วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 259 : ความรักที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันไปจนแก่เฒ่า
- Home
- วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
- บทที่ 259 : ความรักที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันไปจนแก่เฒ่า
นักข่าวมองมาที่ผม ผมก็มองกลับไป นักข่าวสาวคนหนึ่งหน้าแดงและเอ่ยถามเสียงเบา “เย่ฉ่าวเหยียน คุณมีแฟนหรือยังคะ?”
“ว้าว——” มีเสียงหัวเราะดังขึ้น ทำลายบรรยากาศตึงเครียดทันที
เย่ฉ่าวเหยียนชะงักไปสักพัก เรื่องนี้เกี่ยวกับพี่ใหญ่ตรงไหน? ทำไมต้องดึงขึ้นมาซุบซิบ? แต่เขาก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้ยังไม่มีครับ”
นักข่าวสาวตื่นเต้นอย่างมาก อีกคนถามขึ้น “งั้นคุณชอบผู้หญิงแบบไหนคะ? ต่างชาติ หรือในประเทศเรา?”
เย่ฉ่าวเหยียนพูดอย่างสง่าผ่าเผย “แม้ว่าผมจะเรียนที่ต่างประเทศ แต่หัวใจยังเก่า ผมชอบผู้หญิงประเทศเทศเราครับ”
“เพราะอะไร?”
“เพราะผมรู้สึกว่าผู้หญิงประเทศเราสวยมาก ใจดี นิสัยดี ทุ่มเทให้กับความรัก ผมชอบความรักที่คอยดูแลซึ่งกันและกันไปจนแก่เฒ่า” เมื่อเย่ฉ่าวเหยียนพูดออกไปแบบนี้ ไม่เพียงแต่เอาใจนักข่าวสาวที่อยู่ในสถานการณ์ตรงนั้น แต่ยังทำให้สาวๆ หลายหมื่นคนที่ดูวิดีโอถ่ายทอดสดอยู่ถึงกลับกรีดร้องออกมา พวกเธอตะโกนป่าวประกาศว่า เย่ฉ่าวเหยียนเป็นสามียุคใหม่
“คุณยังไม่ได้ตอบ คุณชอบผู้หญิงแบบไหน?” นักข่าวสาวทวงคำตอบที่เพิ่งถามไปอย่างกล้าหาญ
ใบหน้าเลือนลางของมู่เวยเวยฉายเข้ามาในหัวของเย่ฉ่าวเหยียน แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว “ความรักขึ้นอยู่กับโชคชะตา บางครั้งแค่เงยหน้าขึ้น แล้วมองย้อนกลับไปผมก็มองเห็นเธอแล้ว ใจเต้นแรงเมื่อความรักมาถึง ไม่เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอก ไม่เกี่ยวชาติตระกูล เพียงแค่ความรู้สึกล้วนๆ”
มีเสียงสูดหายใจดังขึ้น นานแล้วที่ไม่ได้เห็นมุมมองความรักเรียบง่ายแบบนี้ ณ เวลานี้ ความรู้สึกของทุกคนต่อเย่ฉ่าวเหยียนเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องดีที่จะทำให้มันยุ่งยาก ถึงขนาดเริ่มช่วยเขาพูด
“จากความคิดเห็นของคุณ ใครเป็นคนตั้งใจวางแผนใส่ร้ายคุณชายเย่ในครั้งนี้?”
“ผมเอาแต่อ่านหนังสือ ไม่ค่อยสนใจเรื่องบริษัท จึงไม่รู้ว่าพี่ชายไปทำอะไรให้ใครขุ่นเคืองบ้าง แต่สำหรับข่าวลือนี้ พวกเราแจ้งตำรวจเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่ากฎหมายจะให้ความยุติธรรมแก่เรา” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เย่ฉ่าวเหยียนก็ยิ้ม พูดเชิงหยอกล้อ “ผมกับพี่ชายเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน ถ้าเขาเป็นตัวประหลาดในสายตาคนอื่น เป็นมนุษย์ต่างดาว ตามพันธุกรรมแล้วผมก็ควรมีพลังวิเศษนี้ด้วย ทุกคนคิดว่าผมมีไหม?”
นักข่าวสาวคนหนึ่งพูดเย้ายวน “คุณหล่อก็พอแล้ว”
เย่ฉ่าวเหยียนเอียงศีรษะแล้วยิ้ม “อันที่จริงผมก็อยากมีพลังแบบนี้นะ หายตัวไปไหนก็ได้ ไปได้ทุกที่ที่ต้องการ นี่เหมือนจะเป็นความปรารถนาของทุกคนเมื่อเรายังเป็นเด็ก”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเขาเป็นคนจริงใจมากขึ้น และยังคลี่คลายความลับของเย่ฉ่าวเฉินให้โลกได้รับรู้
การสัมภาษณ์จบลงด้วยบรรยากาศสนุกสนาน เมื่อถึงตอนเที่ยง เย่ฉ่าวเหยียนเชิญนักข่าวหลายสิบคนร่วมรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน เพราะพวกเขายังอายุไม่มากจึงค่อยข้างช่างพูดช่างคุย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่ฉ่าวเหยียน เขาได้ประสบการณ์ความรู้มากมาย ไม่มีมาดของคุณชาย ไม่ว่าพูดคุยกับใครก็สุภาพ ดังนั้นทุกคนไม่ว่านักข่าวชายหรือหญิงก็ประทับใจเขา
หลังรับประทานอาหาร เย่ฉ่าวเหยียนให้อาหวังมอบอั่งเปาให้แก่ทุกคน แน่นอนว่าทุกคนตื่นเต้นจนตัวสั่น
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่กี่วันมานี่ทุกคนทำงานหนัก ในเทศกาลตรุษจีนที่จะมาถึงในสองวันนี้ คิดซะว่าเป็นของขวัญปีใหม่จากเย่ฮวาง ด้านในมีตั๋วสองสามใบสำหรับเข้าชมสวนสนุกครับ”
แน่นอนว่านอกจากตั๋วเข้าชมสวนสนุกแล้ว ยังมีเงินอีกสองพันหยวน
ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ จึงกล่าวขอบคุณอย่างร่าเริง “แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้ว”
เย่ฉ่าวเหยียนยังเอาอกเอาใจด้วยการนำรถหรูทั้งหมดของตระกูลเย่ออกไปส่งนักข่าวถึงสถานี เพราะได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นรถจึงเพียงพอ
เมื่อมองรถคันสุดท้ายเคลื่อนออก รอยยิ้มของเย่ฉ่าวเหยียนก็จางหายไป ราวกับเป็นคนละคนเมื่อก่อนหน้านี้
การต่อสู้กับข้อวิพากษ์วิจารของมวลชนครั้งนี้ ถือว่าสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ที่เหลือเขาต้องไปปิดปากพวกคนใหญ่คนโตเหล่านั้น ไม่งั้นเรื่องนี้ก็เหมือนตบตาพวกเขา ทำให้โพสต์ต่อไปไม่หยุด
สำหรับตระกูลเย่ เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ตราบใดที่ยังตกลงกันได้ด้วยเงิน เขาไม่ยึดติดกับมัน
สองชั่วโมงหลังจากเย่ฉ่าวเหยียนแถลงการ ความคิดเห็นของผู้คนบนอินเตอร์เน็ตมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทุกคนที่เคยให้ความสนใจกับเย่ฉ่าวเฉินเริ่มหันมาสนใจเย่ฉ่าวเหยียนน้องชายของเขา
คนบนสื่อโดนเสน่ห์ของเย่ฉ่าวเหยียนเข้าเต็มๆ นอกจากจะช่วยชี้แจงว่าเรื่องนี้เป็นแค่ข่าวลือ ยังยกย่องเย่ฉ่าวเหยียนตั้งแต่หัวจรดเท้า พูดเกี่ยวกับสุภาพบุรุษสไตล์ร่วมสมัย เป็นสามีคนใหม่ที่คู่ควรของเหล่าสาวๆ เป็นต้น คำพูดดีๆ ทั้งหมดกล่าวถึงแต่เขา
ณ เวลานี้ เย่ฉ่าวเหยียนกลายเป็นขนมหวานของผู้หญิงทั่วประเทศ ไม่มีใครสนใจวิดีโอที่เขาอธิบายอีกต่อไป
……
ริมทะเล
มู่เทียนเย่นั่งสูบบุหรี่อยู่บนก้อนหิน เดิมทีเขาเลิกสูบบุหรี่ไปแล้ว แต่วันสองวันมานี้เขาเป็นกังวลใจมากไป จึงกลับมาสูบอีกครั้ง
ความมืดบนท้องทะเล แต่กลับไม่มีควันเพราะลมพัดหมอกควันหายไป
จางเห่อขาเจ็บเดินเข้ามาแล้วนั่งลงข้างๆ มู่เทียนเย่ยื่นบุหรี่ให้เขา เขาหยิบไฟแช็กออกมาช่วยเขาจุดไฟ
ถ้าเป็นเวลาปกติ จางเห่อไม่กล้าแม้แต่จะคิดปฏิบัติตัวแบบนี้ แต่ไม่กี่วันมานี้ทั้งสองคนมีการติดต่อกันมากขึ้น ความสัมพันธ์ยิ่งใกล้ชิดสนิทสนม
จางเห่อหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ พ่นลมออกเป็นวงกลม เขามีรอยคล้ำใต้ดวงตา
ชายหนุ่มสองคนสูบบุหรี่อย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร
การค้นหาในทะเลขยายขอบเขตออกไป น้ำทะเลหนาวเย็น ไลฟ์การ์ดตัวสั่นเทาด้วยความเหน็บหนาวทุกครั้งที่ขึ้นมาจากท้องทะเล มู่เทียนเย่มองดูพวกเขาอย่างอดไม่ได้ แต่กลับไม่มีอะไรเลย
ไม่มีใครกล้าพูดว่าล้มเลิก เพราะไม่มีใครแบกรับความรับผิดชอบนี้ไว้ได้ แม้ว่าทุกคนจะมีลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่ในใจ
กลางดึก มู่เวยเวยตกอยู่ในฝันร้ายอีกครั้ง ครั้งนี้ เย่ฉ่าวเฉินอยู่บนเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก แร้งกำลังจิกทึ้งร่างกายของเขา มู่เวยเวยรีบวิ่งไปไล่พวกมันออก เมื่อมองดูอีกครั้ง เย่ฉ่าวเฉินเหลือเพียงแค่โครงกระดูก
“อร้าย——” มู่เวยเวยกรีดร้องแล้วตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย เหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นมาที่หน้าผากและแผ่นหลัง
เธออ้าปากค้าง ใบหน้าของเย่ฉ่าวเฉินปรากฏขึ้นมาในแววตา
ประตูถูกผลักออกเสียงดัง ไฟในห้องพลันสว่างขึ้น เสียงฝีเท้าที่ดูกระวนกระวายเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จากนั้นเย่ฉ่าวเหยียนก็ปรากฏตัวสู่สายตา “เป็นอะไร? ฝันร้ายเหรอ?”
มู่เวยเวยพยักหน้า “อืม”
เย่ฉ่าวเหยียนเห็นเธอเหงื่อออก จึงยื่นกระดาษทิชชู่ให้ แล้วนั่งลงข้างเตียงพลางเอ่ยถาม “ฝันว่าอะไร?”
มือชุ่มเหงื่อของมู่เวยเวยหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นมองเขา แววตาเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและความโศกเศร้า
“ฉันฝันว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับฉ่าวเฉิน”
“ร้ายแรงไหม?” น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเหยียนนุ่มนวล ราวกับกลัวว่าจะทำให้เธอตกใจ
มู่เวยเวยกลืนน้ำลายแล้วพยักหน้า “ร้ายแรง ร้ายแรงมาก”
เย่ฉ่าวเหยียนเข้าใจความสิ้นหวังในแววตาของเธอ คิดอยากเอื้อมมือเข้าไปกอดให้ความอบอุ่นแก่เธอ แต่ก็ต้องหักห้ามตัวเองไว้ เขารู้ดีว่าการกระทำครั้งนี้ไม่เหมาะสม
“เวยเวย พี่ใหญ่สบายดี”
มู่เวยเวยไม่ได้พูดอะไร เพราะที่ได้ยินมันคือเย่ฉ่าวเหยียนกำลังปลอบเธอ แม้ว่าตัวเองเขาเองจะเป็นทุกข์ก็ตาม
มู่เวยเวยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เธอถามขึ้น “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
เย่ฉ่าวเหยียนสารภาพว่า “ผมนอนไม่หลับ กำลังจะออกไปสูบบุหรี่ตรงทางเดิน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคุณดังออกมาจากห้อง คิดว่าคงมีอะไรเกิดขึ้นเลยเข้ามาดู”
ตอนนี้มู่เวยเวยได้กลิ่นบุหรี่จางๆ บนตัวเขา
เย่ฉ่าวเฉินเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขา เป็นสายเลือดเดียวกับเขาบนโลกใบนี้นอกจากคุณปู่และผิงอัน สองพี่น้องเติบโตมาด้วยกัน เขาจะไม่เป็นกังวลได้อย่างไร? และจะนอนหลับสนิทได้อย่างไร?
ช่วงบ่ายมู่เวยเวยย้ายจากห้องผู้ป่วยไปที่ห้องนอน เตียงกว้างใหญ่ และนอนหลับได้อย่างสงบ
มองไปที่มือเรียวยาวของเขา มู่เวยเวยนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “มือของคุณดีขึ้นหรือยัง?”
เย่ฉ่าวเหยียนกระดิกนิ้วเบาๆ “อืม หายดีแล้ว”
“งั้นก็ดี ดีแล้ว” มู่เวยเวยก้มศีรษะมองดูผิงอัน
เย่ฉ่าวเหยียนเจ็บปวดขึ้นมาในใจ ระหว่างพวกเขาทำได้แค่พูดคุยกัน เพียงแค่เท่านี้สินะ
“คุณนอนต่อเถอะ” เย่ฉ่าวเหยียนลุกขึ้นแล้วกล่าวลา
“อืม ฝันดีนะ” มู่เวยเวยกล่าวอย่างสุภาพ
กลางดึกหลังจากที่เย่ฉ่าวเหยียนจากไป มู่เวยเวยนอนไม่หลับเป็นเวลานาน เธอคิดไม่ตกถึงผลที่ออกมาไม่ดี สุดท้ายเธอก็ค้นพบว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าที่คิด บางทีสาหตุคงเป็นเพราะความเงียบเหงา
วันรุ่งขึ้นคือวันส่งท้ายปีเก่าจีน
สิ่งแรกที่มู่เวยเวยทำเมื่อตื่นขึ้นมาคือโทรหามู่เทียนเย่ สอบถามเกี่ยวกับการค้นหาเย่ฉ่าวเฉิน แต่ก็ยังไม่ได้ข่าวใดๆ เช่นเคย
“เท้าของเธอดีขึ้นหรือยัง?” มู่เทียนเย่ถาม
“อืม ดีขึ้นมาแล้ว” มู่เวยเวยหยุดไปสักพัก แล้วเอ่ยต่อ “พี่มีอะไรปิดบังฉัน ฉันไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เหมือนเมื่อก่อน ฉันรับไหว”
มู่เทียนเย่เงียบอยู่นาน ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริง ในช่วงเช้าวันที่สองเราพบเสื้อสูทอยู่ในทะเล จางเห่อยืนยันว่าเป็นของเย่ฉ่าวเฉิน พี่ไม่กล้าบอกแก…”
ทางด้านมู่เวยเวยเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาไหลพราก ไม่แปลกใจที่เธอฝันว่าเย่ฉ่าวเฉินตกลงไปในทะเล
มู่เทียนเย่ดูเหมือนจะได้ยินเสียงร้องไห้เงียบๆ ของมู่เวยเวย จึงเรียกเบาๆ “เวยเวย”
มู่เวยเวยกดตัดสายโทรศัพท์ จากนั้นนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วร้องไห้ออกมา
เขาตายแล้วจริงๆ ใช่ไหม? ไปโดยไม่ได้บอกลากันสักคำ ไปจากเธอและลูก ไปจากบ้านหลังนี้งั้นเหรอ?
เมื่อคืนมู่เวยเวยเพ้อฝันว่าตัวเองแข็งแกร่งสามารถรับได้ทุกอย่าง แต่ตอนนี้ เพียงแค่ได้ยินว่าเสื้อสูทถูกกู้ขึ้นมาจากทะเล หัวใจก็ปวดร้าวและทรมานเกินจะทนไหว หากวันหนึ่งมีคนมาบอกเธอว่าเย่ฉ่าวเฉินตายแล้ว ตอนนั้นเธอจะทำอย่างไร?
เสียงสะอื้นคร่ำครวญราวกับท้องฟ้าร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า ผิงอันที่นอนหลับอยู่ข้างๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา เด็กน้อยขยี้ตา หันไปมองผู้เป็นแม่ที่ร้องไห้อยู่ด้านหลังตัวเอง จึงรีบลุกขึ้นหมุนตัวเป็นวงกลมกลับไปอยู่ตรงหน้ามู่เวยเวย จากนั้นมุดเข้าไปใต้ผ้าห่ม แล้วเข้าไปในอ้อมกอดของเธอ
“หม่าม้า ไม่ร้องไห้” ผิงอันใช้มืออ้วนๆ ปาดน้ำตาให้แม่ น้ำตาก็คลอเบ้าตามไปด้วย
มู่เวยเวยคว้าเขาเข้ามากอดเหมือนคนกำลังจมน้ำที่กอดหุ่นไล่กา เธอกอดเด็กน้อยไว้แน่น ยิ่งร้องไห้อย่างเศร้ารันทด
ด้านนอกห้อง
เสี่ยวซีหร่านลังเลว่าจะเคาะประตูเข้าไปดีไหม เย่ฉ่าวเหยียนที่เดินผ่านมาจึงหยุดฝีเท้าลง
“ซีหร่าน คุณยืนทำอะไร?”
เสี่ยวซีหร่านชี้ไปที่ห้องนอนของมู่เวยเวย ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เมื่อกี้เทียนเย่เพิ่งโทรมาหาฉันบอกว่าเวยเวยร้องไห้ ให้ฉันมาปลอบเธอสักหน่อย”
เย่ฉ่าวเหยียนถามขึ้น “เธอร้องไห้ทำไม?”
“เธอรู้เรื่องเสื้อสูทตัวนั้นแล้ว”
แววตาของเย่ฉ่าวเหยียนฉายความเศร้าใจ กำกำปั้นแน่นขึ้น “งั้นคุณก็เข้าไปดูเธอสักหน่อยเถอะ”
เสี่ยวซีหร่านขมวดคิ้ว “ฉันก็อยากเข้าไป แต่ฉันคิดว่าปล่อยให้เธอร้องไห้ไปสักพักก่อน เก็บเอาไว้ในใจมาตลอดมันไม่ดีเลย”
“อืม ก็ใช่” เย่ฉ่าวเหยียนพูดจบก็จะเดินลงไปชั้นล่าง แต่ถูกเสี่ยวซีหร่านเรียกไว้ก่อน
“คุณ โอเคใช่ไหม?” ปกติเสี่ยวซีหร่านไม่ค่อยใส่ใจผู้ชายคนอื่น
เย่ฉ่าวเหยียนไม่ได้หันกลับไป เขาไม่อยากให้เสี่ยวซีหร่านเห็นน้ำตาของเขา เสียงหายใจหนักแน่น แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ผมไม่เป็นไร”
เสี่ยวซีหร่านถอนหายใจอยู่ภายในใจ ชายหนุ่มบอกว่าไม่เป็นไร แต่แผ่นหลังของเขากลับทรยศความรู้สึกของเขาแล้ว
เธอให้เวลามู่เวยเวยประมาณห้าหกนาที ประตูห้องก็ถูกเปิดออก
บนเตียง ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่กลายเป็นบ่อน้ำตา เดิมทีเย่ผิงอันไม่ได้ร้องไห้ แต่เมื่อมู่เวยเวยร้องไห้อย่างทุกข์ทรมาน เขาก็ทนไม่ไหวร้องไห้ตาม
เสี่ยวซีหร่านไม่รู้จะทำอย่างไร เดินเข้าไปข้างหน้าแล้วตบไหล่เธอเบาๆ “เอาล่ะๆ ร้องไห้มากพอแล้ว เธอร้องไห้ลูกก็ร้องตาม มันก็แค่เสื้อที่ถูกกู้ขึ้นมา ศพก็ยังไม่เจอ รอให้ถึงวันนั้นก่อนเธอค่อยร้องไห้ก็ยังทันนะ”
มู่เวยเวยโผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม จ้องมองเธอด้วยน้ำตา สูดจมูกแล้วพูดว่า “เสี่ยวซีหร่าน นี่เป็นวิธีที่เธอปลอบคนอื่นเหรอ?”
เสี่ยวซีหร่านยักไหล่ “ก็ฉันพูดความจริงหนิ ตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินเพียงแค่หายตัวไปเธอยังร้องไห้ขนาดนี้ เผื่อว่าวันหนึ่งเขากลับมา น้ำตาที่เธอเสียไปก็ไร้ประโยชน์?”
“งั้นฉัน ฉันเศร้าไม่ได้ใช่ไหม?” มู่เวยเวยสะอื้น
“ได้ ได้แน่นอน” เสี่ยวซีหร่านมองลงที่เธอ การแสดงออกเชิงว่าไม่คุ้มค่าพอ “แต่ตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ตายเธอห้ามร้องไห้ เฮ้! สองวันก่อนฉันยังคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมากๆ ไม่คิดว่าจะหวาดกลัวขนาดนี้”
มู่เวยเวยใช้ผ้าห่มเช็ดน้ำตา ความโศกเศร้าในใจเหือดหายไปมาก
เสี่ยวซีหร่านอุ้มผิงอันออกมาจากผ้าห่ม และก็ดึงผ้าห่มดึงมาเช็ดน้ำตาให้เขาด้วย “เด็กดีร้องไห้จนตาบวมหมดแล้ว”
มู่เวยเวยค่อยๆ เหลือบมองลูกอย่างช้าๆ ดวงตากลมโตเป็นประกายมีอาการบวมขึ้นจริงๆ เธอพับปกคอเสื้อชุดนอน แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงคัดจมูก “เธอพยุงฉันไปเข้าห้องนอนหน่อย”
เสี่ยวซีหร่านกลอกตาไปมา “ฉันพยุงเธอไปก็ได้ แต่เธอต้องสัญญากับฉันเรื่องหนึ่ง”
“อะไร?” มู่เวยเวยขมวดคิ้ว
คำพูดของเสี่ยวซีหร่านเต็มไปด้วยสัจธรรม “ตอนที่ยังค้นหาเย่ฉ่าวเฉินไม่พบ ฉันจะบอกว่าไม่ว่าหมายถึงตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่ยังหาไม่พบ เธอห้ามร้องไห้เด็ดขาด ใช้ชีวิตตัวเองให้ดี คิดซะว่าเขาไปเที่ยวแล้วยังไม่กลับมา”
มู่เวยเวยชะงักไปสองสามวินาที แล้วพยักหน้า เธอรู้ดีว่าเสี่ยวซีหร่านหวังดีกับเธอ
“ฉันไม่ได้ยิน” เสี่ยวซีหร่านจงใจทำให้เธอลำบากใจ
มู่เวยเวยพูดอย่างหมดหนทาง “ฉันรับปาก ก่อนที่จะหาเย่ฉ่าวเฉินพบ ฉันจะใช้ชีวิตให้ดี”
“แบบนี้สิ” เสี่ยวซีหร่านยื่นมือออกมา “มา ฉันจะพยุงเธอไปห้องน้ำ”
มู่เวยเวยเดินกะเผลกไปห้องน้ำโดยได้รับการช่วยเหลือจากเสี่ยวซีหร่าน เพื่อไปล้างหน้าล้างตา
เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ขา ทำให้ขึ้นลงไม่ค่อยสะดวก คนรับใช้จึงนำอาหารเช้าไปส่งให้เธอถึงห้องนอน แน่นอนว่ารวมถึงของเสี่ยวซีหร่านและผิงอันด้วย
ตอนที่สาวใช้กำลังจะออกไป มู่เวยเวยเอ่ยขึ้น “รอให้คุณชายรองทานข้าวเสร็จ บอกเขาให้มาหาฉันหน่อยนะ”
“ค่ะ คุณผู้หญิง”
เสี่ยวซีหร่านดื่มนมอุ่นๆ เงยหน้าขึ้นถาม “เธอจะทำอะไร?”
สีหน้าของมู่เวยเวยเย็นชา “วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ฉันอยากให้พวกพี่ชายกลับมา สามวันแล้ว อุณหภูมิต่ำขนาดนี้ หากเย่ฉ่าวเฉินยังมีชีวิตอยู่ ก็ถือว่าเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี ถ้าเขา…ก็จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลอีก”
“เธอคิดดีแล้วเหรอ?” เสี่ยวซีหร่านประหลาดใจกับการตัดสินใจของเธอ
“ซีหร่าน เมื่อสองวันก่อนฉันฝันร้ายมากๆ ฉันไม่อยากนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอีกแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามฟ้าลิขิต ฉันเพียงแค่อยากหารือกับเย่ฉ่าวเหยียนเรื่องนี้”
เสี่ยวซีหร่านจับมือเย็นๆ ของเธอ “แค่เธอโล่งใจก็พอแล้ว”
ขณะที่ทั้งสามกำลังรับประทานอาหารเช้า เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “เข้าไปได้ไหม?”
“เข้ามาสิ” มู่เวยเวยตะโกนกลับไป เธอเพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่บ้านสบายๆ
ประตูเปิดออก เป็นเย่ฉ่าวเหยียน
“เวยเวย คุณเรียกหาผมเหรอ?”
“อืม คุณทานข้าวเสร็จแล้วเหรอ?”
“เสร็จแล้ว” เย่ฉ่าวเหยียนโกหกหน้าตาย อันที่จริงเขากินไปได้เพียงคำเดียว เมื่อได้ยินสาวใช้พูด เขาก็วางตะเกียบและถ้วยในมือลง เช็ดปากแล้วเดินตรงมาชั้นบนทันที
“นั่งสิ” มู่เวยเวยชี้ไปโซฟาที่อยู่ตรงข้าม เมื่อเขานั่งลงเธอพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “ฉันมีเรื่องจะปรึกษาคุณ”
“คุณพูดมาเลย” สีหน้าของเย่ฉ่าวเหยียนดูปกติ
“วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า เรียกพี่ชายและจางเห่อกลับมา เวลานานขนาดนี้ สิ่งที่น่าเกิดก็ควรเกิดขึ้นแล้ว ผลลัพธ์ที่พวกเราต้องการมีเพียงอย่างเดียว ดังนั้นให้พวกเขากลับมาเถอะ หลังจากปีใหม่ ฉันจะไปค้นหาเขาที่ริมทะเลด้วย ฉ่าวเหยียน คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันหมายความว่าอะไร?”
ฉ่าวเหยียน ผมไม่คิดว่าเธอจะเรียกผมแบบนี้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเป็นการตัดสิ้นชี้ขาด ผมเพียงแค่ต้องยอมรับมัน
เย่ฉ่าวเหยียนมองไปที่ดวงตาบวมแดงของเธอ รับรู้ว่าเมื่อคืนเธอร้องไห้จนอดหลับอดนอน การตัดสินใจแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องง่าย
“ได้ ผมเชื่อฟังคุณ”
คืนวันส่งท้ายปีเก่า มู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหร่านไม่ได้กลับไปบ้านตระกูลมู่ในช่วงปีใหม่ แต่อยู่บ้านตระกูลเย่ อันที่จริงจะฉลองงานปีใหม่ที่ไหนไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือทั้งครอบครัวได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
มื้อค่ำของคืนวันส่งท้ายปีเก่ามีอาหารมากมายเต็มโต๊ะ ฉินหม่าใช้ทักษะทั้งหมดที่เธอมีบรรจงทำอาหารมื้อใหญ่ขึ้นมา คนรับใช้ในคฤหาสน์ตระกูลเย่มากกว่าครึ่งหนึ่งลากลับบ้านในช่วงวันหยุด ที่เหลือคือมีอยู่สองสามคนที่ครอบครัวอยู่ห่างไกลมาก มู่เวยเวยเชิญพวกเขามาร่วมโต๊ะอาหาร รวมถึงพ่อบ้านหวัง ฉินหม่า และจางเห่อ ปกติแล้วที่โต๊ะอาหารจะเต็มไปด้วยผู้คน แต่ที่นั่งของเจ้าบ้านว่างเปล่ามาตั้งแต่ต้น
ตามประเพณี ไฟในห้องภายในบ้านต้องเปิดไว้ทุกดวง งานเทศกาลตรุษจีนกำลังออกอากาศทางโทรทัศน์ครั้งแล้วครั้งเล่า ตุ้ยเหลียนที่ประตูใหญ่และโคมไฟสีแดงห้อยอยู่ทั่วสารทิศอย่างน่าปิติยินดี ทั้งหมดนี้ถูกจัดทำขึ้นโดยพ่อบ้านหวังตลอดทั้งบ่าย
มู่เวยเวยฉีกยิ้มออกมา หยิบแก้วไวน์แดงขึ้น “วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ทุกคนต้องทิ้งเรื่องโศกเศร้าเอาไว้ก่อน ให้มีความสุขในปีใหม่นี้ ตอนนั้นพี่ชายยังมีชีวิตรอดกลับมาได้ เปลี่ยนหนทางที่ขรุขระให้ราบรื่น ฉันเชื่อว่าเย่ฉ่าวเฉินต้องทำได้เช่นกัน ดังนั้นแก้วแรกนี้ พวกเราขอให้เย่ฉ่าวเฉินจงโชคดี ให้กลับมานั่งทานอาหารเย็นกับเราที่นี่ตอนนี้ในปีหน้า”
“พูดดีมาก” เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อว่า “พี่ชายเป็นพระเอกในบทละครมาตลอดสามสิบปีนี้ ออร่าของนักแสดงนำคนสำคัญที่ถูกปลุกเสกขึ้นมา พระเจ้าจะมอบให้บทจบแก่เขาได้ยังไง? มาๆ พวกเราชูแก้ว ขอให้เคราะห์กรรมที่เขาประสบการเป็นเรื่องศิริมงคง ชนแก้ว——”
“ชนแก้ว——” ทุกคนชนแก้วด้วยใบหน้าอบอุ่นท่ามกลางแสงไฟ
หลังจากอาหารค่ำในวันส่งท้ายปีเก่า ชมการแสดงเทศกาลตรุษจีนช่างน่าเบื่อจริงๆ เย่ฉ่าวเหยียนจึงชวนให้เล่นไพ่นกกระจอกข้ามปี ได้รับการตอบรับอย่างกระตือรือร้นจากมู่เทียนเย่มาก แต่มู่เวยเวยไม่เล่น เย่ฉ่าวเหยียนจึงดึงจางเห่อเข้ามานั่งลง
ทางด้านจางเห่อทั้งเล่นทั้งยิ้ม “พวกคุณมีแต่คนรวยๆ ได้โปรดออมมือให้ด้วยนะครับ ไม่งั้นเงินเดือนทั้งเดือนของผมคงไม่เหลือ”
มู่เวยเวยอุ้มผิงอันนั่งอยู่ด้านหลังเสี่ยวซีหร่าน ได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “อย่ากลัวไปเลย นายแพ้เดี๋ยวฉันจ่าย”
“จริงเหรอครับ?” จางเห่อทั้งแปลกใจและดีใจ
“แน่นอน ถ้านายแพ้ถือซะว่าเป็นอั่งเปาให้นาย ถ้าชนะก็ถือว่าเป็นโบนัสสิ้นปีละกัน”
จางเห่อปลื้มปิติ “งั้นผมค่อยวางใจหน่อย”
เสี่ยวซีหร่านไม่ค่อยถนัดด้านนี้ เธอเคยเล่นไพ่ต่างประเทศมามาก แต่ไม่ค่อยได้เล่นไพ่นกกระจอก มือทั้งจับแพะชนแกะไม่ถูกปากก็พูดขึ้นว่า “ฉันไม่ค่อยถนัดเกมนี้เลย พวกนายออกไพ่ช้าๆ นะ”
“คุณไม่คุ้นจริงๆ เหรอ?” เย่ฉ่าวเหยียนไม่ค่อยรอบคอบอะไรพวกนี้
“แน่นอนสิ ฉันไม่ค่อยได้เล่นไพ่นกกระจอก”
เย่ฉ่าวเหยียนแทบจะปรบมือฉลอง “งั้นก็ดีเลย คนในวงนี้คุณมีเงินมากที่สุด คุณจะฆ่าหรือไม่ฆ่า?”
“เฮ้ นายก็อย่ากดดันสิ รอให้ฉันคุ้นเกมสักสองสามเกมก่อนไม่ได้หรือไง กะจะให้ฉันหมดตัวเลย”
ถัดไปข้างๆ มู่เทียนเย่ยิ้มอย่างยียวน
ถ้าผ่านไปสองสามรอบ หลังจากสี่ยวซีหร่านหากลอุบายได้แล้ว ก็จะชำนาญไพ่ในมือ
จั่ว ทิ้ง เก็บ น็อค…
มีเสียงหัวเราะดังขึ้นในห้องนั่งเล่น พ่อบ้านหวังที่เดินเข้ามาเติมน้ำชายิ้มกริ่ม เขายืนอยู่หลังจางเห่อแล้วเหม่อมองไปที่ลำธารและภูเขา แต่หลังจากออกมาข้างนอกเขาก็ถอนหายใจเบาๆ
เวลานี้เมื่อปีที่แล้ว ในบ้านมีเพียงแค่เย่ฉ่าวเหยียน เขานั่งอยู่คนเดียวที่ริมหน้าต่างจนกระทั่งรุ่งส่าง ปีนี้คนที่เย่ฉ่าวเฉินรอคอยกลับมา แต่เขากลับไม่อยู่
บนโลกไม่มีสิ่งใดคาดเดาได้จริงๆ
หวังว่าปีหน้า ทุกคนคงได้อยู่ด้วยกัน
ใกล้ถึงเที่ยงคืน เสียงประทัดดังมาแต่ไกล
หลายคนวางไพ่ในมือแล้วออกไปด้านนอก ผิงอันที่หลับไปแล้วตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงดัง
“คุณชายรอง คุณไปจุดพลุสักหน่อยไหมครับ” พ่อบ้านหวังส่งไฟแช็กให้เย่ฉ่าวเหยียน
เสี่ยวซีหร่านยืนอยู่ข้างๆ มู่เวยเวย ใช้สองมือปิดหูผิงอันเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงดัง “ปัง!” ดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ระเบิดอยู่บนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็จางหายไปทีละอัน
ผิงอันไม่เคยเห็นภาพเหล่านี้ เขายิ้มอย่างมีความสุข
“คุณผู้หญิง ลอยโคมสักดวงเถอะครับ ถือว่าให้พรแก่คุณผู้ชาย” พ่อบ้านหวังถือโคมไฟสีฟ้าเข้ามา เป็นเดียวกับสีดวงตาของเย่ฉ่าวเฉิน
“ได้สิ”
หลายคนจุดตะเกียงโคมลอยร่วมกัน เมื่อเห็นว่ามันขยายใหญ่ขึ้น แล้วลอยออกจากมือ มู่เวยเวยพูดเบาๆ “เย่ฉ่าวเฉิน คุณต้องมีชีวิตอยู่นะ”
สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังแสงสว่างที่ลอยออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหายลับไป
มู่เทียนเย่โอบกอดเสี่ยวซีหร่านไว้ แล้วพูดเบาๆ “โทรหาคุณพ่อกับคุณสิ ปีใหม่แล้วผมอยากขอบคุณพวกเขา ที่ให้กำเนิดสิ่งสวยงามที่สุดบนโลกใบนี้ เจ้าหญิงที่ฉลาดที่สุด”
เสี่ยวซีหร่านผงะเล็กน้อย จากนั้นถามขึ้นด้วยรอยยิ้มในอ้อมกอดของเขา “พ่อแม่ใคร?”
“ก็ต้องเป็นพ่อแม่ของคุณสิ แต่อีกไม่นานคงเป็นพ่อแม่ของผมด้วย” มู่เทียนเย่พูดอย่างเผด็จการ
เสี่ยวซีหร่านพูดอย่างไม่พอใจ “คุณยังไม่ได้ขอฉันแต่งงาน จะเป็นพ่อแม่ของคุณได้ยังไง”
ไม่มีใครอยู่รอบข้าง มู่เทียนเย่จึงก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากของเธออย่างลึกซึ้ง “ขอโทษนะ ช่วงนี้ยุ่งไปหน่อย รอให้จบงาน ผมจะไปสู่ขอคุณอย่างยิ่งใหญ่ทันที”
“ยิ่งใหญ่หรือไม่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับฉัน” เสี่ยวซีหร่านจิ้มไปตรงหน้าอก “ตราบใดที่คุณยังใส่ใจ”
“ไม่ต้องสงสัย ที่อยู่ในนี้คือคุณทั้งหมด”
“งั้นก็ดี ฉันให้โอกาสนี้กับคุณ ให้คุณพูดคำนี้กับพ่อแม่ของฉัน” เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วจูงมือเขาออกห่างจากคนอื่น
เย่ฉ่าวเหยียนมองเห็นเข้าโดยบังเอิญ เขาแปลกใจมากกับการแสดงออกของเสี่ยวซีหร่าน เธอมีด้านที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ด้วยเหรอ คิดว่าเธอเป็นคนแข็งกร้าวมาตลอด
เมื่อมองแบบนี้ มู่เทียนเย่ยังดูดุร้ายมากกว่า
เย่ฉ่าวเหยียนจุดดอกไม้ไฟแล้วเดินไปยืนข้างๆ มู่เวยเวย หันไปหยอกเย้าผิงอัน “สวยไหม?”
ผิงอันปรบมือเล็กๆ ด้วยความชื่นชอบ “สวยๆๆ”
“มา จับดู” เย่ฉ่าวเหยียนวางดอกไม้ไฟสีเงินไว้ในมือเล็กๆ “ถือไว้ อย่างปล่อยนะ”
“สนุกๆ” ผิงอันโยกดอกไม้ไฟในมือไปมา หัวใจดวงน้อยๆ เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
แววตาของเย่ฉ่าวเหยียนมองไปลงบนใบหน้ายิ้มแย้มของมู่เวยเวย “เวยเวย สวัสดีปีใหม่นะ”
มู่เวยเวยส่งยิ้มให้เขา “สวัสดีปีใหม่”
จากนั้นก็มองไปที่ผิงอัน เธอต้องคอยระมัดระวังไม่ให้เขาได้รับบาดเจ็บจากดอกไม้ไฟ ดังนั้นจึงเห็นความอ่อนโยนที่ฉายอยู่ในแววตาของเย่ฉ่าวเหยียน
แม้จะมองเห็น เธอก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจมัน
……
แสงในยามเช้าตรู่ ปีใหม่มาถึงอย่างเป็นทางการ
มู่เวยเวยแจกอั่งเปาหนาปึกให้กับพนักงานทุกคน และคำอวยพรปีใหม่
แน่นอนว่าเด็กน้อยคนเดียวในบ้าน ผิงอันได้รับอั่งเปาจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งของมู่เทียนเย่ที่หนาที่สุด
“เวยเวย พวกเรากลับก่อนนะ” หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ มู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหร่านก็กล่าวลา “ก็เรื่องอะไรก็โทรหาพี่นะ ทางด้านเย่ฉ่าวเฉินพี่ส่งคนไปค้นหาแล้ว ไม่ต้องกังวล”
“พวกพี่ก็เดินทางปลอดภัยนะ”
เสี่ยวซีหร่านไม่อยากจากอันผิงไปเลย เธอโน้มตัวไปข้างหน้า “เด็กดี จุ๊บทีหนึ่ง?”
ผิงอันเม้มริมฝีปากแล้วจุ๊บไปที่ใบหน้าของเธอหนึ่งที
เสี่ยวซีหร่านแตะแก้มซาลาเปาของเขาเบาๆ “เด็กดี อาอี๊ไปก่อนนะ ไว้เจอกันครั้งหน้านะครับ”
ผิงอันพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย
เฝ้าดูการจากไปของทั้งสองคน มู่เวยเวยรู้สึกว่างเปล่าขึ้นมาในใจ เธอไม่มีที่พึ่งทางใจแล้ว
“เข้าไปข้างในกันเถอะ ข้างนอกลมแรงแล้ว” เย่ฉ่าวเหยียนเตือนสติเธอ
มู่เวยเวยตอบ “อืม” แล้วอุ้มผิงอันหันกลับเข้าไปในบ้าน
ญาติพี่น้องของตระกูลเย่มีไม่มาก เย่ฉ่าวเหยียนบอกกับสังคมภายนอกว่าพี่ชายไม่อยู่บ้าน เป็นธรรมดาที่ไม่มีคนมาเยี่ยมในวันปีใหม่ มู่เวยเวยจึงอยู่อย่างเงียบสงบและอิสระ แต่ในขณะที่เงียบสงบ หัวใจก็เศร้ารันทดมากเช่นกัน
แม้ว่าเธอจะรับปากกับเสี่ยวซีหร่านว่าจะไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่ร้องไห้คร่ำครวญ แต่ความจริงข้างในเธอไม่กล้าเปิดเผยมันออกมา
เมื่อเทศกาลตรุษจีนผ่านไปก็ต้องไปทำงาน ตอนนี้มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินถูกจัดไว้ข้างหน้า นอกนั้นเมื่อมองไปรอบๆ เย่ฉ่าวเฉิน ยังมีคนที่คอยดูแลเย่ฮวางกรุ๊ปอีก
ผู้บริหารระดับสูงหลายคน หลายคนเป็นทหารเก่าที่อยู่กับเย่ฉ่าวเฉินมานานหลายปี จงรักภักดีต่อเย่ฉ่าวเฉิน พวกเขาจะรับคำสั่งจากเย่ฉ่าวเหยียนหรือมู่เวยเวยหรือไม่ นี่คือปัญหาใหญ่
ถ้าพวกเขาถามขึ้นมาว่าเย่ฉ่าวเฉินไปไหน ทั้งสองคงให้คำตอบไม่ได้
หลังจากปรึกษากับมู่เทียนเย่แล้ว วันหยุดวันสุดท้ายในช่วงตรุษจีน รองประธานทั้งสองคนของเย่ฮวางกรุ๊ปจึงถูกเรียกตัวมาที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ พวกเขาทั้งสองเป็นลูกน้องของเย่ฉ่าวเฉิน
เมื่อได้รับโทรศัพท์จากมู่เวยเวย รองประธานทั้งสองคนก็นึกประหลาดใจ ในข่าวบอกไว้ไม่ใช่หรอกหรือว่าเย่ฉ่าวเฉินและภรรยาพาลูกไปออสเตรเลียในช่วงปีใหม่? กลับมากันแล้วหรือ?
เมื่อมาถึงคฤหาสน์ พอมองเข้าไปในห้องนั่งเล่นเห็นคนสองสามคนนั่งอยู่ รองประธานทั้งสองยิ่งสงสัยขึ้นไปอีก เพราะนอกจากเย่ฉ่าวเหยียน ยังมีมู่เทียนเย่และแฟนสาวของเขา ขาดแต่เย่ฉ่าวเฉิน
สำหรับประวัติแฟนสาวของมู่เทียนเย่คนนี้ ในคืนวันประชุมประจำปี เจ้าหน้าที่ระดับสูงสองสามคนได้ตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว เธอเป็นมหาเศรษฐีจากเมืองS เบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไรไม่มีใครทราบ ไม่แปลกใจที่มีท่าทีเย็นชาในวันประชุมประจำปี ไม่สนใจใคร ทุกคนล้วนมีคุณวุติข้อนี้
เชิญนั่งค่ะ” มู่เวยเวยกล่าวอย่างสุภาพ “อันที่จริงห้องขอโทษด้วยที่โทรหาท่านทั้งสองในวันหยุด”
ประธานเฉินทักทาย “ไม่เป็นไรครับ ปีใหม่ก็แค่กินๆ ดื่มๆกัน ไม่ได้มีอะไรสำคัญ”
รองประธานอีกคนกล่าวอย่างสุภาพ “และพรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานแล้ว วันนี้ก็อยู่เฉยๆ พอดีครับ”
สีหน้าของมู่เวยเวยลังเล แต่ก็ไม่พูดอ้อมค้อม “ที่ฉันเรียกหาท่านทั้งสอง เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก”
“เชิญคุณหญิงเย่พูดเลยครับ” สีหน้าประธานเฉินเปลี่ยนเป็นจริงจัง
ยังไม่ได้เอ่ยปากพูด มู่เวยเวยก็น้ำตาคลอ “เย่ฉ่าวเฉินหายตัวไป”
“อะไรนะ?” ทั้งสองประสานเสียงกัน ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน
เย่ฉ่าวเหยียนรับช่วงพูดต่อ “เกิดเรื่องขึ้นกับพี่ชาย ก่อนหน้านี้ที่ผมเคยพูดออกอากาศ ผมโกหกว่าทุกคนไปออสเตรเลีย ที่เขาไม่ได้ออกมาชี้แจงข่าวลือด้วยตัวเอง เพราะเขาหายตัวไป”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นครับ?” ประธานเฉินถามขึ้นอย่างเป็นกังวล
เย่ฉ่าวเหยียนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในคืนวันประชุมประจำปี พี่ใหญ่ได้รับโทรศัพท์ลึกลับสายหนึ่ง ฝั่งนั้นต้องการเจอเขา บอกว่ามีของสำคัญสำหรับเขาต้องมาเอาด้วยตัวเอง เขาออกไปหลังจากประชุมประจำปีเสร็จ แล้วก็ยังไม่กลับมา พวกเราตามหาเขามาแล้ววันแล้ว”
“นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมฉันต้องรีบออกมาในตอนนั้น” มู่เวยเวยอธิบายให้ประธานเฉินฟัง
หลังจากนั้นภาพการประชุมคืนนั้นก็ฉายขึ้นมา ตอนนั้นเขายังสงสัย หรือว่าจะโอกาสสำคัญ ท่านประธานเย่ออกไปกลางคันโดยไม่ได้กล่าวลา ปรากฎว่ามีเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ
“งั้นแล้วใครเป็นคนโทรมาหาท่านประธานเย่?” รองประธานอีกคนแซ่ซูถามขึ้น
มู่เวยเวยส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่ทราบค่ะ พวกเราตรวจสอบบันทึกการโทรของฉ่าวเฉินแล้ว โทรมาจากต่างประเทศ” เธอหยุดพูดไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ “รายละเอียดของฉ่าวเฉินพวกคุณจำเป็นต้องชัดเจนสักหน่อย เมื่อก่อนมีคนขัดแย้งกับเขาอยู่ไม่น้อย ดังนั้น…”
ประธานเฉินและประธานซูเป็นคนฉลาด พวกเขาอยู่กับเย่ฉ่าวเฉินมานาน รู้ว่าเมื่อหลายปีก่อนเย่ฉ่าวเฉินรู้สึกไม่โปร่งใสกับขั้นตอนวิธีการของเย่ฮวาง ทำให้หลายคนขุ่นเคือง
“คุณนายเย่ไม่มีข้อมูลสักนิดเลยเหรอ? เป็นการลักพาตัวหรือแก้แค้น?” ประธานซูถาม
“น่าจะเป็นการแก้แค้น เพราะอีกฝ่ายไม่ส่งข่าวกลับมา เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาถูกพาไปที่ไหน” มู่เวยเวยกล่าวพลางก้มหน้าลงฝังใบหน้าไว้ในมือทั้งสองข้าง แบกรับความโศกเศร้าไว้
เวลานี้เสียงนุ่มนวลและน่ารักดังขึ้นมา “หม่าม้า”
ประธานเฉินหันไปมอง เด็กชายตัวเล็กๆ ในเสื้อกันหนาวสีเหลืองขนห่านเดินเตาะแตะเข้ามา ในมือถือหุ่นยนต์ทรานฟอร์เมอร์เป็นมันวาว
สร้างความประหลาดใจให้กับทั้งสองคน เด็กน้อยเหมือนที่พูดในอินเตอร์เน็ตทุกประการ ตาข้างหนึ่งสีฟ้า ข้างหนึ่งสีม่วง และใบหน้านั้นก็คือเย่ฉ่าวเฉินขนาดย่อส่วน
นี่…