วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 258 : การตอบโต้ของเย่ฉ่าวเหยียน
“เฮ้ สวยแบบนี้ใครกันจะพูดไม่ได้?” เสี่ยวซีหร่านกัดซาลาเปาเคี้ยวแล้วกลืนมันลงไป เธอพูดต่อว่า “คนหนุ่มสาวพระเจ้าไม่ได้ให้ความพิเศษเหมือนกันทุกคนนะ คุณได้รับมักมากเกินไปแล้ว จำเป็นต้องต้องแลกมาด้วยการสูญเสียบางสิ่งบางอย่าง”
“ผมรู้” ขนตาแพรยาวของเย่ฉ่าวเหยียนหลับลง “แต่พี่ชายของผมก็เป็นส่วนน้อย ดังนั้นพระเจ้าควรจะให้สิ่งที่พิเศษแก่เขา”
เสี่ยวซีหร่านซาบซึ้งใจ เหลือบมองเขาแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก ใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับการกิน
มู่เวยเวยอยู่ในความฝันอันยาวนานและน่าตื่นเต้น เธอลอยอยู่บนเรือลำเล็กกลางทะเล ทั้งลมพายุ ทั้งคลื่นลูกแรงที่โหมกระหน่ำเข้ามานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ถูกซัดลงไปยังก้นทะเล น้ำทะเลสาดใส่หน้าเธอ ซัดเข้าตามแขนขาจนรู้สึกเจ็บ ฉลามกำลังไล่ล่าเธอ เธอว่ายน้ำหนีอย่างสิ้นหวัง ระหว่างทางได้พบกับวาฬตัวใหญ่ เธอต้องการจะพลิกตัวกลับขึ้นเรือ แต่เท้าของเธอหนักอึ้งและขยับไม่ได้ ราวกับว่ามีมือจากในท้องทะเลดึงเธอไว้
เธออยากร้องขอความช่วยเหลือ แต่เพียงแค่อ้าปาก น้ำทะเลก็ซัดเข้าปากและลำคอ
เมื่อเธอกำลังจะถูกฉลามฉีกเป็นชิ้นๆ มือใหญ่ทรงพลังคู่หนึ่งก็อุ้มเธอขึ้นมาจากทะเล แล้วส่งเข้าไปยังห้องผู้โดยสารบนเรือ มู่เวยเวยหันกลับไปมอง ใบหน้าของเย่ฉ่าวเฉินปรากฏขึ้นกลางทะเล ดวงตาของเขากลมกลืนไปกับสีของน้ำทะเล ส่องประกายเหมือนกับไพลิน
“เย่ฉ่าวเฉิน——” มู่เวยเวยตะโกนเรียก เอื้อมมือไปดึงเขาขึ้นมา แต่ร่างกายของเขากลับจมหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถูกฉลามฉีกเป็นชิ้นๆ
“เย่ฉ่าวเฉิน——” มู่เวยเวยตะโกน น้ำตาไหลพราก ตกลงไปในท้องทะเลกว้างใหญ่ที่เหน็บหนาวเข้ากระดูก
แต่ทว่าเย่ฉ่าวเฉินกลับมีรอยยิ้มอบอุ่นตอบเธอ เขาอ้าปากพูด มู่เวยเวยไม่ได้ยินเสียง แต่กลับเข้าใจสิ่งที่เขาพูดออกมาได้เป็นอย่างดี เขาพูดว่า เด็กดี
จากนั้น เย่ฉ่าวเฉินถูกกลืนหายไปกับเลือดสีแดงฉาน
มู่เวยเวยหัวใจสลาย ความเจ็บปวดที่ไร้เสียง
ในห้องรักษาพยาบาล เสี่ยวซีหร่านมองไปที่เตียงผู้ป่วย เธอร้องไห้อยู่เงียบๆ หญิงสาวเรียกหาแต่ “เย่ฉ่าวเฉิน” เสี่ยวซีหร่านขมวดคิ้วแล้วหันไปถามหมอหาน “ทำยังไงดี? เขย่าเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ไม่รู้ว่าเธอกำลังฝันเรื่องอะไร?”
หมอหานก็หมดหนทางเช่นกัน จึงเริ่มใช้กลอุบาย “ไม่เช่นนั้นคุณก็บีบจมูกเธอ พอเธอหายใจไม่ออกก็จะตื่นขึ้นมา”
เสี่ยวซีหร่านจ้องหมอหานอย่างคิดไม่ถึง “แบบนี้จะไม่บ้าไปหน่อยเหรอคุณหมอ?”
หมอหานยิ้มแห้งๆ
“แต่แค่ลองดูก็ได้” เสี่ยวซีหร่านพูดแล้วบีบจมูกมู่เวยเวย ถือโอกาสนี้งับปากของเธอไว้ หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที…
ใบหน้าของมู่เวยเวยขึ้นสีแดง ส่ายศีรษะไปมาอย่างไม่รู้ตัวเพื่อสลัดให้หลุดจากการบีบ แต่เสี่ยวซีหร่านทำใจแข็งไม่ยอมปล่อย
ครึ่งนาทีผ่านไป ในที่สุดมู่เวยเวยก็หายใจไม่ออก จึงลืมตาตื่นขึ้นมา ทันทีที่ตื่นขึ้นเธอก็ผลักเสี่ยวซีหร่านออก
“แค่กๆ——” หญิงสาวตื่นขึ้นมาแล้วไออย่างรุนแรง เสี่ยวซีหร่านรีบเข้าไปปลอบเธอ
รอให้อาการไอบรรเทาลง มู่เวยเวยหน้าแดงมองไปที่เสี่ยวซีหร่าน ประโยคแรกถามขึ้น “หาเย่ฉ่าวเฉินเจอไหม?”
เสี่ยวซีหร่านไม่อยากโกหกเธอ จึงบอกไปตามตรง “ยังหาไม่เจอ”
น้ำตาร่วงหล่นจากดวงตาของมู่เวยเวย เสียงของเธอแหบแห้ง “ช่วยพยุงฉันนั่งหน่อย”
เสี่ยวซีหร่านวางหมอนไว้ข้างหลังเธอ แล้วช่วยพยุงเธอลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง
“อย่ากังวลไปเลย เทียนเย่พาคนไปช่วยตามหาแล้ว คงหาเย่ฉ่าวเฉินเจอแน่ๆ” เสี่ยวซีหร่านหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้เธอ
น้ำตาของมู่เวยเวยไหลพราก แต่เธอไม่ได้ร้องไห้ออกมา อย่างไรก็ตามการร้องไห้โดยไม่มีเสียงยิ่งทำให้คนเจ็บปวด
“ซีหร่าน ฉันฝันว่าเขาตายแล้ว” เสียงแหบแห้งพูดขึ้นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและโศกเศร้า “เขาตายแล้ว”
เสี่ยวซีหร่านชะงักงัน ไม่รู้จะใช้คำพูดใดปลอบโยนเธอ
อันที่จริงเธอก็มีความคิดนี้อยู่ในใจเช่นกัน ตอนที่เห็นเสื้อสูทตัวนั้น ตลอดทั้งวันทั้งคืนก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ เธอรู้ว่าท่าจะไม่ดี คงรอดกลับมายาก เธอไม่กล้าบอกมู่เวยเวย กลัวว่าเธอจะรับไม่ไหว คิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดออกมาเองแบบนี้ และสภาพของมู่เวยเวยก็ดูแข็งแกร่งกว่าที่เธอคิดไว้มาก
หมอหานถอนหายใจ สองวันที่อยู่ที่นี่ เขาก็พอได้ยินข่าวคราวมาบ้าง
“คุณหญิงเย่ คนจีนเรามีความเชื่อว่าความฝันจะกลับกัน คุณฝันว่าคุณชายเย่ประสบโชคร้าย บางทีเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้” หมอหานปลอบโยนเธอด้วยใบหน้าซีดเซียว
มู่เวยเวยเอนศีรษะลงหมอน ปล่อยให้น้ำตาไหลเข้ามาในใจ แววตาเธอว่างเปล่า “ไม่ ฉันมีลางสังหรณ์”
“เวยเวย คุณอย่าเพิ่งคิดแบบนี้ คุณต้องเชื่อเขา” เสี่ยวซีหร่านมองเธอด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ซีหร่าน ฉันโคม่ามานานหรือยัง?” มู่เวยเวยถาม
“สามสิบกว่าชั่วโมง”
“หนึ่งวันกว่าๆ…” มู่เวยเวยถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย เสี่ยวซีหร่านได้ยินก็น้ำตาคลอ
หมอหานสลดใจอยู่ชั่วครู่ จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ พูดกับมู่เวยเวยว่า “คุณหญิงเย่ คุณลองยกเท้าขึ้นดูหน่อย ยังมีรู้สึกอยู่ไหม”
มู่เวยเวยขยับเท้าอย่างยากลำบาก “อ่ะ——” เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกเจ็บที่เท้าซ้าย
ทางตรงกันข้ามหมอหานถอนหายใจด้วยความโล่งใจ “ยังรู้สึกเจ็บ พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ถูกแช่แข็ง เท้าขวาก็ลองขยับด้วยครับ”
มู่เวยเวยขยับเท้าขวา “ยังรู้สึก”
“อย่างนั้นก็ดี ผมเป็นกังวลว่าเท้าทั้งสองข้างของคุณจะมีปัญหา” หมอหานพูดด้วยใจจริง
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เสี่ยวซีหร่านพูดขึ้น “เข้ามา”
ประตูถูกผลักออกเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏขึ้นที่ประตู เมื่อสายตาประสบกับมู่เวยเวย เขาชะงักไปสองวินาที หัวใจที่สงบนิ่งมานานเริ่มเคลื่อนไหว
“คุณตื่นแล้ว” เย่ฉ่าวเหยียนเดินเข้ามา ไม่มีใครสังเกตเห็นความเศร้าที่คืบคลานเข้ามาในแววตา
มู่เวยเวยตกตะลึง เย่ฉ่าวเหยียน? เขาอยู่ยุโรปไม่ใช่เหรอ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มเบาๆ “เป็นยังไงบ้าง? ไม่เจอกันปีกว่าๆ ไม่รู้จักกันแล้วเหรอ?”
มู่เวยเวยได้สติกลับมา “ไม่ใช่ แค่ตกใจ”
“รู้สึกยังไงบ้าง?” เย่ฉ่าวเฉินถามขึ้นเรียบๆ
“ยังดี” มู่เวยเวยตอบเรียบๆ เธอไม่จำเป็นต้องถามเขาว่ากลับมาทำไม เย่ฉ่าวเฉินเป็นตายอย่างไรก็ไม่รู้ ในฐานะคุณชายรองของตระกูลเย่ ก็ต้องกลับมาจัดการกิจการทั้งภายในและภายนอกประเทศ
แต่ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่ชายหนุ่มที่เอาแต่เอ้อระเหยไปวันๆ อีกแล้ว ทั้งสงบ และโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก
“ผมไปดูที่ริมชาดหาด แต่ก็ยังไม่มีข่าวของพี่ใหญ่” เย่ฉ่าวเหยียนจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอ ยังคงสดใสและเป็นประกาย
“ฉันรู้” มู่เวยเวยรู้สึกว่าตอนที่พูดออกมาเลือดกำลังหยดเข้ามาในใจเธอ
เย่ฉ่าวเหยียนมองท่าทางอ่อนแรงของเธอ อยากเข้าไปกอดปลอบ แต่เขาทำเช่นนั้นไม่ได้ เขาเกรงว่าจะทำให้เธอกลัว
“เวยเวย ผมมีเรื่องที่ต้องปรึกษาคุณ”
มู่เวยเวยพยักหน้า
เสี่ยวซีหร่านคิดว่าทั้งสองคงอยากพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว รู้ตัวว่าต้องลุกออกไป เย่ฉ่าวเหยียนขวางเธอเอาไว้ “พี่หร่านไม่ต้องไป ไม่ได้มีความลับอะไร บางทีคุณอาจจะให้คำแนะนำผมได้”
เสี่ยวซีหร่านขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเขาเรียกแบบนั้น “คุณเรียกฉันว่าซีหร่านเหมือนเวยเวยก็ได้ เรียกพี่รู้สึกแก่ยังไงไม่รู้”
“โอเค” เย่ฉ่าวเหยียนเลื่อนเก้าอี้มานั่งลงอีกฝั่งของเตียง พูดขึ้นอย่างจริงจัง “เรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่ใหญ่ทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ดี ผมเข้าใจ แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องแก้ไม่ตกอีกเรื่อง ก็คือการไล่พวกนักข่าวที่อยู่หน้าประตู”
มู่เวยเวยเพิ่งฟื้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงถามอย่างสงสัย “นักข่าวอะไร?”
เสี่ยวซีหร่านพูดสั่นๆ เกี่ยวกับวิดีโอที่แพร่ระบาดบนอินเตอร์เน็ต เนื่องจากตระกูลเย่ไม่ให้คำตอบ ประกอบกับการปรากฏตัวของผู้ประสงค์ร้ายบางคน เรื่องต่างๆ จึงเป็นอันตรายมากขึ้น ข้อสันนิฐานว่าเย่ฉ่าวเฉินเป็นมนุษย์ต่างดาวแพร่กระจายไปบนอินเตอร์เน็ต
มู่เวยเวยตกใจมากเมื่อได้ฟังที่เธอพูด สิ่งที่เขาหวาดกลัวมากที่สุดก่อนหน้านี้ได้เกิดขึ้นแล้ว
“เราเพิกเฉยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่และผิงอันจะถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ จากคนอื่น” เย่ฉ่าวเหยียนเป็นกังวลเรื่องนี้มาก
“คุณคิดจะทำอะไร?” มู่เวยเวยถาม
เย่ฉ่าวเหยียนพูดความคิดเห็นของตัวเองอย่างจริงจัง สุดท้ายจึงเสริมว่า “ตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงนี้ ต้องใช้ดึงดูดความสนใจของทุกคน ดังนั้น
เสี่ยวซีหร่านกอดอกพูดขึ้น “ฉันคิดว่านอกจากจะไล่พวกนักข่าวไปแล้ว พวกสื่อที่อยู่เบื้องหลังก็ต้องให้ความสนใจด้วย ในอนาคตหากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก จะได้ระงับได้ทัน”
เย่ฉ่าวเหยียนพูด “ไม่เลว ผมจะไปหาผู้จัดการใหญ่พวกเขาทีละคน ไม่ใช่แค่ทุ่มทุนเงินโฆษณาใช่ไหม? สำหรับเงินตรงนี้ที่เราจ่ายออกไป ก็คิดซะว่าจ่ายค่าโฆษณาของเย่ฮว่าง เวยเวยคุณมีความคิดเห็นอื่นๆ อีกไหม?”
“ไม่ ทำทุกอย่างตามที่คุณพูด” มู่เวยเวยพูดเสียงแหบแห้ง
เย่ฉ่าวเหยียนเจ็บปวดในใจที่ได้ยิน ลุกขึ้นรินน้ำอุ่นแก้วหนึ่งให้เธอ “ดื่มสักหน่อย เสียงของคุณจะได้ดีขึ้น”
“ขอบคุณ” นิ้วเรียวยาวของมู่เวยเวยรับแก้วน้ำมา มองไปที่ดวงตาของเย่ฉ่าวเหยียน แล้วหันมองทิวทัศน์อีกด้าน
“คุณพักผ่อนเถอะ ผมจะไปจัดการเรื่องต่างๆ” เย่ฉ่าวเหยียนมองมู่เวยเวยอย่างลึกซึ้ง ก้าวเท้าเดินไปที่ประตู
“เย่ฉ่าวเหยียน” ในที่สุดมู่เวยเวยก็เรียกชื่อเขาออกมา รอให้เขาหันกลับมา แล้วพูดว่า “ขอบคุณนะที่กลับมา”
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มอ่อนๆ “พูดอะไร นี่คือพี่ชายของผมนะ ผมต้องกลับมาแน่นอน คุณพักผ่อนเถอะ ทุกอย่างผมจัดการเอง”
พูดจบชายหนุ่มก็เดินจากไป เสี่ยวซีหร่านรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ เห็นได้ชัดว่าเวยเวยเป็นพี่สะใภ้ของเย่ฉ่าวเหยียน แต่เขากลับเรียกเธอว่าเวยเวย แววตาที่มองเธอไม่เหมือนกับคนรักกัน ตรงกันข้ามกับเหมือนการมองคนที่ชอบ
เป็นไปได้…ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนี้?
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเสี่ยวซีหร่าน แต่เธอไม่ได้ถามออกไป ทุกคนล้วนมีเรื่องส่วนตัวที่ไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้
……
ประตูคฤหาสน์ตระกูลเย่ค่อยๆ เปิดออกจากด้านใน บรรดานักข่าวที่รอคอยมานานหนาวจนตัวแข็งก็พากันตื่นเต้น กล้องทั้งยาวและสั้นเล็งไปที่ประตู แต่คนที่มาเป็นแค่พ่อบ้านของคฤหาสน์ตระกูลเย่
“ทุกท่าน คุณชายรองเชิญเข้าไปด้านในครับ”
“คุณชายรอง?” นักข่าวกระซิบกระซาบกัน มีคนหนึ่งถามขึ้นว่า “เย่ฉ่าวเฉินล่ะ? พวกเราอยากเจอเขา?”
“ทุกท่านมีคำถามอะไรก็เข้ามาด้านในเถอะ คุณชายรองจะให้คำชี้แจงทั้งหมดแก่ทุกคน” ท่าทีของพ่อบ้านหวังดูอ่อนโยน ทุกคนไม่อยากทำให้คนแก่ต้องลำบากใจ ดังนั้นพวกเขาจึงถือกล้องเดินเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลเย่
พ่อบ้านหวังเดินนำนักข่าวเกือบยี่สิบสามสิบคนเข้ามายังห้องรับแขก ทันทีที่ก้าวเข้ามา ลมอุ่นๆ ทำให้ทุกคนถอนหายใจ ชายหนุ่มหล่อเหลาท่าทางโดดเด่น รออยู่ด้านในห้องด้วยเสื้อกันหนาวอบอุ่น เขาคล้ายกับเย่ฉ่าวเฉิน แต่นิสัยใจคอกลับไม่เหมือนกัน
เย่ฉ่าวเฉินเป็นเจ้าชายผู้สูงศักดิ์เย็นชาและไร้มารยาท ทุกคนเมื่อเจอเขาไม่กล้าพูดอะไร ในใจเกิดความขี้ขลาด แต่คุณชายรองคนนี้กลับดูอบอุ่น เหมือนเจ้าชายในเทพนิยาย จริงใจจิตใจดี ให้ความรู้สึกถึงสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
“ทุกคนคงทำงานอย่างหนัก ผมเป็นน้องชายของเย่ฉ่าวเฉิน เย่ฉ่าวเหยียน ทุกคนเชิญนั่ง” เย่ฉ่าวเหยียนแนะนำตัวอย่างอบอุ่น
เมื่อเห็นอีกฝ่ายอ่อนน้อมถ่อนตนและสุภาพ ไม่ว่านักข่าวจะถือตัวแค่ไหนก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัว
ห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ เย่ฉ่าวเหยียนสั่งให้พ่อบ้านหวังเพิ่มเก้าอี้นุ่มๆ ไว้แล้วสิบกว่าตัว เก้าอี้สองตัวถูกคั่นกลางด้วยโต๊ะเล็กๆ และโอบล้อมเป็นวงกลม เช่นนี้จะง่ายต่อการสื่อสารกัน
ทุกคนหาเก้าอี้แล้วนั่งลง คนหนึ่งกำลังจะตั้งคำถาม แต่เย่ฉ่าวเหยียนก็ออกคำสั่งกับพ่อบ้านหวัง “อาหวังเสิร์ฟกาแฟให้ทุกคนด้วย ใช่แล้ว ทุกคนคงจะหิวมานาน เพิ่มของว่างด้วยล่ะ”
“ครับ คุณชายรอง”
เย่ฉ่าวเหยียนเก็บความทุกข์ทั้งหมดไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจ แล้วส่งยิ้มอย่างอบอุ่น ผู้สื่อข่าวหญิงหลายคนเห็นเช่นนั้นก็เบิกบานหัวใจ จนเกือบลืมหน้าที่ของตนเอง
เย่ฉ่าวเหยียนมองไปรอบๆ แล้วยิ้มเบาๆ “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ผมเพิ่งบินกลับมาจากยุโรป ยังอยู่ในอาการเจ็ตแล็ก ทำให้ทุกคนต้องรอนาน”
ทุกคนตอบอย่างสุภาพ “ไม่เป็นไรครับ/ไม่เป็นไรค่ะ” บางคนก็ระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ถามขึ้นตรงๆ “ขอถามหน่อยนะครับเย่ฉ่าวเฉินอยู่ที่นี่ไหม? พวกเราอยากเจอเขา”
เย่ฉ่าวเหยียนมองหาคนที่พูดคนนั้นแล้วยิ้ม “พวกคุณไม่รู้เหรอ? พี่ชายไปสนามบินทันทีที่ประชุมประจำปีเสร็จ ทุกคนอาจจะไม่รู้ คุณปู่ของผมพักฟื้นอยู่ที่ออสเตรเลีย ทางนั้นตอนนี้เป็นฤดูร้อน พี่ชายและที่สะใภ้พาลูกไปอยู่เป็นเพื่อนเขาช่วงตรุษจีน”
นักข่าวหลายคนตกตะลึง เย่ฉ่าวเฉินมีปู่ด้วยเหรอ? ทำไมพวกเขาไม่เคยได้ยิน?
“ในเมื่อท่านประธานเย่ไปออสเตรเลียช่วงตรุษจีน แล้วคุณกลับมาทำไม?” ชายคนหนึ่งถามขึ้น เวลานี้ ทั้งกล้องถ่ายรูป กล้องอัดวิดีโอ ถูกกดใช้งานบันทึกภาพไว้ทั้งหมด
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มเจื่อนๆ “อันที่จริงก่อนที่ผมจะกลับมา ผมซื้อตั๋วไปออสเตรเลียแล้ว แต่พี่ชายสั่งให้ผมกลับมา ผมเลยไม่มีทางเลือก”
“ผมไม่เข้าใจ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านประธานเย่ ทำไมเขาไม่กลับมา กลับให้คุณกลับมาแทน?”
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มกว้างขึ้น แบบมือแล้วพูดว่า “เหตุผลง่ายๆ ทุกคนทำงานเกี่ยวกับสื่อในเมืองA และยังมีสื่อระดับสูงอีก คงต้องเข้าใจนิสัยของพี่ชายผมอยู่ไม่มากก็น้อย สำหรับเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมาแบบนี้ เขาจะมีปฏิกิริยายังไง? เขารู้จักนิสัยผมดี ที่พูดมานี้ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหามากมายที่ไม่จำเป็น”
นักข่าวเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดนี้ พวกเขาอยู่เมืองAมานาน ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ถูกปฎิบัติต่ออย่างสุภาพ มีเพียงเย่ฉ่าวเฉินเท่านั้นที่ไม่อยากเผชิญหน้าด้วย บางคนยังจำได้ชัดเจน ครั้งสุดท้ายเพราะเรื่องที่เขาซุกเมียน้อยไว้ ทุกคนมาล้อมเขาที่คฤหาสน์นี้ และเกือบถูกเขาขับรถชน
“แล้วคุณชายเย่คิดยังไงกับวิดีโอนี้?” ในที่สุดก็มีคนเปิดประเด็นเข้าเรื่อง ถามคำถามที่อยู่ในใจทุกคน
“คุณไม่จำเป็นต้องเรียกผมว่าคุณชายเย่ก็ได้ ทุกคนยังไม่แก่ เรียกผมว่าเย่ฉ่าวเหยียนหรือฉ่าวเหยียนก็ได้” เย่ฉ่าวเหยียนไม่ได้ตอบคำถามนักข่าวไปตามตรง เพราะเป็นเวลาเดียวกันที่สาวใช้สิบคนยกกาแฟและขนมเข้ามาเสิร์ฟ
“นี่เป็นกาแฟที่ผมเอากลับมาจากต่างประเทศ บดให้ทุกคนใหม่ๆ กลมกล่อมกว่ากาแฟในประเทศมาก ทุกคนลองชิมดู”
สาวใช้วางกาแฟไว้บนโต๊ะเล็กๆ วางน้ำตาลไว้บนจาน และขนมหวานอีกหนึ่งชิ้น
คนพวกนี้แช่แข็งอยู่ข้างนอกมาเกือบทั้งวัน มือเท้าเย็นไปหมด ทั้งหิว เมื่อเห็นกาแฟและขนม ท่าทีจึงดูดีขึ้นมาก
ท่าทางของเย่ฉ่าวเหยียนอ่อนโยนมาก เขารักษาความสุภาพไว้เสมอ “พวกคุณคงอยากรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน ผมเข้าใจความรู้สึกของทุกคนดี เพราะเราก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือเรื่องพี่ชายของผม พวกเราเป็นเหยื่อ พวกคุณเป็นสื่อ ตำแหน่งของเราทั้งสองฝ่ายยุติธรรมต่อกัน พวกคุณคงไม่อยากให้พวกเราอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามหรอกใช่ไหม?”
นักข่าวหญิงคนหนึ่งที่อยู่ใกล้เย่ฉ่าวเหยียนที่สุดยิ้ม พูดขึ้นมาทำลายบรรยากาศน่าเบื่อ “ที่คุณพูดก็ถูก พวกเราแค่ต้องการภาพ ไม่ได้อยากให้ข่าวลือนี้แพร่ต่อไป”
เย่ฉ่าวเหยียนพยักหน้าให้เธอ “ในเมื่อมีจุดยืนชัดเจน งั้นก็ง่ายมาก ทุกคนถามมา ผมก็จะพูดตามสิ่งที่ผมรู้”
ทันทีที่พูดเช่นนี้ กล้องทั้งหมดก็เล็งไปที่เขา ทุกคนวางแก้วกาแฟลงและหยิบไมโครโฟนขึ้นมา และบางคนก็ถ่ายทอดสดวิดีโอ
“ขอถามเย่ฉ่าวเหยียน คุณคิดยังไงกับเรื่องที่อยู่ในวิดีโอ?”
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เขาพูดอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้ “นี่คือการจัดฉาก วิดีโอแบบนี้หากมีใครต้องการ ผมหามาได้นับไม่ถ้วน ถ้าทุกคนอยากดู ก็ไปดูละคนแนวเทพเซียนได้ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยม หาดูได้ทุกที่ ผมอยากรู้มาก ทำไมใครๆ ก็เชื่อวิดีโอที่สร้างขึ้นมาด้วยเจตนาไม่ดีแบบนี้ ทุกคนเป็นคนสมัยใหม่และรอบคอบ การศึกษาที่ได้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กๆ คือเชื่อในวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ โตกันมาได้ยังไง ยิ่งเป็นผู้ใหญ่แล้ว กลับเชื่อในไสยศาสตร์? บางคนก็บอกว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวบ้าง สัตว์ประหลาดบ้าง? ผมชื่นชมกันความคิดของผู้คนเหล่านี้จริงๆ พวกคุณไม่ไปเขียนนิยายเลยล่ะ จะได้ไม่เสียความสามารถทิ้งไปเฉยๆ”
เย่ฉ่าวเหยียนพูดจบ มีบางคนหัวเราะขึ้นมา
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมเย่ฉ่าวเฉินถึงไม่ออกมาอธิบายด้วยตัวเองล่ะ?” ยังมีคนไม่เข้าใจ
“ผมเพิ่งพูดไป ประการแรก พี่ชายไปออสเตรเลียเพื่ออยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ในช่วงตรุษจีน ประการที่สอง ให้เขามาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ตัวเอง คงเป็นการสบประมาทเขา” คำพูดของเย่ฉ่าวเฉินค่อนข้างรุนแรง “พี่ชายในฐานะพลเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองของเมืองA มาโดยตลอด ไม่ได้มีหน้าที่กลับมารับผิดชอบต่อข่าวโคมลอยที่ด่าว่าคนอื่นเสียๆ หายๆ พวกนี้ ที่ผมยอมออกมาวันนี้ ก็แค่ไม่อยากให้เรื่องนี้ต้องขยายวงกว้างออกไปอีก หรือต้องการให้พี่ชายผมอยู่ไม่ได้?”
คำพูดประโยคสุดท้ายของเย่ฉ่าวเหยียนทรงพลังมาก มีความเฉยเมยเล็กน้อยในแววตาอบอุ่นคู่นั้น บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที เวลานี้นักข่าวไม่รู้จะถามเขาอย่างไรต่อ ทุกคนถูกความคิดของเขาขับไล่ออกไปแล้ว บางคนถึงกับสงสัยว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่
“พวกเราเย่ฮว่างไม่กล้าพูดว่าเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในเมืองA แต่เราก็ไม่ใช่เล็กๆ ทุกกำลังทำลายพี่ชายของผม ตอนที่ข่าวลือเรื่องพี่ชายแพร่กระจายออกไป ทำไมไม่ตรวจสอบระะบบสรรพากรสักหน่อยล่ะ พวกเราเย่ฮว่างจ่ายภาษีให้เมืองA ปีหนึ่งไม่รู้เท่าไหร่? ตอนที่เมืองA ประสบกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ มีครั้งไหนไหมที่เย่ฮว่างไม่ยืดอกเข้าเผชิญหน้าทั้งลงทุนลงแรง? เย่ฮว่างลงทุนหาทางออกให้เมืองA ตั้งกี่โครงการ?”
“ผมรู้มาว่าก่อนที่สวนสนุกจะเปิดกิจการ มีคนทำงานอยู่ในนั้นหลายพันคน ทุกคนมีเลือดมีเนื้อ มีอารมณ์ความรู้สึกโลภโกรธหลงเหมือนคนธรรมดา มีความปรารถนา ตอนนี้กลับใช้วิดีโอนี้ ใช้คำโกหกของคนไม่กี่คนมาฆ่าคนที่อุทิศตัวสร้างคุณประโยชน์ให้กับเมืองA ไม่โหดเหี้ยมเกินไปหน่อยเหรอ?” เย่ฉ่าวเหยียนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เขาโกรธมากตอนที่จางเห่อบอกเรื่องนี้กับเขา ทำไมทุกคนถึงไม่สนใจตัวเอง กลับจ้องสนใจแต่เรื่องอื้อฉาวของคนอื่นล่ะ?
เวลานี้ บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงลดลงจนหนาว และคิดว่าเย่ฉ่าวเหยียนเป็นคนที่พูดได้ดีมาก เขาพูดเก่งขนาดนี้เลยเหรอ?
ราวกับว่าอากาศหยุดนิ่ง ภายใต้แรงกดดันของเย่ฉ่าวเหยียน ไม่มีใครกล้าโผงผางขึ้นมา
เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ต้องการ เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ผมรู้ หลายคนคงอยากรู้เกี่ยวกับหลานชายตัวน้อยของผม ผมจะพูดที่นี่ หลังจากหลีกเลี่ยงการออกมาเปิดเผย”
ทุกคนแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเขาไม่ต้องเอ่ยปากถาม
“หลานชายผมเป็นเด็กดีเด็กน่ารัก เขาจะอายุครบหนึ่งขวบเร็วๆนี้ ผมเชื่อว่าเมื่อทุกคนได้เจอเขาต้องชอบเขาแน่ เขามีพลังที่ทำให้ผู้คนหลงรัก” น้ำเสียงนุ่มนวลของเย่ฉ่าวเหยียนกลับมาอีกครั้ง “เรื่องดวงตาของเขาที่ถูกส่งต่อในโลกภายนอกเป็นเรื่องจริง ข้างหนึ่งสีม่วงและข้างหนึ่งสีน้ำเงิน แต่ปัญหาคืออะไร? ทั้งหมดนี้เป็นเพราะโครโมโซมของเขาที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาระหว่างการเจริญเติบโต ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ถ้าพวกคุณไม่เชื่อ ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะก็ได้”
“เขายังเป็นเด็ก เกิดมาบนโลกใบนี้ด้วยความรักและความอยากรู้อยากเห็น ไม่เคยทำอะไรไม่ดี ทำไมเขาต้องมารับผิดชอบกับสายตาของคนพวกนี้? พวกคุณหลายคนมีลูกแล้ว ลองคิดดูดีๆ ถ้าลูกของคุณถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด พวกคุณจะรู้สึกโกรธหรือว่ายอมรับมันแต่โดยดี?”
คำถามนี้ทำให้สถานการณ์ตอนนี้กลับมาเงียบอีกครั้ง
เพราะวิดีโอกำลังถ่ายทอดสด หลายคนกำลังดูผ่านโทรศัพท์มือถือ คำพูดตอบโต้ของเย่ฉ่าวเหยียนทำให้ผู้คนที่เฝ้าดูอยู่รู้สึกผิดขึ้นมา
และแน่นอนว่ายังมีผู้หญิงบ้ากามบางคนตกเป็นเชลยหน้าตาหล่อเหลาของเขา
“พระเจ้า เย่ฉ่าวเฉินมีน้องชายหล่อขนาดนี้เลยเหรอ ดูดีเป็นบ้า”
“แต่ไม่ใช่แค่ดูดีนะ เขายังพูดถูกอีกด้วย คุณบอกพวกเราได้ไหมทำไมเราต้องเชื่อวิดีโอพวกนี้? ฉันยังเคยลงเคยคอมเมนต์ ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว ช่างไร้สาระจริงๆ”
“ใช่ ฉันก็รู้สึกว่ามันโง่อยู่หน่อย ฮ่าๆๆ”
ในห้องรักษาพยาบาล เสี่ยวซีหร่านและมู่เวยเวยนั่งพิงกัน ดูการตอบโต้ของเย่ฉ่าวเหยียนในวิดีโอ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
หายากมากที่เสี่ยวซีหร่านจะชื่นชมใคร “คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายคนนี้จะพูดเก่งขนาดนี้ ไหนจะคิดถึงเรื่องเศรษฐกิจนั้นอีก ถ้าเป็นนักการทูตมีแนวโน้มไปได้ดีแน่นอน สร้างความตื่นตะลึงให้กับนักข่าวต่างประเทศได้ทุกนาที”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะพูดได้ขนาดนี้” มู่เวยเวยพูดเบาๆ ได้เจอกับเย่ฉ่าวเหยียนอีกครั้ง ในใจคิดว่าเขากลายเป็นเพื่อน เป็นน้องชายคนหนึ่งของเธอไปแล้ว
เสี่ยวซีหร่านจ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง แล้วดูวิดีโอถ่ายทอดสดต่อไป
คำชี้แจงที่เกือบอธิบายได้ทั้งหมด เย่ฉ่าวเหยียนกลายเป็นสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยนอีกครั้ง “ใครมีคำถามอะไรอีกไหม?”