วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 256 ความลับของเย่ฉ่าวเฉินถูกเปิดเผย
“กี่นาทีผ่านไปแล้ว” มู่เวยเวยจับมือเสี่ยวซีหรานไว้แน่นเพื่อส่งต่อความตึงเครียดของเธอ
“สามนาที” เสี่ยวซีหร่านมองเวลาในมือถือ
เมื่อกี้เหลือเวลาอีกนาทีครึ่ง ตอนนี้…ถ้ามันจะระเบิดคงระเบิดไปแล้ว
“ฉันจะโทรหาเขา” มู่เวยเวยตึงเครียดมาก จนโทรศัพท์ที่เพิ่งหยิบออกมาตกลงบนพื้น มู่เทียนเย่ก้มลงเก็บโทรศัพท์ให้เธอ และพูดอย่างเย็นชา “พี่โทรเอง”
มู่เวยเวยพยักหน้า
เมื่อกดโทรออก ปลายสายก็มีเสียงอัตโนมัติตอบกลับมาว่า ขออภัยค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
ทั้งสามคนเงียบไปชั่วขณะ
“ต้องเกิดอะไรขึ้นกับเขาแน่” พี่ ฉ่าวเฉินเกิดเรื่องแล้ว ฉันอยากไปหาเขา มู่เวยเวยพูดและน้ำตารื้นออกมาอีก
มู่เทียนเย่ก็รอไม่ไหวแล้ว “โอเค พี่จะพาเธอไปหาเขา แต่ทางที่ดีเธอบอกรองประธานบริษัทเย่ฮวางไว้หน่อยดีกว่า เขาจะได้รับหน้าแทน” สำหรับศัตรูที่มองไม่เห็น มู่เทียนเย่คิดว่าเขาคงหนีไปแล้ว
“ค่ะ” มู่เวยเวยเผยยิ้มออกมาน้อยๆ จากนั้นก็เดินตรงไปหารองประธาน เมื่อรองประธานเห็นเธอก็รีบลุกขึ้นทันที
“ประธานเฉิน ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวค่ะ”
“อ้อ ครับๆ” รองประธานมีท่าทียินดีมาก เขาเดินตามมู่เวยเวยมาจนถึงมุมลับตาคน
เย่ฉ่าวเฉินบอกเธออยู่บ้างว่าประธานเฉินเป็นคนสนิทของเขา สามารถไว้ใจได้
“ประธานเฉินคะ เมื่อกี้ฉ่าวเฉินมีธุระเลยออกไปก่อนแล้ว เขาฝากฉันมาบอกคุณว่างานประจำปีให้คุณเป็นประธานจนจบ”
ประธานเฉินแปลกใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “โอเค คุณสบายใจได้ ประธานเย่ไม่อยู่ก็ยังมีพวกผมอยู่ จะไม่ทำให้เกิดปัญหาแน่นอน”
“อืม งั้นก็ดี รบกวนด้วยนะคะ”
“นี่เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ”
ขณะที่มู่เวยเวยคุยกับประธานเฉินอยู่นั้น มู่เทียนเย่ก็ได้รับข้อความว่าระบบตรวจสอบของโรงแรมมีปัญหาทั้งหมด ตอนนี้ยังกู้คืนมาไม่ได้ ฝ่ายเทคนิคกำลังเร่งหาที่มา
“อืม พวกนายไปตรวจสอบดูรอบๆ ถ้ามีบุคคลน่าสงสัยให้จับทันที”
“ครับนาย”
มู่เทียนเย่วางสายและมองเสี่ยวซีหร่านอย่างเป็นห่วง
เสี่ยวซีหร่านอ่านสายตาเขาออกในทันที เธอรีบพูด “อย่าคิดจะกันฉันออก แม้ฉันจะไม่ได้รู้สึกกับเย่ฉ่าวเฉินขนาดนั้น แต่ฉันก็อยู่รอข่าวเฉยๆไม่ได้”
“ซีหร่านผมไม่อยากให้คุณได้รับอันตราย”
“เรื่องนี้คุณสบายใจเถอะ ถึงฉันจะสู้คุณไม่ได้แต่คนอื่นไม่คณามือฉันหรอก”
มู่เทียนเย่ยิ้มอย่างจำใจ “โอเค แต่คุณต้องสัญญากับผมก่อน ถ้ามีอันตรายอะไร คุณต้องยืนอยู่หลังผม”
“โอเค ฉันรับปาก”
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จทั้งสามคนก็ออกจากโรงแรมไปอย่างรีบร้อน และรถของมู่เทียนเย่ก็รออยู่หน้าประตูแล้ว
“ไปริมทะเล”
มู่เวยเวยมองแสงสีนอกกระจก ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงผิงอันที่บ้านขึ้นมา เธอจึงรีบหยิบโทรศัพท์โทรออกไปบ้านตระกูลเย่ เธอรอสายครู่เดียวก็มีคนรับ “สวัสดีครับ บ้านตระกูลเย่ครับ”
“อาหวัง ฉันเองค่ะ ผิงอันโอเคมั้ยคะ”
“อ้อ คุณหนู คุณชายน้อยสบายดีครับ เมื่อกี้ยังเล่นรถกับจางเห่ออยู่เลย ไม่มีร้องงอแงเลยครับ”
น้ำเสียงของมู่เวยเวยจริงจังมาก “ทางนี้เกิดปัญหาค่ะ ที่บ้านระวังกันหน่อยนะคะ ดูแลผิงอันดีๆ”
เสียงพ่อบ้านเปลี่ยนไปทันที “ครับๆ ทราบแล้ว ผมจะไม่ให้คุณชายน้อยเป็นอะไรไป เอาชีวิจผมเป็นประกันเลย เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายครับ จะให้พวกเราทำอะไร”
มู่เวยเวยกำลังจะบอกว่าไม่ต้อง แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็บอกรายละเอียดไป “เมื่อกี้มีคนจะใช้ระเบิดทำลายงานประจำปี เย่ฉ่าวเฉินต้องการช่วยทุกคนก็เลยเอาระเบิดออกไปคนเดียว ตอนนี้ฉันกับพี่ชายกำลังตามไปทางริมทะเล”
พ่อบ้านหวังหายใจเข้าอยากตกอกตกใจ “เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้ยังไง คุณหนูไม่ต้องรีบนะครับ ผมกับจางเห่อจะหาทางช่วยอยู่ทางนี้ คุณต้องดูแลตัวเองดีๆนะ”
มู่เวยเวยน้ำตารื้น “ค่ะ”
หลังวางสายสายน้ำตาของมู่เวยเวยก็หยดลงมา เสี่ยวซีหร่านลูบไหล่เธอ และเอาทิชชู่มาซับน้ำตาให้ พลางปลอบ “เย่ฉ่าวเฉินไม่เหมือนคนปกติ เขาอาจจะมีเก้าชีวิตก็ได้ ไม่ทางตายง่ายๆแบบนี้หรอก”
มู่เวยเวยปล่อยน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ความตึงเครียดค่อยๆบรรเทาลง จากนั้นก็ยกหัวออกมาจากไหล่ของเสี่ยวซีหร่านและนั่งตัวตรง
“ขอบใจนะซีหร่าน” มู่เวยเวยพูดแผ่วเบา
เสี่ยวซีหร่านแทบจะตบหัวเธอ “เธอจะขอบคุณฉันทำไม ถ้าพูดอีกฉันโยนเธอออกไปจริงๆแน่”
มู่เวยเวยกัดริมฝีปาก สายตาเต็มไปด้วยความกังวลใจ
มู่เทียนเย่ที่นั่งข้างคนขับได้แต่ก้มหน้ามองโทรศัพท์ตลอดเวลา จนเสี่ยวซีหร่านขมวดคิ้วถามว่า “มาขนาดนี้แล้วคุณยังมีอารมณ์ดูโทรศัพท์อีกหรอ”
มู่เทียนเย่ตอบโดยไม่เงยหน้า “ระเบิดลูกใหญ่ขนาดนั้นถ้าระเบิดขึ้นมาต้องเสียงดังมากๆ ผมก็เลยหาข่าวในเน็ตว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มั้ย”
“ใช่สิ คุณพูดถูก งั้นฉันหาด้วย” เสี่ยวซีหร่านยังไม่ทันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงมู่เทียนเย่พูดด้วยความตกใจ “มีข้อมูลแล้ว”
มู่เวยเวยกับเสี่ยวซีหร่านโน้มตัวเข้ามา ถามพร้อมกัน “เขาว่าไง”
มู่เทียนเย่อ่านโพสถ์บนเวยป๋อ “ตะกี้กำลังจะนอน นอกหน้าต่างมีเสียงดังมาก ดังจนกระจกสะเทือน ที่ไหนระเบิดรึเปล่า”
ใต้โพสถ์นั้นยังมีรูปแนบมาด้วย ในคืนที่มืดมิดมีแสงสีแดงอยู่ไกลๆ ถ้าเดาไม่ผิดตรงนั้นน่าจะเป็นจุดที่ระเบิด
“ดูออกมั้ยว่าที่ไหน” มู่เวยเวยถามอย่างตึงเครียด
มู่เทียนเย่ซูมเข้าไปในภาพ “มันเบลอไป มองไม่ชัด…อย่าเพิ่งกังวล พี่จะถามส่วนตัวเขาไป”
มู่เวยเวยจ้องตามนิ้วมือพี่ชายด้วยใจที่เต้นแรงแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า
“เขาตอบกลับมาแล้ว บอกว่าอยู่ริมทะเล แต่ไม่แน่ใจว่าที่ไหน”
มู่เวยเวยถอยกลับไปนั่งที่อย่างอ่อนแรง พูดอย่างนี้อย่าพูดดีกว่า
รถแล่นไปริมหาดอย่างเร่งร้อน คนขับใช้สมรรถณะของรถคันนี้อย่างเต็มกำลัง รถคันนี้เต็มไปด้วยความหดหู่ ก่อนที่เสี่ยวซีหร่านจะถามมู่เทียนเย่ทำลายความเงียบ “คุณว่าใครส่งระเบิดมา”
มู่เทียนเย่มองตรงไปข้างหน้า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล “ไม่รู้ เย่ฉ่าวเฉินทำให้คนขุ่มเคืองเยอะจะตาย”
เสี่ยวซีหร่านบีบไหล่เตือนเขาว่าทำไมถึงพูดตรงขนาดนั้น มู่เวยเวยยังนั่งอยู่ตรงนี้ พูดอย่างนี้จะยิ่งทำให้เธอไม่สบายใจขึ้นไปอีก
“พี่ชายพูดถูก เย่ฉ่าวเฉินมีศัตรูเยอะมาก” มู่เวยเวยพูดอย่างหดหู่
เสี่ยวซีหร่านพูด “แต่ก็ต้องมีจุดประสงค์สิ”
มู่เทียนเย่เงียบไปครู่หนึ่ง “ฉันว่าต้องเกี่ยวกับกาวินแน่”
“ทำไม”
มู่เทียนเย่อธิบาย “ในเมือง A ถึงจะมีศัตรูของเย่ฉ่าวเฉินเยอะ แต่ทุกคนก็เข้าใจวัฒนธรรมจีน จะทำอะไรก็ต้องรอให้ข้ามปีไปก่อน แถมถ้าระเบิดนี้ระเบิดขึ้นมา ทุกคนในเมืองA ก็ต้องตาย ฝั่งตรงข้ามคงไม่อยากเป็นเป้าให้ทุกคนตามฆ่าหรอก พวกเขาก็ต้องคิดถึงตรงนี้ด้วย” มู่เทียนเย่พักไปแปบหนึ่ง “แต่กาวินไม่สนใจกฏ และไม่สนใจด้วยว่าในงานมีใคร เขาต้องการเอาคืนเย่ฉ่าวเฉินเท่านั้น”
มู่เวยเวยฟังแล้วก็ขนลุกขึ้นมา กาวินคนที่ใส่หน้ากาก คนที่ดูไม่มีความโหดเหี้ยมขนาดนั้น คนที่อ่อนโยนกับผิงอันมาก แต่เขากลับทำเรื่องแบบนี้
“แต่เรื่องนี้มีเงื่อนงำ” มู่เทียนเย่ขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน
“อะไร” เสี่ยวซีหร่านถาม
“จากข้อมูลของเย่ฉ่าวเฉิน ซูเซวียนเพื่อนของกาวินก็กำลังตามหาเขาอยู่ตามเกาะต่างๆ ถ้ากาวินเข้าเมืองมาแล้ว เขาก็น่าจะรู้เรื่องนี้สิ”
เสี่ยวซีหร่านไม่เห็นด้วย “จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ถ้าไอ้สวะนั่นซ่อนตัวดีมาก มันไม่อยากให้ฉู่เซวียนตามรอยมันเจอ แล้วฉู่เซวียนจะหามันเจอได้ยังไง”
นี่เป็นสิ่งที่มู่เทียนเย่กำลังกังวลอยู่ “ถ้าคนร้ายเป็นกาวินจริงๆ งั้นก็อันตรายมาก มันรู้จักพวกเราเป็นอย่างดี แต่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย ถ้ามีวันหนึ่งมันมาเดินผ่านหน้าเรา เราก็คงมองมันไม่ออก”
“จริง” เสี่ยวซีหร่านตอบและหันไปมองมู่เวยเวยที่เต็มไปด้วยความกังวล เธออดคิดในใจไม่ได้ว่า ผู้หญิงดีๆแบบนี้ ทำไมถึงโชคร้ายนัก เจอแต่เรื่องร้ายๆ
ถนนเส้นที่ไปริมหาดโล่งมาก เพราะตอนนี้ดึกแล้วจึงไม่มีรถสัญจร มู่เทียนเย่ไม่รู้จุดที่แท้จริงจึงได้แต่ขับไปตามทาง
ในที่สุดก็ถึงริมหาด เมื่อรถจอดสนิทมู่เวยเวยก็รีบลงมาอย่างรอไม่ไหว และเพราะกระโปรงยาวเกินไปทำให้เธอแทบหกล้ม โชคดีที่มู่เทียนเย่ตาไวจึงรับเธอไว้ได้ทัน พลางหยิบเสื้อคลุมของคนขับรถมาคลุมไหล่โล่งๆของเธอ “ค่อยๆ”
แน่นอนว่าเสื้อคลุมของมู่เทียนเย่อยู่บนตัวของเสี่ยวซีหร่านแล้ว
ทะเลภายใต้ค่ำคืนมืดมิดเงียบสงบมาก มีแค่ลมเย็นๆและเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ยังดีที่มีแสงจันทร์ส่องกระทบลงมาบนน้ำ ให้เห็นแสงสว่างเล็กน้อย
มู่เวยเวยตะโกนออกไปอย่างไร้จุดหมายท่ามกลางความมืด “เย่ฉ่าวเฉิน”
มีแค่เสียงลมที่ตอบกลับมา
มู่เทียนเย่ เสี่ยวซีหร่านและคนขับรถ ทั้งสามคนต่างไม่กล้าอยู่ไกลจากเธอ จึงได้แต่หาใกล้ๆบริเวณนั้น
“ไม่ต้องกลัว คนของผมเอง” มู่เทียนเย่พูด
คนที่มาคือลูกน้องที่มู่เทียนเย่สั่งให้มาล่วงหน้า พวกเขาหาอยู่บนหาด เมื่อได้ยินเสียงทางนี้เลยขึ้นมาดู
“นาย”
“เจออะไรมั้ย” มู่เทียนเย่ถามตรงๆ
คนที่มาส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่เจอเลยครับ แต่ตอนพวกผมมาบนอากาศยังได้กลิ่นไหม้ แต่พอลมพัดมากลิ่นก็หายไปหมด”
มู่เทียนเย่ใจเต้นแรง “กลิ่นแรงมั้ย”
“ไม่แรงครับ ได้แค่กลิ่นดินปืนจางๆ อาจเป็นเพราะว่าพวกผมมาช้าไป”
จากเวลาที่ระเบิดจนกระทั่งคนกลุ่มแรกมาถึงเวลาก็ผ่านไปชั่วโมงหนึ่งแล้ว เวลานานขนาดนั้นแต่ก็ยังได้กลิ่นดินปืนอยู่ นั่นแสดงให้เห็นถึงอนุภาคของระเบิดได้ดีทีเดียว
ไอ้สารเลวนั่นต้องการจะให้โรงแรมระเบิดเป็นจุล
มู่เทียนเย่ด่าในใจ และสั่งลูกน้อง “หาต่อไป แล้วก็เอาเรือกู้ชีพออกทะเลด้วย หาทั้งริมหาด และในทะเลเลย”
“จะทำเดี๋ยวนี้ครับ”
รองเท้าของมู่เวยเวยถูกถอดออกจากเท้าไปนานแล้ว และกระโปรงยาวๆก็เป็นอุปสรรคกับเธอเช่นกัน มันขัดขาเธอทุกก้าวที่เดิน ดังนั้นเธอจึงฉีกมันออกด้วยความโกรธ เธอฉีกมันขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงเข่า เมื่อรู้สึกเดินสบายแล้วจึงปล่อยมือลง โดยไม่ได้คำนึงเลยว่าแบบนี้จะทำให้หนาว
“เย่ฉ่าวเฉิน” เธอเรียกออกไป เธอหวังแค่ให้เขาตอบกลับมา ไม่ว่าเขาจะแขนขาด ขาขาดก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่ให้เขายังมีชีวิตอยู่ก็พอ
ชายฝั่งยาวมาก ไม่มีใครรู้จุดที่ระเบิดแน่ชัด ทำให้ทุกคนได้แต่หาแถวนี้อย่างมีความหวัง หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงก็มีรถห้าหกคันปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด และมันก็กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ด้วย
มู่เทียนเย่หยิบปืนขึ้นมาถือ ดันเสี่ยวซีหร่านกับมู่เวยเวยไว้ข้างหลังเขา และคนอื่นๆก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อมเช่นกัน
รถขับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แสงไฟหน้ารถส่องตาอย่างรุนแรง มู่เทียนเย่ยกมือขึ้นมาเล็งคนขับรถคันแรก และก็เหมือนคนขับรถจะเห็นทันจึงกระพริบไฟรถและขับช้าลง
มู่เทียนเย่ขมวดคิ้วแปลกใจ หรือว่าจะเป็นคนของเขา
หลังจากนั้นรถก็จอดลงห่างออกไปสามเมตร คนลงมาจากรถหลายคน จนมู่เวยเวยเดินมาข้างหน้าและกดปืนของมู่เทียนเย่ลง
“พี่นี่เป็นคนของเย่ฉ่าวเฉิน”
หัวหน้ารีบวิ่งมาค้อมตัวให้มู่เวยเวย “คุณหนู จางเห่อสั่งพวกเรามาตามหานายครับ”
“ที่บ้านคนพอมั้ย”
“คุณหนูสบายใจได้ จางเห่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ที่บ้านคนเยอะพอครับ”
“งั้นก็ดี” มู่เวยเวยพูดเสียงแหบพร่า
“พวกเราเริ่มหาจากตรงไหนดีครับ”
มู่เวยเวยถอยออกไป “ให้พี่ชายจัดการเถอะ ตอนนี้ทุกคนต้องฟังคำสั่งเขา”
“ครับคุณหนู” พวกเขาไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวางใจ แม้ก่อนหน้านี้จะมีความขัดแย้งกับมู่เทียนเย่ไม่น้อย แต่เขารู้ว่าตอนนี้ทั้งสองบ้านมีสัมพันธ์อันดีกันแล้ว
มู่เทียนเย่ก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป “เอาเรือช่วยเหลือออกให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วก็ริมหาดตรงนี้คนของฉันเพียงพอแล้ว พวกนายออกไปดูข้างนอก ต้องหาอย่างละเอียดและรวดเร็ว”
“ครับประธานมู่” หัวหน้าหันไปสั่งการ ไม่นานคนหลายสิบคนก็หายไปในแสงจันทร์ มีแค่เสียงเรียกเบาๆดังลอยมา
มู่เวยเวยรู้สึกเจ็บเท้ามาก ไม่รู้ว่าเมื่อกี้เหยียบโดนอะไร แต่เธอหยุดตอนนี้ไม่ได้ เย่ฉ่าวเฉินอาจจะรอเธอไปช่วยอยู่มุมไหนสักแห่งก็ได้
“เวยเวยตรงนี้คนพอแล้ว เธอกับซีหร่านไปนั่งรอบนรถเถอะ” มู่เทียนเย่ทนไม่ไหว สองคนนี้เป็นคนสำคัญของเขา
“พี่ ฉันไม่เหนื่อย” มู่เวยเวยปฏิเสธ
“อย่าดื้อ!” มู่เทียนเย่พูดเสียงดุ
เสี่ยวซีหร่านเปิดปากพูด “เวลาแบบนี้ยิ่งคนเยอะยิ่งดี แค่ไม่ได้นอนคืนเดียว ไม่เป็นไรหรอก”
“แต่อากาศหนาวมาก เดี๋ยวไม่สบาย” มู่เทียนเย่ยังคงยืนกราน
เสี่ยวซีหร่านพูดอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างมากก็แค่เป็นหวัด กินยา ฉีดยาแปบเดียวก็หาย”
“อืม ใช่ค่ะพี่ ตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินจะเป็นหรือตายก็ไม่รู้ ฉันจะนั่งเฉยๆอยู่ในรถได้ยังไง พี่ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
เมื่อต้องสู้กับผู้หญิงดื้อรั้นสองคน มู่เทียนเย่ก็ได้แต่ยอมจำนน “โอเค แต่อย่าฝืน ถ้าไม่ไหวให้พักทันที”
“รู้แล้วๆ อย่าพูดเยอะ” เสี่ยวซีหร่านตบไหล่มู่เทียนเย่ จากนั้นก็ดึงปืนตรงเอวเขาออกมา “อันนี้ฉันจะเอาไป ฉันไปกับเวยเวยช้าๆก็พอ”
มู่เทียนเย่ไม่ขัด “อืม ฉันอยู่ใกล้ๆนี้ จะมีอะไรให้เรียกเลย”
“รู้แล้ว”
ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็นลง มู่เวยเวยยืดกอดไหล่เดินไปตามชายหาด ขาสองข้างของเธอโดนลมเย็นๆพัดมาจนแทบถูกแช่แข็งไร้ความรู้สึก
เสียงของพวกเธอแหบพร่า ต้องเงียบไปนานมากถึงจะตะโกนออกมาได้ “เย่ฉ่าวเฉิน คุณอยู่ไหน”
หลังเที่ยงคืนเรือช่วยเหลือสิบกว่าลำก็มาถึง พวกเขาเริ่มหาอย่างตึงเครียด จนกลางทะเลเริ่มวุ่ยวายขึ้น
เวลาค่อยๆผ่านไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ข่าวของเย่ฉ่าวเฉินเลย ใจของมู่เวยเวยค่อยๆดำดิ่งลง เธอไม่อยากคิดต่อว่าถ้าเย่ฉ่าวเฉินตายไปแล้วเธอจะทำยังไง แต่เสี่ยวซีหร่านก็ให้ความหวังกับเธอตลอดด้วยประโยคที่ว่า เขาไม่เหมือนใคร พระเจ้าไม่มีทางให้เขาตายง่ายๆแบบนี้
ตีสาม ตีสี่ ตีห้า….
มู่เวยเวยล้มลงบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง และซีหร่านก็ทรุดลงไปบนชายหาดเช่นกัน
“เวยเวยเป็นไงบ้าง” เสี่ยวซีหร่านรีบถามเธออย่างกังวล น้ำเสียงที่เคยไพเราะกังวลของเธอตอนนี้แหบแห้งไปหมดแล้ว
มู่เวยเวยฝืนส่ายหน้า และตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเช่นกัน “ฉันไม่เป็นไรๆ”
“มา ลุกมานั่งพักหน่อย” เสี่ยวซีหร่านพยุงเธอแขนเธอขึ้นมา แต่เมื่อมือเธอแตะโดนมู่เวยเวย ก็ราวกับโดนประกายไฟ เธอรีบเอามือขึ้นไปอังหน้าผากมู่เวยเวย และพูดอย่างหนักแน่น “เธอเป็นไข้แล้ว”
“ฉันไม่เป็นไร” มู่เวยเวยตอบไปแค่นั้น ก็แค่เป็นไข้เทียบกับความเป็นความตายของเย่ฉ่าวเฉินไม่ได้เลย
เสี่ยวซีหร่านถอนหายใจ “เธอเพิ่งรักษาตัวได้ไม่นาน จะตากลมเย็นๆทั้งคืนได้ยังไง รีบไปนั่งพักบนรถเถอะ”
มู่เวยเวยนั่งนิ่งและเสี่ยวซีหร่านก็ดึงเธอไม่ไหว เมื่อมองลงไปเสี่ยวซีหร่านก็เห็นหยดน้ำตาของมู่เวยเวยค่อยๆหยดซึมลงบนทรายเรื่อยๆ
ขณะนั้นเสี่ยวซีหร่านก็รู้สึกปวดใจมาก
เสียงของมู่เวยเวยสงบมาก ไม่ได้ยินเสียงสะอื้นเลย “ซีหร่านเธอพยุงฉันขึ้นหน่อย ฉันอยากไปหาทางเดิมอีกรอบ ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะตายแบบนี้ ถึงตายฉันก็ต้องหาศพเขาเจอ”
เสี่ยวซีหร่านพูดไม่ออก เธอคิดว่ามู่เวยเวยเป็นผู้หญิงอ่อนโยน นุ่มนวลมาตลอด แต่หลังจากผ่านเรื่องต่างๆมาหลายครั้ง เธอก็รู้ว่ามู่เวยเวยอ่อนนอกแข็งในเหมือนมู่เทียนเย่ไม่มีผิด ทั้งแข็งแกร่งและดื้อรั้น
เสี่ยวซีหร่านพยุงมู่เวยเวยขึ้นมาโดยไม่พูดอะไร ทั้งคู่เดินกลับไปทางเดิมที่ดินมาอีกครั้ง
พระอาทิตย์เริ่มโผล่ขึ้นมาเริ่มวันใหม่ แต่สำหรับมู่เวยเวยและคนอื่นแล้วรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก ยิ่งเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ความหวังก็เริ่มริบหรี่ลงไปเรื่อยๆ
เมื่อพระอาทิตย์เริ่มขึ้นมาก็ทำให้เห็นอะไรได้ชัดมากขึ้น ทันใดนั้นก็มีรถคันหนึ่งขับมาไกลๆ มู่เวยเวยหรี่ตามองรถที่ดูคุ้นตามาก เหมือนเป็นรถของบ้านตระกูลเย่
จางเห่อรีบลงจากรถลงมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนล้า น่าจะเพราะไม่ได้นอนทั้งคืน
“คุณหนูเจอคุณชายมั้ยครับ” จางเห่อยังไม่ทันได้มาถึงก็ส่งเสียงมาก่อนแล้ว
มู่เวยเวยส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “คุณมาได้ยังไง ผิงอันโอเคมั้ย”
“คุณชายน้อยสบายดีครับ” จางเห่อมองไปรอบๆ “ประธานมู่ล่ะครับ”
มู่เวยเวยชี้ไปที่ร่างสูงที่อยู่บนชายหาดไกลๆ “อยู่นู่น”
“ผมมีธุระกับเขานิดหน่อยครับ” พูดจบจางเห่อก็จากไปด้วยสีหน้าตึงเครียด
“เดี๋ยว” มู่เวยเวยเรียกเขาไว้ “เกิดอะไรขึ้น”
จางเห่อหันกลับมาด้วยสีหน้าลังเล
เขาไม่รู้ว่าจะพูดหรือไม่พูดดี
มู่เวยเวยโกรธแล้ว “ฉันยังเป็นนายหญิงของบ้านตระกูลเย่อยูมั้ย”
“ใช่ครับ แต่ผมกลัวว่าพูดแล้วคุณจะกังวล…”
“เกิดเรื่องกับผิงอันหรอ” มู่เวยเวยถามตรงๆ
“ไม่ครับ คุณชายน้อยสบายดี ปลอดภัยดีมาก” จางเห่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องราวออกมา “ตอนตีสามตีสี่มีคนพยายามบุกเข้าไปในบ้านตระกูลเยย่ แต่พวกผมกันไว้ได้”
“เป็นใคร” มู่เวยเวยถามอย่างกังวล
จางเห่อส่ายหน้า “มันมืดเกินไปก็เลยมองไม่ชัด แต่ดูจากปอกกระสุนที่ตกอยู่ น่าจะเป็นปืนนอก”
“ต้องเป็นเขาแน่ ไอ้สารเลวกาวินนั่น มันอยากลักพาตัวผิงอันไป มันชอบผิงอันมาก” มู่เวยเวยพูดอย่างมั่นใจ
“พวกมันได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ช่วงนี้มันคงไม่ทันได้ลงมืออะไร ผมเลยอยากมาคุยกับประธานมู่ในเรื่องการป้องกันขั้นต่อไป”
“อืม ไปเถอะ”
จางเห่อก้มหน้าตอบรับ และเพราะแสงแดดที่เพิ่งขึ้นมาทำให้เห็นว่าขาของมู่เวยเวยมีคราบเลือดอยู่
มู่เวยเวยกับเสี่ยวซีหร่านก้มหน้าลง ก่อนจะเห็นว่าขาของตัวเองเลอะไปด้วยเลือดและทราย
“พระเจ้า เมื่อคืนเธอต้องเหยียบโดนอะไรจนเท้าแตกแน่ๆ” เสี่ยวซีหร่านจะก้มไปดู แต่ถูกมู่เวยเวยห้ามไว้ก่อน “ซีหร่านฉันไม่ได้รู้สึกเจ็บขนาดนั้น อย่าเพิ่งไปยุ่งกับมันเลย”
“เธอ…” เสี่ยวซีหร่านโกรธแทบตาย ทำไมเธอไม่รักตัวเองบ้างเลย
“จางเห่อนิ่งอยู่ทำไม ไม่รีบไปล่ะ”
จางเห่อรู้ว่าเธอดื้อแค่ไหน ดังนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจและวิ่งไปหามู่เทียนเย่
“มู่เวยเวยเธอต้องพักผ่อน ขาเธอไม่มีความรู้สึกแล้ว ถ้ายังดื้อต่อขาเธอใช้งานไม่ได้แน่” เสียงของเสี่ยวซีหร่านเข้มมาก เธอปล่อยแขนของมู่เวยเวย ไม่ให้เธอเดินต่อไปข้างหน้าได้อีก
ตอนนี้มู่เวยเวยหดหู่มาก ผ่านไปนานหลายนาทีเธอก็ถอนหายใจออกมา “โอเค ฉันเชื่อเธอ”
ต้องพึ่งโชคชะตาฟ้าลิขิตแล้ว
มู่เวยเวยตั้งมั่น ถ้าเย่ฉ่าวเฉินตายไปแล้ว เธอก็ต้องมีชีวิตต่อไป
“อีกนิดเดียว ไปเถอะฉันจะพาเธอไปนั่งอุ่นๆในรถ”
ไกลออกไป มู่เทียนเย่ตาแดงก่ำ ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ฟังจางเห่อรายงานจบ จากนั้นเขาก็สบถออกมา “สวะ อยาหฆ่าไอ้เหี้ยนั่นให้ตายจริงๆ จางเห่อรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ไม่ต้องใช่มั้ยว่าต้องทำยังไง”
จางเห่อตาวาว “ทราบแล้วครับ” ใช่สิ ทำไมเขาคิดไม่ถึง การที่ทหารต่างชาติเอาปืนเข้ามาในเมืองA ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง ดังนั้นเจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบอย่างหนัก อย่างที่ก็จะลดความกดดันให้จางเห่อในด้านนี้ได้
เมื่อทั้งคู่คุยกันจบ โทรศัพท์ของมู่เทียนเย่ก็ดังขึ้น ลูกน้องของเขาโทรมา
“นายครับผมเจอชุดสูท ไม่รู้ว่าใช่ของเย่ฉ่าวเฉินมั้ย”
มู่เทียนเย่มีความหวังขึ้นมา “อยู่ที่ไหน”
“อยู่ในทะเลครับ ผมจะเอาไปส่งให้เดี๋ยวนี้”
มู่เทียนเย่มองไปในทะเล ก่อนจะเห็นเรือกู้ชีพลำหนึ่งกำลังขับเข้ามาเทียบฝั่ง
มู่เทียนเย่รู้สึกสับสนมาก ถ้าเสื้อตัวนี้เป็นของเย่ฉ่าวเฉินก็หมายความว่าร่างเขาได้จมลงไปในน้ำแล้ว ภายใต้อากาศหนาวเหน็บแบบนี้ คงไม่มีใครไปดำน้ำเหมือนเสี่ยวซีหร่าน ถ้างั้นความหวังที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็….
พระเจ้าอย่าให้เสื้อตัวนั้นเป็นของเย่ฉ่าวเฉินเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นอย่างน้อยพวกเขาก็มีหวัง
แต่ก็มีหลายสิ่งที่บางทีก็ไม่อาจเป็นตามหวังได้
เมื่อเจ้าหน้าที่กู้ชีพน้ำเสื้อสูทสีดำขาดวิ่นมาให้ สมองของมู่เทียนเย่ก็อึ้งไปทันที เขาจำได้ว่าเมื่อคืนเย่ฉ่าวเฉินใส่เสื้อแบบนี้
จางเห่อรีบหยิบชุดนั้นมาด้วยใจสั่นรัว เขามองอย่างละเอียด ก่อนที่ดวงตาจะแดงขึ้นมา “เป็นของคุณชายครับ ผมเป็นคนสั่งให้ทางอิตาลี่ตัดด้วยตัวเอง เป็นชุดร้านเดียวกับที่สั่งตัดของคุณหนู นี่เป็นของคุณชายครับ”
เสียงที่พยายามเปล่งออกมาของชายร่างสูงทำให้ทุกคนต่างเศร้าไปตามๆกัน
มู่เทียนเย่หยิบมุมเสื่อรุ่ยๆขึ้นมา มีบางจุดที่โดนเผา หรือว่าตอนระเบิด เย่ฉ่าวเฉินหนีไม่ทัน
มู่เทียนเย่ข่มความสิ้นหวังในใจ และสั่งลูกน้อง “ตอนนี้สว่างแล้ว ทุกคนใส่อุปกรณ์แล้วลงน้ำเลย ถ้าเป็นก็ต้องหาเจอ ถ้าตายก็ต้องเจอศพ”
“ครับ”
ถ้าตายก็ต้องเจอศพ ฟังดูง่ายๆ แต่จริงๆแล้วมันยากมาก ถ้าเขาจมลงไปในน้ำจริงป่านนี้ร่่างของเขาคงเป็นอาหารปลาไปแล้ว
“จางเห่อตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเสียใจ ถ้า ฉันบอกว่าถ้านะ ถ้าเย่ฉ่าวเฉินตายจริงๆ เรื่องที่พวกนายต้องเจอยังมีอีกเยอะ”
จางเห่อพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วครับ”
“แล้วก็ฉันแนะนำให้นายบอกเย่ฉ่าวเหยียนไว้ ให้เขารีบกลับมา เขาต้องมารับช่วงบริษัทต่อ”
“ประธานมู่ ผมไม่เชื่อว่าประธานเย่จะตายอย่างนี้” จางเห่อพูดน้ำตาคลอ
มู่เทียนเย่มองสายตาสีแดงขึงขังของเขาแล้วถอนหายใจพูด “ฉันก็ไม่เชื่อ แต่จางเห่อ บางทีโชคชะตาก็อย่างนี้ มันไม่มีทางดำเนินไปอย่างสงบ พวกเขาต้องเตรียมการในกรณีที่แย่ที่สุด”
จางเห่อปัดน้ำตาที่หางตาออก “ผมรู้แล้ว ผมจะแจ้งคุณชายรองเองครับ”
สิ่งเลวร้ายที่สุดดูเหมือนจะเพิ่งเริ่มขึ้น
แปดโมงเช้า ท้องฟ้าสว่างแล้ว โทรศัพท์ของจางเห่อก็มีสายเข้าจากรองประธานบริษัทเย่ฮวางกรุ๊ป
“ประธานเฉินมีอะไรรึเปลาครับ” น้ำเสียงของจางเห่อแฝงไปด้วยความรู้สึกเศร้า
ประธานเฉินดูเร่งรีบมาก “จางเห่อทำไมโทรหาประธานเย่ไม่ติด”
“เขา…เขาอาจจะเปิดเครื่องมั้งครับ มีอะไรครับ”
“นายรีบดูข่าวเร็ว แล้วก็ดูเวยป๋อด้วย ข่าวแพร่ไปใหญ่แล้ว”
จางเห่อตื่นตัวขึ้นมาทันที “ครับ ผมจะรีบดูเดี๋ยวนี้”
หลังวางสายจางเห๋อก็เปิดเวยป๋อ และเทรนอันดับหนึ่งก็คือ ประธานบริษัทเย่ฮวางกรุ๊ปหายตัวในงานปีใหม่
จางเห่อร้อนใจขึ้นมา ตอนนี้คนอ่านกว่าห้าล้านคนแล้ว
รูปบรรยายชัดเจนมากวาเป็นรูปของงานประจำปีเมื่อคืน และกลางภาพก็มีรูปเย่ฉ่าวเฉินมู่เวยเวยและคนอื่นๆอีกสี่คน พวกเขากำลังเปิดกล่องของขวัญกล่องหนึ่งอยู่ แต่เมื่อกล่องเปิดออกสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป และเย่ฉ่าวเฉินก็ปิดกล่องนั้นอย่างรวดเร็ว
เป็นเพราะมุม จึงทำให้ไม่สามารถจับภาพได้ว่าในกล่องของขวัญมีอะไร
หลังจากที่คุยกันสักพัก เย่ฉ่าวเฉินก็หายไปในพริบตาพร้อมกับกล่องของขวัญกล่องนั้น
จางเห่อดูวีดีโอนี้แล้วถึงเพิ่งรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
คอมเม้นต่างพูดไปต่างๆนานา แต่สามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มหลักคือ เย่ฉ่าวเฉินเหมือนผีในซีรีย์เกาหลีเลย เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง และอีกลุ่มก็บอกว่า นี่มันภาพตัดต่อ มองออกตั้งแต่แวบแรกแล้ว
และก็มีคอมเม้นหนึ่งที่อยู่บนสุด บอกว่า เมื่อคืนเขาก็เจอคนที่จู่ก็ปรากฏตัว แล้วก็หายไปในพริบตาเหมือนกัน คิดว่าตาฝาดไปซะอีก ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริง
เขาเพิ่งดูเสร็จ ประธานเฉินก็โทรมาอีกครั้ง “จางเห่อ นี่มันอะไรกันแน่”
จางเห่อทำใจสงบและพูด “ประธานเฉินจะเชื่อเรื่องโกหกพวกนี้หรอครับ หายตัวเนี่ยนะ คุณคิดว่าประธานเย่เป็นผี เป็นเทวดา หรือว่ามนุษย์ต่างดาวรึไง”
ประธานเฉินหัวเราะอย่างอายๆ “ฉันไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่ก็อยากมายืนยันให้แน่ใจ”
“คุณนี่ขาเม้าจริงๆ” จางเห่อพูดแซวไปอีกหนึ่งประโยค แล้วพูดต่อ “ประธานเฉิน ปีนี้เย่ฮวางกรุ๊ปเติบโตเร็วเกินไป แถมยังมีความสัมพันธ์อันดีกับคู่แข่งใหญ่อย่างบริษัทมู่ซื่อด้วย ดังนั้นจึงไม่คนนั่งไม่ติดอยากใส่ร้ายประธานเย่ โดยการเอาเรื่องที่ไม่มีมูลมาใส่ความเขา เรื่องง่ายๆแค่นี้คุณก็ดูไม่ออกหรอครับ”
“ถ้านายไม่พูดฉันคงลืมไปแล้ว เมื่อวานตอนที่มู่เทียนเย่ประธานบริษัทมู่ซื่อปรากฏตัว ทุกคนต่างตกใจกันหมด พอฉันเห็นข่าวอย่างนี้ก็เลยตื่นไปด้วย แหะๆๆ ถือซะว่าฉันล้อเล่นแล้วกัน นายอย่าเอาเรื่องที่ฉันโทรมาวันนี้ไปบอกประธานเย่เด็ดขาด ไม่งั้นเขาคงสอนฉันอีกชุดใหญ่แน่”
จางเห่อเบาใจลง “สบายใจได้ ผมไม่บอกหรอก เดี๋ยวก็ปีใหม่แล้ว ถือว่าให้ของขวัญล่วงหน้าแล้วกัน”
“ขอบใจ สวัสดีปีใหม่”
ก่อนหน้าที่จางเห่อยังยิ้มอยู่เลย แต่หลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็หดหู่ทันที โชคดีที่หลังงานปีใหม่ก็เป็นวันหยุด เย่ฉ่าวเฉินก็เลยไม่ต้องไปเผชิญกับสายตาแปลกๆพวกนั้น
อาจเป็นเพราะใกล้ปีใหม่แล้ว ทุกคนถึงได้ดูกระวนกระวาย และต้องการหาทางออก เมื่อเห็นข่าวที่น่าแปลกใจเป็นประเด็นขึ้นมาจึงถูกแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว มีคนดูหลายสิบล้านคนในช่วงเวลาแค่ชั่วโมงเดียว
การค้นหายังไม่มีอะไรคืบหน้า จางเห่อไม่กล้าไปหามู่เวยเวย เขากลัวว่าถ้าเธอเห็นเสื้อในมือของเขาแล้วอาการจะแย่ ดูเหมือนจะต้องเชิญคุณชายรองกลับมาแล้วจริงๆ เขาเป็นคนฉลาดมากอยู่แล้ว
เมื่อตัดสินใจได้ จางเห่อก็โทรหาเย่ฉ่าวเหยียน
“ฮัลโหลจางเห่อ สบายดีมั้ย” น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเหยียนยังร่าเริงเหมือนเดิม ราวกับแสงอาทิตย์อันสว่างไสว
“คุณชายรอง” จางเห่อพูดออกไปคำแรก จากนั้นน้ำเสียงก็หดหู่ขึ้น “เกิดเรื่องแล้ว…”
หลังจากเล่าเรื่องราวคร่าวๆจบ น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเหยียนก็เปลี่ยนเช่นกัน “ฉันจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้ ตอนที่ยังไม่เจอพี่ชายอย่าเพิ่งพูดอะไรทั้งนั้น ถ้ามีใครถามก็บอกว่าเขาไปข้ามปีกับคุณปู่ที่ต่างประเทศ มีเรื่องอะไรเดี๋ยวฉันกลับไปจัดการเอง”
หลังจากได้ฟังคำพูดของเย่ฉ่าวเหยียน จางเห่อก็รู้สึกสบายใจขึ้นมามาก “เข้าใจแล้วครับ”