วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 266 : เอาชีวิตของคุณคืนมาให้ฉัน
คิดอะไรก็ได้อย่างนั้นจริงๆ เย่ฉ่าวเหยียนยังไม่ได้กินองุ่นสักลูก จางเห่อก็รีบเข้ามาทันที เขากำลังจะเข้ามาคุยกับเย่ฉ่าวเฉินโดยสัญชาตญาณ ทว่านึกขึ้นได้ว่าคุณชายของตนความจำเสื่อม ดังนั้นจึงหันไปคุยกับมู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเหยียน “คุณผู้หญิง คุณชายรอง ฉู่เซวียนนั่งเครื่องบินไปที่เมืองSแล้ว”
เวลานี้เย่ฉ่าวเหยียนรู้สึกตื่นเต้นมาก ลุกขึ้นจากโซฟา “ในที่สุดก็มาแล้ว รอจนเกือบลืมคนๆนี้ไปแล้ว จับตาดูเขาให้แน่นหนา ดูว่าเขาติดต่อกับใคร”
“คุณชายรองวางใจเถอะ เหยี่ยวราตรีจับตาดูอยู่ เมื่อกี้ฉันเพิ่งส่งคนไปให้เขาอีกสองสามคน”
“หรือว่ากาวินก็อยู่ที่เมืองS?” มู่เวยเวยถามอย่างสงสัย
ดวงตาของเย่ฉ่าวเผยออกมา “ไม่แน่ บางทีเขาอาจจะซ่อนตัวอยู่มุมไหนสักมุมของเมืองA ข่าวการกลับมาของพาชายยังไม่แพร่กระจายออกไป ถ้ากระจายออกไปแล้ว เขาอาจจะมีการเคลื่อนไหว”
“วิญญาณยังไม่ไปผุดไปเกิดจริงๆ” มู่เวยเวยพูดแขวะ
เย่ฉ่าวเฉินได้ฟังก็รู้สึกงง ถามอย่างแปลกใจว่า “พวกคุณกำลังพูดถึงใคร?”
“คือฆาตรกรที่อยู่เบื้องหลังการทำร้ายคุณจนสมองเสื่อม” มู่เวยเวยอธิบายอย่างง่ายๆ “คุณไม่ตาย เขาก็ตาย”
“ร้ายแรงขนาดนี้เลย?”
มู่เวยเวยมองเขา ในสายตาเป็นความหนักแน่นที่ไม่เคยมีมาก่อน “ใช่ ร้ายแรงแบบนี้เลย”
เย่ฉ่าวเหยียนไม่อยากอยู่ในการคาดเดาตลอด ดังนั้นจึงพูดว่า “บอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กับฉันหน่อย นี่คือสิ่งที่ฉันควรจะรู้”
มูเวยเวยอึ้งไปไม่กี่วินาที “โอเค งั้นก็เริ่มจากการแต่งงานของเรา”
เย่ฉ่าวเฉินหูผึ่ง แต่นี่ไม่ใช่ประสบการณ์ที่จะได้รับมาง่ายๆจากคนทั่วไป เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาต้องการอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
“พวกคุณค่อยเล่า แต่ฉันไม่อยากหวนคิดถึงอดีตที่ผ่านมานั่น” เขาเดินไปข้างหน้าผิงอัน ยื่นมือออกไป “ผิงอัน ไปกับคุณอา พ่อกับแม่ต้องคุยธุระกัน”
ผิงอันได้ยินก็กอดของเล่นไว้ จับมือเขาแล้วก็เดินออกไป
“งั้นเราออกไปคุยกันเถอะ ด้านในห้องร้อนเกินไป” มู่เวยเวยไม่รอให้เขาเห็นด้วย ก็เดินตรงออกไปเลย เย่ฉ่าวเฉินจำใจต้องตามไปอย่างเชื่อฟัง
“นี่น่าจะเป็นเรื่องของสองปีก่อนใช่ไหม เวลานั้นพ่อแม่ฉันเพิ่งจากไปไม่นาน……”
มู่เวยเวยเล่าตามความทรงจำ หลายๆเรื่องเธอก็จำไม่ได้แล้ว แต่จำได้แต่โครงเรื่องหลักๆ เช่นทำไมถึงแต่งงาน เช่นทำไมเฉียวซินโยวถึงเข้ามาอยู่ในตระกูลเย่ได้เป็นต้น
ทั้งสองคนเดินอย่างช้าๆไปที่ด้านนอกคฤหาสน์ ผ่านสวน ผ่านป่าไผ่ ผ่านสนามหญ้าเขียวขจี รอบแล้วรอบเล่า น้ำเสียงเรียบๆของมู่เวยเวยพริ้วไหวอยู่ในแสงสียามราตรี อารมณ์สีหน้าท่าทางของเย่ฉ่าวเฉินก็ดูสลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
เดินไปไม่รู้กี่รอบ ในที่สุดนิทานเรื่องยาวก็มาถึงตอนจบ “ก็ประมาณนี้ ในนั้นยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ฉันลืมไปแล้ว ก็ไม่อยากนึกขึ้นมาอีก ในเมื่อคุณลืมไปแล้ว ก็ลืมมันให้สนิทไปเลย ถึงอย่างไรก็เป็นความทรงจำที่ไม่ดีอยู่แล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินไร้คำพูดไร้คำตอบ เธอพยายามพูดให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ทว่าเขาได้ฟังก็อกสั่นขวัญหาย คาดไม่ถึงว่าเมื่อก่อนตนเองจะเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดไม่ได้อยู่ในการคาดการของตน
“ดึกมากแล้ว กลับกันเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงาน” มู่เวยเวยเล่าเรื่องจบจึงรู้สึกได้ว่า ขาทั้งสองข้างของตนปวดเมื่อยเล็กน้อย นี่เกิดจากการได้รับบาดเจ็บครั้งที่แล้ว ไม่สามารถยืนนานได้
“อืม” สมองของเย่ฉ่าวเฉินสับสนมึนงง ข้อมูลคืนนี้มีปริมาณมากเกินไปเขาติ้งการนอนบนเตียงแล้วจัดเรียงให้ดีๆ
ห้องนอนของคนสองคนอยู่ติดกัน เมื่อมู่เวยเวยผลักประตูต้องการจะเข้าไป เย่ฉ่าวเฉินก็ดึงแขนเสื้อของเธอไว้ เธอหันกลับมามองเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจ ว่าจะทำอะไร?
เย่ฉ่าวเฉินไม่กล้าสบตาเธอ พูดอ้ำๆอึ้งๆว่า “งั้นก็……งั้น……”
มู่เวยเวยไม่เคยเห็นเย่ฉ่าวเฉินเขินอายแบบนี้มาก่อน จึงพูดแหย่ว่า “อะไรหรอ?”
“ไม่มีอะไร ฝันดีนะ” เย่ฉ่าวเฉินพูดจบ ก็รีบเดินไปผลักประตูห้องข้างๆ หลังจากปิดประตูอย่างรวดเร็ว ก็ยินพิงกับประตู หัวใจของเขายังคงเต้นระรัว
ตนเองนี่ทึ่มจริงๆเลย จะดึงเธอทำไม? อยากพูดอะไร? แม้แต่ตนเองก็ยากที่จะเข้าใจ
มุมปากยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ในใจโลดเต้นเหมือนกวางน้อยกระโดดไปรอบๆ เวลานี้ เข้าไม่เห็นว่าดวงดาวในดวงตาของตนเองงดงามขนาดไหน
อารมณ์สงบลงแล้ว เย่ฉ่าวเฉินเปลี่ยนรองเท้าแล้วปลดกระดุมไปด้วย เดินเข้าด้านในไปด้วย แต่เมื่อเดินไปถึงข้างๆเตียง เขาก็ตกใจขึ้นมา
“เสี่ยวเหมย คุณมาทำอะไรที่นี่?” เย่ฉ่าวเฉินพูดออกไปโดยจิตใต้สำนึก
เห็นเสี่ยวเหมยสวมชุดนอนผ้าบางสีดำ ใช้สายตาหยอกล้อยั่วยวนเขา น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนน้ำหยด “พี่ฉ่าวเฉิน คุณมานี่สิ”
เย่ฉ่าวเฉินถอยหลังตัวชาไปหมด ขนลุกขนพอง “คุณมาที่ห้องฉันทำไม?”
ฟานเสี่ยวเหมยทำตาเยิ้มพูดว่า “คนอื่นเป็นฝ่ายรุกขนาดนี้ คุณยังบอกว่าฉันมาทำไม?”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว “เสี่ยวเหมย สวมเสื้อผ้าแล้วกลับห้องตนเองไป อย่างนี้มันไม่เหมาะสม”
“มีอะไรไม่เหมาสม? เดิมทีเราก็แต่งงานกันแล้ว นอนด้วยกันก็ปกติมาก” ฟานเสี่ยวเหมยไม่เคลื่อนไหว เธอใช้เวลานานในการสร้างหุ่นนี้ ยังไม่บรรลุจุดประสงค์ เธอจะยอมแพ้ได้อย่างไร
เย่ฉ่าวเฉินปวดหัวไปหมด พูดอย่างจริงจัง “เสี่ยวเหมย เราไม่ได้แต่งงานกัน งานแต่งดำเนินไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น”
“ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นทำมันพัง” ฟานเสี่ยวเหมยโมโห
“เสี่ยวเหมย อย่าพูดแบบนี้ เธอเป็น……แม่ของลูกฉัน” เย่ฉ่าวเฉินเกือบจะพูดออกมาว่า เธอเป็นภรรยาของฉัน
ฟานเสี่ยวเหมยพูดอย่างไม่ยอม “ฉันก็มีลูกชายให้คุณได้ ไม่ใช่ว่าเธอจะมีได้คนเดียว”
“เสี่ยวเหมย ไม่ใช่เรื่องนี้ ไอ๊หยา คุณสวมเสื้อผ้าให้ดีๆก่อน” เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้ว่าจะวางสายตาไว้ที่ไหน ตัวเธอเองคิดว่ามรเสน่ห์ดึงดูดมาก แต่ในสายตาฝ่ายชายไม่ได้น่าดึงดูดเช่นนั้น และเนื่องจากอยู่ในทะเลตลอดทั้งปี ผิวของเธอก็คล้ำเล็กน้อย สวมชุดสีดำ……ก็ยิ่งดูดำ
ตอนที่มู่เวยเวยไม่ปรากฏตัว เย่ฉ่าวเฉินก็คิดว่าตนเองชอบฟานเสี่ยวเหมย อย่างน้อยก็ไม่น่าเบื่อ แน่นอน ด้านในนี้ยังประกอบด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณ แต่เมื่อมู่เวยเวยปรากฏตัวเมื่อวานนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อยเมื่อมองไปที่ฟานเสี่ยวเหมยอีกครั้ง ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอช่างธรรมดาเหลือเกิน ไม่คิดอยากทำอะไรกับเธอเลยแม้แต่น้อย
ทำไมฟานเสี่ยวเหมยต้องฟังคำพูดของเขา ไม่เพียงแต่ไม่สวมเสื้อผ้า ยังเลิกชุดนอนกระโปรงที่สั้นมากอยู่แล้วขึ้นมาอีก
เย่ฉ่าวเฉินแทบคลั่งที่เห็นเธอทำเช่นนี้ เขาไม่สามารถแต่งตัวให้เธอได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งไม่สามารถโยนเธอออกไปได้ เลยจำใจกัดฟันพูดว่า “โอเค งั้นคุณอยู่ที่นี่ ฉันจะออกไปเอง”
พูดจบก็เดินออกไปข้างนอก เวลานี้ฟานเสี่ยวเหมยก็ร้อนรน รีบเดินไล่ตามมา “พี่ฉ่าวเฉิน คุณจะไปไหน”
เย่ฉ่าวเฉินไม่สบอารมณ์เปิดประตูเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ผลักประตูอีกบานหนึ่ง แล้วปิดลง ราวกับว่ามีหมาป่าเสือดาววิ่งไล่ตามหลังตนเองมา
น่ากลัวเหลือเกิน ฟานเสี่ยวเหมยที่เขารู้จักไม่ใช่อย่างนี้ เมื่อก่อนเธอน่ารักมากใจดีมาก ไม่มีกลอุบายแบบนี้
“ใครหรอ?” น้ำเสียงเยือกเย็นของมู่เวยเวยดังออกมา
เย่ฉ่าวเฉินตกตะลึง รีบกระแอมไอแล้วพูดว่า “เอ่อ……ฉันเอง”
เงียบไปสักครึ่งนาที เย่ฉ่าวเฉินได้ยินเสียงในห้องน้ำ จากนั้นมู่เวยเวยก็เดินออกมาโดยพันผ้าเช็ดตัวไว้
เลือดในสมองของเย่ฉ่าวเฉินก็รวมตัวกัน ผ้าขนหนูอาบน้ำสีขาวห่อหุ้มผิวของเธอที่ละเอียดราวกับไขมัน ดวงตาคู่นั้นสว่างไสวราวกับดวงดาวที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้า บนเท้าฝ่ายหญิงที่ไม่ได้สวมรองเท้า เล็บกลมๆสีชมพูช่างน่ารักมาก
จู่ๆตอนนี้ก็นึกถึงฉากนั้นเมื่อตอนบ่ายขึ้นมาในหัว เลือดของเย่ฉ่าวเฉินก็เดือดพล่านขึ้นมา
“คุณมาทำไม?” มู่เวยเวยตกใจเล็กน้อย เธอเพิ่งจะถอดเสื้อผ้าเตรียมจะอาบน้ำ เดินลงไปด้านล่างนานขนาดนั้น เหงื่อออกไปทั้งตัวเลย
“ฉัน……” เย่ฉ่าวเฉินอ้าปากหวอ รู้สึกร้อนๆอยู่ที่คอ เหมือนว่า……อยากจะนำเธอมาไว้ในอ้อมกอดแล้วจูบอย่างดูดดื่ม
สูดหายใจเงียบๆ เย่ฉ่าวเฉินก็ชี้ไปที่ห้องข้างๆ พูดอย่างจนปัญญาว่า “ไม่รู้ว่าเสี่ยวเหมยวิ่งเข้าไปในห้องฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”
มู่เวยเวยไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในความคาดเดาของเธอ สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจคือ คาดไม่ถึงว่าเย่ฉ่าวเฉินจะหนีออกมา อีกทั้งไม่ได้เปลี่ยนรองเท้าด้วยซ้ำ
มู่เวยเวยกดผ้าขนหนูที่หน้าอก เจตนาพูดด้วยรอยยิ้มในแววตา “ในเมื่อหญิงสาวทุ่มสุดตัว คุณก็ทำตามน้ำไปเถอะ”
เย่ฉ่าวเฉินฟังออกว่าเธอพูดหยอกล้อ จ้องมองเธอด้วยสายตาแพรวพราว “คุณไม่ได้จะพูดว่า ไม่อนุญาติให้ฉันขึ้นเตียงกับเธอหรอกหรอ?”
มู่เวยเวยถูกสายตาเร่าร้อนของเขาทำให้หัวใจร้อนรุ่ม “เหอะ คุณเชื่อฟังฉันขนาดนั้นเลยหรอ?”
ด้านหลังเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นผลักเขาไปข้างหน้า ตลอดเวลาที่ยืนอยู่ตรงหน้ามู่เวยเวย เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ ปากบางๆเปิดออกเล็กน้อย “ฉันไม่สามารถทำเรื่องที่สามารถทำให้ตนเองเสียใจในภายหลัง”
มู่เวยเวยไม่ยอมถอย มองตรงเข้าไปในดวงตาของเขา นี่คือคนที่เธอรักอย่างสุดซึ้ง เธอจะปล่อยไปได้อย่างไร?
เย่ฉ่าวเฉินได้กลิ่นอายร่างกายของเธอ ไฟในใจก็ลุกโชนยิ่งขึ้น เขากลืนน้ำลายแล้วพูดเสียงขรึมว่า “คุณเหมือนปีศาจจริงๆ ชักจูงวิญญาณฉันตั้งแต่เมื่อวานที่เจอ ฉันยังคิดๆอยู่ว่า ท้ายที่สุดแล้วคุณมีเวทมนตร์อะไรกัน”
มู่เวยเวยปล่อยมือข้างหนึ่ง ใช้นิ้วค่อยๆร่างโครงหน้าของเขา สุดท้ายก็หยุดอยู่บนริมฝีปากของเขา “คนโง่ ฉันไม่มีเวทมนตร์หรอก ความรักคือเวทมนตร์ ต่อให้ฉันจะกลายเป็นคนโง่ คุณสูญเสียความทรงจำ แม้ว่าจะถูกแม่น้ำหมื่นสายภูเขาลำเนานับพันขวางกั้น แต่พลังแห่งความรักจะนำทางให้เราค้นหากันจนเจอ”
เย่ฉ่าวเฉินได้ฟังก็ใจเต้นระรัว ไม่ผิด ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอคือความรู้สึกรัก
“แต่ว่า ฉันลืมคุณไป”
“งั้นเราก็เริ่มต้นกันใหม่ สลัดความทุกข์ก่อนหน้านี้ไปให้หมด เรามาเริ่มกันตั้งแต่ตอนนี้ กำลังดีเลย”
“แต่ว่า เสี่ยวเหมยจะทำอย่างไร……”
“ชู่——” มู่เวยเวยใช่นิ้วกดที่ริมฝีปากของเขา “อย่าพูดถึงเธอ ต้องการทำเรื่องเมื่อตอนบ่ายวันนี้ต่อไหมล่ะ?”
“ต่องการแน่นอน”
“เดี๋ยว……ไปอาบน้ำ……” วินาทีที่มู่เวยเวยถูกเย่ฉ่าวเฉินกดไปที่เตียง เธอก็รีบพูด
ไฟในดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินก็ยิ่งเร่าร้อนยิ่งขึ้น แรงที่จูบเธอก็ยิ่งหนักขึ้น
ความสำรวม ความขี้อาย เวลานี้มู่เวยเวยโยนสิ่งเหล่านี้ออกไปจากสมองแล้ว
คนมีเจ็ดอารมณ์และความปรารถนาหกประการ เรื่องกินเรื่องความชอบสิ่งสวยงามมันอยู่ในสันดานมนุษย์ จะว่าไป ผู้หญิงคนอื่นกำลังจะปีนขึ้นเตียงเย่ฉ่าวเฉิน เธอจะแกล้งทำเป็นสวยสง่าอยู่ที่นี่ ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด กลับกันได้ลงมือโจมตีเองไม่ดีกว่าหรอ ทำให้เขาตกอยู่ในบ้านเกิดที่อ่อนโยนของเขาเอง ไม่ช้าก็เร็วฟานเสี่ยวเหมยก็ต้องไปไม่ใช่หรอ?
เวลาหลังเที่ยงคืน ในที่สุดทั้งสองก็กอดกันและหลับไปอย่างหมดแรง
ช่วงเวลาก่อนหลับสนิท จู่ๆเย่ฉ่าวเฉินก็นึกขึ้นมาได้ คืนนี้ไม่ใช่ว่าจะคุยเรื่องราวกับเธอต่อหรอ? ทำไมมาที่เตียงล่ะ?
ช่างเถอะ อย่างที่เธอบอก ลืมอดีตที่ผ่านมา วันนี้พวกเขาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง
ส่วนฟานเสี่ยวเหมย เขาแต่งงานกับเธอไม่ได้ ก็ไม่สามารถเก็บเธอไว้ได้อีกต่อไป
กอดความคิดนี้ไว้ เย่ฉ่าวเฉินจูบลงที่หน้าของเวยเวย แล้วหลับไปอย่างมีความสุข
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมู่เวยเวยบอกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ หรือสมองฟื้นตัวจริงๆ ตลอดคืนนี้ เย่ฉ่าวเฉินฝันถึงหลายเรื่องราวก่อนหน้านี้ เหมือนกับที่มู่เวยเวยพูด บางสิ่งที่เธอไม่ได้พูดก็ปรากฏในความฝัน ดังนั้นหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ไม่รู้ว่าสมองยุ่งเหยิงฟื้นความจำแล้ว หรือเป็นผลกระทบจากความฝัน
ในบรรยากาศยังตลบไปด้วยความสับสนงุนงง แสงค่อยๆสว่างขึ้นนอกหน้าต่าง เย่ฉ่าวเฉินมองลงไปที่หญิงสาวที่หลับใหลในอ้อมแขนของเธอ แกล้งหนีบจมูกเธอ บีบคางเธอ
มู่เวยเวยถูกก่อความวุ่นวายก็ไม่สบายตัวเล็กน้อย พูดพึมพำว่า “ฉ่าวเฉิน อย่าขยับสิ” น้ำเสียงออดอ้อนนุ่มนวลนี้ ตกอยู่ในหูของเย่ฉ่าวเฉิน ร่างกายของเขาก็ชาไปหมด
เตียงขนาดใหญ่ก็หวาดหวั่นวุ่นวาย สมองของมู่เวยเวยตื่นขึ้นจากการออกกำลังกายตอนเช้า แต่ยังคงหลับตาอยู่
“คุณ……คุณช้าหน่อย เจ็บ”
ไม่พูดก็ดี พูดแล้วเย่ฉ่าวเฉินยิ่งควบคุมไม่ได้ การกระทำยิ่งป่าเถื่อนขึ้น ทั้งห้องก็มีเสน่ห์ชวนหลงใหล
หลังจากการสู้รบอย่างดุเดือด เย่ฉ่าวเฉินก็นอนอยู่บนเตียงมองฝ้าเพดาน ยิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ เขากลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง? เหมือนกับหมาป่าตัวหนึ่งที่หิวโหยมานาน
“คุณรีบลุกขึ้นเถอะ ยังต้องไปบริษัทนะ” มู่เวยเวยพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“คุณไม่ไปหรอ?”
“ไม่ไปแล้ว สภาพฉันเป็นอย่างนี้จะไปให้พวกเขาหัวเราะเยาะหรอ?” มู่เวยเวยมองค้อนเขา “ฉันบอกแล้วไม่ให้คุณจูบที่นี่ คุณก็จูบ”
เย่ฉ่าวเฉินก้มลงไปมอง รอยรักสีม่วงเข้มประทับอยู่บนคอขาวของเธอหนึ่งวง
“หึหึหึ ถึงอย่างไรวันนี้คุณก็ไม่ไปแล้ว ฉันจะให้ด้านนี้อีกอันหนึ่งดีไหม?”
“อย่า” มู่เวยเวยผลักเขา พลิกตัวหนีไปอีกด้านหนึ่ง “ลุกชึ้นลุกขึ้น คุณไม่ลุกขึ้นอีก ผิงอันนาฬิกาปลุกตัวน้อยก็จะมาแล้ว”
“เขาไม่ตื่นเช้าขนาดนี้หรอก” เห็นได้ชัดว่าเย่ฉ่าวเฉินเข้าใจผิดในความขยันหมั่นเพียรของผิงอัน
เพิ่งจะพูดจบ ประตูก็ถูกเปิดออก มาพร้อมกับเสียงที่อ่อนโยนและน่ารัก “แม่ แม่ ตื่น”
สองสามีภรรยายิ้มมองหน้ากัน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นนาฬิกาปลุกขนาดเล็กฝีมือมนุษย์
“แม่ ตื่น……เอ๊ะ? พ่อ คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” ผิงอันดวงตาเบิกกว้าง ถามอย่างแปลกใจอย่างยิ่ง
เย่ฉ่าวเฉินหน้าแดง พูดอย่างค่อนข้างเขินอาย “พ่อ ทำไมพ่อถึงมาอยู่ที่นี่นะหรอ?”
“อ้อ ใช่ ปกติพ่อกับแม่ก็นอนอยู่ด้วยกัน” ผิงอันท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อย พยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง
“ผิงอัน คุณไปเล่นกับคนอื่นก่อนดีไหม? รอสักพักฉันจะไปหาคุณ?” เย่ฉ่าวเฉินพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเจรจาต่อรอง
“อ้อ โอเค”
ผิงอันวิ่งกระโดดโลดเต้นออกไปอย่างมีความสุขมาก ยืนอยู่ที่หน้าประตูรอให้สาวใช้ของเขาปิดประตูอย่างใกล้ชิด
เย่ฉ่าวเฉินสะบัดผ้าห่มลงจากเตียง ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องน้ำ
เดิมทีที่นี่ก็เป็นห้องนอนของเขา เสื้อผ้าเครื่องใช้ทุกอย่างที่ต้องการครบถ้วน เมื่อสวมเสื้อผ้าออกมา มู่เวยเวยยังหลับอยู่ เขาก้มลงไปตบเบาๆที่หน้าของเธอ “คุณไม่ตื่นอีกหรอ?”
“ไม่ ฉันง่วงจะตายอยู่แล้ว ขอนอนอีกสักพักหนึ่ง” มู่เวยเวยพูดอย่างสะลึมสะลือ
“โอเค” เย่ฉ่าวเฉินยื่นมือไปหยิบผ้าห่มมาคลุมให้ แปลกใจจริงๆ เห็นได้ชัดว่ารู้จักกันเวลาสั้นๆแบบนี้ แต่เขาทำเรื่องเหล่านี้อย่างชำนาญมาก
ลงไปชั้นล่างด้วยใบหน้าที่สดใส ความรู้สึกภายในใจคล้ายกับจะบินขึ้นมา แต่เห็นผู้หญิงท่าทางดุดันคนนั้นยืนขวางทางบันไดอยู่ เขาก็เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาทันที
“เสี่ยวเหมย อรุณสวัสดิ์” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวทักทายอย่างสุภาพ
ฟานเสี่ยวเหมยเงยหน้าจ้องมองเขาอย่างโหดเหี้ยม “ฉันไม่ดีเลยสักนิด เมื่อคืนวานคุณไปไหน?”
เย่ฉ่าวเฉิยรู้สึกหนังศีรษะชาขึ้นมา เขาพูดนิ่งๆว่า “ฉันอยู่ที่ห้องเวยเวย”
ฟานเสี่ยวเหมยระเบิดอารมณ์ทันที เธอได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องเจี๊ยวจ๊าวไปทุกหนทุกแห่งยังคิดว่าโกหก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง
“เย่ฉ่าวเฉิน! ทำไมคุณทำกับฉันแบบนี้?” ฟานเสี่ยวเหมยตะโกนใส่เขา
ชั่วพริบตา สายตาหลายดวงก็จับจ้องมายังตรงนี้
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างจนปัญญา “เสี่ยวเหมย ฉันเป็นสามีของเวยเวย ฉันทำแบบนี้ก็ไม่ได้มีอะไรผิด ในทางกลับกันพวกเรา เดิมทีก็ไม่ควรจะเริ่มต้น คือฉันต้องขอโทษคุณด้วย ฉันอยากตบอยากด่าฉันก็ตามสบาย”
อย่างไรก็ตามฟานเสี่ยวเหมยไม่คาดคิดว่าเขาจะยอมรับอย่างรวดเร็วแบบนี้ ชี้ขึ้นไปชั้นบนแล้วพูดว่า “คุณก็คือเห็นผู้หญิงคนนั้นสวยกว่าฉัน รูปร่างดีกว่าฉัน มีเงินมากกว่าฉัน จึงพอใจเธอใช่ไหมล่ะ?”
“ไม่ใช่ เพราะฉันรู้สึกใจเต้นกับเธอ” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างจริงจัง
“แต่พวกคุณเพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงสามวัน?” ฟานเสี่ยวเหมยไม่เชื่อคำพูดของเขา
“เสี่ยเหมย บางครั้งความรักต้องการเพียงวินาทีเดียวก็พอแล้ว อาจจะเพียงแค่หมุนตัวทีหนึ่ง หันกลับมามองทีหนึ่ง”
เย่ฉ่าวเหยียนยืนมองอยู่ไม่ไกล สีหน้าแววตามืดมนเล็กน้อย ดูท่า ถึงเวลาที่เขาต้องจากไปอีกครั้งแล้ว หลายวันมานี้ยากเกินไปที่เขาจะเสแสร้ง ถ้าพี่ชายฟื้นความทรงจำกลับมา ด้วยสายตาที่เฉียบแหลมของเขาจะต้องเห็นความคิดของเขาอย่างแน่นอน เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งขึ้นมาอีกครั้งของสองพี่น้อง เขาจะต้องรับไปซะ
ฟานเสี่ยวเหมยได้ฟังคำพูดนี้น้ำตาก็เอ่อในชั่วพริบตา “แล้วฉันล่ะ? ระหว่างเราถือว่าเป็นอะไร? คุณบอกว่าจะเคียงข้างฉันไปตลอดชีวิต”
“ใช่ ฉันเคยพูด แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” ในที่สุดเย่ฉ่าวเฉินก็พูดการตัดสินใจออกมา “เสี่ยวเหมย คุณเป็นเด็กผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่ง ถ้าวันนั้นมู่เวยเวยไม่ปรากฎตัว ชั่วชีวิตนี้ของฉันก็จะสามารถอยู่เคียงข้างคุณ อยู่ในหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แต่เธอปรากฎตัวแล้ว ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างนี้สงบ แล้วก็ทำให้ฉันรู้สำนึกตัวเองมากขึ้น อารมณ์ความรู้สึกที่ฉันมีให้คุณไม่ใช่ความรัก มันคือความซาบซึ้งในบุญคุณ”
“ฉันไม่ต้องการให้คุณซาบซึ้งในบุญคุณฉัน ฉันต้องการเพียงแค่ให้คุณทำตามคำสัญญาของคุณ แล้วคุณก็กลับบ้านกับฉันตอนนี้” พูดจบ ฟานเสี่ยวเหมยก็คว้าข้อมือของเขา ใช้กำลังเดินไปข้างหน้า
ถึงอย่างไรเย่ฉ่าวเฉินก็เป็นผู้ชายกำยำ ดังนั้นเขาจึงสามารถหยุดการกระทำของเธอได้อย่างง่ายดาย
“เสี่ยเหมย คุณใจเย็นหน่อย” เย่ฉ่าวเฉินสะบัดมือของเขาออก “เสี่ยวเหมย ที่ฉันให้คำสัญญากับคุณ แต่ที่เอ่ยไปในเวลานั้นคือฉันฉันไม่รู้ว่าฉันมีภรรยามีลูกมีครอบครัว ตอนนี้คุณให้ฉันทอดทิ้งทุกอย่างแล้วไปกับคุณ แล้วครอบครัวของฉันจะทำยังไง? ฉันทำไม่ได้”
“แล้วฉันต้องทำยังไงล่ะ? ตอนนี้คนทั้งหมู่บ้านรู้แล้วว่าฉันจะแต่งงานกับคุณ คุณจะให้ฉันกลับไปบอกกับทุกคนว่ายังไง?”
เย่ฉ่าวเฉินกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย “คุณก็ไม่ต้องกลับไป อยู่ที่เมืองA ตระกูลเย่ของพวกเราจะซื้อบ้านให้คุณหลังหนึ่ง”
“ต้องการใช้บ้านหลังหนึ่งมาไล่ฉันงั้นหรอ? ฉันทุ่มเทเพื่อคุณมากมายขนาดนั้น ปรนนิบัติคุณเหมือนพี่เลี้ยง ตอนนี้คุณพูดมาประโยคหนึ่งว่าเรื่องราวที่คุณนึกถึงฉันมีเพียงซาบซึ้งในบุญคุณงั้นหรอ?”
“แล้วคุณคิดว่าเป็นยังไงล่ะ?” เย่ฉ่าวเฉินหงุดหงิดเล็กน้อย
“หย่ากับเธอ แล้วแต่งงานกับฉัน” ฟานเสี่ยวเหมยพูดจากใจจริง
เย่ฉ่าวเฉินเปลี่ยนทัศนคติจากสองวันก่อน กล่าวปฏิเสธว่า “เป็นไปไม่ได้”
ฟานเสี่ยวเหมยพูดโดยไม่คิด “ไม่แต่งงานกับฉันก็ได้ แต่ฉันก็ต้องการอยู่ที่นี่ ฉันต้องการเป็นเมียน้อยของคุณ”
เย่ฉ่าวเฉินเกือบจะคิดว่าตนเองฟังผิด อ้าปากแสดงความประหลาดใจ “เสี่ยวเหมย ตอนนี้ไม่ใช่สังคมศักดินา ไม่สนับสนุนระบบมีภรรยาหลายคน ยิ่งไปกว่านั้น ฉันก็ไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วย”
ฟานเสี่ยเหมยแทบจะถูกเขาโจมตีอย่างบ้าคลั่ง กระทืบเท้าด้วยความโกรธแล้วกล่าวว่า “เย่ฉ่าวเฉิน ตกลงผู้หญิงคนนั้นกรอกยาเสน่ห์ให้คุณไปแค่ไหนกัน? เวลาเพียงสองวันจิตวิญญาณของคุณก็ถูกเธอชักจูงไปแล้ว”
“คือฉันชอบเธอมาก่อน เสี่ยวเหมย เรื่องเหล่านี้คือความผิดของฉัน คือฉันทอดทิ้งคุณ ฉันเป็นผู้ชายเหี้ยๆคนหนึ่ง คุณอยากตบอยากด่าให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ฉันไม่มีข้อขัดข้อง แต่เงื่อนไขของคุณฉันไม่ยินยอมโดยเด็ดขาด”
ฟานเสี่ยวเหมยจ้องมองเขาอย่างเย็นชา “ฉันให้คุณทำอะไรก็ได้งั้นหรอ?”
“ใช่” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างแน่วแน่
ฟานเสี่ยวเหมยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พูดคุกคามเขาว่า “ชีวิตนี้ของคุณคือฉันเก็บมาได้ ฉันเอาชีวิตนี้มาคืนให้ฉันสิ”
เย่ฉ่าวเฉินมองเธออย่างเงียบๆ หลังจากแน่ใจแล้วว่าเธอไม่ได้ล้อเล่น จึงพูดอย่างเย็นชาว่า “เอาชีวิตนี้คืนให้คุณ พวกเราก็จะไม่ติดค้างกันแล้วใช่ไหม?”
“ใช่”
เย่ฉ่าวเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “คุณต้องการให้ฉันทำยังไง?”
“กระโดดลงไปจากด้านบน คุณตาย คุณกับฉันก็จบสิ้นบุญคุณความแค้น คุณมีชีวิตอยู่ ก็ถือว่าพระเจ้าให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อ” ด้านบนที่ฟานเสี่ยวเหมยชี้ คือชั้นบนของคฤหาสน์
คฤหาสน์มีสามชั้น บวกชั้นลอยของชั้นที่สี่ ระดับความสูงอย่างน้อยก็ประมาณยี่สิบเมตร
เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้ามองคฤหาสน์ที่ใหญ่สูงตระหง่าน แล้วถามอีกรอบว่า “จะต้องทำแบบนี้ใช่ไหม?”
“ใช่”
“ได้ ฉันรับปาก” สีหน้าเย่ฉ่าวเฉินเข้มงวด ในดวงตาปรากฎให้เห็นถึงการตัดสินใจที่เด็ดขาด
เย่ฉ่าวเหยียนฟังถึงคำพูดนี้ก็ตกตะลึง รีบคว้าสาวใช้ที่เดินผ่านไปและสั่งอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นก็รีบก้าวเท้าเข้ามายังคนทั้งสอง ทันใดก็ขัดขวางฝีเท้าของเย่ฉ่าวเฉิน “พี่ คุณไปไม่ได้ กระโดดลงมาจากที่สูงขนาดนี้ ถึงแม้ว่าไม่ตายก็พิการ คุณทำแบบนี้ไม่ได้”
เย่ฉ่าวเฉินกำหมัดแน่น เขาก็ไม่อยากทำแบบนี้ เขาเพิ่งหาคนที่ชอบพบ แล้วเขายังมีลูกชายที่น่ารักอีกคนหนึ่ง แต่…..
“ฉ่าวเหยียน นี่คือสิ่งที่ฉันติดหนี้ฟานเสี่ยวเหมย คืนแล้ว ทุกอย่างก็จะจบสิ้น”
เย่ฉ่าวเฉินยิ่งพูดแบบนี้ ฟานเสี่ยวเหมยก็ยิ่งแข็งกร้าว เธอไม่เชื่อว่าจะมีคนที่ทำเพื่อความรักจนแม้กระทั่งชีวิตก็ไม่ต้องการ
“ฟานเสี่ยวเหมย คุณต้องการเงินเท่าไรได้ทั้งนั้น จะต้องการชีวิตของพี่ชายฉันเลยหรอ?
ฟารเสี่ยวเหมยหัวดื้อขึ้นมา ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “ชีวิตของเขาคือฉันช่วยมา แน่นอนว่าฉันมีอำนาจที่จะเอามันกลับไป”
แม้เย่ฉ่าวเหยียนจะอารมณ์นุมนวลแบบนี้แล้วก็ถูกเธอบังคับจนเกือบจะเป็นบ้าแล้ว “คุณ…..ทำไมคุณเป็นผู้หญิงที่มีอคติแบบนี้ห๊ะ? เอาเงินไปมีชีวิตอิสระไม่ดีหรอ? หนุ่มที่อ่อนกว่าหล่อกว่าพี่ชายฉันมีถมไป ทำไมจะต้องเป็นเขาด้วยล่ะ?”
“คุณไม่ต้องพูดไร้สาระให้มาก พวกคุณให้ฉันเลือกเงื่อนไข ฉันก็เลือกเงื่อนไขให้พวกคุณ นี่ก็ยุติธรรมมากแล้ว” ฟานเสี่ยวเหมยจ้องมองดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินอย่างเย็นชา “เย่ฉ่าวเฉิน นี่คือสิ่งที่คุณเลือกเอง โทษฉันไม่ได้”
“ฉันไม่โทษคุณ เสี่ยวเหมย ไม่ว่าจะยังไง ฉันก็ยังต้องขอบคุณคุณ” พูดจบ เขาก็เดินอ้อมเย่ฉ่าวเฉินขึ้นบันไดไป ก้าวเท้าเดินอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ชั่วพริบตาเดียวที่เขาหันตัวนั้น สายตาของฟานเสี่ยวเหมยก็หวั่นไหวเล็กน้อย
“คนบ้า พวกคนบ้า” เย่ฉ่าวเหยียนด่าเสียงดังอย่างกระหืดกระหอบ ตามหลังเย่ฉ่าวเฉินไปพูดโน้มน้าวไม่หยุด “พี่ใหญ่ คุณทำแบบนี้ไม่ได้จริงๆนะ”
เมื่อมาถึงชั้นสอง มู่เวยเวยท่าสวมชุดนอนรีบมาขวางด้านหน้าของเขา “ทำอะไรน่ะ?”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มมุมปากทีหนึ่ง ความอ่อนโยนในสายตาที่เหมือนเคย เขายื่นมือไปลูบคลำใบหน้าของเธอเบาๆ “มู่เวยเวย ฉันกำลังคิดอยู่ว่า ตกลงคุณใส่ยาเสน่ห์อะไรให้ฉัน ถึงทำให้ฉันไม่ต้องการแม้กระทั่งชีวิต”
“ตกลงคุณกำลังพูดเรื่องอะไร?” มู่เวยเวยงุนงงอย่างมาก เธอหลับอยู่เมื่อกี้ มีสาวใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามาบอกว่าคุณชายและฟานเสี่ยวเหมยทะเลาะเอะอะโวยวายกันขึ้นมา เดิมทีเธอก็ไม่อยากจะเคลื่อนไหว แต่ได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจแบบนั้นจากนอกหน้าต่าง เลยตัดสินใจออกมาดู ผลสุดท้ายเดินมาถึงบันไดก็พบแล้ว
เย่ฉ่าวเหยียนพูดอย่างกระหืดกระหอบว่า “ฟาตเสี่ยวเหมยบอกว่าเธอช่วยชีวิตพี่ชายฉัน ถ้าพี่ชายฉันไม่แต่งงานกับเธอก็ต้องคืนชีวิตนี้ให้เธอ ให้พี่ชายฉันกระโดดลงมาจากชั้นบนของตึก คาดไม่ถึงว่าพี่ชายฉันก็รับปาก คุณรีบโน้มน้าวเขา พวกเรามีเรื่องก็เจรจากันดีๆ”
มู่เวยเวยฟังเข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว ก็มองตาเย่ฉ่าวเฉินแล้วพูดว่า “คุณตัดสินใจแล้วหรอ?”
“ใช่ ฉันตัดสินใจแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างจริงจัง “ฉันเป็นสามีของคุณ แต่งงานกับคนอื่นไม่ได้ นั่นก็เลยต้องเอาชีวิตคืนให้เธอ”
“ฉันจะไปหาเธอ” มู่เวยเวยสีหน้าเคร่งขรึม แต่ถูกเย่ฉ่าวเฉินถึงแขนเอาไว้ “เธอไม่ฟังอะไรทั้งนั้นแหละ”
“ฉันก็ไม่อาจลืมตามองคุณตายได้” มู่เวยเวยตะคอกใส่เขา ใช้กำลังดิ้นออกจากมือของเขา รีบก้าวฝีเท้าลงบันได แต่อีกคนหนึ่งก็เดินขึ้นต่อไป
นอกอาคาร มือทั้งคู่ฟานเสี่ยวเหมยกำแน่นไว้ด้านหลัง เธอตึงเครียดอย่างมาก อันที่จริงเธอเพียงแค่อยากบังคับให้เขาแต่งงานกับเธอเท่านั้น เธอไม่ได้อยากให้เขาตาย
แต่ทว่า เมื่อเธอเห็นมู่เวยเวยเข้ามา ใจที่อ่อนเล็กน้อยเมื่อกี้ก็แข็งขึ้นมาทันที ยิ่งรอยจูบนั่นที่ต้นคอด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ดวงตาของเธอลุกไหม้โดยตรง เถาวัลย์ความอิจฉาริษยาพันรอบหัวใจของเธออย่างแน่น
‘ฟานเสี่ยวเหมย ยกเลิกเงื่อนไขของเธอได้ไหม? ถือว่าฉันขอร้องคุณล่ะ”
ใจที่เย่อหยิ่งของเสี่ยวซีหร่านพึงพอใจถึงที่สุด พูดอย่างดูถูกว่า “คุณหยิ่งยโสมากไม่ใช่หรอ? คุณดูถูกฉันไม่ใช่หรอ? ตอนนี้มาขอร้องฉันทำอะไรล่ะ?”
“ฟานเสี่ยวเหมย ปล่อยเย่ฉ่าวเฉินไป ฉันยอมรับเงื่อนไขของคุณ หย่ากับเขา” มู่เวยเวยเอ่ยปากพูดออกมา เธอไม่สามารถใช้สายตามองเขากระโดดลงมาจากที่สูงแบบนั้นได้
หย่าก็เท่านั้น เขามีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว
“อีกอย่าง หย่าแล้วก็สามารถแต่งงานได้ใหม่อีก ทดแทนบุญคุณฟานเสี่ยวเหมยแล้ว พวกเขาก็ยังคงอยู่ด้วยกันได้
ฟานเสี่ยวเหม่ยจ้องมองดวงตาเขา ไม่อยากเชื่อคำพูดของเธอจริงๆ “คุณพูดอะไร?”
มู่เวยเวยใจเย็นอย่างยิ่ง “ยกเลิกเงื่อนไขของคุณ ฉันจะหย่ากับเขาทันที”
“จริงหรอ?”
“ฉันสาบานกับพ่อแม่ผู้ล่วงลับ ไม่พูดเท็จอย่างแน่นอน”
ฟานเสี่ยวเหมยยืนแข็งทื่อ ความสุขมาเร็วเกินไป เธอรับไม่ทันเล็กน้อย
แต่เวลานี้ เย่ฉ่างเฉินยืนอยู่บนยอดตึกที่สูงตระหง่านแล้ว เสื้อดชิ้ตสีดำปลิวหวีดหวิวไปตามลม
เย่ฉ่าวเฉินโบกมือไปยังยอดตึก “เย่ฉ่าวเฉิน คุณลงมาเถอะ รีบลงมา”
สองพี่น้องที่อยู่บนตึกแปลกใจเล็กน้อย เธอเข้าใจแล้วหรอ? แต่คำพูดหนึ่งของด้านล่าง ก็ทำให้เย่ฉ่าวเฉินโกรธ
“คุณลงมาเร็งเข้า มู่เวยเวยรังปากแล้วว่า เธอจะหย่าร้างกับคุณ”
คำว่าหย่าร้างสองคำลอยตามลมมาเข้าหูของสองพี่น้อง คนทั้งสองหยุดชะงักไปในเวลาเดียวกัน
เย่ฉ่าวเฉินมองมู่เวยเวยอย่างไม่อยากจะเชื่อ ถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “คุณต้องการจะอย่ากับฉันหรอ?”
“ใช่ ฉันต้องการหย่ากับคุณ” มู่เวยเวยพูดเสียงดังมาก รับรองว่าเขาสามารถได้ยิน
ฉันต้องการหย่ากับคุณ ฉันต้องการหย้ากับคุณ………
ลึกเข้าไปของจิตวิญญาณ ความทรงจำฟื้นคืนมาเล็กน้อย คล้ายกับเคยมีเสียงหนึ่งแบบนี้ที่กำลังพูดไม่หยุด เย่ฉ่าวเฉิน ฉันต้องการหย่ากับคุณ พวกเราหย่ากันเถอะ คุณปล่อยฉันไปเถอะ……..
“เป็นไปไม่ได้! มู่เวยเวย ฉันยอมคืนชีวิตนี้ให้เธอซะดีกว่า ฉันไม่สามารถยอมรับที่จะหย่ากับคุณได้ “เย่ฉ่าวเฉินตะโกนเสียงดังมายังเธอจบ ร่างก็ทะยานกระโดดลงมาจากยอดตึกสูง เย่ฉ่าวเหยียนที่อยู่ด้านข้างแม้กระทั่งมุมเสื้อของเขาก็คว้าไว้ไม่ได้
“ไม่——” ผู้หญิงทั้งสองร้องตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน เวลาเดียวกันก็วิ่งเข้าไปยังที่ที่เขากระโดดลงมา
ชั้นสี่ไม่สูงมาก ตกลงบนพื้นอย่างรวดเร็วมาก แต่เมื่อเขาอยู่ห่างจากพื้นครึ่งเมตร เวลาก็หยุดโดยฉับพลัน
คนทั้งหมดเหมือนถูกหยุดชะงักการเคลื่อนไหว มีเพียงภาพเงาบุคคลตัวเล็กวิ่งออกมาจากห้อง ดวงตาที่แตกต่างกันคู่หนึ่งเป็นประกาย เขายังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เข้าไปผลักๆมู่เวยเวยที่กลายเป็นรูปปั้น “แม่ แม่ คุณเป็นอะไรไป?”
แม่ไม่ขยับเลยสักนิด แล้วเขาก็วิ่งไปตรงหน้าของเย่ฉ่าวเฉิน ก้มหน้าไปมองดวงตาของเขา “พ่อ พ่อ คุณอย่าตายนะ”
สิ่งมหัศจรรย์ปรากฎออกมา ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินจากสีฟ้าค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีม่วง
“พ่อ ดวงตาของคุณ……..”
“ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้วใช่ไหม?” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน เพราะเขารู้สึกได้ถึง ความทรงจำที่เปื้อนฝุ่นในร่างกายเหล่านั้นเริ่มตื่นขึ้นแล้ว
“สีม่วงคือสีอะไร?” ผิงอันถามอย่างสับสนงุนงง
“ก็คือสีที่ตาขวาของคุณไง”
“ใช่แล้วๆ คือสีนี้”
การหยุดของเวลาเป็นช่วงเวลาสั้นมาก วินาทีต่อมา ลมก็พัด
แรงโน้มถ่วงที่ตกลงยังคงมีอยู่ เพียงแต่การกระทำเมื่อกี้ถูกผิงอันทอนกำลังลง ร่างกายปะทะบนพื้น เมื่อดวงตาเย่ฉ่าวเฉินมองไปยังเทพวีนัส มู่เวยเวยก็ตะโกนเรียกและโผเข้ามายังข้างเขา
“เย่ฉ่าวเฉิน เย่ฉ่าวเฉิน คุณต้องยืนหยัดอยู่ คุณอาหวัง รีบเตรียมรถไปโรงพยาบาลเร็วเข้า” เสียงของเธอกำลังร้องตะโดน มือทั้งคู่ของเธอก็กำลังสั่น น้ำตาที่ราวกับไข่มุกที่ไม่ต่อกัน กลิ้งลงมาและหยดลงบนใบหน้าของตนเอง
ดีจริงๆ เวยเวย ในที่สุดฉันก็จำคุณได้แล้ว คุณดีใจไหม?