วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 267 : จูบคืนสู่เหย้าที่รอคอยมานาน
“เย่ฉ่าวเฉิน นี่คุณบ้าไปแล้ว คนบ้า——” มู่เวยเวยร้องไห้เหมือนดังฝนตก
และฟานเสี่ยวเหมยที่อยู่ข้างๆก็ทึ่มทื่อไปเลย หัวสมองว่างเปล่า
พ่อบ้านหวังตกใจมือไม้อ่อนตะโกนเรียกเสี่ยวฟางไปขับรถ โทรไปที่โรงพยาบาล
เวลานี้ ผิงอันดึงแขนเสื้อมู่เวยเวย พูดเสียงเบาๆว่า “แม่ คุณอย่าร้องไห้ พ่อไม่เป็นอะไร”
มู่เวยเวยตกตะลึง เช็ดน้ำตาแล้วมองลูกชาย “คุณพูดอะไร?”
“พ่อไม่เป็นอะไร เมื่อกี้เขายังพูดกับฉันเลย” ผิงอันดูเหมือนแบ่งปันความลับกับเธอ พูดอย่างดูลึกลับมาก
มู่เวยเวยตกใจ เห็นได้ชัดว่าเย่ฉ่าวเฉินตกลงมาที่พื้น เธอเห็นอย่างชัดเจน จะมีเวลาคุยกับผิงอันได้อย่างไร?
เดี๋ยวนะ ผิงอันปรากฏตัวอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่? เหมือนว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นะ
ฉับพลันก็นึกอะไรบางอย่างได้ มู่เวยเวยรีบหันไปมองฟานเสี่ยวเหมยที่ยังคงตกตะลึงอยู่ กระซิบถามผิงอันว่า “พ่อพูดกับคุณว่าอะไร?”
“พ่อถามฉันว่า สีดวงตาของเขาเปลี่ยนกลายเป็นสีเดียวกับดวงตาข้างขวาของฉันหรือเปล่า?”
มู่เวยเวยมองตาข้างขวาของลูกชาย เป็นสีม่วง
พูดแบบนี้ เมื่อกี้ที่เย่ฉ่าวเฉินตกลงมาก็เกิดการกระตุ้นความสามารถพิเศษในร่างกาย ทำให้เวลาหยุดนิ่งหรอ? หรือว่า ลูกชายใช้ความสามารถพิเศษในร่างกายหรอ?
“ผิงอัน อย่าบอกคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไหม?” มู่เวยเวยกระซิบสั่งเขา
ผิงอันพยักหน้าหนักๆ
เวลานี้ เสี่ยวฟางจอดรถบ้านตรงหน้าพวกเขา บอดี้การ์ดรีบเข้ามายกเย่ฉ่าวเฉิน
“ช้าๆหน่อย” มู่เวยเวยได้ฟังสิ่งที่ผิงอันพูดเมื่อกี้นี้ จิตใจก็สงบมากขึ้น ไม่กระสับกระส่ายเหมือนเมื่อกี้นี้
เย่ฉ่าวเหยียนลงมาอย่างรวดเร็ว รีบกระโดดเข้าไปในรถบ้าน รีบถามว่า “พี่ชายฉันเป็นอย่างไรบ้าง?”
มู่เวยเวยจับชีพจรของเขา พูดเบาๆว่า “ยังไม่ตาย”
“พระเจ้าคุ้มครอง” เย่ฉ่าวเหยียนพนมมืออธิษฐาน
“คุณอาหวัง ดูแลผิงอันด้วย” มู่เวยเวยตะโกนออกมาด้านนอกหนึ่งประโยค จากนั้นก็บอกคนขับรถว่า “ออกรถ”
รถบ้านขับออกไปได้สองเมตร ฟานเสี่ยวเหมยก็สติกลับมา รีบไปเกาะหน้าต่างรถแล้วตะโกนว่า “ฉันก็ต้องไปด้วย”
ความเร็วในการขับรถไม่เร็วมาก ฉะนั้นฟานเสี่ยวเหมยจึงวิ่งตามไปทัน
มู่เวยเวยหันไปมองผู้หญิงที่ไล่ตามอยู่นอกรถ พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เขาคืนชีวิตนี้ให้คุณไปแล้ว ต่อไปนี้เขาก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณอีก”
ฟานเสี่ยวเหมยน้ำตาคลอ “ไม่ ขอร้องละให้ฉันตามไปด้วย ฉันไม่สามารถอยู่ที่บ้านได้ ฉันแค่อยากเห็นเขาตื่นขึ้นมาด้วยตาของตัวเอง ขอแค่เขาตื่นขึ้นมา ฉันจะไปจากตระกูลเย่ทันที”
มู่เวยเวยใจอ่อน ยังไงแล้ว เธอก็เป็นคนของคนรัก
“เสี่ยวฟาง หยุดรถ”
บรรยากาศในรถกดดันเป็นพิเศษ สายตาของมู่เวยเวยจดจ่ออยู่ที่ตัวของเย่ฉ่าวเฉิน เธออยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเย่ฉ่าวเฉิน
ไม่นาน “ฮือฮือฮือ”เสียงร้องไห้ดังขึ้น มู่เวยเวยไม่มองก็รู้ว่าฟานเสี่ยวเหมยนั่งอยู่ข้างหลัง
ตนเองผ่านอุปสรรคมามากมายขนาดนั้นแต่เมื่อกี้นี้ก็ถูกเย่ฉ่าวเฉินทำให้ตกใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาวน้อยคนนี้ ฉะนั้นเธอจึงร้องไห้ไม่หยุด
เธอจำเป็นต้องบรรเทาอารมณ์กังวลใจและหวาดกลัวในใจลง
เย่ฉ่าวเหยียนไม่รู้เรื่องของผิงอัน เวลานี้จึงกังวลใจมาก ได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอ ความโกรธในใจก็ผุดขึ้นมาทันที พูดอย่างโมโหว่า “พี่ชายฉันยังไม่ตาย คุณจะร้องหาอะไร?”
ฟานเสี่ยวเหมยตกตะลึง แต่ยังตามด้วยเสียง”ฮือๆ”ร้องไห้ ร้องไห้ไปพูดไป “ฉันไม่ได้ตั้งใจ……ฉันแค่โกรธเขา……ใครจะรู้……”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองเธอด้วยความเกลียดชัง จากการอบรมสั่งสอนที่ดีทำให้เขาไม่โต้ตอบกลับผู้หญิงคนนั้นไป แค่จับมือของเย่ฉ่าวเฉินไว้เท่านั้น ภาวนาให้เขาโชคดีเหมือนครั้งที่แล้ว ไม่ให้เกิดเรื่องใดๆ
“ฉันไม่อยากให้เขาตาย……ฮือฮือฮือ……ถ้าฉันรู้ว่าเขากระโดดจริงๆ ฉัน ฉันจะไม่ให้เขากระโดดอย่างแน่นอน……เขาเป็นคนแรกที่ฉันชอบ ฉันจะให้เขาตายได้อย่างไร……ฮือฮือฮือ……”
ฟานเสี่ยวเหมยร้องไห้อย่างน่าเวทนามาก น้ำมูกไหลน้ำตาหยด
มู่เวยเวยได้ฟังในใจทั้งหงุดหงิดทั้งเห็นใจเธอ หยิบกล่องทิชชู่หน้ารถ ส่งให้เย่ฉ่าวเหยียน บอกใบ้ว่าให้ส่งให้เธอ
เย่ฉ่าวเหยียนจ้องมองเธออย่างจนปัญญา นำกล่องทิชชู่ให้เธออย่างลวกๆ “พอแล้ว รู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจก็ดีแล้วใช่ไหมล่ะ? ต้องโทษพี่ชายของฉันที่ดื้อรั้นเกินไป ฉุดรั้งไว้ไม่อยู่ จะต้องกระโดดลงมา เพียงแต่ว่า คุณรับปากว่าจะไม่บังคับให้พี่ชายฉันแต่งงานกับคุณแล้วจริงๆใช่ไหม?
ฟานเสี่ยวเหมยเช็ดน้ำตา พยักหน้าแล้วพูดว่า “อืมอืม ไม่บังคับเขาแล้ว” พูดจบก็มองไปที่มู่เวยเวยตรงหน้าเธอ พูดอย่างน้อยใจว่า “ในเมื่อเขาไม่ชอบฉัน ฉันก็จะไม่ดึงดัน ฝืนใจไปก็เท่านั้น”
“คุณคิดได้เร็วกว่านี้ก็ดีสิ?”
คิดได้เร็วกว่านี้
ก็เพียงแค่สามวันเอง ฟานเสี่ยวเหมยจะคิดละเอียดถี่ถ้วนเช่นนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเธอชอบเย่ฉ่าวเฉินมากจริงๆ เห็นชายคนที่ชอบมากว่าสามเดือน จู่ๆไปตกหลุมรักผู้หญิงคนอื่น เธอก็หึงหวงอย่างบ้าคลั่ง ในหัวฉันคิดแต่ว่าจะพาเขากลับมาได้อย่างไร จะมาคิดปล่อยมือได้อย่างไร?
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเย่ฉ่าวเฉินตัดสินใจกระโดดลงมาเช่นนี้ เธอจะก่อเรื่องอะไรอีกในอนาคต ตัวเธอเองก็ไม่รู้
มาถึงโรงพยาบาล หมอและพยาบาลจำนวนมากรออยู่ที่หน้าประตู เมื่อรถจอด เย่ฉ่าวเฉินถูกหามขึ้นเปล พ่อบ้านหวังโทรบอกสาเหตุของอาการบาดเจ็บแล้ว ดังนั้นหมอจึงไม่ต้องถาม จึงเข็นเย่ฉ่าวเฉินเข้าห้องฉุกเฉินไปเลย
มู่เวยเวยนั่งไม่ติดเดินไปเดินมาหน้าห้องฉุกเฉิน สองมือจับเอาไว้ด้วยกัน แล้วมองผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆเข้าไปตลอด
ฟานเสี่ยวเหมยก็ร้องไห้ไม่หยุด ตาบวมแดงนั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าอาการใจลอยเล็กน้อย
เวลาจะเชื่องช้าเหมือนหอยทากคลาน ก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ประตูห้องฉุกเฉินจึงถูกเปิดออก มู่เวยเวยกับเย่ฉ่าวเหยียนรีบเดินไป “เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“สัญญาณชีพค่อนข้างปกติ เราทำอัลตร้าซาวด์ให้เขา ไม่มีร่องรอยความเสียหายของอวัยวะภายใน กระดูกอะไรก็ดีหมด” หมอกล่าว
“เขาฟื้นแล้วใช่ไหม?”
“ยัง น่าจะหมดสติไปชั่วขณะ อีกสักพักน่าจะฟื้น”
หมอเพิ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงพยาบาลตะโกนว่า “หมอ คนไข้ฟื้นแล้ว”
มู่เวยเวยกับเย่ฉ่าวเหยียนได้ยินข่าวนี้ ก็รีบเข้าไปด้วยความดีใจประหลาดใจ จากนั้น เธอเห็นดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน เพียงแค่เหลือบมอง มู่เวยเวยก็รู้ได้เลยว่า ความทรงจำเขากลับมาแล้ว
อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลโดยไม่ได้ตั้งใจ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับงดงามที่สุด
“เวยเวย มานี่” เย่ฉ่าวเฉินยื่นมือไปทางเธอ
มู่เวยเวยยิ้ม เดินเข้าไปดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝน กำกำปั้นทุบลงบนอกของเขา “คุณทำให้ฉันตกใจ คุณทำให้ฉันตกใจ คุณรู้ไหมว่าฉันตามหาคุณมานานแค่ไหน คุณยังความจำเสื่อม คุณอยากให้ฉันโกรธจนตายไปเลยใช่ไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินปล่อยให้เธอตี รอให้เธอตีจนพอ จึงคว้าขอมือเธอ ใช้แรงดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด จากนั้นจึงจูบริมฝีปากเธอ
นี่เป็นการจูบคืนสู่เหย้าที่รอมานาน ทั้งอบอุ่นและลึกซึ้ง บอกเล่าความรู้สึกของกันและกัน
ฉากนี้เย่ฉ่าวเหยียนถูกมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง ยักไหล่ โบกมือให้กับเหล่าพยาบาลที่แอบยิ้มมองมา ทุกๆคนก็ต่างตามเขาออกไปจากห้องฉุกเฉิน
อย่างไรเสีย การได้เห็นการซุปซิปนินทาเย่ฉ่าวเฉิน มันไม่ใช่เรื่องง่าย
หลังจากจูบลึกซึ้งแบบฝรั่งเศสแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็ชนหน้าผากกับฝ่ายหญิง ในแววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
“หวานเหมือนเมื่อคืนเลย” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงมีความสุข
มู่เวยเวยหน้าแดง จู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้อยู่โรงพยาบาล ต้องการจะดิ้นลุกขึ้น ทว่าถูกเย่ฉ่าวเฉินกอดไว้แน่น
“อย่าขยับ ให้ฉันกอดคุณหน่อย ฉันไม่ได้กอดคุณนานมากเลย” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
มู่เวยเวยหยุดดิ้นรน ซบอกเขาเหมือนกับแมวตัวหนึ่ง “ความทรงจำคุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เป็นผิงอันที่เรียกฉันให้ฟื้น” เย่ฉ่าวเฉินพูดไม่เข้าเนื้อหา
“หมายความว่ายังไง?”
“ตอนที่ฉันตกลงมา จู่ๆเวลาก็หยุด จากนั้นก็ได้ยินเสียงของผิงอัน แล้วความทรงจำก็ค่อยๆฟื้น” เย่ฉ่าวเฉินลูบผมสั้นๆของเธอ นี่เขาทำมานานจนเป็นนิสัยไปแล้ว เมื่อก่อน ผมเธอยาวมาก ทั้งดำทั้งเงางาม ตอนที่เย่ฉ่าวเฉินไม่มีเรื่องอะไรมักชอบเล่นผมของเธอ ตอนนี้กลายเป็นผมสั้นไปแล้ว นิสัยนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน
มู่เวยเวยเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ “พูดแบบนี้ไม่ใช่ความสามารถพิเศษของคุณ แต่เป็นของผิงอันหรอ?”
“ใช่ของเขา” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างแน่ใจ” เขาแข็งแกร่งกว่าที่เราคิดไว้มาก อย่างน้อยก็เก่งกว่าฉัน แค่ตอนนี้เขายังไม่ชำนาญในการใช้มัน
“ใช่สิ” มู่เวยเวยเงยหน้ามองไปทางเขา จึงถามเขา “คุณไม่ได้โง่ใช่ไหม ทำไมคุณถึงกระโดดลงมาจากที่สูงเช่นนั้น ถ้าเกิดว่าได้รับบาดเจ็บล่ะ?”
“เดิมทีฉันยืนอยู่ด้านบนแล้วต้องการเจรจากับฟานเสี่ยวเหมย แต่คาดไม่ถึงว่าคุณบอกว่าต้องการจะหย่า ฉันจะไม่กระวนกระวายใจหรอ”
“หย่าร้างยังกลับมาเจอกันได้อีก หากว่าคุณเกิดอุบัติเหตุ ฉันกับผิงอันจะทำยังไง?”
เห็นได้ชัดว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่เห็นด้วยกับความคิดของเธอ บีบแก้มผอมๆของเธอแล้วพูดว่า “รวมสองเรื่องด้วยกันได้ยังไง? ในพจนานุกรมของฉัน ไม่มีคำว่าหย่าร้างสองคำนี้ คุณอย่าแม้แต่จะคิดถึงมัน”
มู่เวยเวยแสดงความเย่อหยิ่งในสายตาของเธอ “นี่ก็พลิกแพลงแผนการไหม รอให้ฟานเสี่ยวเหมยคิดว่าคุณตาย เราก็กลับมาเจอกันอีกที”
“ไม่ได้ ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าหากว่าคุณพอใจผู้ชายคนไหนขึ้นมา ฉันจะไม่น้ำตาตกหรอ?”
มู่เวยเวยหัวเราะ วางหัวไว้ที่หน้าอกของเขา สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของเขา การเต้นของหัวใจของเขา ลมหายใจของเขา
“ดีจริงๆ” มู่เวยเวยกล่าวด้วยความพึงพอใจ
สองคนกำลังปรับทุกข์สุขกัน พยาบาลคนหนึ่งก็ผลักประตูเข้ามา “คุณเย่ หมอบอกว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนนี้สามารถกลับบ้านได้แล้ว”
“ขอบคุณมาก” เย่ฉ่าวเฉินยังคงรักษาท่าทีที่สง่างาม พูดอย่างเรียบๆ
“แล้วก็ พวกคุณรีบออกมาจะดีที่สุด อีกสักครู่จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคนมาที่ห้องฉุกเฉินนี้”
เอ่อ……โอเค
ทั้งสองเดินออกจากห้องฉุกเฉิน ฟานเสี่ยวเหมยก็เดินโซเซเข้ามาพร้อมน้ำตา ทำท่าจะกอดเย่ฉ่าวเฉิน แต่ถูเย่ฉ่าวเฉินหยุดด้วยคำพูด “คุณฟาน สวัสดีครับ”
ฟานเสี่ยวเหมยหยุดฝีเท้า เธอมองชายตรงหน้าคนนี้ด้วยความตื่นตกใจ ดวงตาของเขาไม่ใสซื่อและบริสุทธิ์เหมือนแต่ก่อน แต่ลึกลับเคร่งขรึมเล็กน้อย ราวกับเปลี่ยนเป็นอีกคน
แล้วก็ เขาไม่เคยเรียกเธอว่าคุณฟานมาก่อน โกรธมากสุดก็จะเรียกชื่อเต็มของเธอ
“คุณ……” ฟานเสี่ยวเหมยไม่กล้ายืนยันสิ่งที่คิดในใจ
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่ ฉันจำเรื่องเมื่อก่อนได้แล้ว ขอบคุณคุณที่ช่วยฉัน”
อาจจะโมโหจนเปลี่ยนไป ฟานเสี่ยวเหมยกลัวต่อความลึกลับซับซ้อนเช่นนี้ของเย่ฉ่าวเฉิน ไม่กล้าไปวุ่นวายเช่นนั้นเหมือนแต่ก่อน
เย่ฉ่าวเหยียนเก็บความรู้สึกที่ตื่นเต้นมากๆ แล้วตะโกนว่า “พี่”
เย่ฉ่าวเฉินแสดงออกด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ “เวลานี้รบกวนคุณเลย”
“เป็นสิ่งที่ฉันควรทำ เรากลับบ้านกันก่อนเถอะ” เย่ฉ่าวเหยียนยังยากที่จะเผชิญหน้ากับเย่ฉ่าวเฉิน ยกเท้าเดินไปทางประตูโรงพยาบาล
เย่ฉ่าวเฉินมองตามหลังเขา หันไปถอนหายใจกับมู่เวยเวย “เขายังเกลียดฉันอยู่”
มู่เวยเวยไม่เห็นด้วย “คุณคิดมาก ถ้าเขาเกลียดคุณ ครั้งนี้เขาจะไม่พยายามกลับมาหาคุณแบบนี้หรอก ยิ่งไม่สามารถส่งบริษัทกลับคืนให้คุณเมื่อพบคุณ คุณคิดเช่นนี้กับฉ่าวเหยียน ใจแคบเกินไปจริงๆ”
“อย่าพูดแบบนี้กับฉัน” ในน้ำเสียงของเย่ฉ่าวเฉินมีความหึงหวง เขายังจำได้ว่าเย่ฉ่าวเหยียนชอบเวยเวยแค่ไหน ก็เพราะว่าเรื่องนี้ฉันจึงไม่ได้พูดกับเขามาสองปีแล้ว
มู่เวยเวยไม่พูดจา ถลึงตาใส่เขา “ชิ ใจคอคับแคบ ฉันแค่พูดความจริงก็เท่านั้น ใจกว้างหน่อยได้ไหม”
“ไม่ได้ เรื่องนี้ฉันไม่สามารถใจกว้างได้”
“จู่ๆฉันก็รู้สึกว่า คุณความจำเสื่อมจะดีกว่า นุ่มนวลน่ารัก เหมือนวัยรุ่น มองดูคุณตอนนี้แล้ว เฮ้อ……” มู่เวยเวยถอนหายใจแล้วเดินไป เย่ฉ่าวเฉินก็รีบตามไป
“ตอนนี้ฉันเป็นยังไงอ่ะ? หรือว่าดีมาก คุณดูสิ ก็ค่อนข้างน่ารักนะ” เย่ฉ่าวเฉินทำหน้าตลกให้เธอหัวเราะ แล้วก็ถูกมู่เวยเวยผลักหน้าออกไป
ฟานเสี่ยวเหมยที่หัวใจแหลกสลายถูกลืมไว้ในห้องโถง ในสายตาของคนทั้งสองมีเพียงกันและกัน เดิมทีเธอก็ไม่ได้ตั้งหลัก
พี่ฉ่าวเฉินของเธอเขาอาจจะยังมองอยู่ แต่เย่ฉ่าวเฉินเวลานี้ ทำให้เธอกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง คนแปลกหน้าที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ไม่มีอะไรอีกแล้ว
ก็เท่านั้นเอง เดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของเธอ ไม่จำเป็นต้องดึงดันอีกต่อไป
เป็นเพียงแค่ความฝันหนึ่งที่ยาวนานและสวยงาม
บรรยากาศในรถดีกว่าตอนที่มาอย่างมาก เย่ฉ่าวเฉินอยากจะหาโอกาสพูดคุยกับเย่ฉ่าวเหยียนหลายครั้ง แต่ถูกน้องชายพูดรวบรัดแล้วทำให้จบไป
การแสดงออกของพี่ชาย บาดเจ็บอย่างมาก
กลับถึงคฤหาสน์ตระกูลเย่ พ่อบ้านหวังดีใจเป็นพิเศษ คุณชายเป็นคนที่พระเจ้าคุ้มครองจริงๆ คาดไม่ถึงว่าไม่มีปัญหาอะไรเลยสักนิด
ผิงอันวิ่งเหยาะๆโผเข้ามาในอ้อมกอดของเขา มองตรงเข้าไปในดวงตาของเขา “พ่อ ดวงตาของคุณเปลี่ยนกลับมาแล้วนะ”
เวลานี้เย่ฉ่าวเฉินได้ยินคำพูดว่าพ่อนี้ก็ดีใจ จูบลงที่ใบหน้าของเขา “เด็กน้อย ในที่สุดก็ยอมเรียกฉันว่าพ่อแล้ว”
ผิงอันยิ้มแป้น “ฉันไม่ใช่เด็กน้อย ฉันเป็นเด็กดี”
“ใช่ๆ คุณเป็นเด็กดีที่สุดในโลกเลย”
เมื่อครอบครัวกำลังมีความสุข ฟานเสี่ยสเหมยก็ขึ้นไปชั้นคนเงียบๆคนเดียว เริ่มเก็บของๆเธอ พี่ชายของเธอที่อยู่ข้างๆได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงเดินเข้ามา
“เสี่ยวเหมย คุณจะทำอะไร?” พี่ชายเสี่ยวเหมยถามอย่างตกตะลึง
“พี่ เย่ฉ่าวเฉินฟื้นความทรงจำกลับมาแล้ว พวกเราควรจะกลับไปได้แล้ว” เสี่ยวเหมยหยิบเสื้อผ้าออกมาจากในตู้เสื้อผ้า หลายรุ่นที่เพิ่งซื้อมาใหม่เมื่อวาน เธอตัดสินใจที่จะเอาสิ่งเหล่านี้ไป เหลือทิ้งไว้ก็ไม่มีประโยชน์
พี่ชายเสี่ยวเหมยจับข้อมือของเธอ “นี่คุณต้องการจะไปหรอ? หรือว่าคุณไม่อยากแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉินแล้ว?”
เสี่ยวเหมยส่ายหน้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ปัญหาไม่ใช่ฉันอยากหรือไม่อยาก คือเรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง เขายอมที่จะกระโดดตึกไม่ยินยอมที่จะแต่งงานกับฉัน ฉันยังจะมีวิธีอะไรอีก?”
“นี่เพิ่งมาได้สองสามวันเองนะ คุณยังไม่ได้พยายามช่วงชิงเลยทำไมถึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ล่ะ?”
เสี่ยวเหมยไม่อยากพูดคุยประเด็นนี้อีกต่อไป สะบัดมือของพี่ชายแล้วพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ฉันตัดสินใจแล้ว ตอนนี้ก็ออกจากที่นี่ ไม่เช่นนั้นพวกเราก็จะถูกคนอื่นดูถูกได้”
“คุณนี่มันหัวดื้อจริงๆ อะไรดูถูกไม่ดูถูก ต้องการเพียงแค่ตกลงจุดประสงค์ที่ต้องการกันได้ เสียหน้านิดหน่อยจะเป็นอะไรไป?”
“พี่——คุณไม้เข้าใจ ตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินไม่ใช่คนนั้นที่พวกเราเคยรู้จักแล้ว ฉันยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็กลัวแทบตายแล้ว จะไปช่วงชิงได้ยังไง?”
พี่ชายเสี่ยวเหมยอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก “เปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยหรอ? คุณอย่าเพิ่งเก็บข้าวของไปก่อนน่ะ”
ผ่านไปสองสามนาที เขากลับมา ก้มหน้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก นั่งลงบนเตียงไม่พูดจา
“เห็นแล้วใช่ไหม? ทำไมไม่พูดล่ะ?” ฟานเสี่ยวเหมยพับเสื้อผ้าไปพลางถามไปพลาง
พี่ชายเสี่ยวเหมยพูดว่า “เห็นแล้ว เหมือนกับที่คุณพูดจริงๆ ไม่มช่คนเดียวกันโดยสิ้นเชิง เขามองฉันมาจากไกลๆ ฉันรู้สึกเย็นสันหลังวาบ มิน่าล่ะเขาถึงสามารถจัดการบริษัทที่ใหญ่ขนาดนั้นได้ ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ”
งั้นก็ไม่ต้องงุนงงแล้ว กลับไปเก็บสัมภาระเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเราควรจะอยู่” ฟานเสี่ยวเหมยเร่งรัดเขา
พี่ชายเสี่ยวเหมยยังคงไม่ตายใจ “พวกเขาบอกไม่ใช่หรอว่า สามารถช่วยซื้อบ้านหางานให้พวกเราอยู่ที่เมืองAได้? ฉันไม่กลับ ทุกวันออกทะเลจับปลาทั้งเหนื่อยทั้งลำบาก ฉันอยากใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองA”
เสี่ยวเหมยโมโห “คุณไม่กลับฉันกลับ”
เธอสูญเสียความรักไปแล้ว เธอไม่สามารถสูญเสียศักดิ์ศรีไปอีก ในใจลึกๆ เธอไม่อยากให้เย่ฉ่าวเฉินดูถูกเธอ
เดิมทีที่มาก็ไม่ได้เอาข้าวของมาเท่าไร ฟานเสี่ยวเหมยยัดเสื้อผ้ารองเท้าและกระเป๋าที่เพิ่งซื้อใหม่ลงในกระเป๋า หลังจากการขัดขวางทุกวิถีทางของพี่ชาย ก็ลงมาชั้นล่าง
เย่ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวยรวมทั้งเย่ฉ่าวเหยียนจางเห่อสองสามคนกำลังปรึกษาหารือกันเรื่องฉู่เซวียน เห็นเธอถือสัมภาระมา ก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง ในที่สุดมู่เวยเวยก็ทำให้เหตุการณ์หนึ่งหยุดชะงัก
“ฟานเสี่ยวเหมย นี่คุณคือ…..” จะไปแล้วหรอ?
ฟานเสี่ยวเหมยแอบมองเย่ฉ่าวเฉิน แสร้งเป็นพูดนิ่งๆว่า “ฉันรักษาคำพูด จะออกไปเดี๋ยวนี้”
ชัดเจนว่ามู่เวยเวยไม่คาดคิดว่าครั้งนี้เธอจะไม่ลังเลเช่นนี้ เธอชื่นชอบเด็กผู้หญิงคนนี้เล็กน้อย
“คุณอยู่สักสองสามวันไม่ดีกว่าหรอ ยังไม่ได้เที่ยวที่เมืองAเลย” คำพูดนี้ของมู่เวยเวยออกมาจากใจจริง ไม่ว่ายังไงตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินก็ฟื้นความทรงจำกลับมาแล้ว เธอไม่ต้องกังวลเลยสักนิด
ฟานเสี่ยวเหมยส่ายหน้า “ไม่ต้อง ภายหลังฉันมีเวลาฉันก็จะมาเที่ยวที่เมืองAเอง”
“เสี่ยวเหมย คุณเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง จะต้องเจอคนที่ดีกว่า” มู่เวยเวยคิดๆแล้วพูดว่า “เงื่อนไขที่ฉันให้คุณก่อนหน้านี้ยังคงรักษาสัญญา คุณลองไตร่ตรองดู”
“ไม่ต้อง ฉันอยาก…….”
“ต้องการๆ ต้องการแน่นอน” พี่ชายเสี่ยวเหมยวิ่งลงมาจากบันได ยืดอกขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันเป็นพี่ชายของเธอ เรื่องนี้ฉันพูดเป็นใหญ่ เงื่อนไขเหล่านั้นที่คุณบอกพวกเรายอมรับทั้งหมด”
“พี่!” เสี่ยวเหมยที่อยู่ด้านหลังตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ
“คุณอย่ามาพูดมาก พ่อแม่ก็อายุมากขนาดนั้นแล้ว หรือว่าคุณยังอยากเห็นพวกเขาออกทะเล? มีจิตใจกตัญญูสักหน่อยไหม?”
เสี่ยวเหมยไม่ยอมแพ้ “พวกเราสามารถหาเงินซื้อบ้านได้ด้วยตนเอง”
“คุณรู้ไหมราคาบ้านที่เมืองAสูงขนาดไหน? พวกเราดิ้นรนไปชั่วชีวิตก็ไม่สามารถซื้อบ้านได้”
“งั้นก็อยู่ในหมู่บ้าน!”
พี่ชายเสี่ยวเหมยโกรธเดือดดาล “หมู่บ้านของเราคุณยังกลับไปได้หรอ? ถึงแม้กลับไปคุณก็ยังสามารถหาบ้านสามีเจองั้นหรอ? ยังจะทำให้พ่อแม่ของพวกเราถูกหัวเราะเยาะไปชั่วชีวิต คุณอย่าคิดเพียงเพื่อตนเองจะได้ไหม? คิดถึงพวกเขาหน่อยได้ไหม?”
พี่ชายเสี่ยวเหมยพูดความจริง เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว ตระกูลฟานกลายเป็นตัวตลกของหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆไปแล้ว เห็นพวกเขาเพียงแค่ครั้งเดียว ทุกคนก็นึกถึงละครตลกฉากนั้นที่ไม่เสร็จสิ้น
รอบดวงตาเสี่ยวเหมยแดงกร่ำ
มู่เวยเวยหันกลับไปมองเย่ฉ่าวเฉิน เขาพยักหน้าไปยังเธอ แสดงความเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเธอ
“แบบนี้แล้วกัน ตอนนี้ตระกูลเย่มีบ้านสามชั้นว่างอยู่หลังหนึ่ง ด้านในบ้านมีเครื่องใช้อะไรครบถ้วน ก็ถือว่ามันเป็นรางวัลสำหรับการช่วยชีวิตเย่ฉ่าวเฉิน พวกคุณสามารถเอาพ่อแม่ของพวกคุณเข้ามาด้วยได้ ส่วนเรื่องงาน……..” มู่เวยเวยไม่ได้ชัดเจนเรื่องอุตสาหกรรมเย่ฮวาง ไม่รู้ว่าควรจะจัดการยังไง
เวลานี้ เย่ฉ่าวเฉินเอ่ยาก “ฉันสามารถจัดการให้พวกคุณเข้าไปทำงานที่โรงงาน แต่ล้วนเป็นงานที่ประสานกัน ไม่สามารถดูแลใดๆพวกคุณ คนอื่นได้ค่าจ้างเท่าไรพวกคุณก็ได้ค่าจ้างเท่านั้น”
“ได้ๆ” พี่ชายเสี่ยวเหมยยอมรับอย่างเต็มปาก ต้องการเพียงอยู่ที่เมืองA อะไรเขาก็ล้วนเต็มใจทำทั้งนั้น อยู่ที่หมู่บ้านประมงเล็กๆเขาเบื่อจะตายอยู่แล้ว
เย่ฉ่าวเฉินเดินอ้อมเขา ส่งสายตาที่เย็นชาไปยังผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังของเขา “คุณฟาน ความคิดเห็นของคุณล่ะ?”
ฟานเสี่ยวเหมยไม่กล้ามองตาของเขาโดยตรง กำสิบนิ้วแน่นจนเป็นเกลียว “ฉันไม่ต้องการของๆคุณ”
“นี่คือสิ่งที่พวกคุณควรจะได้รับ ตระกูลเย่ของพวกเราก็ไม่ยินดีที่จะติดหนี้น้ำใจของคนอื่น” คำพูดสองสามคำของเย่ฉ่าวเฉินเปิดระยะห่างระหว่างคนทั้งสองคน
“คุณยังลังเลใจอะไรอีก? คุณอยู่ที่หมู่บ้านประมงเล็กๆนั่นคุณสามารถทำอะไรได้? พวกเราใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองAดีกว่า” พี่ชายเสี่ยวฟานพูดโน้มน้าวเธออยู่ข้างๆไม่หยุด
ฟานเสี่ยวเหมยลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า
“คุณอาหวัง เอากุญแจห้องชุดในเขตเหลียนหูออกมาให้หน่อย” เย่ฉ่าวเฉินพูดกับพ่อบ้านหวัง
“ครับ คุณชาย”
“จางเห่อ คุณรอสักครู่แล้วส่งสองท่านเข้าไป พาพวกเขาไปทำความคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมสักเล็กน้อย”
“รับทราบครับ คุณชาย”
ฟานเสี่ยวเหมยฟังเสียงของเขา ใจก็เย็นลงเล็กน้อย เย่ฉ่าวเฉินที่เป็นแบบนี้ยากที่จะเข้าถึง ยิ่งไม่คุ้นเคย
รถรออยู่ที่หน้าประตู พี่ชายเสี่ยวเหมยนำสัมภาระวางยังท้ายรถ หันกลับไปมองคฤหาสน์ที่โอ่อ่าสง่างาม พูดในใจว่า สามารถอยู่ในนี้ได้สองสามวัน ชีวิตนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
ฟานเสี่ยวเหมยก่อนขึ้นรถยังอดไม่ได้ที่จะหันกลับไป หยุดนิ่งมองเย่ฉ่าวเฉิน เป็นเวลานานจึงกล่าวว่า “เย่ฉ่าวเฉิน ลาก่อน”
“ลาก่อน” เย่ฉ่าวเฉินสุภาพและมีมารยาท
ขึ้นรถแล้ว น้ำตาของฟานเสี่ยวเหมยก็ไหลลงมาอย่างไม่มีเสียง เจ็บปวดใจจนแทบขาด เธอเกรงว่าชั่วชีวิตนี้ของเธอจะไม่พบผู้ชายที่ทำให้เธอรักใคร่ได้เช่นนี้อีก
พี่ชายเสี่ยวเหมยถอนหายใจ โอบกอดเธอแล้วกล่าวปลอบโยนว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องร้องแล้ว โลกนี้มีผู้ชายดีๆมากมาย คุณจะต้องพบที่เหมาะสมกับคุณ เย่ฉ่าวเฉินนี้กล้าหาญองอาจเกินไป ไม่ใช่สเป็คของคุณหรอก”
“อื้ม” ฟานเสี่ยวเหมยพยักหน้า ปล่อยน้ำตาให้ไหลตามอิสระ
นอกคฤหาสน์ มู่เวยเวยกล่าวกระซิบว่า “อันที่จริงผู้หญิงคนนี้ก็ดีนะ ผ่านปัญหาที่ไม่มีทางแก้ไขไปได้”
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้แสดงความคิดเห็น ดูภายนอกเขาแล้วเหมือนกับว่าพูดอะไรไปล้วนไม่เหมาะสมนัก หุบปากไปซะเถอะ
รถหายไปจากสายตา มู่เวยเวยก็ยืดเอวบิดขี้เกียจ ตลอดทั้งเมื่อเช้านี้ที่ยุ่งวุ่นวาย ในที่สุดก็สามารถงีบหลับได้แล้ว
“คุณยังจะไปบริษัทไหม?” เย่ฉ่าวเฉินถามเธอ
“วันนี้ไม่อยากไป พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” มู่เวยเวยเอาแต่ใจอย่างมาก
อันที่จริงที่เธอไปบริษัทมีสาเหตุใหญ่มาจากเย่ฉ่าวเฉิน ตอนนี้เขาฟื้นตวามทรงจำกลับมาแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องไปทำงานเช้าขนาดนี้ ช่วงเวลานี้เธอสภาพจิตใจไม่ค่อยดีมาโดยตลอด ดูแลผิงอันก็ไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้เธอจึงอยากอยู่เป็นเพื่อนลูกชาย
แน่นอนว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่คัดค้าน เขาปรารถนาให้มู่เวยเวยเป็นคุณผู้หญิงตระกูลร่ำรวยที่ไม่ต้องทำงาน
“งั้นฉันทานอาหารกลางวันแล้วไปบริษัท ช่วงนี้ผลการทำงานของบริษัทลดลงอย่างมาก” พูดพลางเขาก็ยังเหลือบมองคนบางคนที่อยู่ข้างๆ
เย่ฉ่าวเหยียนกระทืบเท้าทันที “อย่ามาโทษฉันนะ ฉันสามารถกัดฟันทำได้นานขนาดนี้ก็ไม่เลวแล้วโอเคไหม?”
คุณไม่คิดที่จะกลับมาช่วยฉันสักหน่อยหรอ? เรื่องราวตั้งมากมายขนาดนั้น?”
“อย่าเลย ฉันชอบชีวิตอิสระ” เย่ฉ่าวเหยียนเบ้ปาก กระพริบตาสองสามที “งั้น พรุ่งนี้ฉันก็กลับยุโรปแล้ว”
มู่เวยเวยกำลังจะไป ได้ยินคำพูดนี้ก็หยุดเดิน “ต้องไปเร็วขนาดนี้เลยหรอ?”
“อาจารย์ของฉันโทรมาเร่งหลายครั้งแล้ว บอกว่าถ้าฉันไม่ไปอีกจะให้ฉันออกจากโรงเรียนแล้ว” เย่ฉ่าวเหยียนหาข้ออ้าง อันที่จริงตอนที่เขากลับมาก็ทำขั้นตอนลาเรียนไปแล้ว ไปเร็วขนาดนี้ แค่ไม่อยากเห็นภาพบาดตาก็เท่านั้น หัวใจที่เปราะบางของเขาไม่สามารถรับได้ไหว
เย่ฉ่าวเฉินมองเขา พูดอย่างจริงจัง “ฉ่าวเหยียน ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณฉันทำไม?” เย่ฉ่าวเหยียนขมวดคิ้วถาม
“ทุกเรื่องที่ทำเพื่อฉันในครั้งนี้”
เย่ฉ่าวเหยียนเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “งั้นก็ไม่ต้องหรอก ฉันกลับมาจากยุโรป ไม่ใช่เพื่อคุณ แต่เพื่อหลานชายตัวน้อยที่น่ารักของฉัน ผิงอัน มา อาจะพาไปเที่ยวซามัว”
“เย่——” ผิงอันส่งเสียงดีใจวิ่งเข้ามา
เย่ฉ่าวเฉินเห็นภาพเด็กและผู้ใหญ่ก็ยิ้มเจื่อนๆ เอาเถอะ เขายอมรับว่าลูกชายของเขามีความสำคัญอยู่ในใจน้องชายมากๆ
มู่เวยเวยไม่กล้าคาดเดาว่าเย่ฉ่าวเหยียนคิดอะไรอยู่ในใจ กับเรื่องเหล่านี้ เธอต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้อะไรเลย
“ฉันจะบอกเรื่องนี้ให้พี่ชายกับซีหร่านทราบสักหน่อย พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลใจ”
เย่ฉ่าวเฉิน”หึ”ทำเสียง “พวกเขาจะไม่กังวลเกี่ยวกับฉันหรอก”
“แน่นอน ฉันเกรงว่าพวกเขาจะกังวลใจเกี่ยวกับฉัน” มู่เวยเวยทำหัวใจของเขาแตกสลาย
“อะ——เวยเวย ฉันพบแล้วว่าคุณไม่ได้รักฉันขนาดนั้นเหมือนตอนก่อน” เย่ฉ่าวเฉินกอดไหล่ของเธอ จูบที่ริมฝีปากของเธอหนักๆเป็นการระบายอารมณ์
มู่เวยเวยพูดถากถางว่า “คุณให้ผู้หญิงอื่นพากลับมา ฉันไม่เลิกกับคุณก็นับว่าดีแล้วไม่ใช่หรอ? คุณยังจะมาเรียกร้องมากมายขนาดนี้”
เย่ฉ่าวเฉินอธิบายซ้ำ “ก็ฉันความจำเสื่อม ถ้าฉันไม่ได้ความจำเสื่อม ถึงแม้ว่าแขนขาหักฉันก็จะคลานกลับมา”
“คุณไม่ต้องคลานหรอก คุณโทรมาเราก็ไปรับคุณกลับมาอย่างเต็มใจ” ฉับพลันมู่เวยเวยก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามเขา “ใช่สิ สรุปแล้วคืนวันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เฮ้อ——จริงๆแล้วก็พูดยาก คุณไปนอนก่อนเถอะ มีเวลาแล้วฉันจะเล่าให้คุณฟังอย่างละเอียด”
“โอเค”
เย่ฉ่าวเฉินมาถึงบริษัทในช่วงบ่าย แล้วก็สั่งเลขาหลิวเรียกประชุมผู้บริหาร เลขาหลิวพบความว่องไวและเฉียบแหลม ประธานเย่วันนี้ดูแตกต่างจากเมื่อวานเล็กน้อย