วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 265 ครอบครัวนี้คำพูดของฉันเป็นใหญ่
ผิงอันที่อยู่ทางด้านข้างกำลังดูทุกคนหัวเราะกัน เขาก็หัวเราะตามพร้อมทั้งยังเลียนเสียงพูด “ขอร้องปล่อยฉันไปเถอะๆ”
มู่เวยเวยอดที่จะหัวเราะไม่ได้พร้อมกับบีบไปที่จมูกเล็กๆของผิงอันและพูดว่า“ลูกก็มาดูเราสนุกกันหรอ?”
“ขอร้องปล่อยฉันไปเถอะๆ”ผิงอันหัวเราะฮิๆและพูดขึ้น
“ฮ่าๆๆๆ”เย่ฉ่าวเหยียนหัวเราะขึ้นเสียงดัง “ผิงอันชั่งเป็นหลานที่น่ารักของอาเสียจริง มานี่สิ อาขอชื่นชมเธอหน่อย”เย่ฉ่าวเหยียนคีบเนื้อปลาหนึ่งชิ้นขึ้นมาหยุดต่อหน้าเขา จากนั้นก็ป้อนเข้าไปในปากของเขา
“ขอบคุณครับคุณอา”ผิงอันมีน้ำเสียงที่สดใสน่ารัก
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกลูก”เย่ฉ่าวเหยียนลูบๆที่ผมอ่อนของเขา
ในเวลานี้มีทั้งเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะคละเคล้าอย่างมีความสุข พ่อบ้านหวังทำหน้าที่รินเหล้าด้วยความตื้นตันใจ บ้านหลังนี้ไม่มีเรื่องราวที่ทำให้มีเสียงหัวเราะแบบนี้นานแล้ว
แต่ก็มีทั้งคนที่มีความสุข และคนที่กำลังโมโห
“ผละ——”ฟานเสี่ยวเหมยวางตะเกียบลง ทันใดนั้นเสียงของมันก็ได้ดังขึ้นมาขัดจังหวะความสุขของคนที่อยู่รอบๆข้าง
มู่เวยเวยรู้ดี แต่ก็ยังคงถามเธอด้วยความอ่อนโยนพร้อมกับมีร้อยยิ้มว่า“คุณฟาน มีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณไม่สบายใจอย่างนั้นหรอ?”
“อาหารของฉันทำไมยังไม่มา?ยังอยากจะให้คนกินอยู่หรือเปล่า?”ฟานเสี่ยวเหมยพูดด้วยความโมโห
มู่เวยเวยไม่โกรธ เมื่อกี้พ่อบ้านหวังพึ่งจะเข้าไปเร่งพวกเขา แต่เห็นเพียงแค่สาวใช้คนเดียวยกอาหารสองอย่างออกมา
“มานี่ มาวางตรงนี้ ”มู่เวยเวยเคลื่อนจานอาหารสองจานก่อนหน้ามาวางไว้ตรงหน้าของฟานเสี่ยวเหมย และจานที่อยู่ในมือของสาวใช้ด้วย
จานหนึ่งคือผัดเนื้อ และอีกหนึ่งจานคือเต้าหู้หมาล่า
แม่บ้านฉินก็นะ……ทำออกมาพอเป็นพีธีเพื่องานนี้
แต่เธอไม่ชอบ
“อาหารพื้นๆแบบนี้หรอ?”ฟานเสี่ยวเหมยรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
สาวใช้โค้งตัวลงพร้อมกับพูดขึ้นว่า“แม่บ้านฉินบอกว่า ที่บ้านไม่ได้เตรียมเรื่องวัตถุดิบอาหารไว้ ดังนั้นจึงสามารถทำออกมาได้เพียงอาหารสองอย่างนี้ที่มีรสชาติเผ็ดเล็กน้อย”
พ่อบ้านหวังเดาออกทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงอธิบายว่า “วัตถุดิบอาหารของบ้านนี้ทุกวันเราจะเริ่มไปซื้อตอนเข้ามืดเพื่อให้ได้วัตถุดิบที่สดใหม่ที่สุด เป็นปกติที่เวลานี้ห้องครัวจะไม่มี”
ฟานเสี่ยวเหมยจะพูดอะไรได้อีกล่ะ พี่ชายที่อยู่ทางด้านข้างสะกิดที่แขนของเธอเพื่อบอกให้เธอสงบปาก
ฟานเสี่ยวเหมยถอดหายใจหนึ่งครั้ง และจากนั้นจึงพูดขึ้นว่า“เอาอย่างนั้นก็ได้”
มู่เวยเวยหัวเราะพร้อมกับนั่งลง ในใจของเธอแอบคิดเบาๆว่า สาวน้อย บ้านตระกูลเย่ไม่ใช่ว่าเธอคิดแบบไหนก็จะเป็นแบบนั้นนะ
……
นอกจากมีเสียงเพลงประกอบละครแทรกเข้ามา บรรยากาศของการทานอาหารในค่ำคืนนี้ดูอบอุ่นกันดี เพื่อเป็นการทำให้เย่ฉ่าวเฉินนึกเรื่องราวในอดีตออก เย่ฉ่าวเหยียนเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายในสมัยที่พวกเขาเป็นเด็กให้เขาฟัง รวมทั้งเรื่องที่เขาปลอมเป็นผู้ปกครองของน้องเพื่อไปเข้าร่วมงานประชุมผู้ปกครองและถูกคุณครูสั่งสอน เรื่องที่มีผู้หญิงเขียนจดหมายรักมาส่งให้ถึงมือของเขาแต่เขาโยนจดหมายนั้นทิ้งจนทำให้ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ เรื่องที่สองพี่น้องไปเที่ยวบนภูเขาและเกิดหลงทางและยังมีเรื่องอื่นๆอีก เรื่องราวพวกนี้มู่เวยเวยได้ฟังเป็นครั้งแรก
ชนแก้วกันไปกันมา ตอนนี้ก็ดื่มเข้าไปห้าถึงหกขวดแล้ว
เย่ฉ่าวเฉินเห็นเธอหน้าแดงจึงพูดกับเธอหนึ่งประโยคว่า“เธออย่าดื่มอีกเลยดีไหม”
ใครจะรู้ว่ามู่เวยเวยจะทำท่าโบกมือ“ฉันไม่เป็นไร ฉันยังดื่มได้อีก สองสามเดือนที่คุณหายไป ตกกลางคืนถ้าฉันนอนไม่หลับก็จะอาศัยการดื่มเหล้าแบบนี้แหละ คุณดูสิ ฉันฝึกดื่มจนดื่มได้มากขนาดนี้แล้วนะ”
เธอพูดอย่างมีความสุข แต่คนที่ฟังกลับรู้สึกทุกข์ใจ โดยเฉพาะเย่ฉ่าวเหยียนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ
เรื่องที่มู่เวยเวยนอนไม่หลับเขารู้ดี แต่เรื่องที่เขาไม่รู้คือ ตกถึงตอนกลางคืนเธอจะแอบดื่มเหล้า
สายตาของเย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเศร้าใจอย่างเห็นได้ชัด
เย่ฉ่าวเหยียนถามคำถามเพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ “พี่ เอาแบบนี้ไหม พรุ่งนี้เราไปที่บริษัทกัน ไม่แน่ว่าสภาพแวดล้อมของที่นั่นอาจจะทำให้คิดอะไรออกได้บ้าง ความทรงจำของพี่อาจจะกลับมาได้เร็วขึ้นก็เป็นไปได้ ฉันก็จะได้ออกจากสภาพแวดล้อมที่มันร้อนเป็นไฟแบบนี้เร็วขึ้นหน่อย”
เย่ฉ่าวเหยียนเขาคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับการทำงานอยู่ที่บริษัท เมื่อเห็นตารางงานของตัวเองในบริษัทที่ไม่เหมือนกันในแต่ล่ะอาทิตย์ หัวของเขาก็จะระเบิดแล้ว และการจัดการในแต่ล่ะเดือนยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เขาคิดว่าเขายังคงเหมาะสมกับการเป็นเจ้าชายที่อยู่ว่างๆและออกเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยๆจะดีกว่า หากมีพี่ชายอยู่แน่นอนว่าก็คงยังมีเงินใช้จ่ายได้สบาย
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มเขารู้สึกทำตัวไม่ถูก“แต่ว่าถ้าฉันไปก็ทำอะไรไม่เป็นอยู่ดี จะให้ฉันไปทำไมล่ะ?”
“ความรู้ด้านการทำธุรกิจของพี่มันมีมากกว่าผมเยอะ ตั้งแต่ที่เรียนมาก็เรียนได้เร็วกว่าผม และเรื่องวันพรุ่งนี้ก็ไม่ซับซ้อนอะไรมาก ทำหน้านิ่งๆก็ได้แล้ว”
“อย่างนี้……ก็ได้หรอ?”
มู่เวยเวยแขวะเขาขึ้นมา“คุณก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนิ วันๆก็ชอบทำหน้าเย็นชา ราวกับว่ามีใครไปทำให้คุณลำบากใจอย่างนั้นแหละ”
เอ่อ……เขาเป็นประธานที่มีลักษณะอย่างนั้นจริงๆหรอ?
“เอาเป็นว่าแบบนี้และกัน วันพรุ่งนี้พี่ไปบริษัทกับผม และก็ไม่ต้องตื่นเต้น ผมจะคอยยืนอยู่ด้านข้างของพี่”เย่ฉ่าวเหยียนมองไปที่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามพร้อมกับหัวเราะและพูดว่า“เวยเวย พรุ่งนี้เธอก็ไปด้วยกันสิ เพื่อเป็นการป้องกันคนอื่นซุบซิบนินทา”
“ซุบซิบนินทาอะไร?”มู่เวยเวยถามด้วยความสงสัย
เย่ฉ่าวเหยียนจำใจเขาวางมือลงที่โต๊ะ“ยังจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ?พนักงานในบริษัทต่างคิดว่าฉันเป็นคนแย่งชิงตำแหน่งประธานบริษัทไป สายตาของพวกเขาแปลกๆเวลามองมาที่ฉัน พวกเขาไม่คิดเลยสักนิดว่าคนอย่างฉันที่เป็นคนดีมีน้ำใจจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร ?ดังนั้นพวกคุณทั้งสองต้องไปเป็นพยานให้กันฉันในวันพรุ่งนี้ด้วย”
“เอาล่ะๆ พูดซะน่าสงสารเลย ฉันไปก็ได้ โอเคมัย?”มู่เวยเวยใช้ตะเกียบเคาะไปที่สันจมูก จากนั้นก็ เชอะ ออกมาหนึ่งที
ฟานเสี่ยวเหมยไม่ฟังว่าใครจะมีความคิดย่างไร“ฉันก็จะไปด้วย”
“ติง——”ตะเกียบของมู่เวยเวยหล่นลงไปในแก้วจึงมีเสียงใสๆของแก้วดังขึ้น เธอหันหน้าไปมองที่ฟานเสี่ยวเหมย“เธอจะไปทำอะไรล่ะ?ที่นั่นคือบริษัทนะไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าซะหน่อย”
ฟานเสี่ยวเหมยพูดเสียงแข็งว่า“ฉันอยากไปดูบริษัทของพี่ฉ่าวเฉินไม่ได้อย่างนั้นหรอ?”
วันนี้มู่เวยเวยดื่มมากไปหน่อย เธอพูดออกมาโดยไม่ได้คิดอะไรมาก“สาวน้อย เธอรู้ไหมว่าพี่ฉ่าวเฉินหนะ เวลาอยู่ต่อหน้าหพนักงานเป็นคนอย่างไง?”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง?”ฟานเสี่ยวเหมยรู้สึกไม่ค่อนยุติธรรม เธอไม่ได้เคยทำงานบริษัทสักหน่อย
มู่เวยเวยวางมือข้างหนึ่งลงที่ไหล่ของเย่ฉ่าวเฉิน “เขานะ มีหน้าตาที่หล่อเหลา ทำงานก็เก่ง มีน้ำใจและใจกว้างต่อพนักงาน รักภรรยาและรักครอบครัวมาก คนในที่ทำงานล้วนแต่มองเขาว่าเป็นดังเทพ ที่เธอไปเพื่อต้องการจะบอกทุกคนว่า ชายคนที่พวกเขารักและเคารพ เป็นประธานที่อยู่เหนือหัวของพวกเขาเป็นคนหลายใจอย่างนั้นใช่ไหม?”
การพูดแบบไม่ได้ตั้งของเธอแต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกได้ คำพูดที่มู่เวยเวยพูดออกมานี้ล้วนแล้วไม่ได้ถูกกลั่นกรองออกมาจากสมอง แต่เมื่อเย่ฉ่าวเฉินฟังแล้วกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
แท้จริงแล้วสำหรับพนักงานเขาเป็นคนแบบนี้หรือ?
“แต่ว่า……แต่ว่า……”ฟานเสี่ยวเหมยคิดคำพูดตั้งนาน แต่ก็พูดไม่ออก
มู่เวยเวยยกมือขึ้นจากไหล่ของเย่ฉ่าวเฉิน จากนั้นก็เลื่อนมาจับที่คางของเขาและพูดต่อว่า“สาวน้อย ฉันดูแล้วเธอคงอยากพักที่นี่เป็นเวลานาน แม้ว่าเธอคิดอยากจะแย่งเย่ฉ่าวเฉินไปจากฉัน ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ เอาอย่างนี้ไหม สองสามวันนี้เธอก็อยู่เมือง Aเที่ยวไปก่อน อยากซื้ออะไรหรืออยากไปเที่ยวที่ไหนก็ไปได้”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เธอก็หันไปทางพ่อบ้านหวังและพูดขึ้นว่า“ลุงหวัง รบกวนไปหยิบกระเป๋ามาให้ฉันหน่อย”
พ่อบ้านหวังไม่รู้ว่าเธอต้องการจะทำอะไร เขารีบไปหยิบกระเป๋าที่อยู่ในห้องโถงมาให้กับเธอ จากนั้นมู่เวยเวยก็บัตรออกมาจากกระเป๋าและยัดใส่ในมือของคุณฟางพร้อมพูดขึ้นว่า“ในนี้มีเงินอยู่ห้าแสนบาท ค้าใช้จ่ายต่างๆอยู่ในบัตรใบนี้ หากว่าไม่พอฉันจะให้คุณอีก เป็นผู้หญิงค่อนข้างลำบากนะ ต้องซื้อเสื้อผ้าสวยๆ กระเป๋า เครื่องสำอาง แต่งหน้าทำผมทำให้ตัวเองดูดี ถึงจะมีผู้ชายมาชอบเยอะๆ”
ฟานเสี่ยวเหมยมองมู่เวยเวยและรู้สึกว่าเธอมีความเหยียดหยามตัวเองเล็กน้อย ไม่ใช่แค่มู่เวยเวยคนเดียวที่เหยียดหยาม ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเหยียดหยามเธอด้วย มู่เวยเวยไม่ควรมองว่าฟานเสี่ยวเหมยเป็นศรัตรูหรอกหรอ ?ทำไมถึงได้ทำดีกับเธอย่างกะทันหัน
หลังจากดื่มไวน์เสร็จยังไม่มีความรู้สึกเมามาก แต่สักพักกลับรู้สึกขึ้นเมาอย่างดื้อๆ มู่เวยเวยรู้สึกเวียนศีรษะ เพื่อไม่เป็นการทำให้เธอเสียภาพพจน์มาก เธอใช้มือจับที่เก้าอี้จากนั้นก็พยายามยืนขึ้นและเตรียมตัวไปจากที่นี่ “อย่างนั้น พวกคุณทานกันต่อได้เลย วันนี้ฉันเหนื่อยมากมาทั้งวันแล้ว ขอตัวไปพักที่ด้านบนก่อนนะ”
เมื่อหันหลังกลับเดินไปได้เพียงสองก้าว ขาของเธอก็เดินไม่ค่อยถนัด เธอเดินไถลไปทางด้านหน้าเกือบจะล้ม แต่ยังดีที่สายตาและมือของเย่ฉ่าวเฉินไว เขารีบเข้าไปประคองที่เอวของเธอไว้
มู่เวยเวยจับที่มือมองเขาแล้วพยุงตัวเองขึ้น เธอขมวดคิ้วด้วยความสงสัยพร้อมกับสายตามองไปที่เขา“ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไร”เย่ฉ่าวเฉินอยู่ใกล้เธอมาก ใกล้ขนาดที่ว่ามองเห็นตัวเองในดวงตาของเธอ ร่างกายของหญิงสาวเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าผสมกับกลิ่นหอมอ่อนๆของตัวเธอ ทำให้ร่างกายของเขาร้อนขึ้นมาทันที สายตาของเขาลดลงไปมองที่ปากที่มีสีเหมือนเชอร์รี่ของเธอ
ชมพูระเรื่อ แถมยังมันวาว ชั่งดูน่าลิ้มลองเสียจริง
เย่ฉ่าวเฉินถูกความรู้สึกของตัวเองปลุกให้มีสติกลับมา เขารีบปล่อยมือจากเธอ
มู่เวยเวยดื่มมากเกินไปจริงๆ เธอเห็นภาพใบหน้าของเย่ฉ่าวเฉินลอยขึ้นมา เธอจึงหัวเราะฮิๆและพูดว่า“หา และแล้วก็ลับมาแล้ว ดีจริงๆเลย”
เย่ฉ่าวเฉินกลับไปที่เดิม เมื่อได้สติกลับมา หญิงสาวคนนั้นที่มาลวนลามเขาได้ค่อยๆเดินไกลออกไป จากนั้นไม่นานก็มีเสียงเพลงที่เธอร้องดังเข้ามา
“พวกเราประชาชนตาดำๆหนะ วันนี้ชั่งมีความสุขเหลือเกิน พวกเราประชาชนตาดำๆหนะ วันนี้ชั่งมีความสุขเหลือเกิน……”
ร้องวนไปเวียนมาก็ประโยคเดิม และยังร้องเสียงเพี้ยนอีกต่างหาก ฟานเสี่ยวเหมยกับพี่ชายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เย่ฉ่าวเหยียนยักไหล่“ดูสิ ฉันเคยพูดว่าไงนะ?อย่าให้เธอได้เมานะ คนที่รับกรรมก็คือพวกคุณไง”
แต่เย่ฉ่าวเฉินกลับคิดว่า มู่เวยเวยที่เป็นแบบนี้ดูน่ารักมากๆ
นางเอกของงานไปแล้ว งานก็ค่อยๆจบลง
“วันนี้ทุกคนยุ่งมาทั้งวันแล้ว คิดว่าทุกคนคงจะเหนื่อยกันมาก รีบไปพักผ่อนกันเถอะดีไหม”เย่ฉ่าวเหยียนเดินจนลืมว่าผิงอันเดินอยู่ทางด้านหน้า เขาจึงก้มตัวลงไปถามผิงอันว่า“เด็กดี วันนี้นอนกับอาดีไหม?”
“ไม่ดี”ผิงอันปฏิเสธออกมาทันที
“อย่างนั้นเธออยากจะนอนกับใครล่ะ”
ผิงอันจับที่ปลายนิ้วโป้งของชายคนที่ยืนอยู่ทางด้านข้าง“ผมจะนอนกับคุณพ่อ”
เย่ฉ่าวเหยียนลูบๆที่จมูกเล็กๆของเขา“เด็กคนนี้ ทันทีที่คุณพ่อกลับมาก็ไม่ชอบคุณอาซะแล้ว?”
“ก็ชอบอยู่ แต่อยากนอนกับคุณพ่อ”
“ไม่ต้องทำตัวใส่ซื่อขนาดนั้น?”เย่ฉ่าวเหยียนลูบไปที่เส้นผมอ่อนๆบนศีรษะของเขา“เอาล่ะ ฝันดีนะครับ”
“ฝันดีครับคุณอา”ผิงอันพูดอย่างอ่อนหวาน
เย่ฉ่าวเหยียนบิดขี้เกียจและเดินจากไป ฟานเสี่ยวเหมยที่เดินอยู่ไม่ห่างทางด้านหน้าของเย่ฉ่าวเฉิน พูดด้วยน้ำเสียงที่น้อยใจว่า“พี่ฉ่าวเฉิน ทำไมถึงได้ให้เธอมาจับที่หน้าของพี่ล่ะ ฉันไม่ชอบเลย”
เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจ “ก็ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเธอเมาหรอกหรอ”
“อย่างนั้นก็ไม่ได้ ”ฟานเสี่ยวเหมยน้อยในหน้าบูดหน้าเบี้ยว“พี่เป็นของฉันนะ”
เย่ฉ่าวเฉินก้มหน้ามองผิงอันที่มีสายตาอันเย็นชากำลังจ้องมองมาที่เขาอยู่ เขารู้สึกตกใจจึงรีบสลัดมือของฟานเสี่ยวเหมยออก “เอ่อ วันนี้ฉันเหนื่อยมากแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนล่ะ”เมื่อพูดจบ เขาก็อุ้มผิงอันและรีบเดินดุ่มๆจากไปโดยไม่สนใจว่าฟานเสี่ยวเหมยจะมีสีหน้าอย่างไร
พ่อบ้านหวังที่เห็นเหตุการณ์รีบเดินตามเย่ฉ่าวเฉินไป
เมื่อถึงชั้นบน เย่ฉ่าวเฉินกำลังกังวลอยู่ภายในใจ ทำไมระยะเวลาตอนที่อยู่กับฟานเสี่ยวเหมยถึงได้ไม่มีความรู้สึกอยากจะทำอะไรเธอแม้แต่นิดเดียว แม้ว่าเธอจะอยู่บนร่างกายของเขา แต่เขาก็ไม่มีความรู้สึกสนใจในตัวเธอเลย แต่เมื่อกี้ที่มู่เวยเวยเข้ามาอยู่ใกล้ๆเขา เขากลับรู้สึกว่าอยากจะจูบเธอล่ะ ?
หรือว่าจะเป็นความทรงจำของร่างกาย?
พ่อบ้านหวังพาทั้งสองคนมาที่ห้องที่มู่เวยเวยเคยอยู่ เพราะว่าเป็นสถานที่ที่คุ้นเคยในอดีต ของทุกชิ้นในภายห้องสามารถบอกได้ถึงความคิดของเธอ
“คุณชาย คุณก็พักที่นี่เถอะ ถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกผมได้”
“ตกลง”
พ่อบ้านหวังปิดประตูและแสยะยิ้มอย่างภาคภูมิใจ คุณชายของพวกเราสุดยอดจริงๆ แบบนี้แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเข้ามาตอนดึก ก็คงจะถูกชายไล่ออกไปแน่
ผิงอันหาวด้วยความง่วง หัวของเด็กน้อยซบลงไปที่หัวไหล่ของเย่ฉ่าวเฉิน จากนั้นก็พูดเบาๆว่า“คุณพ่อ เย็นวันนี้ผมไม่อยากอาบน้ำและจะนอนเลยได้ไหม?”
ตอนที่ยังจำความได้ไม่ว่าผิงอันจะขออะไรเขาก็รับปากหมด รวมทั้งครั้งนี้ก็ด้วย
“แน่นอนสิ นอนเถอะลูกรัก ”เย่ฉ่าวเฉินประคองเขานอนลงบนเตียง และค่อยๆถอดเสื้อผ้าให้เขาอย่างระมัดระวัง
เมื่อถอดออกเสร็จ ผิงอันค่อนๆกลิ้งตัวเข้าไปในผ้าห่ม โผล่แต่เพียงหัวน้อยๆของเขาออกมา
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เดินเข้าไปยังห้องอาบน้ำ
น้ำอุ่นๆค่อยๆไหลลงมากระทบศีรษะ ใจในรู้สึกเงียบสงบขึ้นมาเล็กน้อย
วันนี้เป็นความทรงจำที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตนี้ เดิมทีกำลังมีความสุขกับการจัดงานแต่งงาน แต่ก็ถูกคนทำลายลงไปเสียก่อน จากนั้นก็มีภรรยา มีลูกชาย และยังมีสิ่งที่คิดไม่ถึงอย่างธุรกิจระดับประเทศ
ราวกับว่าเหมือนอยู่ในละครจริงๆ หลับไปหนึ่งคืนตื่นขึ้นมา บางครั้งก็อาจจะไม่มีอะไรเหลือแล้วก็ได้
ตอนที่เขากลับมาที่เตียง เย่ฉ่าวเฉินหอมเบาๆลงไปที่แก้มของผิงอันและกำลังจะเตรียมเข้านอน นึกไม่ถึงว่าผิงอันจะลืมตาขึ้นมา
“ทำไมยังไม่นอนล่ะ?”เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยความประหลาดใจ
ผิงอันมองไปที่ตาของเขาและถามขึ้นว่า,“พ่อ พ่อไม่รักแม่แล้วหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกช็อก ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามลูกว่าอย่างไร“ทำไมลูกถึงถามแบบนี้ล่ะ?”
“เพราะเมื่อก่อนพ่อดีกับแม่มากๆเลย เพื่อจะให้ได้แม่ไปครอบครองคนเดียวพ่อยังชอบกันท่าให้ผมออกไป แต่ว่าวันนี้พ่อไม่มองแม่เลยและก็ไม่ยิ้มให้เธอด้วย”ผิงอันไม่ใช่เด็กธรรมดา เขามีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก และก็มีความรู้สึกไวต่อสิ่งรอบข้าง
เย่ฉ่าวเฉินถูกลูกพูดให้จนเกิดความรู้สึกใจฝ่อ เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรนอกจาก“พ่อขอโทษ พ่อจำเรื่องราวที่เกิดเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว”
“ดังนั้น พ่อจึงเอาพี่สาวคนหนึ่งกลับมาด้วยอย่างนั้นหรอ?”ผิงอันถามด้วยความรู้สึกเยือกเย็น “พ่อต้องการจะให้เธอเป็นแม่ใหม่ของผมหรอ?”
“ไม่นะ ไม่ใช่แน่นอน ”เย่ฉ่าวเฉินตอบคำถามอย่างมีสติ
ผิงอันพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า“ถ้าพ่อไม่ต้องการแม่แล้ว ผมก็ไม่ต้องการพ่อ ผมจะไปกับแม่ เพราะผมเป็นลูกรักของแม่”
คำพูดของลูกทำให้เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด เขาไม่นึกเลยว่า ผิงอันเด็กอายุแค่นี้ จะมองเรื่องราวต่างๆพวกนี้ได้ทะลุปรุโปร่ง
“ใครบอกลูกว่าพ่อไม่ต้องการแม่แล้ว?”เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยความสงสัย
“ผมเดาเอา เท่านี้ก็แล้วกัน ผมง่วงแล้ว”ผิงอันพูดจบก็หันหลังและหลับตาให้กับเย่ฉ่าวเฉิน
อันที่จริง ผิงอันก็ไม่ได้อยากนอนกับพ่อที่แยกจากกันไปตั้งนานแบบนี้ เขาชอบกลิ่นหอมอ่อนๆของแม่มากกว่า ที่เขามานอนก็เพราะว่าเกลียดพี่สาวคนนั้นก็เท่านั้น เขาไม่สามารถให้ยัยพี่สาวคนนั้นมาแย่งพ่อของเขาไปได้
น้อยมากที่ผิงอันจะเกลียดใครคนหนึ่ง แต่เขากลับเกลียดฟานเสี่ยวเหมย บางครั้งอาจเป็นเพราะว่าเด็กไม่ค่อยคิดซับซ้อนอะไรมาก หลังจากที่ฟานเสี่ยวเหมยมองเห็นผิงอันครั้งแรก เขาก็รู้ได้ทันทีว่าพี่สาวคนนี้ไม่ชอบเขา
ในเมื่อเธอไม่ชอบเด็กที่น่ารักที่สุดในโลกอย่างผิงอัน อย่างนั้นเด็กน้อยทำไมต้องชอบเธอด้วยล่ะ?
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ด้านหลังของเขา กลับมีอารมณ์ที่สงบขึ้น
เดิมทีคิดว่าวันนี้จะนอนไม่หลับซะแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าเรื่องราวยังไม่ทันได้คิดให้ละเอียด เขาก็หลับไปอย่างสงบแล้ว
และห้องข้างๆที่หลับแบบหอมหวานเหมือนกันอย่างมู่เวยเวย เธอเข้าใจถึงเรื่องราวต่างๆ ประกอบกับการที่เธอดื่มเหล้า เมื่อเธอมาถึงที่ห้องก็ม้วนตัวเข้าไปในผ้าห่ม จากนั้นก็นอนหลับไป
หนึ่งคืนผ่านไปไร้ซึ่งความฝัน
เช้าของวันรุ่งขึ้น เย่ฉ่าวเหยียนและเย่ฉ่าวเฉินสวมเสื้อผ้าเต็มยศลงมาทานอาหารที่โต๊ะอาหารก่อน เย่ฉ่าวเฉินมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้เวลาใกล้จะแปดโมงแล้ว แต่มู่เวยเวยยังไม่ลงมา
“ฉ่าวเหยียน มู่เวยเวยคนนั้นยังจะไปบริษัทอยู่ไหม?ทำไมถึงยังไม่ตื่นล่ะ?”
เย่ฉ่าวเหยียนพูดอย่างไม่มีท่าทีเร่งรีบ“ไม่เป็นไร พวกเรารอไปก่อน ช่วงนี้เธอนอนหลับไม่ค่อยดี บ่อยครั้งที่ตื่นตอนกลางคืน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่เธอจะนอนหลับได้สงบแบบนี้ ก็ชั่งเธอเถอะ”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกแปลกๆ และอดที่จะถามไม่ได้“นายกับเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากอย่างนั้นหรอ ถึงได้รู้เรื่องเธอมากมายขนาดนั้น?”
“แคกๆ——”เย่ฉ่าวเหยียนสำลักเอานมออกมา เย่ฉ่าวเฉินรีบดึงกระดาษส่งให้เขา “ฉันก็ถามไปเรื่อยเปื่อย นายจะตื่นเต้นไปทำไม?”
เย่ฉ่าวเหยียนเช็ดปากและเช็ดเสื้อเสร็จจากนั้นจึงพูดว่า “พี่ พี่คิดมากเกินไปแล้ว มู่เวยเวยตื่นเช้าขึ้นมาขอบตาดำอย่างกับหมีแพนด้า ผมถามเธอถึงได้รู้ ยังมีอีกเรื่องเดิมทีความสัมพันธ์ของเราทั้งสองก็ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจึงพูดออกไปว่า“อ้อ อย่างนั้นหรอ”
เย่ฉ่าวเหยียนชำเลืองมองตาของเขา ในใจคิดแผนชั่วร้ายขึ้นมาได้ เข้าแสยะยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าไปมา “นายอยากรู้ไหมว่าทำไมความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเวยเวยถึงได้ดีขนาดนี้?”
“ไม่ใช่เป็นเพราะฉันหรอกหรอ?”
เย่ฉ่าวเหยียนพูดอย่างลำพองว่า“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เรื่องมันยังมีอีกมาก หากจะสรุปก็สรุปได้ว่า เริ่มแรกนายทำไม่ดีกับมู่เวยเวยเอาไว้มาก และฉันก็คอยแอบช่วยเหลือและคอยอยู่ข้างเธอ จากนั้นพวกเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ”
“ฉันไม่ดีกับเธอหรอ?”เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยความสงสัย จากที่ลูกชายและพ่อบ้านหวังเล่าเขาควรจะเป็นคนที่รักมู่เวยเวยมากนี่น่า
เย่ฉ่าวเหยียนพยักหน้าลงหนึ่งครั้ง “ใช่ แต่ก่อนไม่ดีมากๆ นายยังจำเฉียวซินโยวได้ไหม?อ๋อ ชั่งมันเถอะ แม้กระทั่งฉันกับมู่เวยเวยนายยังจำไม่ได้ จะจำผู้หญิงคนนั้นได้ยังๆไง”
“เฉี่ยวซินโยว?เกิดอะไรอย่างนั้นหรอ?”
“ผู้หญิงมารยา เธอเข้ามาที่บ้านของเราเพื่อให้ร้ายมู่เวยเวย”เย่ฉ่าวเหยียนเหลือบไปมองพี่ชายที่มีท่าทีมึนๆงงๆเขาจึงพูดต่ออย่างไม่เกรงใจว่า“แต่ว่าตอนนั้นนายไม่มีมันสมองอยู่เลย ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรนายก็เชื่อไปหมด จุ๊ๆ ไอคิวสมองของนายตอนนั้นมันโง่ขนาดที่ว่าแตะ0เลยแหละ”
เย่ฉ่าวเฉินนึกถึงประโยคเมื่อคืนที่มู่เวยเวยพูดในงานแต่ง ไม่ใช่ว่าเอาผู้หญิงกลับมาเป็นครั้งแรกแล้ว หรือว่าผู้หญิงที่เธอพูดจะเป็นเฉี่ยวซินโยว?
“พวกคุณกำลังพูดเรื่องสนุกๆอะไรกัน?”เรื่องที่พวกเขาคุยกันได้ยินมาถึงหูของมู่เวยเวย เย่ฉ่าวเฉินหันกลับมามอง หญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงดูเรียบร้อย ผมสั้นประบ่าดูสวยงาม ผิวกระจ่างใสดูมีออร่า ดูราวกับว่าทั้งร่างกายของเธอเปร่งแสงได้
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองเธอและเป็นอีกครั้งที่ใจของเขาเต้นแรงขึ้น
เธอเดินเข้ามาลากเก้าอี้ตัวที่อยู่ด้านข้างของเย่ฉ่าวเฉิน เย่ฉ่าวเหยียนถามเธอขึ้นว่า“เมื่อคืนเธอคงจะนอนหลับสบายนิ รอบๆตาที่มันดำๆก็ไม่มีแล้ว สีหน้าท่าทางก็ดูดีขึ้นมาก”
“ขอบคุณที่ชมนะ ไม่มีความกังวลใจอะไรแล้ว แน่นอนว่าต้องนอนหลับสบายอยู่แล้ว”มู่เวยเวยคีบซาลาเปาน้ำมองดูรอบๆและไม่เห็นว่าผิงอันอยู่ที่นี่ จึงหันกลับไปมองเย่ฉ่าวเฉินที่มีท่าทีเหม่อลอย “ผิงอันล่ะ?”
“อยู่กับพ่อบ้านหวัง”เย่ฉ่าวเฉินดึงเก็บสายตาที่ผิดปกติของตัวเองเอาไว้ แต่ในใจเต้นตึกๆๆ
เป็นเพราะอะไรกันแน่นะ ?เพียงแค่เธอมานั่งข้างๆตัวเองเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่า……หัวใจจะเต้นตึกๆแรงแบบนี้?
“เมื่อกี้พวกคุณพูดอะไรกันอยู่หรอ?”
เย่ฉ่าวเหยียนพูดอย่างไม่สนใจอะไร“กำลังพูดเรื่องเฉียวซินโยวเพื่อเป็นการเตือนความจำของพี่ว่าตอนนั้นเขาโง่แค่ไหน”
มู่เวยเวยยิ้มแบบจืดๆพร้อมกับพยักหน้าและพูดขึ้นว่า“อือ โง่มากจริงๆ”
“ใช่แล้ว ฉันยังไม่ได้ถามเธอเลย เธอทำไมถึงได้ยกโทษให้พี่ชายฉันล่ะ เขาทำกับเธอถึงขนาดนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะยกโทษให้เขา ตอนที่ฉันได้ยินข่าวเรื่องนี้เข้า ฉันคิดว่าพ่อบ้านหวังพูดโกหกซะอีก”
มู่เวยเวยมองไปที่เย่ฉ่าวเฉินและพูดขึ้นว่า“เขาขอร้องฉันหลายต่อหลายครั้ง และใช้ความตายเพื่อบีบบังฉัน ฉันไม่มีทางเลือกเลยใช้มีดแทงไปที่หน้าอกของเขาหนึ่งครั้ง ก็เหมือนกับว่าความแค้นระหว่งเราได้จบลงไปแล้ว”
“แคกๆๆ——”เย่ฉ่าวเฉินเกิดสำลักออกมา มู่เวยเวยตบไปที่หลังของเขาเบาๆ และยกแก้วน้ำป้อนเข้าไปที่ปากของเขา“ดื่มน้ำก่อน ค่อยๆนะ ”
เย่ฉ่าวเฉินพยุงที่มือของเธอดื่มน้ำเข้าไปสองสามคำ เมื่อหยุดไอแล้วเขารู้ว่าหน้าอกทางด้านขวามีรอยแผลเป็น แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นฝีมือของผู้หญิงคนนี้
เย่ฉ่าวเหยียนก็รู้สึกช็อกมากเช่นกัน“ฉากนั้นคงต้องเป็นอะไรที่ดุเดือดมากแน่ๆ”
“ก็ไม่ขนาดนั้น”มู่เวยเวยพูดถ่อมตัว “เฮ้ย เป็นเพราะฉันใจอ่อนเกินไป ตอนนั้นควรจะเอามีดแทงไปที่อกด้านซ้าย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะไม่มีเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจต่างๆเกิดขึ้นตามมามากมายแบบนี้ คุณว่าจริงไหม?”
เย่ฉ่าวเหยียนได้ยินเรื่องพวกนี้ก็แอบยิ้มออกมา ในขณะที่เย่ฉ่าวเฉินกลับมีสีหน้าที่ซับซ้อน
เขาคิดทบทวนอยู่ภายในใจว่า ถ้าหากเขาเป็นมู่เวยเวยและอยู่ดีๆสามีพาผู้หญิงอีกคนกลับมาบ้าน เขาก็คงจะรู้สึกทุกข์ใจมากแน่ๆ
แต่ทว่า เมื่อได้ฟังพวกเขาพูดแบบนี้แล้ว ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าแต่ก่อนระหว่างเขากับมู่เวยเวยถึงได้เกิดเรื่องที่รุนแรงจนขนาดต้องเสียเลือดเสียเนื้ออย่างนั้นเลยหรอ ?
“เอาล่ะๆ เรื่องพวกตอนเย็นกลับมาค่อยคุยกันต่อ ทานให้เสร็จและไปทำงานกันก่อนเถอะ”เย่ฉ่าวเหยียนบอกเป็นล่วงหน้าถึงเรื่องที่จะกลับมาพูดคุยกันต่อ
บางครั้งอาจเป็นเพราะเตียงของบ้านกระกูลเย่นอนหลับได้อย่างสบาย จนกระทั่งทั้งสามคนขึ้นรถออกจากบ้านตระกูลเย่ไป สองพี่น้องตระกูลฟานก็ยังไม่ทันตื่น
เมื่อมาถึงบริษัท เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย มู่เวยเวยก็รับรู้ถึงความรู้สึกของเขาได้ เธอจับมือข้างหนึ่งของเขาและพูดว่า“ทั้งบริษัทแห่งนี้คุณเป็นหัวหน้าใหญ่ อย่ากลัวไปเลย?”
ทันทีที่มือเขาถูกสัมผัสเหมื่อนกับต้องเวทมนต์ ราวกับว่ามือของเธอได้กดเอาความรู้สึกที่กังวลใจของเขาเอาไว้
“ไปกันเถอะ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง”
เย่ฉ่าวเหยียนเปิดประตูให้เขาทั้งสองคน เย่ฉ่าวเฉินหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้งก่อนลงจากรถ ด้วยความคุนชินมู่เวยเวยเดินอ้อมเข้ามาและเอามือประกบจับเข้ากับมือของเขา
เย่ฉ่าวเหยียนก้มหน้ามองทั้งสองคนจับมือกันแน่น ทำให้เขารู้สึกจิตใจสงบขึ้นด้วย
ยามรักษาความปลอดภัยมองเห็นท่านปะธานและภรรยาของท่านประธานปรากฎตัวขึ้น เขายืนตะลึงตัวแข็ง เมื่อทั้งสามคนเดินผ่านไป เขาพึ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้เสียมารยาทไป
พนักงานหญิงที่หน้าเคาท์เตอร์หยุดชะงัก ไม่ใช่ว่า……
“อรุณสวัสดิ์ประธานเย่ อรุณสวัสดิ์คุณนายเย่ อรุณสวัสดิ์ประธานเหยียน”
มู่เวยเวยยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
ไม่นานจากนั้น ข่าวเรื่องประธานเย่จูงภรรยาก็ถูกส่งเข้าQQและส่งกระจายต่อกันไปจนทั่วบริษัท พนักงานที่กำลังทำงานต่างรู้สึกตื่นเต้นและดีใจ อดไม่ได้ที่จะออกไปดูประธานเย่ที่หายตัวไปซะนาน
เมื่อเข้ามาในลิฟท์ เย่ฉ่าวเฉินถามพวกเขาว่า“หากว่ามีคนมาทักทายผม ผมควรจะทำยังไง?”
“อย่างนั้นก็ยิ้มใช้กับคนที่เข้ามาทักทาย หรือว่าพยักหน้าเพื่อเป็นการรับรู้ ถ้าไม่ยินยอมล่ะก็ ก็ทำเป็นไม่เห็นล่ะกัน”มู่เวยเวยตอบ
“ทำเป็นไม่เห็น?อย่างนั้นมันไม่เป็นการเสียมารยาทไปหน่อยหรอ?”
มู่เวยเวยแขวะเขาหนึ่งระโยค“เหอะ มารยาทคำนี้ยังสามารถหลุดออกจากปากของคุณได้อีกหรอ ปกติคุณก็ไม่ใช่ว่าชอบทำแบบนั้นหรอ”
เย่ฉ่าวเฉินเงียบ เขาไม่อยากที่จะคุยกับเธอแล้ว ไม่ถึงนาทีก็แขวะเขาอยู่เรื่อย
เมื่อออกมาจากลิฟท์ เลขาหลิวเป็นคนแรกจากเลขาทั้งสี่ที่โค้งคำนับพร้อมกับพูดขึ้นว่า“อรุณสวัสดิ์ประธานเย่ อรุณสวัสดิ์คุณนายเย่ อรุณสวัสดิ์ประธานเหยียน”
เย่ฉ่าวเฉินส่งเสียง“อืม”เบาๆหนึ่งครั้ง
มู่เวยเวยหัวเราะคิกคักพร้อมพูดว่า“อรุณสวัสดิ์ทุกคน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ลำบากทุกคนแล้ว”
เลขาหลิวมองเห็นทั้งสองจับมือกันแน่นก็แอบคิดอยู่ในใจว่า สองคนนี้พึ่งจะกลับมาก็ทำให้คนอื่นรู้สึกอิจฉาซะแล้ว
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันควรทำค่ะ”เลขาหลิวพูดพร้อมกับก้มตัวลงเล็กน้อย
เลขาหลิวตามมาข้างหลังด้วยความรู้สึกไม่รู้จะทำอย่างไร “ประธานเย่ เราไม่ได้แจ้งล่วงหน้า จึงไม่ได้รับแจ้งการเปลี่ยนแปลงห้องทำงาน….”
เย่ฉ่าวเหยียนตอบรับ “ไม่เป็นไรๆ พี่ชายของฉันกลับมาแล้วห้องทำงานนี้ก็ต้องเป็นของเขา คุณหาห้องทำงานใหม่ให้ผมละกัน”
“นี่…..”เลขาหลิวแสดงความนิ่งเงียบ แต่ในใจเธอประหลาดใจมาก เขาไม่คาดคิดว่ารองประธานคนนี้จะช่างพูดขนาดนี้
เย่ฉ่าวเฉิน เมื่อได้ยินสิ่งนี้ แบบนี้ไม่ได้สิ ฉันไม่เข้าใจอะไรเลย ถ้าเขาไปฉันควรทำอย่างไร
ไม่ได้ๆ ไม่ได้จริงๆ!
“อันนี้…..เพิ่มโต๊ะในห้องทำงาน ฉ่าวเหยียนจะทำงานที่นี่ ”
เลขาหลิวยิ่งรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้ รองประธานสองคนใช้ห้องทำงานเดียวกัน
“ประธานเย่ แบบนี้ไม่เหมาะสมหรอก”
“เหมาะสม เหมาะสม” เย่ฉ่าวเหยียนรีบพูด ยังไงฉันก็อยู่บริษัทได้ไม่นาน นานสุดก็สิบวันหรือครึ่งเดือนฉันก็ต้องไปศึกษาต่อ พี่ชายพูดถูก ก็ทำงานอยู่ที่นี่แหละ”
“งั้น……ก็ได้” จิตใจเลขาหลิวอึกทึกเหมือนม้าตัววิ่งผ่านมา ทำไมครั้งนี้เขารู้สึกว่าประธานเย่ใจดีขึ้นมาก
หลายคนยังคงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องสำนักงาน ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเจ็ดแปดคนเข้ามาโดยประธานเฉินและประธานซู
“อ่า ประธานเย่กลับมาแล้ว ทุกคนไม่เจอนานแล้ว ดังนั้นจึงต้องมาหาคุณ “ประธานเฉินมีความรู้สึกที่หลากหลาย เกือบจะขึ้นไปกอดเขา”
เย่ฉ่าวเฉินพยายามสงบสติอารมณ์ “สวัสดีทุกคน”
มู่เวยเวยสังเกตเห็นมือของเขาออกเหงื่อแล้ว
เย่ฉ่าวเหยียนสังเกตเห็นความอึดอัดของเขา “เนื่องจากทุกคนคิดถึงพี่ชายของฉันมาก งั้นเลขาหลิวแจ้งผู้จัดการระดับสูงและพนักงานให้มีการประชุม และรายงานให้พี่ชายของฉันทราบเกี่ยวกับงานบริษัทในไตรมาสแรก”
“ค่ะ ประธานเหยียน”
“พอแล้วพอแล้ว ไปเตรียมตัว ไปเตรียมตัว”อีกสักครู่สิ่งที่คุณต้องการพูดก็พูดในการประชุม โอเค?” เย่ฉ่าวเหยียนพูดว่า เขามักจะไม่มีความเย่อหยิ่งในตำแหน่ง พูดคุยแบบสบายๆ ผู้จัดการของทุกแผนกต่างรับรู้เรื่องนี้
“ค่ะ ประธานเหยียน”
รอจนในห้องทำงานเงียบลง เย่ฉ่าวเหยียนอย่างมึนงง “ประชุม ฉันพูดอะไร?”
มู่เวยเวยมือแบมือออก “คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไร แค่นั่งฟังก็ได้แล้ว ถือว่าทำความเข้าใจสถานการณ์ของบริษัท ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
เย่ฉ่าวเหยียนตบไหล่พี่ชาย “ไปเถอะ ไปประชุม”
สองพี่น้องเดินออกไป เย่ฉ่าวเหยียนรู้ว่ามู่เวยเวยไม่ตามมา จึงหยุดแล้วถามเธอ “เธอ…. ไม่ไปเหรอ?”
“ไม่ไป ฉันฟังไม่เข้าใจเรื่องเหล่านั้น ฟังก็ปวดหัว” มู่เวยเวยโบกมือ เธอไม่ไปอยู่ในสถานที่ที่หดหู่แบบนั้นหรอก ค่อยๆดื่มน้ำอย่างระมัดระวัง
เย่ฉ่าวเหยียนพูดไม่ออก จริงๆแล้ว เขาหวังว่าเธอจะอยู่ที่นี้ด้วย
เหลือเพียงมู่เวยเวยอยู่ในห้องทำงานของโนวา เดินไปรอบๆ เธอก็พบว่าเค้าโครงห้องทำงานโดยทั่วไปไม่ได้เปลี่ยนไป ยกเว้นมีกระถางต้นไม้สีเขียวอีกสองสามกระถางและเครื่องประดับเล็กๆ หนึ่งถึงสองชิ้นบนโต๊ะทำงาน
ไม่มาที่นี้นานแล้ว เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน
บรรยากาศในห้องประชุมไม่เคยเป็นเช่นวันนี้ อากาศที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ทุกคนมองไปที่เย่ฉ่าวเฉินด้วยสายตาที่กระตือรือร้นราว ราวกับมอง…..คนรักที่จากไปแสนนาน
ในความเป็นจริงทุกคนประทับใจต่อเย่ฉ่าวเหยียนค่อนข้างดี แต่เขาไม่คอยเหมาะสมกับการบริหารบริษัท เมื่อก่อนเย่ฉ่าวเฉินสามารถจัดการกับเอกสารภายในครึ่งชั่วโมงและยังชี้ให้เห็นว่ามีปัญหาตรงไหน แต่ประธานเหยียนคนนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันแต่สุดท้ายเขาก็ไม่เข้าใจอะไร โชคดี ที่เขาเป็นคนใจกว้างและรู้จักรับฟังผู้อื่นและเขาไม่ตัดสินใจบางเรื่องอย่างไร้สาระ
เย่ฮวางเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูง รูปแบบการทำงานของเย่ฉ่าวเหยียนทำให้การทำงานของทุกคนช้าลงอย่างไม่น่าสงสัย เย่ฮวางในสามสี่เดือนนี้จึงมีประสิทธิภาพปานกลาง
ประสิทธิภาพของผลงานเกี่ยวข้องกับเงินเดือนของพนักงานและจำนวนโบนัสสิ้นปี ดังนั้นทุกคนจึงกังวลมาก แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพียงแต่แอบมองไปข้างหน้าเพื่อการกลับมาของเย่ฉ่าวเฉินที่ชาญฉลาดและมีฝีมือ
ในที่สุด วันที่ทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตารอก็มาถึง จะไม่ดีใจได้อย่างไร?
เย่ฉ่าวเฉินนั่งอยู่ตรงที่นั่งประธาน แม้ว่าเขาจะทำสีหน้าเย็นชาเหมือนที่มู่เวยเวยบอก แต่ในใจเขาก็อดตื่นเต้นไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาที่อบอุ่นของพวกผู้ชาย เขาก็ทนจะแทบไม่ไหว
บ้าเอ้ย หยุดมองฉันได้ไหม? ฉันไม่ใช่สาวสวย
เย่ฉ่าวเหยียนแอบยิ้ม ไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “โดยปกติเวลาประชุมทุกคนอารมณ์อย่างหมดอาลัยตายอยากราวกับว่าไม่ได้กินอาหารมาสามวัน วันนี้ผู้นำกลับมาพวกคุณดูเหมือนโดนโด๊ปยา ช่วยเห็นแกหน้าฉันหน่อยได้ไหม?”
ทุกคน “ฮ่าๆๆ”ประธานเฉิน รีบพูดว่า “ประธานเหยียน ทุกคนก็ยังรักคุณมาก”
“ชิ ช่างเหอะ ฉันยังไม่รู้พวกเธอจะพูดลับหลังฉันยังไง?” เย่ฉ่าวเหยียนเม้มริมฝีปากของเขา “อย่างไรก็ตามฉันนั่งในตำแหน่งรองประธานไม่กี่วันแล้ว ฉันขี้เกียจไล่ตามคุณ ประชุมกันเถอะ เริ่มจากแผนกการตลาดและสรุปสั้นๆหน่อย”
“ครับ”
สมองเย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกสับสนเมื่อได้ฟังครั้งแรก แต่เขาเป็นใครละ นักธุรกิจอัจฉริยะที่มีไอคิวพลุ่งพล่าน เพียงฟังรายงานสองแผนกเขาก็มองเห็นทางออก และเขาก็สนใจมากขึ้นเรื่อยราวกับว่าเขาเกิดมาพร้อมกับความรู้เหล่านี้
มองย้อนไปที่เย่ฉ่าวเหยียน ดวงตาของเขาใกล้จะหลับเต็มที
ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ทุกแผนกก็รายงานขเสร็จสิ้น ก่อนที่เย่ฉ่าวเหยียนจะพูด เย่ฉ่าวเฉินก็พูดอย่างเย็นชา “นำข้อมูลทั้งหมดที่รายงานทำเป็นตารางข้อมูล แล้วส่งไปที่ห้องทำงานของฉันในช่วงบ่าย”
เมื่อทุกคนฟังจบ ประธานเย่ไม่พอใจกับผลลัพธ์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
“ครับ” การแสดงออกของทุกคนมีความจริงจังมากขึ้น
“เลิกประชุม”
เย่ฉ่าวเฉินผลักเก้าอี้ออก แล้วลุกขึ้น เย่ฉ่าวเหยียนรีบเข้ามาด้วยความตกใจ แล้วกระซิบข้างๆเขา “ พี่ชาย เมื่อกี้คุณฟังเข้าใจใช่ไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว “แปดสิบเปอร์เซ็น”
เย่ฉ่าวเหยียนอ้าปากค้าง รู้ทั้งรู้ว่าเป็นพี่น้องกัน ทำไมแตกต่างมากเหลือเกิน? และเขายังความจำเสื่อมใช่ไหม?
“ยิ่งไปกว่านั้น ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นยืดยาวมาก ประชุมครั้งต่อไปจะต้องไม่เป็นเช่นนี้อีก” เย่ฉ่าวเฉินพูดตัดบทอีกครั้ง
สายตาเย่ฉ่าวเหยียนมองด้วยความรู้สึกศรัทธา เขายกนิ้วโป้งชูขึ้นแล้วพูดว่า “พี่ชาย คุณยอดเยี่ยมมาก คุณเหมาะสมที่เป็นเย่ฉ่าวที่อยู่บนจุดสูงสุดในธุรกิจเมืองA”
เย่ฉ่าวเฉินยักคิ้ว เขายังมีเกียรติเช่นนี้? ฟังดูดีนะ
“แค่นี้ก็เยี่ยมแล้ว ฉันสามารถออกจากทะเลแห่งความทุกข์ได้แต่เนิ่นๆ” เย่ฉ่าวเหยียนถอนหายใจ
เย่ฉ่าวเฉินหันหน้าไปมองเขาด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลาย มีคำถามที่สงสัย “เธอไม่ชอบเป็นรองประธานเหรอ?”
“ทำไมฉันต้องชอบ?”
“อื้ม…..คือการเพลิดเพลินกับอำนาจความสำเร็จ หรือการมีความมั่งคั่งมากขึ้น เสมือนครอบครัวของคนรวยอย่างเรา พี่น้องทะเลาะกันไม่ใช่เหรอ?”
เย่ฉ่าวเหยียนเกือบหัวเราะออกมาก วางมือบนไหล่ของเย่ฉ่าวเฉิน เขายิ้มแล้วเดินไปถามไป “พี่ชาย คุณรู้เรื่องนี้จากที่ไหน”
เย่ฉ่าวเฉินตอบด้วยความงุนงง “มันมักจะแสดงให้เห็นในละครโทรทัศน์”
เย่ฉ่าวเหยียนอดกั้นไม่ไหว หัวเราะออกมาฮาๆๆ “พี่ชายที่รักของฉัน ละครโทรทัศน์มันหลอกลวงทั้งนั้น แต่ก็ยังมีสถานการณ์เหมือนที่คุณพูด แต่คนอย่างฉัน เกิดมาค่อนข้างหละหลวมและไม่ชอบผูกมัดกับสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ก็พูดเถอะ พี่เกิดมามีความสามารถหาเงินได้ขนาดนี้ น้องคนนี้ก็แอบขี้เกียจ ต้องรับผิดชอบในการใช้จ่ายเงินก็พอ ทำไมต้องมาลำบากเช่นนี้ละ?
เขาพูดอย่างลวกๆ แต่ทุกประโยคล้วนมาจากใจของเย่ฉ่าวเหยียน หากเขาต้องการแสวงหาอำนาจเพื่อแย่งชิงบัลลังก์จริงๆ สามเดือนที่ผ่านมาก็เพียงพอแล้ว แต่เขาก็ไม่มีความทะเยอทะยานเช่นนี้
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มแล้วส่ายหัว
กลับถึงห้องทำงาน มู่เวยเวยนั่งอยู่บนเก้าอี้วาดอะไรบางอย่าง ฟังพวกเขาเข้ามา เงยหน้าถามว่า “ประชุมเป็นไงบ้าง?”
เย่ฉ่าวเหยียนดีใจแทบจะโลดเต้น “ฉันได้ออกจากบริษัทก่อนกำหนดแล้ว”
มู่เวยเวยตกตะลึงไปสองวินาที หลังจากรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เธอมองไปที่เย่ฉ่าวเฉินด้วยความประหลาดใจ “เธอเข้าใจ?”
“ก็พอได้แหละ” เย่ฉ่าวเฉินสูญเสียความทรงจำ ทำให้บุคลิกของเขาอ่อนน้อมถ่อมตน
“แค่พอได้เหรอ? ฉันนั่งในห้องประชุมใกล้จะหลับเต็มทีแล้ว แต่เขายิ่งฟังก็ยิ่งมีพลัง ขึ้น ฉันนับถือจริงๆ” เย่ฉ่าวเหยียนเดินเข้ามาใกล้ๆ มองดูการออกแบบเสื้อผ้าที่รกรุงรังบนโต๊ะ ถามเธอ“คุณกำลังทำอะไรอยู่?”
“ฉันจำได้เมื่อก่อนฉันเก็บเอาของไว้ในตู้นี้ เมื่อเขาพบว่ามันยังอยู่ ก็เอามันออกมาฝึกมือคุณไม่ได้โยนมันทิ้งเหรอ?”
เย่ฉ่าวเหยียนมาใกล้โต๊ะทำงาน ยิ้มแล้วพูด “จัดเก็บได้อย่างมีระเบียบ ดูก็รู้ว่ามันเป็นที่รักของพี่ชายฉัน ฉันไม่กล้าทิ้งมันหรอก”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่เขาพูด ยืดศีรษะออกดู หนังสือดีไซน์เก่าหลายเล่ม ภาพวาดการออกแบบเสื้อผ้าหลายชิ้น ยางลบครึ่งแท่งและดินสอใช้แล้วสองแท่ง
นี่คือ…..นี่คือที่รักสิ่งที่เขาเก็บไว้ ?
“พวกเธอยุ่งเถอะ ฉันไปเดินเล่นที่แผนกออกแบบ ที่นั่นคือแคมของฉัน “มู่เวยเวยรีบเก็บอุปกรณ์ของเธออย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าพร้อมที่จะตามไป”
เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เกิบบังเอิญพูด “งั้นเธอเอาของวางไว้ตรงนี้ดีไหม? หากเธอจะถือไปก็วุ่นวาย”
มู่เวยเวยหยุดการเคลื่อนไหวลง เงยหน้าขึ้นไปยิ้มแล้วพูด “ค่ะ งั้นก็วางไว้ก่อน เวลาฉันจะใช้ก็ค่อยมาหยิบ”
เขาเริ่มลงมือแล้ว นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ดี เธอไม่ต้องการบังคับให้เขาตัดสินใจเลือก วิธีที่ดีที่สุดคือทำให้เขาตกหลุมรักเธออีกครั้ง
เมื่อถึงเวลานั้น เธอไม่ต้องสนใจว่าฟานเสี่ยวเหมยจะยังไง เย่ฉ่าวเฉินก็สามารถนำตัวเองกลับมา
และเธอเชื่อว่า แม้ว่าคนจะสูญเสียความทรงจำไป แต่ความรู้สึกและความคุ้นเคยหลายๆอย่างก็จะไม่อาจเปลี่ยนไป เช่นนิสัยที่เขาตกหลุมรักเธอ
ใบหน้าของเย่ฉ่าวเฉินร้อนผ่าวเมื่อสบตากับเธอ สายตาของเขาเคลื่อนไปด้านข้างทันที
มู่เวยเวยยิ้มอย่างเขินอาย นำสิ่งของวางไว้ในลิ้นชักนอกจากห้องทำงาน
เมื่อมาถึงแผนกออกแบบ มันเป็นฉากที่มีความสุขอย่าง แม้แต่เหอเหม่ยหลิงที่มักจะไม่ได้ร่วมสนุก ก็มาถามเธอว่าเมื่อไหร่จะทำงาน
“เร็วๆนี้ แต่ตอนนี้ฉันแทบไม่มีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ และฉันก็มือใหม่มาก” มู่เวยเวยกล่าวอย่างเขินอาย
“ไม่เป็นไร ท้ายที่สุดแล้วรากฐานอยู่ที่นั่น การหยิบจับขึ้นมาเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ฉันมองคุณในแง่ดีมาก” เหอเหม่ยหลิงดูจริงจัง ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ประจบสอพลอ แน่นอน เธอไม่รำคาญที่จะทำเช่นนั้น
มู่เวยเวยยิ้มด้วยความเขิน “งั้นดีละ ฉันเตรียมตัวสักหน่อย พรุ้งนี้จะมาทำงาน”
“ได้ค่ะ”
หลังจากรับประทานอาหารพนักงานที่บริษัท มู่เวยเวยก็ง่วงเล็กน้อย จริงๆเธอแค่อยากจะงีบในห้องทำงานของเย่เฉาเฉินไม่กี่นาทีในช่วงเที่ยง แต่ไม่คาดคิดว่าเธอจะหลับถึงช่วงบ่าย
ส่วนเย่ฉ่าวเหยียน ก็หายตัวไปไม่เห็นเงา หลังจากส่งงานเสร็จ
เย่ฉ่าวเฉินเมื่อเข้าทำงานก็ลืมเรื่องราวทุกอย่าง ทันทีที่เลขาหลิวเคาะประตูแล้วเข้ามาแล้วมอบโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ให้เขา
“นี่คือ? เย่ฉ่าวเฉินแปลกใจ เขาไม่ได้ซื้อโทรศัพท์”
“นี่คือคุณนายเย่สั่งให้ฉันซื้อค่ะ บอกว่าโทรศัพท์ของประธานเย่เสียแล้ว”
“อ่อ……ใช่ เพิ่งจะเสีย ฉันลืมไปละ” เย่ฉ่าวเฉินพูดปิดบัง จริงๆ เขาไม่มีโทรศัพท์มือถือ ฟานเสี่ยวเหมยหมายถึง เขาเข้าๆออกๆนอกบ้านอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นใช้โทรศัพท์มือถือ เขาคิดไปคิดว่าก็ใช่ เขาจึงไม่สนใจอะไร
ตอนนี้ฉันรู้สึกว่า เขาแยกตัวจากสังคมนี้นานเหลือเกิน
มองไปที่กล่องของขวัญโทรศัพท์มือถือที่สวยงาม ในที่สุดเย่ฉ่าวเฉินก็นึกขึ้นได้ว่ามีคนนอนหลับอยู่ในห้องรับรอง ทันใดนั้นเขากระตือรือร้น ที่จะไปดูเธอ เมื่อเขาความจำกลับมา เขาได้เปิดประตูห้องรับรอง
ในห้องเงียบสงบ ผู้หญิงคนนั้นนอนขดตัวนอนตะแคง เขาเดินเข้าไปช้าๆ ยืนตรงหน้าเธอจ้องมองเธอเงียบ ๆ
อาจจะเป็นเพราะเธอนอนหลับเป็นเวลานาน ใบหน้าของมู่เวยเวยแดงก่ำคือสวย
ทันใดนั้นเย่ฉ่าวเฉินรู้สึก ภาพนี้ช่างดูคุ้นเคย ราวกับว่าเขาเคยเห็นเธอนอนหลับแบบนี้มาก่อน
คิ้วของเธอไม่โดดเด่น แต่ดูสบายๆ นี่คือความงามที่ไม่เป็นอันตราย ที่ทำให้ผู้คนต้องการปกป้องเธอ
รู้ทั้งรู้ว่ารู้จักเธอได้แค่วันเดียว ทำไมฉันถึงหลงไหลในตัวเธอ?
เย่ฉ่าวเฉินมองเธออย่างละเอียด ในที่สุดดวงตาของเขาก็เข้าไปใกล้ริมฝีปากสีแดงของเธอ และเขาก็อยากจะ…ลองดูว่ามันจะหวานอย่างที่คิดหรือไม่
ด้วยความคิดที่มากเกินไป เย่ฉ่าวเฉินจนลื่นล้ม แล้วริมฝีปากของเขาค่อยๆกดลงบนริมฝีปากของเธอ
ตอนแรกเขาแค่จะสูบดมกลิ่นผมของเธอ แต่เย่ฉ่าวเฉินลื่นล้มฉับพลัน สัมผัสที่ยอดเยี่ยมทำให้ไฟลุกโชนขึ้นในใจของเขา เขาแทรกเข้าไปที่เธออย่างกระตือรือร้น อยากจะลิ้มรสมากขึ้น
มู่เวยเวยที่กำลังหลับอยู่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยความตกใจ ด้วยพฤติกรรมของเขาเมื่อเธอกำลังจะเตะคนที่ละเมิดเธอ เธอพบว่าเย่ฉ่าวเฉินกำลังไต่ตามร่างกายเธอ
เขา….กำลังทำอะไร?
มู่เวยเวยขยับตัวเล็กน้อยด้วยการจูบที่ดุเดือดของเขา ตอบสนองเขาด้วยปลายลิ้นโดยไม่สมัครใจเขาตกตะลึงไปชั่ววินาที จากนั้นก็ยิ่งจูบลงอย่างดุเดือนยิ่งขึ้น
มู่เวยเวยรู้สึก กลิ่นอายที่ครอบงำของเขานั้นเหมือนเย่ฉ่าวเฉินเมื่อก่อนมาก
อุณหภูมิในห้องค่อยๆร้อนขึ้น ทั้งสองคนพัวพันกันบนเตียง กระสับกระส่าย ยิ่งอดใจรอไม่ไหวที่จะเจอกันตรงๆ แต่เมื่อมือของเขาลูบไปที่ด้านล่างกระโปรงของเธอ เขาก็หยุดการเคลื่อนไหวทันที
มู่เวยเวยกำลังรอให้เขาปลอบประโลม แต่ไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะหยุดทันที ไม่เพียงแค่นั้นเย่ฉ่าวเฉินก็พลิกตัวกลับมาจากเธอ ลดศีรษะลงและพูดว่า “ฉันขอโทษ”
มู่เวยเวยแค้นจากใจทันที “หุบปาก”
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ใบหน้ายังคงแดง
“MD,你要是不想做撩我干什么?再说了,你是我老公,我是你老婆,爱爱这种事不是天经地义吗?你跟我说什么对不起?”慕薇薇气的从床坐起来,整理着被他弄乱的裙子,脑子突然出现一个人的名字,她的脸冷了下来,抬头盯着他,冷声问,“你是怕对不起潘小美?”
“ท่านประธาน ถ้าไม่อยากเอาฉันจะมาลูบทำไม? พูดเถอะ เธอเป็นสามีของฉัน และฉันก็เป็นภรรยาของเธอ เรื่องรักๆใครๆแบบนี้มันถูกต้องไม่ใช่เหรอ? เธอจะพูดขอโทษอะไรกับฉัน?” มู่เวยเวยลุกขึ้นจากเตียงด้วยความโกรธ จัดกระโปรงที่เขาทำหลุดลุ่ย ทันใดนั้นชื่อของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในความคิดของเธอ ใบหน้าของเธอเย็นชาเธอเงยหน้าขึ้นมองเขาและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณ กลัวฟานเสี่ยวเหมยจะเสียใจเหรอ?”
“ก็ไม่ใช่….”เย่ฉ่าวเฉินพูดคลุมเครือ อันที่จริงเขาไม่รู้ว่าทำไม เขาแค่รู้สึกว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลา
มู่เวยเวยคว้าหมอนอย่างแล้วโยนใส่เขา พลางพูดอย่างโกรธๆ ว่า “ใสหัวไป อย่ามาโผล่หน้ามาให้ฉันเห็น”
เย่ฉ่าวเฉิน ไม่กล้าขยับได้แต่นั่งนิ่งๆให้เธอทุบตี
“ไปสิ!” มู่เวยเวยตะโกนพูด
เย่ฉ่าวเฉินหายใจเข้าลึกๆ แล้วสู้กับดวงตาที่ลุกเป็นไฟของเธอ “เธอให้เวลาฉันหน่อยได้ไหม?”
“เวลาอะไร?”
“ให้เวลาฉันคุ้นชินสักหน่อย” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรารู้จักกันได้ไม่ถึงสองวันมันแปลกใจเกินไปสำหรับฉัน เรายังไม่คุ้นเคยกัน ดังนั้นให้เวลาฉันสักหน่อยและให้ฉันได้รู้จักคุณ บางทีเราอาจจะเข้ากันได้มากกว่านี้
มู่เวยเวยไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะพูดแบบนั้น ความโกรธของเธอก็ลดลง “ใช่ แต่ฉันมีคำขอ”
“เธอพูด”
“ไม่อนุญาตให้ฟานเสี่ยวเหมยขึ้นเตียงเธอ” น้ำเสียงของมู่เวยเวยเน้นย้ำและเชื่องช้า “นี่คือสุดขีดการล้ำเส้นของฉัน”
เย่ฉ่าวเฉินตอบโดยไม่ลังเลว่า “ฉันสัญญากับคุณ”
มู่เวยเวยจ้องมองเขาโ บกมือและพูดว่า “ออกไปเถอะออกไปเถอะ ฉันจะนอนอีก”
“โอ แต่เธอนอนตลอดช่วงบ่ายแล้ว นอนเยอะตอนกลางคืนก็นอนไม่หลับหรอก” เย่ฉ่าวเฉินนี่พูดจริง
มู่เวยเวยก็คิดได้ เปิดผ้าห่มและลุกจากเตียง
……
ลูกพี่ลูกน้องตระกูลฟานเดินจับจ่ายซื้อของกันทั้งวัน มันเป็นบัตรเครดิตที่มู่เวยเวยให้มา ไม่ซื้อก็น่าเสียดาย ฉันจึงเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เสื้อผ้า กระเป๋ารองเท้าทั้งหมดที่ฉันชอบล้วนเอามาใส่ถุง ซื้อจนทั้งสองคนถือไม่รอด
พี่ชายเสี่ยวเหม่ยพูดอย่างร่าเริงว่า “ในที่สุดฉันก็รู้แล้วว่าทำไมทุกคนถึงอยากเป็นคนรวย”
“เพราะอะไร? ฟานเสี่ยวเหมยถามอย่างซื่อบื้อ
“เพราะรู้สึกจ่ายเงินได้อย่างสะใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลารูดบัตร”
ฟานเสี่ยวเหมยพยักหน้าด้วยความดีใจ “ใช่ๆ ฉันก็มีความรู้สึกเช่นนี้”
“ดังนั้น เสี่ยวเหมย เธอต้องจับเย่ฉ่าวเฉินเจ้าทองคำให้อยู่มือ ครอบครัวมีของเราจึงจะมีชีวิตที่ร่ำรวย”
ฟานเสี่ยวเหมยดูสับสนยุ่งเหยิง “แต่ฉันคิดว่ามู่เวยเวยคนนี้มันเก่งมากนะ ฉันกลัวว่าจะสู้เธอไม่ได้”
“นี่แค่วันที่สอง ทำไมเธอถึงท้อแท้แล้ว? เธอซื้อมาแค่สองแสนหรือเปล่า?” พี่ชายเสี่ยวเหมยประโลมเป่าหู “ ก็แค่เงินสองแสนหยวนเอง นี้เป็นเพียงเศษเงินขนเส้นเดียวของวัวเก้าตัวของตระกูลเย่ เธอคิดๆเธอก็ต้องอยากแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉินแล้ว ก็จะได้สักสองแสนหยวนแหละ?”
เมื่อเห็นน้องสาวของเขาคิ้วขมวดทำหน้าบึ้งไม่พูดจา เขาก็พูดต่อ “หรือ เธอไม่ชอบเย่ฉ่าวเฉินเหรอ? เธอไม่ต้องการแต่งงานกับเขาหรือ?”
“แน่นอนฉันชอบเย่ฉ่าวเฉิน” ฟานเสี่ยวเหมยพูดโต้แย้ง
“งั้นก็เร่งมือหน่อย ก่อนที่ความจำเย่ฉ่าวเฉินจะกลับมา เธอต้องรีบตั้งท้องลูกของเขา อย่างนั้นแม้ว่าเธอจะแต่งงานกับเขาไม่ได้ แต่ตระกูลเย่ก็จะมีที่ยืนของเธอ คุณก็จะไม่มีทางห่างเขาตลอดไป”
จริงๆความคิดนั้นเกิบจะวูบลงแล้ว แต่โดนผลักดันด้วยคำพูดไม่กี่คำจากพี่ชายขึ้นมาอีก
“อื้มอื้ม พี่ชาย ฉันรู้แล้ว”
เมื่อกลับถึงคฤหาสน์เย่ฉ่าวเฉิน ท้องฟ้ามืดแล้ว ลูกพี่ลูกน้องฟานเสี่ยวเหมยก็ถือกระเป๋าเล็กกระเป๋าใหญ่เข้ามา เอาของไปเก็บที่ห้องก่อนที่จะลงมาพบปะผู้คน
ในขณะที่ เย่ฉ่าวเฉินกำลังเล่นกับผังอันอยู่ในห้องนั่งเล่น มู่เว่ยเว่ยกำลังนั่งอ่านนิตยสารอยู่ตรงข้าม เธอรีบเดินไปยืนตรงหน้าเย่ฉ่าวเฉิน ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ฉ่าวเฉิน เธอดูฉันสวมชุดนี้สวยใช่มั้ย?” ขณะที่พูดก็หมุนตัว
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่เธอแล้วตอบ “มันดูดีเลยทีเดียว”
ในเวลาเดียวกัน มู่เวยเวยก็เหลือบมองด้วยหางตา จากนั้นก็โค้งริมฝีปาก ไม่พูดจา ผิวของฟานเสี่ยวเหมยคล้ำมาก ไม่เหมาะกับการสวมเสื้อผ้าสีสดใส
“ใช่ไหม? ฉันก็รู้สึกสวยมาก” ฟานเสี่ยวเหมยตอบ
นั่งลงข้างๆเย่ฉ่าวเฉิน ควงแขนของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วพูดว่า “พี่ฉ่าวเฉิน วันนี้ฉันไปเที่ยวมาหลายที่เลย ทุกอย่างสวยมากฉันไม่เคยเห็น ฉันก็ซื้อมาเยอะแยะเลย พี่จะไม่โกรธฉันที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยใช่ไหม”
เย่ฉ่าวเฉิน กำลังช่วยผิงอันส่งชิ้นส่วนอะไหล่ พูดอย่างสบายๆ ว่า “เงินเหล่านั้นเป็นเงินที่เวยเวยให้เธอใช้ ฉันจะโกรธได้ไง?
เมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมา ผู้หญิงทั้งสองก็ตกใจมาก เขาพูดว่าเวยเวย
บางทีมันอาจจะเป็นคำติดปากที่ไม่รู้ตัวของเขา แต่ใครจะบอกได้ว่านี่ไม่ใช่ความทรงจำที่ซ่อนอยู่ลึกๆในสมองละ?
เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาพูดอะไรออกมา เธอไม่ได้พูดอีก เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ แล้วเห็นสีหน้าของเธอดูแปลกไป “เป็นอะไรไป? หิวแล้วเหรอ? ฉินหม่าทำอาหารไว้ให้พวกเธอ”
“ไม่ต้อง พวกเราไปทานอาหารข้างนอก” ฟายเสี่ยวเหมยสีหน้าไม่พอใจ มองจากห่างตาผู้หญิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามปากของเธอโค้งขึ้น ในใจเธอก็ลุกเป็นไฟ เธอก็ยิ่งตีสนิทสนมกับเย่ฉ่าวเฉินมากขึ้น “พี่ฉ่าวเฉิน พรุ่งนี้ฉีนอยากไปเที่ยว พาฉันไปหน่อยได้ไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินไม่แต่อยากจะปฏิเสธ “ไม่ได้ ฉันเพิ่งรับงาน และยังต้องเรียนรู้อีกมาก ฉันคิดว่าน่าจะไม่มีเวลา”
ฟานเสี่ยวเหมย ไม่มีความยืดหยุ่นเหมือนมู่เวยเวย ในไม่ช้าเขาก็ทนท่าทีของเย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ พูดอย่างโกรธๆว่า “เมื่อก่อนคุณสัญญากับฉัน ฉันจะทำอะไรจะไปที่ไหนก็จะพาไปทุกที่ ทำไมไม่นานก็เปลี่ยนไปแล้วล่ะ?”
เย่ฉ่าวเฉินหงุดหงิดอยู่ในใจ หน้าบึ้งแล้วพูดว่า “เสี่ยวเหม่ย ใช่ ฉันสัญญากับคุณ แต่เธอต้องเข้าใจฉัน ฉันยังไม่ได้จัดการเรื่องบริษัท ฉันจะเอาความคิดและเวลาที่ไหนไปเที่ยวกับเธอ?”
ฟานเสี่ยวเหมยเปลี่ยนความคิด ทัศนคติดีขึ้นมาก “งั้นฉันไปทำงานในบริษัทของพวกเธอดีไหม? อย่างนี้ฉันก็จะได้อยู่ดูแลคุณ”
เย่ฉ่าวเฉินตกตะลึง “งี้ ฉันเกรงว่าจะไม่สะดวก”
“มีอะไรที่ไม่ได้ล่ะ?” ทั้งบริษัทเป็นของเธอ จัดการงานให้ฉันก็แค่นี้เอง”
เย่ฉ่าวเฉินหน้าบึ้งขมวดคิ้วมากขึ้น “แต่บริษัทก็มีกฎของบริษัท ฉัน…….”
“ฉันไม่ ฉันไม่ ก็ฉันต้องการทำงานที่บริษัทเธอ” ฟานเสี่ยวเหมยงอแง จนเย่ฉ่าวเฉินปวดหัวมึนงง เขาจึงพูด “งั้นรอสักหน่อย ฉันจะถามฉ่าวเหยียน”
ฟานเสี่ยวเหมยอยากจะบอกว่ามีอะไรจะถาม แต่กลัวว่าเขาจะโกรธ จึงได้แต่พูด “แล้วพี่ชายของเธออยู่ไหนล่ะ? ฉันจะไปถามตอนนี้”
“เขาออกไปดื่มกับเพื่อน น่าจะกลับใกล้กลับมาแล้ว “ เย่ฉ่าวเฉินเพิ่งพูดจบ มีคนเข้ามาจากข้างนอก ช่างบังเอิญจริงๆนั่นคือเย่ฉ่าวเหยียน”
ปริมาณการดื่มของเย่ฉ่าวเหยียนดีมาก แม้ว่าเพื่อนของเขาจะมอมเหล้าเขา แต่เขาก็ไม่มึนเมา
“เธอกลับมาแล้วเหรอ พวกเรากำลังรอเธอ” ฟานเสี่ยวเหมยทักทายอย่างตื่นเต้น
เย่ฉ่าวเหยียนแปลกใจ เขาเดินตัวลอยๆเหมือนคนไม่มีแรงนั่งลงข้างมู่เวยเวย ลูบขมับที่ปวดร้าวแล้วพูดว่า “รอฉันมีอะไรเหรอ?”
“ฉันก็อยากไปทำงานที่บริษัท แต่พี่ฉ่าวเฉินให้ฉันถามเธอก่อน ฉ่าวเหยียน ฉันไปทำงานที่บริษัทพวกเธอได้ ใช่ไหม”
เย่ฉ่าวเหยียนตื่นขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาเอื้อมมือไปหยิบองุ่นบนโต๊ะกาแฟ เขาเหลือบไปมองมู่เวยเวยอย่างใจเย็น นี่คือเพลงที่ไหน?
มู่เวยเวยยิ้มมุมปาก แล้วมองเขาอย่างแผ่วเบา เธอรู้
“น้องฉ่าวเหยียน ถามเธอนะ” ฟานเสี่ยนเหมยถามเซ้าซี้
เย่ฉ่าวเหยียนขนลุกไปทั้งตัว น้องฉ่าวเหยียน? หึ่ยแม้ง ทำไมฟังแล้วรู้สึกหนาวสั่น มู่เวยเวยกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “โฮะๆ”หัวเราะออกมาดังๆ
เรียกได้จริงใจเหลือเกิน
เย่ฉ่าวเหยียนคบวคุมอารมณ์ตัวเอง ใช้ทัศนคติที่เข้มงวดของHR ถามเธออย่างจริงจังว่า “คุณมีความสามารถพิเศษอะไร? คุณมีประสบการณ์ในการทำงานหรือไม่?”
ฟานเสี่ยวเหมยตะลึง “ฉัน…ฉันเคยเป็นคนงานโรงงาน แต่เงินไม่มากนัก จึงกลับไปหาปลากับพ่อของฉัน”
เย่ฉ่าวเหยียนไม่ให้เกียรติเธอ ปฏิเสธโตรงๆ “นั่นคงไม่ได้ ตอนนี้บริษัทของเราสรรหาผู้มีพรสวรรค์ด้านนวัตกรรมใหม่ๆที่โดดเด่น หากไม่มีทักษะ ก็ไม่สามารถเข้าร่วมในบริษัทได้”
“แต่ที่นั้นไม่ใช่บริษัทของเธอหรือ? ไม่สามารถจัดงานให้ฉันได้หรือ? “ฟานเสี่ยวเหมยมีความสงสัยลึกๆในดวงตาของเธอ ”
เย่ฉ่าวเหยียนอธิบายอย่างละเอียดขมขื่น “บริษัทเป็นของตระกูลพวกเรา แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามระบบของบริษัท นี่ก็คือจุดประสงค์ของบริษัท เมื่อก่อตั้งขึ้นแม้ว่าพี่ชายของฉันจะเป็นประธานก็ไม่สามารถพังได้ ไม่อย่างนั้น ถ้าวันนี้รองประธานแซกเข้ามาคนหนึ่ง พรุ่งนี้รองประธานก็แซกมาอีกคนหนึ่ง บริษัทจะไม่วุ่นวายเหรอ?”
มู่เวยเวยกล่าวชมเรื่องที่เขาแต่งอยู่ขึ้นในใจอย่างเงียบๆ
ฟานเสี่ยวเหมยตะลึงไปชั่วขณะ แต่เขายังมีสติ ชี้ไปที่มู่เวยเวยแล้วพูดว่า “เธอมีความสามารถอะไร ทำไมเธอถึงไปทำงานในบริษัทได้?”
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้ม ความจริง “เวยเวยเข้าร่วมบริษัทเพราะความสามารถของเธอ ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับพี่ชายของฉัน เธอได้รับรางวัลที่หนึ่งในการแข่งขันออกแบบ และเธอยังยอดเยี่ยมในสาขาวิชาที่สำเร็จการศึกษา ต่อมาได้เข้าร่วมบริษัท เธอได้ขึ้นหน้าหนึ่งของนิตยสารชื่อดังระดับนานาชาติ และเสื้อผ้าที่เธอออกแบบมียอดขายสูงสุดในฤดูกาลประธานแผนกออกแบบถามฉันทุกครั้งที่พบกันว่าเมื่อไหร่เธอจะกลับไปทำงาน เพราะเหตุผลเหล่านี้”
หลายๆสิ่งที่เย่ฉ่าวเหยียนพูดมู่เวยเวยก็ลืมไปหมดแล้ว เธอคิดไม่ถึงว่า เขาจำได้ทั้งหมดนอกจากนักศึกษาเกียรตินิยมที่เป็นเรื่องเท็จ
เย่ฉ่าวเฉินอดไม่ได้ที่จะหันไปมองไปที่เธอ ปรากฎว่า เธอคือคนที่ดีเยี่ยมคนหนึ่งเลย
แต่น่าเสียดาย เขาจำอะไรไม่ได้เลย
ฟานเสี่ยวเหมยเงียบกริบพูดไม่ออก เธอคิดว่ามู่เวยเวยเป็นภรรยาที่ร่ำรวย เธอไม่มีความสามารถอื่นใด เธอไม่คาดคิดว่า เขาจะเยี่ยมยอดขนาดนี้
“แต่ ฉันอยากไปทำงาน” ฟานเสี่ยวเหมยตัดใจจนบีบน้ำตาออกมา
เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจ “เสี่ยวเหมย ฉ่าวเหยียนพูดแล้ว ฉันก็ไม่สามารถพังกฎได้”
ในที่สุดมู่เวยเวยก็ทนดูไม่ไหว ปิดนิตยสารไว้ในมือ แล้วยิ้มในดวงตาตื้นเต้นมาก “ฟานเสี่ยวเหมย เธอไม่ต้องลำบากกับเย่ฉ่าวเฉิน จริงๆก็มีตำแหน่งงานที่ไม่ต้องการความสามารถอะไรมาก”
“อะไร?” ฟานเสี่ยวเหมยดวงตาลุกวาว
“แผนกโลจิสติกส์ พนักงานทำความสะอาด มู่เวยเวยพูดเบา ๆ “ลูกพี่ลูกน้องของฉันเคยรบกวนเย่ฉ่าวเฉินให้จัดหางานให้เธอ ตอนนั้นมีตำแหน่งในแผนกโลจิสติกส์ว่างพอดี แต่เขาก็ทำได้แค่สองวันก็ลาออกแล้ว”
ฟานเสี่ยวเหมยแสดงสีหน้าดูถูก “ฉันจะไม่กวาดพื้นเด็ดขาด ไม่ทำ”
มู่เวยเวยแบมือ “งั้นก็ไม่มีวิธีแล้ว”
“ฉันเห็นเธอกำลังกลั่นแกล้งฉัน” ฟานเสี่ยวเหมยโพล่งพูดออกมา”แกไม่ต้องการให้ฉันอยู่กับพี่ฉ่าวเฉิน”
มู่เวยเวยก็ตีสองหน้า “ฟานเสี่ยวเหมย อะไรคือภาพลวงตาที่ทำให้คิดว่าฉันจะยกสามีของฉันให้เธอ? ฟานเสี่ยวเหมย ฉันไม่ได้เหมือนกับผู้หญิงอื่นที่จะโยนเช็ค เพื่อไล่เธอออกจากที่นี่ ทั้งหมดเป็นเพราะเธอช่วยเย่ฉ่าวเฉิน ดังนั้น ดีที่สุดอย่าได้คืบจะเอาศอกไม่เช่นนั้น ถ้าวันหนึ่ง ฉันไม่อยากยอมรับเรื่องนี้แล้ว ฉันอาจจะโยนเธอออกไปจากที่นี่
มู่เวยเวยใส่อารมณ์เต็มที่ ฟานเสี่ยวเหมยทนไม่ไหว เธอซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเย่ฉ่าวเฉิน ร้องไห้แล้วพูดว่า “พี่ฉ่าวเฉินเธอดูสิ เขาทำไมทำกับฉันขนาดนี้?”
“เธอไม่จำเป็นต้องร้องเรียนกับเขา บ้านหลังนี้ไม่ใช่เขาคนเดียวที่จะตัดสินใจทุกอย่างได้และเขาก็ไม่สามารถทำอะไรฉันได้ “ที่มู่เวยเวยพูดคือความจริง ตอนนี้ทั้งตระกูลเย่คำพูดของเธอมีบทบาทมากกว่าเย่ฉ่าวเฉิน เพราะทุกคนรู้ดีว่าเย่ฉ่าวเฉินสมองเสื่อม”
ฟานเสี่ยวเหมยบ่นงุมงำ “พี่ฉ่าวเฉิน ทำไมเธอถึงยอมอยู่กับผู้หญิงที่ดุร้ายขนาดนี้ตลอดชีวิต ”
มู่เวยเวยยิ้มกว้างขึ้น “หย่าเหรอ? เอาสิ ทะเบียนสมรสถูกล็อคอยู่ในตู้ด้านบน เธอสามารถเปิดออกได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ก่อนการหย่าร้างฉันจะทำให้ตระกูลเย่ล้มละลาย เธอไม่สามารถเอาอะไรไปได้เลย”
“แกขู่ฉันเหรอ? ฉันไม่เชื่อหรอก”
“ฉันพูดไร้สาระหรือไม่ เธอลองถามเย่ฉ่าวเฉิน”
เย่ฉ่าวเหยียนเจียมตัวได้แต่พยักหน้า “เวยเวยไม่พูดโกหก เธอพูดความจริง พี่ชายและพี่สะใภ้เธอไม่ใช่คนธรรมดา”
ทันใดนั้นฟานเสี่ยวเหมยนึกถึงชายหญิงที่นั่งเครื่องบินกลับมาพร้อมกัน ดูเหมือนพวกเขาไม่ใช่เป็นคนจะไปยั่วได้ง่ายๆ
“หญิงสาว เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน บางทีในใจของเธอ อาจเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีอำนาจมากที่สุด แต่ในใจของฉันเขาไม่ใช่ ดังนั้น ฉันขอแนะนำให้เธอมองให้กว้างขึ้น มีผู้ชายดีๆมากมายในโลกนี้ ทำไมคุณต้องมองอยู่คนเดียว
ผูกคอตายเหรอ?” มู่เวยเวยประโยคสุดท้ายขมขื่น พูดก็พูด ฟานเสี่ยวเหมยนิสัยก็ไม่เลว
แม้จะเป็นคนใจดี แต่เธอก็ถูกปิดกั้นด้วยความรักและเงินทองไปชั่วขณะ ดังนั้นเธอจึงเต็มใจให้เวลาเขาคิดอย่างชัดเจน
สำหรับบางคนปั้นเย่ฉ่าวเฉินให้กลายเป็นรูปแบบของเขา
“ไม่มีความสุขมาก เธอรู้ทั้งรู้เป็นดั่งต้นไป๋หยางที่ตรงดิ่ง ”
“เธอ….” ฟานเสี่ยวเหมยถูกมู่เวยเวยสั่งสอนจนพูดไม่ออก หลังจากพูดตะกุกตะกักอยู่นานเขาก็พูดว่า “ไม่ไปก็ไม่ไป แต่ฉันจะไม่ยอมปล่อยพี่ฉ่าวเฉินง่ายๆ”
หลังจากนั้น เธอ
บิด สะบัดกระโปรงเดินหนีออกไป
มู่เวยเวยเอนตัวทิ้งลงไปบนโซฟา ถอนหายใจ “ทำไมหญิงสาวคนนี้พูดอะไรไม่ฟัง? เย่ฉ่าวเฉินมีอะไรดี?”
“ฉันไม่ดีเธอยังยอมแต่งงานกับฉัน?” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยอารมณ์หึง
“ก็เธอบังคับฉันนิ ช่างเหอะ ยังไงเธอก็ลืมมันอยู่ดี” มู่เวยเวยหงุดหงิด “เธอบอกว่าเธอไม่กลัวแขนหัก ทำไมเธอถึงมีความจำเสื่อม? ฉันแทบโมโหจะตายแล้ว”
เย่ฉ่าวเหยียนมีความสุขเมื่อได้ยินเช่นนี้ ปลอบใจ “เวยเวย อย่าหงุดหงิด พี่ชายของฉันก็ไม่ต้องการเป็นเช่นนี้”
มู่เวยเวยมองไปที่เพดาน “ฮาย อาจจะเพราะว่าเราสองคนทำเรื่องเลวร้ายมากมายในชาติที่แล้ว ดังนั้นพระเจ้าจึงลงโทษเราแบบนี้ ตั้งแต่เราแต่งงานกันมันก็ยังไม่หยุด และแทบทุกวันเหตุการณ์วุ่นวายหวาดผวา เมื่อไหร่จะอยู่เย็นเป็นสุข”
“ใกล้แล้ว เธออย่าคิดมาก”
มู่เวยเวยค่อยๆดึงมือของเย่ฉ่าวเฉิน เป็นการส่งสัญญาณว่าให้เดินต่อไปเรื่อยๆ
เมื่อผลักประตูห้องประธานเย่เข้าไป ความรู้สึกคุ้นเคยกระทบกลับเข้ามาโดนที่หน้าอย่างจัง ราวกับว่าเย่ฉ่าวเฉินเคยมาที่นี่นับหมื่นพันครั้ง……