วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 261 หาเย่ฉ่าวเฉินเจอ
ขณะเดินไปที่ห้องสอบสวน สารวัตรเว่ยก็แนะนำไปด้วยว่า “ เมื่อวานเราพยายามสอบสวนมาสิบกว่าชั่วโมง และสุดท้ายหนึ่งในนั้นก็บอกว่า พวกเขาทั้งหมดแปดคนเป็นคนไร้สัญชาติ ได้รับการว่าจ้างให้มาที่เมืองA และคืนวันที่ 27 ได้โจมตีบ้านตระกูลเย่ แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังอีก พวกเขาไม่ได้รับคำสั่ง”
“ใครเป็นคนจ้างของพวกเขา” มู่เวยเวยถามแทรก
“พวกเขาไม่รู้ พวกเขาเห็นเคยเห็นแค่ครั้งเดียว และอีกฝ่ายก็สวมหน้ากากด้วย”
จางเห่อกับมู่เวยเวยมองหน้ากัน คือกาวินจริงๆ
สายตาของผู้สารวัตรเว่ยแข็งขึ้น เขาเดาความคิดของพวกเขาได้ในทันที จึงถามว่า “พวกคุณรู้ใช่ไหมว่าเป็นใคร”
“พวกเรารู้จักชายสวมหน้ากากค่ะ เขาชื่อกาวิน” มู่เวยเวยพูดตามความจริง “ก่อนหน้านี้ฉันเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศกับเย่ฉ่าวเฉิน และคนคนนี้ก็ลักพาตัวฉัน”
ลักพาตัวหรอ สิ่งแรกที่สารวัตรเว่ยคิดคือทำไมไม่แจ้งความ แต่แค่แปบเดียวเขาก็คิดคำตอบให้ตัวเองได้ เพราะว่าอยู่ต่างประเทศไง
“จางเห่อ คืนนั้นคุณได้ต่อสู้กับคนกลุ่มนี้ วันนี้คุณมาช่วยชี้ตัวหน่อย เราจะได้ปิดคดี ส่วนหัวหน้าเราจะดำเนินการตรวจสอบต่อไป”
“ขอบคุณค่ะสารวัตรเว่ย”
“ไหนๆแล้วคุณก็มาชี้ตัวด้วยแล้วกัน ว่าคนพวกนั้นอยู่ในนี้ด้วยมั้ย”
มู่เวยเวยพยักหน้า เธอมาที่สนานีตำรวจในวันนี้ก็เพราะเหตุผลนี้
เมื่อมาถึงห้องสอบสวน มู่เวยเวยและจางเหอยืนอยู่ด้านนอกกระจกพิเศษ สารวัตรเว่ยผลักประตูเข้าไปและพูดบางอย่างกับตำรวจที่อยู่ข้างใน จากนั้นปิดประตูและออกมา
ไม่นานชายชาวต่างชาติคนหนึ่งก็เดินออกมาจากประตูเล็กของห้องสอบสวน เขาเป็นชายร่างกำยำ ถูกใส่กุญแจมือที่มือและเท้า
เมื่อเขามองตรงมา มู่เวยเวยก็ก้มหัวลงทันที
“ไม่ต้องกลัว เราเห็นพวกเขา แต่พวกเขาไม่เห็นเรา”
เมื่อมู่เวยเวยได้ยินดังนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นด้วยความโล่งใจ
ไม่ต้องมองหน้าแค่ดูรูปร่างมู่เวยเวยก็ให้คนแรกผ่านไปทันที เขามีกล้ามไม่ใช่กาวิน
มู่เทียนเย่ใช้โทรศัพท์แจ้งคนที่อยู่ข้างในว่า “เปลี่ยน”
คนที่สองเข้ามา เขาเป็นผู้ชายผิวคล้ำ รูปร่างผอมสูง เบ้าตาลึก นี่ก็ไม่ใช่กาวินเช่นกันอย่างเห็นได้ชัด
คนที่เจ็ดผ่านไป สารวัตรเว่ยพูดว่า “เหลือคนสุดท้ายแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่มีคนที่ชื่อกวินเลยหรอ”
จางเห่อส่ายหน้า “ไม่มี ผมเคยเห็นกาวิน ถึงเขาจะสวมหน้ากาก แต่เขาสีผิวเขาก็เป็นอย่างคนจีน และเขาพูดภาษาจีนได้ชัดมาก”
“โอเค ปล่อยคนสุดท้ายเข้ามา” สารวัตรเว่ยพูดกับด้านใน
ผู้ต้องสงสัยคนที่แปดถูกนำตัวเข้ามา มู่เวยเวยและจางเหอตกตะลึงทันที เขาเป็นคนจีน สูงพอๆกับกาวิน แต่ที่น่าแปลกก็คือเขาดูธรรมดามาก ถ้าเดินอยู่บนถนนจะไม่มีใครรู้จักเขาเลย เขายิ้มมุมปาก และมองไปที่กระจกแก้วอย่างเย็นชาราวกับว่าเขารู้ว่ามีใครอยู่ข้างหลังนั้น
มู่เวยเวยมองเข้าไปในดวงตาของเขา พยายามที่จะหาความรู้สึกคุ้นเคยในดวงตาของเขา แต่ก็ล้มเหลว ดวงตาเป็นสีน้ำตาลอมเทาในขณะที่ดวงตาของกาวินเป็นสีดำเข้ม และเธอก็ไม่มีความรู้สึกคุ้นเคย
“ผิงอัน นั่นใช่อาๆมั้ยลูก” มู่เวยเวยไม่แน่ใจจึงถามลูกในอ้อมแขน
ผิงอันเหลือบมองและส่ายหน้า “ไม่ใช่อาๆ”
มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นมองจางเห่อ “คุณคิดว่าไง”
“ผมก็ว่าไม่เหมือน” จางเห่อพูด
มู่เวยเวยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกว่าเธอไม่ควรสรุปง่ายแบบนี้ เธอจึงพูดกับสารวัตรเว่ยว่า “ฉันเข้าไปคุยกับเขาได้ไหม อยากฟังเสียงเขา”
“ได้”
มู่เวยเวยส่งผิงอันให้จางเห่อ และตามสารวัตรเว่ยเข้าไปในห้องสอบสวน
ชายคนนั้นมองเธอปรากฏตัวด้วยใบหน้าเย้ยหยัน
“ นายคือแกคือกาวินใช่มั้ย” มู่เวยเวยถามไปตรงๆ
สายตาของเขาปรากฎความประหลาดใจ แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “เขาเป็นใครฉันไม่รู้จัก”
โอเค เสียงไม่เหมือนเลยสักนิด จากนั้นจึงออกมาจากห้องสอบปากคำโดยไม่พูดอะไร
“ไม่ใช่เขา กาวินไม่ได้อยู่ที่นี่” มู่เวยเวยพูดอย่างใจเย็น
สารวัตรเว่ยสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ขมวดคิ้วและพูดว่า “แต่คนนี้ก็ดูรู้จักกาวินที่คุณพูดถึงอย่างเห็นได้ชัด”
“สารวัตรเว่ยรู้ได้ยังไง”
“ จากสิ่งที่เขาแสดงออกเมื่อกี้”
มู่เวยเวยแอบชมเขาในใจ สมกับที่เป็นนักสืบเก่า สัญชาตญาณของเขาไวกว่าคนอื่นๆ
“โอเค เราจะสอบปากคำเขาต่อไป แต่ก่อนที่ผู้บงการจะถูกจับคุณต้องระวังให้มากกว่านี้ ผมจะแจ้งให้คุณทราบทันทีที่มีข่าวเพิ่มเติม”
“ค่ะ ขอบคุณสารวัตรเว่ยมาก”
ทั้งสามคนออกไปพร้อมเด็กหนึ่งคน เมื่อไปถึงประตูสารวัตรเว่ยก็ถามจางเห่อ “มีข่าวฉ่าวเฉินรึยัง”
“ยังครับ พวกเราก็กำลังหาอยู่”
สารวัตรเว่ยตบไหล่ของเขาหนักๆ “ถ้าต้องการให้ช่วยอะไรบอกมาได้เสมอ เรื่องของฉ่าวเฉินก็คือเรื่องของผม”
“ครับ”
สารวัตรเว่ยมองไปที่ผิงอันด้วยความอ่อนโยน “เด็กคนนี้คล้ายกับฉ่าวเฉินมาก เขาต้องโตมาดีแน่นอน”
ผิงอันยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเขาชมตัวเอง
“น่ารักจริงๆ” สารวัตรเว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มที่หายาก
“งั้นพวกเราไปก่อน” จางเห่อกล่าวอย่างสุภาพ
“อืม แล้วเจอกัน”
อากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ เสื้อผ้าของผู้คนเปลี่ยนไปจากชุดฤดูหนาว เป็นฤดูใบไม้ผลิ และเปลี่ยนเป็นฤดูร้อนในพริบตา ผิงอันเริ่มเดินได้แล้ว แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เวยเวยกลับน้อยลงเรื่อย ๆ
ผ่านสามเดือนแล้ว เธอได้ค้นหาหมู่บ้านเล็กใหญ่ริมทะเลทั้งหมด แต่ก็ยังไม่พบเย่ฉ่าวเฉิน
ช่วงนี้มู่เวยเวยมักจะตื่นขึ้นมากลางดึก และถามตัวเองในความมืดว่าเย่ฉ่าวเฉินตายแบบนี้จริงๆหรอ
เมื่อไหร่เธอจะยอมรับความจริงนี้ได้ เธอจะตามหาไปถึงเมื่อไหร่
ดวงอาทิตย์ค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า
วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส
มู่เวยเวยล้างหน้า รอยคล้ำใต้ดวงตาของเธอเป็นสีเข้มขึ้นจนไม่สามารถปกปิดด้วยแป้งหรือคอนซีลเลอร์ได้
ตอนรับประทานอาหาร เย่ฉ่าวเหยียน เห็นใบหน้าซีดเซียวของเธอก็พูดอย่างเสียใจว่า “คุณนอนไม่หลับอีกแล้วเหรอ”
มู่เวยเวยยิ้มอย่างขมขื่น “ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไรตื่นขึ้นมากลางดึกทุกที”
“ให้หมอหานมาตรวจดูอีกทีมั้ย”
“ไม่ต้องหรอก เขามาก็พูดเหมือนเดิม ไม่มีอะไรมากไปกว่าการบอกว่าฉันมีความเครียดมากเกินไปหรอก” มู่เวยเวยพูดเบา ๆ
ทันใดนั้นเย่ฉ่าวเหยียนก็รู้สึกว่าอาหารตรงหน้าไร้รสชาติ เขาเงียบไปนานมาก ก่อนจะพูดว่า “เวยเวยไม่ต้องตามหาแล้ว”
ช้อนในมือของมู่เวยเวยสั่น น้ำตาตกใน ทั้งเจ็บและปวดใจไปหมด เธอไม่ตอบเขา แต่มันก็สื่อถึงความคิดของเธออย่างชัดเจน
ช่วงเวลาเนิ่นนานที่ผ่านมา เย่ฉ่าวเหยียนเห็นเธอผอมลงเรื่อยๆ รอยยิ้มของเธอก็จางหายไป เขาอยากจะบอกเธอมาตลอดว่าหยุดหาได้แล้ว หาไปก็หาไม่เจอ แต่เขาก็ทนไม่ได้ นั่นคือพี่ชายของเขา เขาก็หวังว่าพี่ชายจะมีชีวิตอยู่และกลับมาเหมือนกัน
แต่ความหวังนั้นก็ถึงเวลาต้องทำลาย ตอนนี้เขาจำต้องยอมรับความจริง
“เวยเวย นี่มันนานมากแล้ว ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่เขาจะต้องหาวิธีกลับมาแน่นอน ถ้าเขาไม่กลับมาก็มีแค่เหตุผลเดียว….” เย่ฉ่าวเหยียนพูดออกมาอย่างอดไม่ได้
มู่เวยเวยหายใจเข้าลึกๆ ข่มความเจ็บปวดในใจ “ฉ่าวเหยียนไม่ต้องพูดแล้ว ฉันไม่อยากยอมแพ้ ถ้าวันหนึ่งฉันเหนื่อย และหมดหวังแล้วฉันจะหยุดเอง”
“ฉันไม่อยากเห็นเธอเครียดอย่างนี้ เธอวิ่งวุ่นอยู่บนถนนทุกวัน ดูสิว่าตอนนี้เธอผอมไปขนาดไหนแล้ว”
“ถือว่าลดน้ำหนักก็ได้ ฉันไม่เป็นไร” มู่เวยเวยไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้แล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง “งานของนายเป็นยังไงบ้าง ปรับตัวได้รึยัง”
เย่ฉ่าวเหยียนถอนหายใจในใจ และเปลี่ยนหัวข้อไปตามเธอ “ได้อยู่ โชคดีที่เรื่องที่เขาประชุมกันฉันฟังเข้าใจ ก็เลยวิเคราะห์ด้วยตัวเองได้”
“เชื่อมั่นในตัวเอง นายทำได้ดี ค่อยๆกินนะ ฉันจะไปดูผิงอันก่อน” มู่เวยเวยวางช้อนในมือของเธอลงแล้วลุกขึ้นเดินจากไป
เย่ฉ่าวเหยียนมองตามแผ่นหลังบาง ผมยาวประบ่าของเธอไป แล้วรู้สึกราวกับเข็มเล็กๆทิ่มแทงเข้ามาในใจ จนเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งเงียบอยู่ตรงนั้น
วันนี้มู่เวยเวยและจางเห่อไปที่หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่ไกลที่สุด กว่าพวกเขาจะมาถึงก็เที่ยงแล้ว หมู่บ้านไม่ใหญ่ มีแค่สามสี่ถนน มู่เวยเวยที่ยืนอยู่กับผู้ใหญ่บ้านจึงได้ยินเสียงเป่าและจุดประทัดเป็นระยะๆ
พวกเขาไปหาร้านอาหารเล็กๆดูเรียบง่ายกินข้าว
ลูกสาวของเจ้าของร้านนำของทอดมาเสิร์ฟสองสามอย่าง จากนั้นก็เช็ดมือและพูดกับเจ้าของร้านข้างในว่า “พ่อพี่สี่ยวเหมยกำลังจะเริ่มพิธีแล้ว ฉันไปดูนะ”
“ไปไป อย่าลืมกลับมากินข้าว” ชายวัยกลางคนพูด และนำข้าวใส่กระบอกไม้ไผ่เล็กๆออกมาวางไว้บนโต๊ะของมู่เวยเวย
มู่เวยเวยชินแล้วที่จะถามเกี่ยวกับข่าวของเย่ฉ่าวเฉินทุกที่ และที่นี่ก็ไม่เว้นเช่นกัน
เธอถือตะเกียบพลางพูดกับเจ้าของร้านว่า “ลุงคะ ฉันตามหาคนๆหนึ่ง”
เจ้าของร้านเห็นท่าทางอ่อนน้อมของเธอจึงตอบด้วยความกระตือรือร้น “ถามมาสิ หนูมาตามหาใคร”
“ปีก่อนมีชายหนุ่มคนหนึ่งมาที่หมู่บ้านของลุงมั้ยคะ เขาสูงมาก หน้าตาหล่อเหลา และมีดวงตาสีฟ้า”
“ปีที่แล้วเหรอ” เจ้าของร้านพูดพลางเอามือแตะคาง “เหมือนจะไม่มี”
“ลองคิดดูอีกครั้งสิคะ ผู้ชายคนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีใครในหมู่บ้านออกทะเล แล้วบังเอิญช่วยเค้าไว้มั้ย” มู่เวยเวยย้ำสิ่งที่เธอพูดเป็นพันครั้ง แต่ดวงตาของเธอมีความหวังไม่เปลี่ยน
เจ้าของร้านขมวดคิ้วและคิดอยู่พักหนึ่ง “ไม่ ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีใครไปช่วยคนมาจากทะเลนะ”
เมื่อมู่เวยเวยได้ยินอย่างนั้นดวงตาที่สดใสของเธอก็ค่อยๆหม่นแสงลง
จู่เจ้าของร้านก็ราวกับคิดอะไรออกจึงถามว่า “เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณตามหาคนตาสีอะไรนะ”
“ตาสีฟ้าค่ะ” มู่เวยเวยตอบกลับด้วยความหวังในใจ
“ คู่แต่งงานของเสี่ยวเหมยวันนี้ก็เป็นชายตาสีฟ้าเหมือนกัน แต่ฉันได้ยินมาว่าเสี่ยวเหมยรู้จักเขาจากข้างนอกนะ ไม่ได้ช่วยกลับมา”
คำพูดของเจ้าของร้านราวกับเสียงฟ้าผ่าลงมากลางสมองของมู่เวยเวย จางเห่อและทุกคน
จางเห่อยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ลุง ลุงพูดจริงหรอ เขามีตาสีฟ้าจริงๆหรอ”
เจ้าของร้านตกใจกับความกระตือรือร้นของเขาจึงถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง “ใช่ ฉันไปบ้านเขามาเมื่อวาน เขาเป็นคนหล่อ มีดวงตาสีฟ้า แต่มันอาจจะไม่ใช่คนที่คุณตามหา เห้ยๆๆ พวกคุณจะไปไหนยังไม่ได้จ่ายค่าข้าวเลย”
ขณะที่เจ้าของร้านกำลังพูดจ้ออยู่ มู่เวยเวยก็รีบออกไปแล้วจางเห่อกับคนอื่นๆก็รีบตามไป
เสียงดนตรีในหมู่บ้านดังพร้อมกับเสียงหัวเราะของผู้คน ดังนั้นไม่ต้องถามว่าจัดที่ไหน มู่เวยเวยก็สามารถเดินตามเสียงมาได้
หัวใจเต้นเธอเต้นแรง มู่เวยเวยไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อน ราวกับกลัวว่าถ้าช้ากว่านี้เขาจะหายไป
ไม่ว่าชายตาสีฟ้าที่คุณลุงพูดจะใช่เย่ฉ่าวเฉินรึเปล่า เธอก็ขอดูก่อน
หลังจากเลี้ยวไปมุมหนึ่ง มู่เวยเวยก็เห็นซุ้มประตูแต่งงานสีแดงสด เมื่อวิ่งไปข้างหน้าอีกก็มีคนจำนวนมาก คนที่อยู่ข้างนอกจึงต้องเขย่งเท้าเพื่อดูข้างใน
“ต่อไปคู่แต่งงานบูชาฟ้าดิน มาทางนี้เลย” เสียงของพิธีกรดังผ่านลำโพง
มู่เวยเวยยังคงไม่หยุดเท้า เธอฝ่าฝูงชนเข้าไปข้างในเรื่อยๆ
“โอ้อย่าดันๆ” ใครบางคนบ่นอย่างไม่พอใจ แต่มู่เวยเวยก็ไม่ได้ยิน เธอแหวกเข้าไปเรื่อยโดยมีจางเห่อและคนอื่นๆเดินเข้ามาตามรอยแหวกของเธอ
“สักการะครั้งที่สอง”
มู่เวยเวยไม่รู้ว่าเธอเหยียบเท้าของคนอื่นกี่คนแล้ว และในที่สุดเธอก็เข้ามาถึงข้างในสุด ได้เห็นคู่บ่าวสาวกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
เจ้าสาวสวมชุดกี่เพ้าสีแดงโบราณ เจ้าบ่าวสวมสูทสีดำ ทั้งคู่หันหลังให้เธอ แต่มู่เวยเวยยังจำร่างนั้นได้ดีแม้ในพริบตา
เธอจำแผ่นหลังนี้ที่ปรากฏในความฝันนับครั้งไม่ถ้วนได้ แค่มองท้ายทอยเธอก็จำได้
ทันใดนั้นน้ำตาเธอก็ไหลลงมาราวกับสายฝน มู่เวยเวยร้องไห้โดยไม่มีเสียง ดวงใจที่เต้นแรงของเธอค่อยๆสงบลง
เขายังไม่ตาย เขายังไม่ตาย เธอหาเขาเจอแล้ว
เธอรู้อยู่แล้วว่าเขาจะไม่ตาย เขาเก่งมาก มีพลังมากราวกับว่าเทพเจ้า เขาจะตายได้ยังไง
ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่คู่แต่งงานคู่ใหม่ ไม่มีใครทันสังเกตเห็นผู้หญิงแปลกหน้าที่มายืนร้องไห้อยู่นี่เลย
จางเห่อฝ่าฝูงชนมาจนได้ยืนข้างเธอ เมื่อเขาเห็นเจ้าบ่าว ร่างทั้งร่างก็แข็งทื่อทันที
“สามีภรรยาทำความเคารพกัน”
ทั้งคู่หันกลับมาเผชิญหน้ากัน มู่เวยเวยได้แต่ยิ้มให้กับภาพนั้น
ให้ตายเถอะฉันตามหาคุณแทบตาย นอนไม่หลับทุกคืน น้ำหนักลดไปหลายกิโล แต่คุณกลับมาแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น
เธอยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา เมื่อทั้งสองกำลังจะไหว้กัน มู่เวยเวยก็ตะโกนว่า “เดี๋ยวก่อน!”
เสียงนี้ทรงพลังมาก ดังมากจนกลบเสียงลำโพงไปหมด ดังนั้นสายตาทุกคนจึงจ้องมาที่เธอ รวมถึงคู่บ่าวสาวด้วย
แต่แววตาของเขาแปลกมากราวกับมองคนแปลกหน้า
ทุกคนมองไปที่หญิงแปลกหน้าที่ปรากฏตัวมาตอนไหนไม่รู้ เธอเดินไปตรงหน้าเจ้าบ่าว ฉุดแขนเขาขึ้นมาจากพื้นอย่างรุนแรง
“คุณกำลังทำบ้าอะไรอยู่” มู่เวยเวยตะโกนใส่เขาด้วยดวงตาสีแดงก่ำ
เจ้าบ่าวเงียบไปครู่หนึ่งและตอบ “แต่งงานไง”
ความโกรธและความคับแค้นใจของมู่เวยเวยที่เก็บกดมานานปะทุขึ้นในทันที “แต่งงานบ้าอะไร คุณมีลูกแล้วยังจะแต่งงานอีกหรอ แต่งงานบ้าแต่งงานบอที่ไหน”
คำพูดของมู่เวยเวยทำให้คนฟังตกใจ และเธอก็เงียบไปชั่วขณะ เหลือเพียงดนตรีที่เปิดคลอเบาๆ
เจ้าสาวเป็นคนแรกที่ได้สติ เธอลุกขึ้นจากพื้น คว้ามู่เวยเวยและพูดอย่างโกรธๆว่า “คุณเป็นใคร ป่วยทางจิตหรอ”
ตอนนั้นมู่เวยเวยถึงเพิ่งมีเวลามองผู้หญิง ใบหน้าก็สวยดี แต่แต่งหน้าหนาเกิน ปากก็แดงจัด
“ ฉันเป็นภรรยาของเขา” มู่เวยเวยยืดอก ดันเย่ฉ่าวเฉินไว้ข้างหลังเธอ
คราวนี้ทุกคนต่างพากันซุบซิบ
“ฉันว่าเธอคงป่วยทางจิตจริงๆ พี่อาหยงมานี่” เจ้าสาวพูดกับคนที่อยู่ข้างหลังมู่เวยเวย
พี่อาหยงงั้นหรอ ให้ตายเถอะ ทุเรศสิ้นดี
แต่สิ่งที่ทำให้มู่เวยเวยยิ่งรู้สึกโกรธก็คือ อาหยงคนนี้เชื่อฟังจริงๆ เขาไปยืนข้างเจ้าสาว และมองเธอด้วยแววตาสงสัย
พิธีกรเห็นฉากวุ่นวายนี้จึงรีบเดินไปถามมู่เวยเวยที่ยืนตาแดงอยู่ว่า “คุณจำคนผิดรึเปล่าคะ”
“ไม่ผิดหรอกค่ะ ถึงเขาจะกลายเป็นขี้เถ้าฉันก็จำได้” มู่เวยเวยจ้องไปที่เจ้าบ่าวและพูดอย่างเย็นชา “เย่ฉ่าวเฉินสมองคุณจมน้ำนาน จนลืมแม้กระทั่งชื่อตัวเองแล้วหรอ”
เจ้าสาวพูดอย่างโกรธๆว่า “เธอจำคนผิดแล้ว เขาไม่ใช่เย่ฉ่าวเฉิน เขานามสกุลเหอ เขาชื่อเหอหยง”
“หุบปาก!” มู่เวยเวยพูดกับเจ้าสาวเสียงเข้ม พร้อมกับเสียงจอแจที่เงียบลงพอดี อาจเป็นเพราะว่าคนเปิดเพลงก็อยากรู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเขาจึงปิดเพลง
เจ้าสาวเงียบลงทันทีเพราะรังสีของเธอที่แผ่ออกมา
มู่เวยเวยจ้องตาสีฟ้าเขม็ง และพูดเสียงดัง “เหอหยงใช่มั้ย งั้นฉันถามคุณหน่อยปีนี้คุณอายุเท่าไหร่ บ้านอยู่ที่ไหน ที่บ้านมีใครบ้าง บัตรประชาชนล่ะ ฉันขอดูหน่อย”
คำถามเหล่านี้ทำให้เจ้าบ่าวตะลึง เพราะเมื่อเจอคำถามเหล่านี้สมองของเขาก็ว่างเปล่าไปหมด
เจ้าสาวลุกลี้ลุกรนรีบไปคั่นกลางทั้งคู่ทันที “เรื่องของพี่อาหยงทำไมต้องบอกเธอด้วย”
“ไม่อยากบอกหรือว่าไม่รู้” มู่เวยเวยยิ้มเย็น เธอมีท่าไม้ตาย ตะกี้ที่เธอเห็นสายตาเย่ฉ่าวเฉินมองเธออย่างคนแปลกหน้า เธอก็พอเดาเรื่องราวขึ้นมาได้ เขาน่าจะความจำเสื่อม
กงเกวียนกรรมเกวียนจริงๆ ใครก็หนีไม่พ้น
คราวที่แล้วเธอตื่นขึ้นมาและแกล้งความจำเสื่อม เพื่อความเป็นธรรม ครั้งนี้พระเจ้าเลยให้เย่ฉ่าวเฉินความจำเสื่อมจริงๆ
เธอมั่นใจได้ว่าเขาคือเย่ฉ่าวเฉิน เพราะแม้ว่าคนๆนั้นจะไม่มีความทรงจำ แต่ความรู้สึกที่เขามอบให้กับคนอื่นก็จะไม่เปลี่ยนแปลง และรังสีที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขาก็จะไม่เปลี่ยนไปเช่นกัน แม้ว่าชายคนนี้จะสวมสูทราคาถูก ยืนโง่ไม่พูดไม่จา แต่เขาก็ยังคงเป็นเย่ฉ่าวเฉิน
เหมือนตอนที่เธอเปลี่ยนหน้าเป็นซูเหยียนเขาก็ยังจำเธอได้
เมื่อเจอกับคำถามของมู่เวยเวย เจ้าสาวก็สะดุ้งทันที “เธอเป็นคนบ้าหลุดออกมาจากที่ไหนกันแน่ เธอเห็นพี่อาหยงของฉันหล่อเลยจะแย่งไปใช่มั้ย”
“สาวน้อย ฉันไม่อยากทะเลาะกับเธอ แค่เธอตอบคำถามที่ฉันเพิ่งถามได้ ฉันก็จะจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำแล้วก็ที่นี่น่าจะเป็นบ้านเธอใช่มั้ย ทำไมไม่แต่งงานเข้าบ้านเจ้าบ่าวล่ะ” มู่เวยเวยพูดอย่างน่าเชื่อถือ
เจ้าสาวเปลี่ยนสีหน้าจากโกรธเป็นอายจนใบหน้าขาวแดงไปหมด เธอเริ่มเล่นลิ้น “ฉัน..ฉันเจอเขาตอนไปทำงานข้างนอก บ้านเขาอยู่เมืองS เขาเป็นเด็กกำพร้า จะแต่งงานที่ไหนก็เหมือนกัน”
“เมืองS หรอ บังเอิญจังฉันมีเพื่อนอยู่เมืองนัั้นเยอะมาก เขาอยู่ที่ไหนในเมืองS หรอ” มู่เวยเวยถามต่ออย่างไม่ลดละ
เจ้าสาวกลัวโดนต้อนจึงตอบว่า “ทำไมต้องบอกเธอด้วย ตลกสิ้นดี”
“เธอไม่อยากบอกฉันก็ปกติมาก เพราะเขาไม่ใช่เหอหยง แล้วก็ไม่ได้อยู่เมืองSด้วย”
เจ้าสาวโกรธหน้าดำหน้าแดง เธอรีบตะโกนใส่คนแถวนั้นว่า “พี่ยังยืนนิ่งอยู่ทำไม มาลากผู้หญิงคนนี้ไปสิ”
ชายสองคนที่ยืนคุยกันอยู่เดินตรงมาด้วยสีหน้าลังเล ก่อนจะดึงแขนมู่เวยเวยไป
“หยุด!” จางเห่อตะโกน “ใครกล้าแตะต้องเธอ”
วินาทีถัดมา บอดี้การ์ดแข็งแกร่งสองสามคนก็เข้าไปขวางหน้าชายสองคนนั้น
จางเห่อเดินไปหาเจ้าบ่าวและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “คุณชาย คุณจำผมไม่ได้เหรอ ผมคือจางเห่อไง”
เจ้าบ่าวดูมึนงง สีหน้าแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่รู้จักเขา
“จางเห่อ เขาจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ จะจำคุณได้ยังไง” มู่เวยเวยพูดประชดประชัน
ทันใดนั้นก็มีฝูงชนทนดูไม่ไหว จึงตะโกนว่า “คุณบอกว่าเขาเป็นสามีของคุณ คุณมีหลักฐานมั้ย”
“จริง จะบอกว่าเป็นก็เป็นหรอ มีหลักฐานมั้ย”
“อย่าคิดว่าเราเป็นชาวบ้านธรรมดาแล้วจะมารังแกนะ”
การกระทำของบอดี้การ์ดอาจกระตุ้นความโกรธของพวกชาวบ้าน พวกเขาจึงลุกฮือขึ้นมา
มู่เวยเวยไม่ต้องการสร้างปัญหาเธอจึงพูดว่า “ทุกคนคะ ฉันไม่ได้ต้องการจะรังแกผู้หญิงคนนี้ แต่ผู้ชายคนนี้เป็นสามีของฉันจริงๆ เขาเป็นประธานบริษัทเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่ลแนลกรุ๊ป พวกเราแต่งงานกันมาจะสองปีแล้ว มีลูกด้วยกันหนึ่งคน และเขาก็มีน้องชายอีกหนึ่งคนชื่อเย่ฉ่าวเหยียน ก่อนปีใหม่สามีฉันเกิดอุบัติเหตุและหายตัวไป พวกเราตามหาเขามาหลายเดือน คิดไม่ถึงว่าจะเจอเขาที่นี่ในวันนี้ ดังนั้นจึงทำตัวไม่เหมาะสมไปบ้าง ถ้าทุกคนไม่เชื่อ อินเตอร์เน็ตก็เข้าถึงได้ง่ายขนาดนี้ หาแปบเดียวก็เจอ พวกคุณลองหาประธานบริษัทเย่ฮวางสิคะ ว่าใช่ผู้ชายตรงหน้าคนนี้รึเปล่า”
ชาวบ้านกระซิบกัน และก็มีคนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาค้นหา
มู่เวยเวยหันหน้ามาพูดกับเจ้าสาวว่า “สาวน้อย การแต่งงานไม่ใช่แค่การบูชาฟ้าและดินก็จบ แต่ต้องได้รับการอนุมัติทางกฎหมายด้วย ฌะอไปจดทะเบียนสมรสที่อำเภอรึยัง”
แววตาของเจ้าสาวเริ่มตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าจะมองไปทางไหน
เมื่อมู่เวยเวยเห็นดังนั้นเธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกในใจ เหมือนว่าจะยังไม่ได้จด ไม่อย่างนั้นเย่ฉ่าวเฉินคงจะตกที่นั่งลำบากจริงๆ
“พวกเรา พวกเรามาจัดงานแต่งก่อนค่อยไปเอาใบทะเบียนสมรส” เจ้าสาวพูดออกมาในที่สุด
มู่เวยเวยหัวเราะอย่างโกรธๆ “ สาวน้อย อย่าโกหก ถึงมีบัตรประชาชนปลอม แต่มีทะเบียนบ้านมั้ย ถ้าไม่มี เจ้าหน้าที่ยอมออกทะเบียนสมรสให้แน่”
“มีสิมี” เจ้าสาวเถียงข้างๆคูๆ
“พอแล้ว อย่าโกหกตัวเอง อย่าโกหกทุกคน เขาไม่ใช่เหอหยงตั้งแต่แรก ของปลอมไม่มีวันกลายเป็นของจริงได้”
สายตาของเจ้าบ่าวจ้องไปที่ร่างของมู่เวยเวยราวกับว่ามีพลังวิเศษอยู่ในตัวของเธอที่ดึงดูดเขา และทุกครั้งที่เธอเอ่ยอะไรออกมา เขาก็ต้องตกใจทุกครั้ง
เจ้าสาวไม่มีอะไรจะพูดแล้ว มู่เวยเวยจึงมองไปที่เจ้าบ่าวที่กำลังยืนดูอยู่
“คุณคิดว่าผู้หญิงสองคนทะเลาะกันเพื่อผู้ชายเป็นเรื่องดีมั้ย ให้ตายเถอะ ฉันโกรธมาก ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเป็นพ่อของผิงอันฉันคงไม่ยอมตามหาคุณตั้งสามสี่เดือนหรอก” มู่เวยเวยเธอหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเปิดหน้าเว็บพิมพ์คำว่า “เย่ฉ่าวเฉิน” จากนั้นข่าวต่างๆปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอยื่นโทรศัพท์ให้ผู้ชายที่ยังยืนโง่อยู่กับที่ “มาสิ มาดูใกล้ๆว่าคนในนี้ใช่คุณมั้ย”
เย่ฉ่าวเฉินรับไปซื่อๆ พูดตามตรงตั้งแต่เธอปรากฏตัวจนถึงตอนนี้สมองของเขาก็ยังไม่ทันได้ประมวลผล จึงได้แต่ฟังคำสั่งเธอทุกอย่าง
มีข่าวมากมายเกี่ยวกับเย่ฉ่าวเฉินบนอินเทอร์เน็ต นอกจากข่าวเกี่ยวกับตัวเขาอย่างละเอียดแล้ว ข่าวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็ยังเกี่ยวข้องกับเย่ฉ่าวเหยียนน้องชายที่สมบูรณ์แบบของเขา
ยังมีการเปิดสวนสนุกที่เขาเป็นคนพูดเปิดงาน เขาบริจาคในเหตุการณ์แผ่นดินไหว และยังมีรูปถ่ายของเขากับมู่เวยเวยที่แสดงถึงความรักของพวกเขาเมื่อก่อน ส่วนข่าวทั้งหมดที่ว่าเย่ฉ่าวเฉินเป็นปีศาจ เย่ฉ่าวเหยียนได้ทำการลบอย่างลับๆไปหมดแล้ว โดยที่ทุกคนไม่ทันได้รู้ตัว
เจ้าบ่าวดูภาพเหล่านั้นบนอินเทอร์เน็ตด้วยสีหน้าซับซ้อน คนในนั้นเป็นเขาจริงๆหรอ
ทันใดนั้นก็มีเสียงจากฝูงชนพูดว่า “เป็นเขาจริงๆ ดูสิเหมือนกันทุกอย่าง”
“ใช่ๆ ที่แท้เขาก็ไม่ธรรมดาเลย เป็นถึงประธานบริษัท”
“เสี่ยวเหม่ยตกถังข้าวสารแล้ว”
“ไร้สาระ ผู้ชายคนนี้แต่งงานแล้ว”
จากนั้นก็มีเสียงวิพากวิจารณ์ต่างๆนานาน มู่เวยเวยเห็นว่าเธอบรรลุเป้าหมายแล้ว จึงดึงโทรศัพท์ของเธอกลับมาและเปิดภาพล่าสุดของผิงอันวางไว้ตรงหน้าเขา “คุณไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร นี่เป็นลูกของคุณชื่อผิงอัน ตอนที่คุณตั้งชื่อเขาคุณบอกว่าเขาจะโดดเด่นในทุกที่ที่ไป ไม่ว่าอนาคตเขาจะเป็นยังไงก็ขอให้เขาปลอดภัยก็พอ คุณดูหน้าลูกสิ เหมือนคุณไม่มีผิด”
เจ้าบ่าวตกใจมาก ผู้หญิงพูดถูก เด็กผู้ชายตัวเล็กๆในรูปดูคล้ายกับตัวเองมาก และเหมือนดวงตาคู่นี้ก็เคยปรากฏในความฝันของเขาด้วย
เมื่อเห็นใบหน้าของเขาผิดปกติ เจ้าสาวจึงพูดอย่างรีบร้อนว่า “โลกนี้ใหญ่จะตาย คนหน้าเหมือนก็เยอะแยะ เธอจำคนผิดรึเปล่า”
มู่เวยเวยเห็นว่าเธอกำลังจะร้องไห้ จึงใจอ่อนลงมา “สาวน้อย ฉันขอบใจมากที่เธอช่วยให้เย่ฉ่าวเฉินรอดจากความตายมาได้ ฉันรู้ว่าเธอต้องพยายามหนักแค่ไหน พวกเราจะตอบแทนเธออย่างดีที่สุด แต่เขาเป็นสามีของฉัน เป็นพ่อของเด็กคนหนึ่ง เขามีความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของตัวเอง เขาไม่สามารถทิ้งเราสองแม่ลูกมาแต่งงานอยู่ที่นี่ได้”
“เธอ….” เจ้าสาวพูดตะกุกตะกักและยืนกราน “แต่เขาไม่ใช่คนที่เธอกำลังตามหา แค่คนหน้าก็เท่านั้น”
มู่เวยเวยถอนหายใจ เธอพูดดีๆแล้วทำไมผู้หญิงคนนี้ยังดึงดันอยู่อีก
“เอาเถอะ ฉันพูดอะไรไปเธอก็ไม่ฟังแล้ว เย่ฉ่าวเฉิน คุณล่ะจะกลับไปกับฉันมั้ย” มู่เวยเวยจ้องตรงไปที่ตาสีฟ้าลุกลี้ลุกรนของเขา
เจ้าสาวจับแขนเขาและพูดอย่างน่าสงสารว่า “พี่อาหยง ผู้หญิงคนนี้โกหก อย่าไปกับเธอ พี่บอกว่าจะแต่งงานกับฉันแล้ว จะกลับคำไม่ได้”
เจ้าบ่าวมองลงมาที่เธอ อ้าปากจะพูดแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา
น้ำตาของเจ้าสาวไหลลงมา “พี่อาหยง พี่ลืมไปแล้วหรอว่าตอนพี่บาดเจ็บฉันดูแลพี่ยังไง ฉันวิ่งไปในเมืองกลางดึกเพื่อซื้อยามาให้พี่ เพื่อที่ให้ร่างกายของพี่ฟื้นตัวเร็ว ฉันไปซื่ออาหารดสริมมาให้พี่ตลอด พี่ลืมมันไปหมดแล้วหรอ พี่จะทิ้งฉันแบบนี้ไม่ได้ พี่บอกว่าจะดูแลฉันไปตลอดชีวิต”
มู่เวยเวยรู้สึกซึ้งมากในตอนแรก แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย
เย่ฉ่าวเฉิน คุณยอดเยี่ยมมาก ฉันจะคิดบัญชีกับคุณแน่หลังความทรงจำกลับมา
เจ้าบ่าวพยายามลังเลอยู่นาน ก่อนจะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของหญิงสาวและพูดว่า “อย่าร้องไห้ฉันจะทำตามที่บอก” จากนั้นเขาก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอและพูดอย่างใจเย็นว่า “คุณผู้หญิง ผมว่าผมไม่ใช่คนที่คุณตามหา แค่หน้าเหมือนเกินไปเฉยๆ ผมจำอะไรไม่ได้เลย แถมทุกอย่างที่คุณให้ผมดูผมก็ไม่เข้าใจ การบริหารบริษัทไม่ใช่สิ่งที่ผมทำได้”
“คุณชาย!” จางเห่ออุทานอยู่ข้างๆ
มู่เวยเวยหายใจเข้าลึกๆ ระงับความเจ็บปวดและความโกรธในใจ ดวงตาของเธอแดงก่ำ “เย่ฉ่าวเฉินคุณแน่ใจนะว่าจะไม่กลับไปกับฉัน”
ความสับสนฉายเข้ามาในแววตาของเขา “ขอโทษ ผมไปกับคุณไม่ได้ คุณหาผิดคนแล้ว”
“บัดซบ!” มู่เวยเวยสบถคำหยาบ “ความจำเสื่อมแล้วก็ทิ้งแม่งทุกอย่าง แถมยังคิดจะแต่งงานใหม่อีก ฉันไม่มีทางปล่อยให้คุณทำตามใจหรอก ยังไงวันนี้ก็แต่งต่อไม่ได้แล้ว งั้นเรามาคุยกันให้จบ ถ้าสุดท้ายแล้วยืนยันว่าคุณไม่ใช่เย่ฉ่าวเฉิน คุณจะอยู่ที่นี่ก็ตามใจ”
หลังจากพูดอย่างโกรธๆเสร็จ มู่เวยเวยก็โทรหาเย่ฉ่าวเหยียน และพูดประโยคแรกด้วยน้ำตาไหลรินอย่างอธิบายไม่ถูก “ฉ่าวเหยียนฉันหาเขาเจอแล้ว”
พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเธอมีความสุขแค่ไหนที่ได้พูดแบบนี้
เย่ฉ่าวเหยียนกำลังประชุมอยู่อย่างมึนงง เมื่อเขาได้ยินประโยคนี้ดินสอในมือเขาก็ร่วงทันที “เธอว่าไงนะ เธอหาใครเจอ”
“เย่ฉ่าวเฉิน ฉันเจอเย่ฉ่าวเฉินแล้ว แต่สมองเขาได้รับการกระทบกระเทือน จำอะไรไม่ได้เลย” มู่เวยเวยมองไปที่ผู้ชายตรงข้ามด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“ไม่เป็นไร แค่หาเขาเจอก็ดีแล้ว” เย่ฉ่าวเหยียนดีใจจนกระโดดโลดเต้น ประธานเฉินที่อยู่ข้างๆก็ดูเหมือนจะเดาออกจึงรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย
“เธออยู่ที่ไหนฉันจะไปทันที” เย่ฉ่าวเหยียนถาม
“จางเห่อจะส่งโลเคชั่นให้อีกที”
“โอเค”
มู่เวยเวยวางสายและยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา จางเห่อจึงถามอย่างเป็นห่วง “คุณหนูเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไร ฉันสบายดี” มู่เวยเวยพูดออกมาด้วยเสียงสั่นๆจนน่าใจหาย
ฉากนี้น่าอึดอัดมาก เป็นครั้งแรกในหมู่บ้านที่มีคนมาชิงการแต่งงานอย่างเปิดเผย และอีกฝ่ายก็มีฐานะดี จึงทำให้ชาวบ้านตื่นเต้นมาก
ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รู้สึกอับอายมาก ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก ดังนั้นเขาจึงยืนขึ้น
“ทุกคนแยกย้าย ไม่มีอะไรแล้ว”
ทุกคนให้ความสนใจมาก ต่างพากันยืนอยู่กับที่ ไม่มีใครแยกย้าย
มู่เวยเวยขี้เกียจสนใจเรื่องพวกนี้ หลังจากดีใจสุดๆและโกรธสุดๆมาแล้วเธอก็รู้สึกหิวขึ้นมา เธอเห็นข้างๆเป็นอาหารเลี้ยงงานแต่งจึงเดินผ่านสายตาของทุกคนไปนั่ง และหยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มกิน
เดี๋ยวยังมีเรื่องต้องออกแรงอีกเยอะ เธอจะปล่อยให้ตัวเองหิวไม่ได้เด็ดขาด ส่วนเย่ฉ่าวเฉินน่ะหรอ ตลก ยังไงเธอก็ไม่ปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่
ตอนนี้สมองเขายังไม่ปกติ การตัดสินใจของเขาก็ไร้เหตุผล ถ้าวันหนึ่งเขาความทรงจำกลับมา และยืนกรานที่จะทำเพื่อผู้หญิงคนนี้ ยืนยันจะแต่งงานกับเธอ โอเค เธอจะเป็นคนเตะเขาออกมาเอง และจะคิดว่าคนคนนี้ตายไปแล้ว
เมื่อเห็นการกระทำของมู่เวยเวยจางเห่อก็หัวเราะออกมา คุณหนูผู้อ่อนโยนไม่เคยมีหมดความอดทนขนาดนี้มาก่อน คุณชายยั่วโมโหเธอแล้วจริงๆ
แต่เขาก็รู้สึกเสียวสันหลังแทนคุณชายมาก ถ้าหลังจากนี้เขารู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เขาจะรู้สึกอยากตายด้วยความรู้สึกผิดมั้ย