กในวัยเดียวกัน อยู่กับคนโตอย่างพวกเราตลอด อย่างน้อยก็จะสนุกมากขึ้น”
“งั้นคุณก็รีบมีลูกไปเล่นเป็นเพื่อนเขาสิ”
มู่เทียนเย่คว้าหมอนที่อยู่ข้างๆ เขาและโยนมันใส่เขา “โอเค ฉันจะมีลูกเพื่อมาเล่นกับลูกชายคุณอะเหรอ? จะว่าไปแล้ว ถึงแม้ว่าฉันจะเตรียมตัวตอนนี้ เร็วที่สุดก็ต้องหนึ่งปีจึงจะคลอด ถึงเวลานั้นเจ้าตัวน้อยไม่รู้ว่าจะกลายเป็นอย่างไรแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินเงียบเป็นเวลานาน พูดช้าๆ และลึกซึ้งว่า “อันที่จริง ฉันหวังว่าเขาจะเป็นเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่ง เติบโตอย่างเรียบง่าย ใช้ชีวิตนี้อย่างปลอดภัยและราบรื่น”
มู่เทียนเย่ได้ฟังคำพูดนี้ก็เงียบ
ตอนที่ไม่มีลูก พ่อแม่ทุกคนปรารถนาให้ลูกของตนเองมีทักษะศิลปะการต่อสู้ 18 ทักษะในอนาคตได้ แต่เมื่อมีลูกจริงๆ แล้วจะรู้ ตราบเท่าที่เขามีสุขภาพดีและมีความสุข นี่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด
“งั้นก็ตั้งชื่อให้เขาว่าผิงอัน” มู่เทียนเย่เสนอ มองไปที่เย่ฉ่าวเฉินอย่างดูหมิ่น เพิ่มเสริมประโยคหลังไปว่า “น่าฟังว่าเด็กน้อย”
ก็จริง เย่ฉ่าวเฉินไม่คัดค้าน
มู่เทียนเย่ยืนมือไปทักทายเจ้าตัวน้อย “เด็กน้อย มานี่เร็ว”
เจ้าตัวน้อยโยกย้ายส่ายสะโพกอันอ้วนตุ้ยนุ้ย
เดินโคลงเคลงไปมามายังตรงหน้าคุณลุง เงยหน้ายิ้มอย่างไร้เดียงสา
“ต่อไปจะเรียกคุณว่าผิงอัน ดีไหม? อ่านออกเสียงตามลุงนะ ผิง——อัน——”
เจ้าตัวน้อยจ้องมองปากของเขา ส่งเสียงอ่อนวัยว่า “ผิงอัน”
“ไอ๋หยา เก่งจริงๆ! ต่อไปนี้จำไว้นะ ลุงเรียกผิงอัน ก็คือกำลังเรียกคุณอยู่รู้ไหม? ”
เจ้าตัวน้อยพยักหน้าอย่างสับสนงุนงง
เย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งก็กลุ้มใจเป็นพิเศษ ทำไมลูกชายเรียนรู้อะไรได้รวดเร็วมาก จะมีเพียงเรียนรู้คำว่า”พ่อ”ไม่ได้เท่านั้น?
“ผิงอัน มาหาพ่ออยู่นี่”
เจ้าตัวน้อยไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบชั่วขณะ ยังสนิทสนมกับมู่เทียนเย่ที่อยู่ตรงหน้า
“ผิงอัน” เย่ฉ่าวเฉินเรียกอีกคำหนึ่ง
มู่เทียนเย่จิ้มที่พุงน้อยๆ ของเขา พูดว่า “เย่ฉ่าวเฉินเรียกคุณผิงอัน ได้ยินหรือเปล่า? ”
เจ้าตัวน้อยจึงหันตัวกลับมาอย่างเชื่องช้า มองเขาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“มานี่ ผิงอัน”
มาถึงตรงหน้าของเขาด้วยใบหน้าที่ไม่แยแส เงยหน้ามองเขา ดูเหมือนกำลังพูดว่า เรียกฉันทำอะไร?
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างรักและเอ็นดูมาก “เรียกพ่อ”
คาดไม่ถึงเจ้าตัวน้อยเหมือนกันกับเมื่อก่อนมาก มอบสายตาที่เบื่อหน่ายให้เขาที่หนึ่ง
หันกลับ แล้วเดินไป
“ฮ่าๆๆๆๆ ——” มู่เทียนเย่หัวเราะลั่น
เย่ฉ่าวเฉินหน้าดำคร่ำเครียด เขาไม่ควรทำเรื่องที่มันเกินไปในเวลานี้ แล้วนี่คือกำลังอยู่ต่อหน้าเจ้าบ้ามู่เทียนเย่นี่ด้วย
……
บ่ายสามโมง เย่ฉ่าวเฉินพามู่เวยเวยออกมาโรงพยาบาลตรงตามเวลา โรงพยาบาลเมืองAแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานเจ้าหน้าที่รักษาพยาบาล หรือองค์ประกอบอุปกรณ์รักษาพยาบาลล้วนเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดในมณฑล
เดวิดหมอมาจากอเมริกาหนุ่มแล่หล่อเป็นพิเศษ ถ้ามู่เทียนเย่ไม่แนะนำ เย่ฉ่าวเฉินก็คิดว่าเป็นนักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษา
เช่นเดียวกับแนวคิดดั้งเดิมของคนจีนจำนวนมาก เย่ฉ่าวเฉินใช้ภาษาจีนถามมู่เทียนเย่ว่า “ทำไมเขาดูหนุ่มขนาดนี้ล่ะ เชื่อถือได้เหรอ? ”
หมออเมริกาหัวเราฮ่าๆ ใช้ภาษาจีนอย่างคล่องแคล่วตอบว่า “คุณเย่ อย่าเห็นว่าฉันหนุ่มแล้วก็สงสัยในฝีมือฉันเลย”
เย่ฉ่าวเฉินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คาดไม่ถึงว่าภาษาจีนของเขาจะดีขนาดนี้เลยเหรอ?
“เอ่อ งั้น ต้องขอโทษด้วย พวกเราจะเริ่มกันได้เมื่อไรล่ะ? ”
“ตอนนี้ พรุ่งนี้ฉันมีการประชุมสำคัญ วันนี้ตอนเย็นต้องออกไป”
หลังจากทักทายกันพักหนึ่ง เดวิดก็เริ่มทำการตรวจให้มู่เวยเวยอย่างละเอียด เธอได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างไรมู่เทียนเย่มู่เทียนเย่เคยคุยกับเข้าก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ถามอีก
หลังตรวจเสร็จ เดวิดพูดอย่างจริงจังว่า “ทำการผ่าตัดเถอะ การฟื้นฟูแบบนี้เร็วที่สุด”
“มีความเสี่ยงมากไหม? ” เย่ฉ่าวเฉินลังเลใจเล็กน้อย ครั้งที่แล้วอยู่โรงพยาบาลหมอก็บอกว่าต้องผ่าตัด แต่ความเสี่ยงมาก ดังนั้นเย่ฉ่าวเฉินเลยไม่เห็นด้วย
เดวิดมองแผ่นฟิล์มทุกแผ่นที่ไฟส่องลงมาแล้วพูดว่า “ทุกการผ่าตัดล้วนมีความเสี่ยงทั้งนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นคุณหมอที่เจ๋งๆ ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าทุกการผ่าตัดจะประสบความสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์”
เย่ฉ่าวเฉินประหลาดใจเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มต่างชาติคนนี้จะพูด”เจ๋ง”ที่เป็นภาษาพื้นเมืองแบบนี้
“งั้นคุณมีความมั่นใจสักเท่าไร? ”
“เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ เหลืออีกสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นอยู่กับคุณผู้หญิงคนสวยท่านนี้”
ความประหลาดใจเล็กน้อยของเย่ฉ่าวเฉินก็กลายเป็นตกตะลึงอย่างมาก “เก้าสิบเปอร์เซ็นต์? คุณแน่ใจเหรอ? ”
เดวิดไม่สบายใจเล็กน้อยกับท่าทีที่สงสัยของเขา สองมือกอดอกแล้วมองเขาอย่างเย็นชา “คุณเย่ คุณสามารถสงสัยบุคลิกของฉันได้ แต่ไม่สามารถสงสัยในฝีมือของฉัน”
เย่ฉ่าวเฉินไม่เคยพบเจอคนที่มั่นใจตนเองเช่นนี้มาก่อน แต่นี่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเวยเวย เขาไม่สามารถชะล่าใจได้
“ฉันขอคิดพิจารณาสักหน่อย”
“โอเค ให้เวลาคุณสิบนาที เวลาของฉันมีค่ามาก”
เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยยืนอยู่ที่พื้นที่สูบบุหรี่ คนสองคนไม่ได้พูดจา รอบุหรี่ไหม้จนหมดมวนหนึ่ง คนทั้งสองก็พูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายว่า “ทำเถอะ”
แลกเปลี่ยนสายตาเล็กน้อยในเวลาอันสั้น พวกเขาต่างฝ่ายต่างมองเห็นถึงความเด็ดเดี่ยวและความกังวลทั้งหมดในสายตา
ก็เหมือนกับที่เดวิดบอก ทุกการผ่าตัดมีความเสี่ยง พวกเขาไม่สามารถปล่อยให้เวยเวยทึ่มทื่อแบบนี้ได้ต่อไป เธอเพิ่งจะอายุยี่สิบห้า ดำรงชีวิตแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับเธอ เธอยังมีความฝันอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำให้เป็นจริง
พวกเขาต้องเชื่อเดวิด เชื่อเวยเวย
ดูเหมือนว่าเดวิดจะคาดเดาการตัดสินใจของพวกเขาได้ก่อนแล้ว ตอนพวกเขาปรึกษาหารือกัน ก็เตรียมห้องผ่าตัดไว้ล่วงหน้าแล้ว
เวยเวยนั่งอยู่ข้างเตียงสงบนิ่งคล้ายกับลูกแมวไร้เดียงสาตัวหนึ่ง เย่ฉ่าวเฉินนั่งยองๆ กุมมือของเธอแล้วพูดว่า “เดี๋ยวจะทำการผ่าตัดให้คุณแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะอยู่ข้างๆ คุณตลอด”
เวยเวยได้ยินเสียงของเขา ก็แสดงการยิ้มแหยๆ ไม่มีเสียง เย่ฉ่าวเฉินเจ็บปวดในหัวใจ เธอฟังความหมายของเขาไม่เข้าใจ
ก่อนการผ่าตัด พยาบาลสองคนมาโกนผมของมู่เวยเวย
“จำเป็นต้องทำเหรอ? ” เย่ฉ่าวเฉินถาม
พยาบาลยิ้มแล้วกล่าวว่า “แน่นอนค่ะ ต้องลงมือผ่าตัดที่ศีรษะ ต้องโกนผม นี่ก็ช่วยในการฟื้นฟูหลังการผ่าตัด ให้ไม่ง่ายต่อการติดเชื้อ”
พยาบาลอีกคนหนึ่งเห็นความเจ็บปวดใจ บนใบหน้าเย่ฉ่าวเฉิน ลับมีดไปพลางพูดไปพลางว่า “ผมยังสามารถยาวออกมาได้ ชีวิตสำคัญที่สุด”
ที่เย่ฉ่าวเฉินเจ็บปวดใจเพราะเดิมทีมู่เวยเวยรักและทะนุถนอมผมของเธอมาก เขาเจ็บปวดใจแทนเธอ
“ถ้าภรรยาของฉันลืมตาขึ้นและเห็นว่าเธอกลายเป็นแม่ชี คาดว่าจะต้องเป็นบ้าแน่” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน
มีคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ มู่เวยเวยอดๆ ไม่ได้ที่จะเริ่มกังวล เย่ฉ่าวเฉินกุมมือของเธอกล่าวปลอบใจไม่หยุด “ไม่ต้องกลัวนะ ฉันอยู่นี่”
“ฉับๆ——” กรรไกรตัดลงไป ผมยาวตรงสีเข้มร่วงลงบนพื้น เมื่อพยาบาลโกนหนังศีรษะให้มู่เวยเวย เธอก็เกร็งไปทั้งตัว จับมือทั้งคู่ของเย่ฉ่าวเฉินไว้แน่น
“ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวก็ผ่านไป จริงๆ แล้วคุณผมสั้นก็น่ารักมากเลยนะ น่าเสียดายที่ตัวคุณเองไม่เห็น……” เย่ฉ่าวเฉินปล่อยให้เธอจับมือ ถึงแม้ว่านิ้วมือจะเกือบถูกเธอหักก็ตาม
มู่เทียนเย่ยืนอยู่หน้าประตูมองเธออย่างเงียบๆ ช่วงเวลาสั้นๆ นี้เขารู้สึกว่า เย่ฉ่าวเฉินรักเวยเวยจริงๆ กระทั่งลึกซึ้งยิ่งกว่าที่เขารักเสี่ยวซีหร่าน
ผ่านไปสองสามนาที หนังศีรษะของมู่เวยเวยก็ถูกโกนจนสะอาด เธอกลายเป็นแม่ชีที่สวยงามคนหนึ่งจริงๆ
เย่ฉ่าวเฉินแอบกล่าวว่า โชคดีที่เธอไม่ได้เกิดในสมัยโบราณ แม่ชีที่สวยบริสุทธิ์แบบนี้อยู่ในวัด ไม่รู้ว่าจะดึงดูดสายตาศาสนิกชนผู้ชายได้มากน้อยแค่ไหน
นี่เป็นครั้งแรกที่พยาบาลสองคนได้เห็นสามีที่อยู่เคียงข้างตลอด แล้วคนคนนี้ยังเป็นเย่ฉ่าวเฉินที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองA เป็นภาพสามีที่สมบูรณ์แบบที่สุดในใจสาวๆ จริงๆ
เพราะความพิเศษของมู่เวยเวย เย่ฉ่าวเฉินถูกอนุญาตให้สวมชุดปลอดเชื้อแล้วเข้าไปในห้องผ่าตัด รอหลังจากยาชาออกฤทธิ์ เขาก็ถูกไล่ออกไป
สถานที่ที่มีกลิ่นคาวเลือดมากเกินไป หมอกลัวว่าเขาจะสูญเสียการควบคุม
หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมง…..
เย่ฉ่าวเฉินที่เริ่มใจร้อนไม่เป็นสุขมาตั้งแต่ต้น สูบบุหรี่มวนหนึ่งตามด้วยอีกมวนหนึ่ง มู่เทียนเย่ก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ก็ชัดเจนว่าพวกเขาพาเวยเวยมาตรวจเล็กน้อย ทำไมถึงทำผ่าตัดได้รวดเร็วแบบนี้ล่ะ?
“พรึ่บ——” ไฟของห้องผ่าตัดดับลง
เย่ฉ่าวเฉินโยนบุหรี่ในมือทิ้งอย่างรวดเร็วแล้วเหยียบให้ดับ รีบมุ่งหน้าเข้าไป
เดวิดออกมาจากด้านใน มู่เทียนเย่ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? ”
เขาปลดผ้าปิดปากสีฟ้าอ่อนแล้วพูดว่า “เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของฉันสำเร็จแล้ว อีกสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือต้องรอดูเธอแล้วล่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินและมู่เทียนเย่ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก นั่นก็พูดได้ว่าการผ่าตัดประสบความสำเร็จ
“คนล่ะ? ”
“เข็นไปห้องพยาบาลผู้ป่วย”
เย่ฉ่าวเฉินเคลื่อนเท้าไปอย่างว่องไว ชั่วพริบตาคนก็หายไปแล้ว เดวิดคว้ามู่เทียนเย่ที่ต้องการจะวิ่งไป “มู่ ฉันต้องการไปสนามบินทันที หารถคันหนึ่งไปส่งฉันหน่อย”
“ไม่มีปัญหา คนขับรถของฉันอยู่ด้านล่าง คุณลงไป ฉันให้เขารอคุณอยู่ที่หน้าประตูโรงพยาบาล”
“OK”
ในห้องสังเกตการณ์
มู่เวยเวยนอนหลับอย่างสงบนิ่งอยู่บนเตียง บนตัวบนศีรษะถูกเสียบท่อทุกที่ มองครั้งแรกน่ากลัวอย่างมาก
เย่ฉ่าวเฉินมองเธอผ่านกระจก ในใจหดหู่อย่างยิ่ง นับตั้งแต่แต่งงานกับเวยเวย พวกเขาสองคนดูเหมือนจะถูกมัดแน่นอยู่กับโรงพยาบาล
ผ่านไปไม่นานก็ต้องแวะเวียนมาสักครั้งหนึ่ง บางครั้งเป็นเขา บางครั้งเป็นเธอ แต่ส่วนมากจะเป็นเธอ
โทษตัวเองที่ตาบอดเพราะความเกลียดชังในเวลานั้น ซึ่งทำให้เธอได้รับความเสียหายไม่รู้จบ เขาเสียใจกับหลายเรื่องที่ตนเองเคยทำลงไป แต่สิ่งเดียวที่ไม่เสียใจคือ การแต่งงานกับเธอ
“เย่ฉ่าวเฉิน? ”
เสียงที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังเข้ามา เย่ฉ่าวเฉินหันตัวกลับ หนานกงเฮ่าที่ไม่ได้พบมานานยืนอยู่ใต้แสงสีขาวซีด ในมือถือกล่องเก็บความร้อนกล่องหนึ่ง บนใบหน้าแฝงไปด้วยความแปลกใจ
“ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ล่ะ? ” เย่ฉ่าวเฉินอดไม่ได้ที่จะถาม ข่าวคราวที่มู่เวยเวยกลับมาเขาปิดอย่างดีมาก เมืองAไม่มีใครรู้
“พ่อฉันนอนโรงพยาบาล ฉันมาเยี่ยมเขา” เหลือบไปมองคนที่อยู่ในห้องสังเกตการณ์ผู้ป่วย หนังตาเขาก็ยกขึ้น ก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า “คนที่อยู่ด้านในคือเวยเวยเหรอ? ”
“เกี่ยวข้องอะไรกับคุณเหรอ? ” น้ำเสียงเย่ฉ่าวเฉินเยือกเย็นเล็กน้อย
สีหน้าอารมณ์บนใบหน้าหนานกงเฮ่าปรากฏความยุ่งเหยิง “ฉัน……หาเธอพบก็ดีแล้ว ฉันก็เป็นห่วงเรื่องนี้อยู่
“ภรรยาของฉันไม่ต้องการความเป็นห่วงของคุณ แล้วอีกอย่าง” เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองเขาอย่างเคร่งขรึม “ถ้าคุณหวังจะให้เธอหายจริงๆ ก็ไม่ต้องมาเข้าใกล้เธออีก”
หนานกงเฮ่าไม่ยอมอ่อนข้อ “เย่ฉ่าวเฉิน ถ้าเมื่อก่อนคุณยอมให้อภัยกับเธอสักหน่อย ฉันก็คงไม่มีโอกาสโดยสิ้นเชิง เฉียวซินโหยวก็ไม่มีโอกาส เดินทางมาถึงวันนี้แล้ว คุณจะมาผลักความรับผิดชอบไม่ได้”
“ฉันยอมรับความผิดของฉัน” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างไม่หวั่นต่อสิ่งใด “ดังนั้นฉันจึงจะใช้เวลาหลายสิบปีไปชดเชยให้เธอ รักเธอด้วยใจจริง แต่ฉันไม่อนุญาตให้คุณมาปรากฏต่อหน้าเธออีก”
“เห๊อะ! คุณบอกไม่อนุญาตก็ไม่อนุญาตเหรอ? เมืองAไม่ใช่เมืองAของคุณเย่ฉ่าวเฉิน……”
คำพูดของหนานกงเฮ่ายังไม่ทันจบ ผู้หญิงท่าทางอรชรอ้อนแอ้นก็เดินเข้ามา “หนานกง ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่? ฉันตามหาคุณไปทุกหนทุกแห่ง”
บนใบหน้าของหนานกงเฮ่าเบื่อหน่ายเล็กน้อย แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว เขาพูดกับคนที่มาอย่างนิ่งๆ ว่า “ฉันพบคนรู้จักคนหนึ่ง เลยคุยกันสักพัก”
ผู้หญิงเห็นเป็นเย่ฉ่าวเฉิน สายตาก็เป็นประกายเล็กน้อย “เย่ฉ่าวเฉิน? บังเอิญจริงๆ เลย ที่พวกเราพบกันที่นี่”
เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองเธอทีหนึ่ง ในสมองไม่มีความทรงจำใดๆ นี่คือใครล่ะ?
“คุณลืมแล้วเหรอ? พวกเราเป็นเพื่อนกันตอนมัธยมต้นไง ตอน ม.2 ฉันนั่งอยู่ด้านหน้าของคุณ พอตอนมัธยมปลายฉันก็ไปต่างประเทศ ก่อนหน้านี้เพิ่งจะกลับมา” ผู้หญิงพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ
เย่ฉ่าวเฉินกำลังค้นหาในสมองอยู่รอบหนึ่ง ยังคงนึกไม่ออกว่าเธอคือใคร พูดตามตรงคือ แม้แต่เพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันตอนมัธยมเป็นใครเขายังจำไม่ได้เลย นับประสาอะไรจะไปจำว่าใครที่นั่งอยู่ด้านหน้า
“เออใช่ คุณมาทำอะไรที่โรงพยาบาลล่ะ?! ” ผู้หญิงถามด้วยไมตรีจิต
เย่ฉ่าวเฉินตอบสนองอย่างเรียบๆ ว่า “ภรรยาของฉันนอนโรงพยาบาล”
“คุณแต่งงานแล้วเหรอ? ” ผู้หญิงตกตะลึง ทันทีก็ยิ้ม “หวังว่าเธอจะหายเป็นปกติโดยเร็วนะ อยากจะเห็นว่าผู้หญิงแบบไหนที่คว้าคุณไว้ได้”
เพียงเอ่ยถึงมู่เวยเวย เย่ฉ่าวเฉินก็ฉีกยิ้ม “ก็เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง”
ผู้หญิงรู้ว่าเขาพูดด้วยความเกรงใจ ก็ไม่ได้รบเร้า คล้องแขนของหนานกงเฮ่าที่ไม่แสดงสีหน้าแล้วพูดว่า “ฉันและหนานกงเฮ่าก็ใกล้จะแต่งงานแล้ว ช่วงปลายปี ถึงเวลานั้นคุณมาด้วยกันกับภรรยานะ ฉันจำได้ตอนที่เรียน ความสัมพันธ์ของพวกคุณสองคนดีอย่างมาก”
เย่ฉ่าวเฉินตกตะลึงอย่างแท้จริง หนานกงเฮ่าคนไม่เอาถ่านคนนี้ก็มีวันที่ได้แต่งงานกับเขาด้วยเหรอ?!
“ได้สิ เพียงแค่หนานกงเฮ่าส่งการ์ดเชิญให้ฉัน ฉันต้องไปอย่างแน่นอน” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าว
หนานกงเฮ่าชำเลืองมองเขา พูดไปแล้ว เขาไม่อยากที่จะเห็นเจ้าหมอนี่ในงานแต่งของตัวเองเลยสักนิด รวมทั้งผู้หญิงที่เคยรักด้วย
ใช่ เคยมาก่อน
“ได้ยังไง? ฉันจะต้องการ์ดเชิญไปที่บ้านคุณด้วยตนเอง พวกเราไปก่อนนะ คุณลุงหนานกงยังรอพวกเราอยู่”
“เชิญตามสบาย”