วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 272 หนูเป็นลูกสาวค่ะ
มู่เวยเวยเริ่มรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่บริเวณไหล่ ซึ่งมาจากน้ำตาลูกผู้ชาย
เธอไม่เคยเห็นน้ำตาของเขามาก่อน จึงรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะความจริงแล้ว แม้จะเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งแค่ไหน เมื่อมีเรื่องที่ยากลำบาก ก็แสดงออกว่าเสียใจได้ทั้งนั้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ที่น้ำตาหยุดไหล เธอปล่อยให้เขาซบไหล่อยู่อย่างนั้น จนรู้สึกถึงลมหายใจที่สม่ำเสมอ แสดงว่าเขาหลับแล้ว
“จางเห่อ เข้ามาหน่อย” มู่เวยเวยพูดเสียงเบา
จางเห่อผลักประตูเข้ามา
“ช่วยฉันประคองเย่ฉ่าวเฉินหน่อยค่ะ ฉันไม่มีแรงแล้ว” มู่เวยเวยกระซิบบอก
จางเห่อเข้าไปยืนด้านหน้า แล้วค่อยๆขยับร่างกายเย่ฉ่าวเฉินออกจากมู่เวยเวย จากนั้นก็ประคองพาไปที่เตียง
บาดแผลที่บริเวณหน้าอกของเย่ฉ่าวเฉิน เมื่อขยับตัวก็มีเลือดซึมออกมา จนผ้าพันแผลกลายเป็นสีแดง
“คุณหนูยังโอเคใช่ไหมครับ” จางเห่อเห็นสีหน้าเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงถามด้วยความเป็นห่วง
มู่เวยเวยส่ายหน้าอย่างเหนื่อยล้า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่รู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่”
“งั้นเชิญคุณเข้าไปนอนพักที่เตียงด้านในก่อนนะครับ ส่วนคุณชายผมดูแลเองครับ ถ้าตื่นแล้วผมจะเข้าไปเรียกคุณหนูครับ”
มู่เวยเวยก้มมองเย่ฉ่าวเฉิน พยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ “อืม โอเคค่ะ”
แล้วเดินเข้าไปด้านหน้าช้าๆ จางเห่อกลัวว่าเธอจะล้ม จึงอยากเข้าไปช่วยประคอง คิดไปคิดมา สุดท้ายก็เข้าไปช่วยไว้
มู่เวยเวยขึ้นไปนอนบนเตียง น้ำตาที่เอ่อล้นก็ไหลออกมา เธอเป็นกังวลและกลัวไม่แพ้เย่ฉ่าวเฉินเลย แต่ตอนนี้เธอจะได้รับอันตรายไม่ได้ เพราะในท้องของเธอยังมีอีกหนึ่งชีวิต
ประตูห้องพักผู้ป่วยที่ด้านนอกถูกเปิดออก และมีเสียงมู่เทียนเย่ตามมา “มู่เวยเวยล่ะ”
มู่เวยเวยได้ยินเสียงพี่ชาย ก็รีบเช็ดน้ำตา เพราะเธอไม่อยากให้พี่ชายเห็นแล้วเป็นห่วง
“คุณหนูเพิ่งเข้าไปพักด้านในครับ ” เสียงของจางเห่อตอบกลับไป
มู่เทียนเย่เดินไปที่เตียงผู้ป่วยมองเย่ฉ่าวเฉิน แล้วถามขึ้นว่า “หมอบอกว่าไงบ้าง”
“เสียเลือดมาก แต่ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ”
มู่เทียนเย่พยักหน้า พลางมองเข้าไปด้านใน มูเวยเวยตั้งครรภ์จึงนอนตะแคงอยู่ เขามองไปที่แพขนตาที่เปียกชุ่ม จึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “พอเลย ไม่ต้องแกล้งแล้ว พี่รู้ว่าเราไม่ได้หลับจริงๆ”
มู่เวยเวยจำใจลืมตาขึ้นมา พูดเสียงกระเง้ากระงอด “พี่ชายอ่ะ จะยอมให้ฉันแสดงละครต่ออีกสักนิดก็ไม่ได้”
“ร้องไห้อีกแล้ว ดูสิตาบวมหมดแล้วเนี่ย” มู่เทียนเย่ใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาที่หางตาของเธอ “เธอกำลังท้องอยู่นะ ใช้อารมณ์มากไป มันมีผลต่อเด็กในท้องได้นะ”
มู่เวยเวยหัวเราะเบาๆ “พี่คะ ตอนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเด็กไปแล้วหรอคะ”
“แน่นอน” มู่เทียนเย่เลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียง แล้วกุมมือเรียวของเธอ “ตอนแรกซีหร่านก็อยากมาเจอเธอด้วยนะ แต่เธอไม่สะดวกจริงๆ พี่เลยไม่ให้มา”
“อืม พี่สะไภ้น่าจะท้องใหญ่กว่าฉันเยอะเลย ไม่ให้มาดีแล้วค่ะ ให้เธอพักดีกว่าค่ะ”
ก่อนหน้านี้มู่เทียนเย่และเสี่ยวซีหร่านได้รับเชิญให้ไปงานแต่งงาน มู่เวยเวยก็เริ่มเรียกเธอว่าพี่สะไภ้แล้ว
“เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พี่ส่งคนไปที่เมืองAแล้ว ผิงอันต้องไม่เป็นอะไร” มู่เทียนเย่ปลอบโยนเธอ ไม่ใช่แค่คนของเขา แต่มีคนของเย่ฉ่าวเฉินด้วย นอกจากนี้ยังขอความช่วยเหลือจากทางการให้ช่วยค้นหาด้วย ตอนนี้เมืองAล้อมกำลังไว้แน่นหนา ไม่ปล่อยให้กาวินหนีออกไปได้ง่ายๆแน่
มู่เวยเวยมองออกไปนอกหน้าต่าง มองใบไม้ปลิวไสว แล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ “การทำให้เด็กคนนี้ปลอดภัยช่างยากลำบากเหลือเกิน ฉันหวังว่าสวรรค์จะปราณี ให้เขาได้เติบโตอย่างแข็งแรง”
“ผิงอันมีสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปไม่มี คงต้องผ่านการทดสอบที่ไม่ธรรมดาสักหน่อย ได้ในสิ่งที่ควรจะได้ อีกอย่างผิงอันเป็นเด็กฉลาด ผู้คนรักมากมาย เขาต้องไม่เป็นอะไร ”
“ตอนนี้ฉันก็ทำได้แค่ปลอบใจตัวเอง ไม่งั้นคงทนไม่ได้แน่ๆ” มู่เวยเวยยิ้มอย่างทรมานใจ
มู่เทียนเย่ตบไหล่เบาๆเพื่อปลอบใจเธอ “ทุกอย่างมันจะดีขึ้น เชื่อพี่สิ แต่เธอก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี ดูแลลูกในท้องให้ดี เรื่องอื่นไม่ต้องกังวล พี่กับเย่ฉ่าวเฉินต้องตามหาผิงอันให้เจอแน่ๆ”
“ฉันทราบค่ะพี่ชาย ฉันไม่ได้เป็นสาวน้อยเหมือนก่อนแล้วนะ ตอนนี้เป็นคุณแม่ลูกสองแล้วนะคะ ” มู่เวยเวยยิ้มอย่างเต็มใจ
“งั้นเธอก็พักผ่อนได้แล้ว พี่ไปก่อนนะ”
“ค่ะ”
มู่เทียนเย่ลุกขึ้นแล้วสวมกอดเธออีกครั้ง “ไม่ดื้อนะ นอนเถอะ”
มู่เวยเวยหลับตาลง ได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆห่างออกไป
ซอยหนานหลัวเป็นย่านที่มีประชากรเยอะที่สุด และเป็นย่านใจกลางเมืองA ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินกลับที่พักพร้อมอาหารสองสามกล่อง สังเกตเห็นตำรวจถือรูปในมือ ยืนห่างออกไปไม่กี่เมตร เขาก้าวช้าลง เข้าไปไกลเรื่อยๆ
เมื่อเขาเดินผ่าน ตำรวจก็ถามเขาว่า “สวัสดีครับ ขอสอบถามหน่อยว่าเคยเห็นเด็กคนหนึ่งไหม หน้าตาเหมือนในรูป อายุไม่เกินสองขวบ เป็นเด็กผู้ชาย”
ชายหนุ่มคนนั้นกวาดสายตามองครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าพร้อมบอกว่า “ไม่เคยเห็นมาก่อนครับ”
“คุณแน่ใจหรอครับ ดูให้ละเอียดอีกครั้งสิครับ”
“แน่ใจครับ เด็กคนนี้แววตาไม่ธรรมดา ถ้าเคยเจอต้องจำได้แน่นอน”
“ขอบคุณครับ”
ตำรวจทั้งสองก็ดึงรูปถ่ายกลับมา แล้วไปสอบถามคนอื่นต่อ
ชายหนุ่มยืนมองแผ่นหลังเขาพวกเขาผ่านไป แล้วรีบก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว กลับมาที่ห้องเช่าเล็กๆ เคาะประตูอย่างหวาดระแวง
“ปัง” ประตูเปิดออก
“ทำไมเพิ่งกลับมา” หญิงสาวถามอย่างไม่พอใจ
ชายหนุ่มนำอาหารที่ซื้อมาไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วพูดด้วยเสียงเข้มว่า “ฉันเพิ่งเจอตำรวจมา พวกมันกำลังตามหาเด็กคนหนึ่งอยู่”
แววตากาวินเดือดดาล “ทำไมออกตามหาเร็วนัก โคตรเร็วเลย แม่งเอ๊ย”
ชายหนุ่มนิ่งนอนใจไม่ได้ “เร็วเข้า เราต้องรีบย้ายที่อยู่ ดูท่าพวกมันคงแทบพลิกแผ่นดินเมืองAออกตามหาแล้ว”
กาวินมองดูผิงอันที่นั่งเล่นรูบิคเงียบๆบนเตียง พูดด้วยเสียงเย็น “ฉันประเมินเย่ฉ่าวเฉินต่ำไป ไม่คิดว่ามันกับสายตรวจจะสนิทกันแบบนี้”
“หัวหน้า พวกเราจะย้ายไปที่ไหนดี คาดว่าอีกสองวันพวกตำรวจคงตามมาเจอ”
กาวินหงุดหงิด ดึงตะเกียบออกมา พลางเปิดกล่องข้าวออก แล้วพูดว่า “ลองไปหาดูในอินเทอร์เน็ต ตอนนี้กินข้าวก่อน”
ทั้งคู่มองหน้ากัน แล้วนั่งกินข้าวกันเงียบๆ
กาวินหงุดหงิดมาก อึดอัดมานาน เขาไม่เคยตกต่ำขนาดนี้มาก่อน โดนคนตามล่าตัว ต้องมาอยู่ห้องซอมซ่อเก่าๆ แล้วยังกินได้แค่อาหารน่าเบื่อๆแบบนี้อีก
เมื่อผิงอันได้ยินว่าให้กินข้าว ก็โยนรูบิคทิ้งลงบนเตียง แล้วรีบกระโดดไปที่ข้างโต๊ะอาหาร พูดอ้อนวอน “ตูตู หนูก็อยากกินข้าว”
กาวินหมดความอดทน จึงหยิบกล่องอาหารที่มีกับข้าวราดอยู่ขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ และไม่สนว่าอาหารจะเผ็ดหรือไม่ เหมาะสำหรับเด็กหรือเปล่า แล้วยัดใส่มือ “ไปนั่งกินตรงนู้นไป”
ผิงอัน ร้องโอ้ รับกล่องข้าว แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเอง เปิดกล่องออกมามีผักและเต้าหู้ผัดซอสอยู่ไม่กี่ชิ้น แล้วก็มีหมูสามชั้นอีกสองสามชิ้น ด้านล่างก็เป็นข้าวสวย
ผิงอันที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก สำหรับอาหารแบบนี้เขาไปเคยแตะสักนิด แต่ทว่าตอนนี้ เพื่อไม่ให้ท้องหิว เขาจึงต้องฝืนกินเข้าไป
เขาไม่รู้ว่าตูตูจะพาเขาไปไหน จะเหมือนที่เขาบอกไหม ว่าจะพาเขาไปขายให้นักวิทยาศาสตร์อะไรสักอย่าง ซึ่งเขาเองก็ยังเด็กมาก จึงไม่เข้าใจที่พูดว่าหมายถึงอะไร ตอนนี้คิดเพียงว่าอยากให้คุณพ่อคุณแม่มาหา เขาอยากกลับบ้าน
เย่ฉ่าวเฉินตื่นขึ้นมาอีกครั้งเวลาก็ล่วงเลยไปสองทุ่มแล้ว เขาแทบจะลืมความสติหลุดเมื่อตอนบ่าย จนตอนนี้อารมณ์เริ่มกลับสู่ปกติ
“เย่ยิงพาฉู่เซวียนกลับมาแล้วหรอ ” เย่ฉ่าวเฉินพิงหัวเตียงผู้ปวยพลางถามจางเห่อ
จางเห่อพยักหน้า “พากลับมาแล้วครับ ท่านอยากเจอไหมครับ”
“ให้เย่ยิงไปถามมันแล้วกันว่า มันไปทำอะไรที่มณฑลF”
“เย่ยิงไปถามมาแล้วครับ เขาบอกว่าไปเที่ยว”
“เหอะ ” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มเยาะ “เที่ยวงั้นหรอ หลอกเด็กสามขวบหรือไง ฉันสงสัยว่าเขาเจอเย่ยิงสะกดรอยตามเขาอยู่ มันอาจจะเป็นแผนที่เบี่ยงเบนความสนใจเราให้ไปที่มณฑลF แล้วก็ไม่สนอันตรายที่อยู่รอบตัว”
เย่ยิงพยักหน้า เขาก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน
“เอ่อใช่ รถออฟโรดที่จอดอยู่หน้าประตูสวนสนุก ถ่ายติดป้ายทะเบียนไหม”
“ถ่ายได้แล้วครับ ทางตำรวจตามหารถเจอแล้ว ด้านในไม่มีใคร น่าจะจะทิ้งรถหนีไปแล้ว แต่รถคันนั้นก็เป็นฝีมือพวกมันขโมยมาครับ”
“โอเค ดูท่าพวกเลวนั่นจะจับตามองฉันอยู่ ฉันสะเพร่าเอง ที่นานขนาดนี้แล้วยังหาไม่เจอ”
มู่เวยเวยดินถือแก้วน้ำอุ่นเข้ามา “อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ พวกเราทุกคนไม่เคยรู้หน้าตาที่แท้จริงของกาวิน เขาเลยนำพวกเราอยู่หนึ่งก้าว คงไม่ต้องพูดถึงการซ่อนตัวอยู่ในความมืด”
เย่ฉ่าวเฉินรับแก้วน้ำในมือเธอ แล้วดึงข้อมือให้เธอนั่งลงข้างๆ “เรื่องนี้ให้จางเห่อไปจัดการก็พอแล้ว เธอก็ระวังตัวหน่อย”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ เพิ่งไปยืดเส้นยืดสายมาเมื่อครู่นี้เอง”
เย่ฉ่าวเฉินทอดมองไปที่สายตาเหนื่อยล้าของภรรยา ในใจก็เจ็บแปลบขึ้นมา “เวยเวย เธอไปพักที่บ้านมู่เทียนเย่ก่อนดีกว่า ที่โรงพยาบาลนี่ไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่ เธอก็นอนไม่ค่อยหลับด้วย”
มู่เวยเวยส่ายหน้า “ไม่ได้ลำบากอะไรค่ะ พื้นที่ก็กว้างขวาง อยากทานอะไร คุณอาหวังก็หิ้วมาส่งตลอดเลย คุณให้ฉันกลับไปก่อนแบบนี้ฉันเป็นห่วงนะคะ แล้วคงจะยิ่งนอนไม่หลับ”
เย่ฉ่าวเฉินกุมมือเรียวไว้ ลูบเบาๆ รู้สึกว่าผอมซูบกว่าเดิมมาก คนอื่นๆเวลาตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะอวบอ้วนมากกว่าเดิม แต่ทำไมภรรยาของเขากลับผอมซูบแบบนี้ ทำให้ภายในใจเขายิ่งทรมาน
มู่เวยเวยคนดื้อรั้น เย่ฉ่าวเฉินทำได้เพียงยินยอมเท่านั้น
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน แผลของเย่ฉ่าวเฉินเริ่มสมานกันดี ทำเอาเหล่าคุณหมอแปลกใจอยู่เหมือนกัน เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นคนไข้ที่แผลสมานกันเร็วขนาดนี้
“วันนี้ต้องออกจากโรงพยาบาล ผมอยู่ต่อไม่ได้ ” เย่ฉ่าวเฉินบอกกับคุณหมอ
เห็นใบหน้าขึงขังจริงจังของคนไข้ คุณหมอคงพูดอะไรไม่ได้ นอกจากจะอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล
เพื่อไม่ให้มู่เวยเวยอยู่บ้านคนเดียว เมื่อออกจากโรงพยาบาลเย่ฉ่าวเฉินก็พาเธอไปส่งที่คฤหาสน์ตระกูลมู่ เสี่ยวซีหร่านที่หน้าท้องขยายใหญ่ยกมือขึ้นแตะที่อก “คุณไปตามหาผิงอันเถอะค่ะ เวยเวยอยู่กับฉันแล้ว จะดูแลอย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม”
“ขอบคุณมาก พี่สะไภ้ ” เย่ฉ่าวเฉินเรียกอีกคนตาที่มู่เวยเวยเรียก แต่สำหรับมู่เทียนเย่เขายังไม่เปลี่ยนไปเรียกพี่ใหญ่ เขายังรู้สึกเขิน เพราะมู่เทียนเย่จ้องจะแซวเขาเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว
เย่ฉ่าวเฉินยกมือหยาบลูบเบาๆที่ใบหน้าหวาน พูดอย่างอ่อนโยน “อยู่ที่นี่อย่าดื้อนะ เดี่๋ยวคืนนี้ผมจะกลับมาหา”
“อืม แผลคุณยังไม่หายดี อย่าออกแรงเยอะนะคะ” มู่เวยเวยกำชับ
“รู้แล้วครับ ” เย่ฉ่าวเฉินรับปาก จูบที่หน้าผากมน แล้วก้มลงไปพูดกับลูกในท้อง “เป็นเด็กดีนะครับ อย่ารบกวนคุณแม่เยอะนะ รู้ไหม”
เสี่ยวซีหร่านยืนมองเขินอยู่ข้างๆ เป็นครั้งแรกที่เห็นเย่ฉ่าวเฉินอ่อยอิ่งขนาดนี้ จึงเอ่ยปากเร่งเขา “ไม่ต้องร่ำลากันขนาดนี้ก็ได้ค่ะ คืนนี้คุณก็กลับมาแล้ว รีบไปรีบมา ขืนยังไม่ไปอีก เดี๋ยวอีกคนก็งอแงกันพอดี”
“งั้นผมไปแล้วนะ ” เย่ฉ่าวเฉินก้าวขขึ้นรถไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
มู่เวยเวยยืนมองรถเคลื่อนไปจนออกนอกประตู จึงหันกลับเขาบ้านพร้อมกับซีหร่าน
“หิวไหม ทานผลไม้หน่อยไหม ” เสี่ยวซีหร่านเอ่ยถาม
มู่เวยเวยนิ่งเงียบ ไม่อยากทานค่ะ อยากไปนอนพักสักหน่อย”
“งั้นไปที่ห้องรับแขกกันดีกว่า ที่นั่นอากาศถ่ายเทสะดวก แล้วเปิดอะไรฟังเบาๆ อาจจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น” เสี่ยวซีหร่านทำหน้าที่แนะนำมุมดีๆทีเหมาะสมภายในบ้านให้กับเธอ แต่เธอลืมไปว่าเมื่อก่อนมู่เวยเวยก็เคยอาศัยอยู่ที่นี่
มู่เวยเวยยิ้ม “พี่สะไภ้คะ ไม่ต้องทำตัวสุภาพกับฉันขนาดนั้นก็ได้ค่ะ”
“แค่เธอเรียกฉันว่าพี่สะไภ้ ฉันก็รู้สึกว่าฉันอาวุโสกว่าเธอ ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ เลยอดไม่ได้ที่ทำตัวสุภาพกับเธอ”
“งั้นเรียกว่าซีหร่านได้ไหมคะ ” มู่เวยเวยเสนอความเห็น
เสี่ยวซีหร่านยักไหล่ “ได้สิ ฉันไม่ขัดข้องอะไร”
มู่เวยเวยระบายยิ้ม “ฉันกลัวพี่ชายจะดุเอา งั้นเรียกว่าพี่สะไภ้อย่างเดิมดีกว่าค่ะ”
ถึงห้องรับแขก มู่เวยเวยก็ขึ้นไปเอนหลังบนโซฟากว้าง แสงอาทิตย์สาดส่องลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา ทำให้รู้สึกอบอุ่น
เสียงบรรเลงเปียโนเคล้าคลอ ทำให้อารมณ์ของมู่เวยเวยกลับสู่ปกติ
อาจจะเป็นเพราะกลับมาอยู่บ้านที่เคยอาศัย จิตใจของมู่เวยเวยจึงสงบลงมาก เปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง ปิดสนิท เข้าสู่นิทรา
ในฝัน เธออยู่ในสวนดอกไม้ เหมือนกับที่พี่ชายเคยพาเธอไป มู่เวยเวยค่อยๆก้าวเดินไปในสวนดอกไม้ มีผีเสื้อบินรายล้อม
“คุณแม่——”
เสียงคุ้นหูได้ยินไม่ไกล มู่เวยเวยนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเริ่มตามหาที่มาของเสียงนั้น
“คุณแม่——หนูอยู่ตรงนี้ ” เสียงเด็กดังอยู่ข้างหู แต่มู่เวยเวยกลับไม่เจอ เธอวิ่งวนไปวนมาในสวนดอกไม้อย่างกระวนกระวายใจ
“คุณแม่ หนูอยู่ข้างซ้าย”
มู่เวยเวยรีบพุ่งไปข้างหน้า ดึงทึ้งเอาเถาวัลย์ออก แล้วก็เจอสาวน้อยยิ้มอยู่ท่ามกลางดอกไม้ บนร่างกายประดับด้วยดอกไม้สวยงาม มองหน้าตาไม่ค่อยชัด แต่เห็นแววตาที่ไม่ธรรมดาอย่างชัดเจน เพราะดวงตาคู่นั้นเป็นสีม่วง
“หนูเป็นใคร” มู่เวยเวยถามด้วยความประหลาดใจ
สาวน้อยยิ้มหวาน “คุณแม่คะ หนูก็เป็นลูกสาวแม่ไงคะ”
มู่เวยเวยนิ่งค้าง แล้วพูดขึ้นว่า “ฉันไม่มีลูกสาวนะ ฉันมีลูกชายคนเดียว ชื่อว่าผิงอัน”
สาวน้อยหัวเราะคิกคัก “เพราะว่าหนูยังไม่เกิดค่ะ ยังอยู่ในท้อง”
มู่เวยเวยรีบก้มมองดูหน้าท้องของตัวเอง ที่ขยายใหญ่ยื่นออกมา
“หนู…….. จะบอกว่าเป็นลูกสาวงั้นหรอ”
“ใช่ค่ะ ” สาวน้อยส่ายหัว ทั้งไร้เดียงสาทั้งน่ารัก “คุณแม่คะ พี่ชายหนูอยู่ที่ตงเจียวในย่านหนานหลัว รีบให้คุณพ่อออกตามหานะคะ”
มู่เวยเวยตกใจอึ้ง “หนูรู้ได้ยังไง”
“พี่ชายมาเข้าฝันหนูค่ะ หนูไปก่อนนะคะ เราคงได้เจอกันเร็วๆนี้ ” พูดจบ ไม่ได้สนใจว่ามู่เวยเวยจะตอบอะไร ก็กระโดดแล้ววิ่งเข้าไปในสวนดอกไม้ลึก มู่เวยเวยรีบตามเข้าไป หมอกจางข้างหน้ากลับเปลี่ยนสี ทุ่งดอกไม้โคลงเคลงไปมา ทำให้เธอกลิ้งตกลงไปที่พื้น
“เดี๋ยวก่อน—— รอก่อน——”
ด้านในห้องรับแขก เสี่ยวซีหร่านได้ยินเสียงโวยวายดังออกมา ก็รีบเข้าไปดู “เวยเวย ตื่นๆ”
มู่เวยเวยเบิกตาโพลง “เฮือก” วินาทีต่อมารีบก้มดูที่หน้าท้องของตัวเอง ก็เห็นว่ายังยื่นออกมา และรู้สึกถึงแรงเตะของลูกในท้อง
ลูกดิ้น
“เธอเป็นอะไร ฝันร้ายหรือเปล่า ” เสี่ยงซีหร่านเอ่ยถาม
มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นมา “เด็กในท้องเป็นลูกสาวค่ะ เขาเพิ่งมาเข้าฝันฉัน”
“ห๊ะ ” เสี่ยวซีหร่านประหลาดใจ “แปลกจัง แล้วไงต่อ”
“แล้ว……” มู่เวยเวยรำลึกความฝัน แล้วโพล่งออกมา “โทรศัพท์ ซีหร่าน เอาโทรศัพท์มาให้ฉันหน่อย ”
เสี่ยวซีหร่านรีบยื่นโทรศัพท์ไปให้มู่เวยเวย เห็นท่าทางรีบร้อนกดโทรออก
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เย่ฉ่าวเฉินรีบกดรับ “เวยเวย มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉ่าวเฉิน เมืองA มีซอยหนานหลัวไหม ” มู่เวยเวยรีบเอ่ยถาม
เย่ฉ่าวเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง พลางใช้ความคิด “ซอยหนานหลัวหรอ ไม่แน่ใจเหมือนกัน จางเห่อ ลองหาให้หน่อยสิ ทำไมหรอเวยเวย ถามทำไม”
“ฉันเพิ่งฝันค่ะ ” มูเวยเวยกลืนน้ำลาย แล้วรีบพูดต่อ “ในฝันมีสาวน้อยคนหนึ่ง บอกว่าผิงอันอยู่ในย่านหนานหลัว แล้วยังบอกอีกว่าเธอเป็นลูกสาวของเรา”
“อะไรนะ” เย่ฉ่าวเฉินประหลาดใจ “ลูกสาวของเรา”
“ใช่ค่ะ” มู่เวยเวยพยักหน้า แม้ว่าเย่ฉ่าวเฉินจะมองไม่เห็น
ขณะเดียวกันเขาก็ได้เสียงของจางเห่อบอกว่า “คุณชายครับ มีซอยหนานหลัว อยู่ที่ตงเจียวครับ เป็นใจกลางเมือง มีประชากรหนาแน่นครับ”
“เวยเวย เดี๋ยวผมจะรีบไปดู ส่วนเรื่องลูกสาว คืนนี้ผมกลับไปคุณค่อยเล่าให้ผมฟังอีกทีนะ”
“อืม คุณรีบกลับมานะคะ”
หลังจากวางโทรศัพท์ มู่เวยเวยก็สังเกตเห็นว่าเสี่ยวซีหร่านนั่งตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ แววตาเต็มไปด้วยความแปลกใจ
“เธออย่ามองฉันแบบนี้สิ”
เสี่ยวซีหร่านถามขึ้น “รีบเล่ามาเลยนะ เธอฝันว่าอะไร”
มู่เวยเวยไม่ปิดบัง เล่าความฝันของเธอทั้งหมดให้เสี่ยวซีหร่านฟัง
“พระเจ้า มหัศจรรย์มาก เธอตาสีม่วงจริงๆหรอ”
“ใช่ แม้ว่าฉันจะมองรูปร่างหน้าตาไม่ค่อยชัด แต่จำดวงตาสีม่วงได้แม่น” มู่เวยเวยพูดเสียงหนักแน่น
เสี่ยวซีหร่านที่แม้จะเชื่อในหลักวิทยาศาสตร์ แต่เธอรู้จักเย่ฉ่าวเฉิน และเห็นด้วยตาตัวเอง หลักวิทยาศาสตร์ที่เธอเคยเชื่อก็โยนทิ้งไปเลย เธอลูบท้องนูนของมู่เวยเวยเบาๆ พูดเสียงค่อย “ลูกสาว หนูต้องเก่งกว่าพ่อกับพี่ชายของหนูนะคะ”
เธอได้รับการตอบสนองแตะที่มือ
“เธอเตะฉันแหละ ตอบฉันด้วย ” เสี่ยวซีหร่านดีใจ “หนูเข้าใจที่ฉันพูดแล้วหรอ คุณพระ ไม่อยากจะเชื่อเลย”
มู่เวยเวยก็รู้สึกถึงแรงดื้นในท้อง จึงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “หนูเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยใช่ไหมคะ เมื่อสักครู่นี้คือหนู่ใช่ไหมคะ”
รับรู้ถึงแรงสัมผัสที่หน้าท้องอีกครั้ง มู่เวยเวยรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ใช่เขาจริงๆด้วย
ถ้าหากว่าเธอไม่ได้เจอด้วยตัวเอง เธอก็คงไม่เชื่อเรื่องมหัศจรรย์แบบนี้ แต่เรื่องเกิดขึ้นกับตัวเองเธอจึงเชื่อสนิทใจ
เสี่ยวซีหร่านนึกสนุก จึงทักทายกับเบบี๋ “เจ้าหญิงคะ ป้าเป็นป้าของหนูนะคะ หนูได้ยินหรือเปล่า”
แต่ครั้งนี้ เบบี๋ในท้องเมินเธอ
“ทำไม่ไม่ดิ้นแล้วล่ะ เหนื่อยแล้วหรอ”
ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหว
เสี่ยวซีหร่านจึงถามต่อ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง จึงพูดอย่างไม่พอใจ “คงจะรำคาญพวกเราแล้วล่ะสิ น่าจะหลับไปแล้ว”
“น่าจะใช่” มู่เวยเวยหัวเราะ แววตาแสดงออกถึงความเป็นแม่
เพราะความฝันในครั้งนี้ ทำให้มู่เวยเวยอารมณ์สดใสขึ้นมาก และทำให้เธอเชื่อว่าตามหาผิงอันเจอในเร็ววัน
“ฉันหิวแล้ว มีอะไรทานบ้างคะ” มู่เวยเวยลุกขึ้นจากโซฟา
“มีสิ อยากทานอะไรล่ะ ” เสี่ยวซีหร่านจูงมือเธอไป “ป่ะ ฉันจะพาเธอเข้าไปดูในครัว แล้วจะพาออกไปเดินเล่นข้างนอก จะได้ไม่ต้องนอนทั้งวัน มันจะอ้วนง่ายนะ ” พูดพร้อมกับหันไปสบตามู่เวยเวย “แต่ว่าเธอผอมมากเลย จะนอนก็ได้แหละ”
เพราะเสี่ยวซีหร่านท้องลูกแฝด จึงทำให้เธอเจริญอาหาร น้ำหนักจึงเพิ่มขึ้นเยอะ รอบเอวไม่ต้องพูดถึง ต้นแขนต้นขาใหญ่ขึ้นทุกสัดส่วน ทุกครั้งที่ทานอาหารเสร็จจะคิดเสมอว่า ครั้งหน้าต้องทานน้อยลง แต่เมื่อท้องหิว ก็ลืมทุกอย่างที่คิดไว้ คิดแต่จะทำให้ท้องอิ่ม แค่ครึ่งเดือน จากใบหน้าเรียวกลายเป็นหน้ากลมอิ่ม
ทางด้านเย่ฉ่าวเฉิน สั่งให้คนมุ่งหน้าไปที่ย่านหนานหลัว
ก่อนจะไปถึงก็หาข้อมูลเกี่ยวกับซอยนั้นเรียบร้อย ระหว่างทางก็แบ่งคนออกเป็นกลุ่มๆ
กลุ่มหนึ่งไปตามโรงแรมเล็กๆ กลุ่มถัดมาไปตามห้องเช่า อีกกลุ่มไปถามตามร้านค้าต่างๆ
ในมือของเขากำรูปของผิงอันไว้หลายรูป แล้วก็มีรูปผู้หญิงคนนั้นที่หน้าสวนสนุก แม้จะไม่ค่อยชัดมาก แต่ก็พอรู้รูปพรรณสัณฐานคร่าวๆ
เย่ฉ่าวเฉินไปถามตามร้านค้าต่างๆในซอย แต่ทุกคที่ก็บอกว่าไม่เคยเห็น
“เด็กคนนี้ เมื่อวานก็มีตำรวจมาถามหาแล้วนี่ ไม่เคยเห็นหรอก” เป็นประโยคที่ได้ยินคนตอบบ่อยที่สุด
เย่ฉ่าวเฉินไม่ลดละความพยายาม หยิบรูปผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาถามอีก “แล้วผู้หญิงคนนี้ล่ะ เคยเจอไหม”
เจ้าของร้านข้าวกลอกตา ส่ายหน้า “รูปมันเบลอขนาดนี้ พวกเราอยู่ตรงนี้เจอคนตั้งมากมาย ใครมันจะไปจำได้ ”
“ขอบคุณมาก”
เย่ฉ่าวเฉินออกจากร้านข้าว ไปที่ร้านตัดผมข้างๆ ถามด้วยคำถามเดิม พนักงานในร้านดูเหมือนจะจำเย่ฉ่าวเฉินได้ จึงแอบมองเขาพลางดูรูป “เด็กไม่เคยเจอค่ะ ส่วนผู้หญิงคนนี้…………”
เย่ฉ่าวเฉินลุ้นใจจดใจจ่อ “เคยเห็นหรอ”
“เหมือนจะเคยเห็นเมื่อวาน” พนักงานสระผมลังเล
“เธอแน่ใจนะว่าเคยเห็น”
พนักงานสาวรำลึกเหตุการณ์ “ก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ …. เมื่อวานเย็นมีผู้หญิงมาสระผม รูปร่างหน้าตาคล้ายๆแบบนี้ เธอสวยมาก ผิวขาว เสื้อผ้าที่ใส่ก็มีราคา ฉันเลยมองอยู่หลายครั้ง ที่เหมือนมากก็คือหุ่นค่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินใจเต้นจนแทบบจะหลุดออกมา “รู้ไหมว่าเธอพักอยู่ที่ไหน”
“เห็นว่าเธอเดินไปทางนั้น” พนักงานสาวชี้ไปทางซ้ายมือ
“ขอบคุณมากๆ” เย่ฉ่าวเฉินรีบก้าวไปตามทิศทางที่เธอบอก แต่ไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับชายหนุ่มที่ลากกระเป๋าเดินทางอยู่
ชายหนุ่มรีบก้มหน้า จับกระเป๋าแน่น พูดอย่างหงุดหงิด “เดินไม่มองหรอ”
“ขอโทษด้วย” เย่ฉ่าวเฉินรีบกล่าวขอโทษแล้วเดินต่อ
ชายหนุ่มหยุดยืน มองตามหลังไป กระตุกยิ้ม แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก แล้วรีบเดินออกไป
ไม่กี่นาที เย่ฉ่าวเฉินก็ได้รับโทรศัพท์จากจางเห่อ “คุณชายครับ พวกเราเจอห้องแล้วครับ รีบมาเลยครับ”