วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 277 : เสี่ยวซีหร่านคลอดลูก
ตอนเย็น เย่ฉ่าวเฉินอาบน้ำให้ผิงอันเสร็จ ก็เดินกลับเข้าห้องนอนไป ขณะเดียวกันมู่เวยเวยก็กำลังอ่านหนังสืออยู่
เขาเช็ดผมให้ลูกชายและถามเธอไปด้วยว่า “คุณกำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่?”
มู่เวยเวยยกปกหนังสือขึ้น “นิยายโรแมนติกแฟนตาซี พี่สะใภ้แนะนำฉันมา มันสนุกมาก”
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะและส่ายหัว เมื่อคิดได้ว่าสมองของมู่เทียนเย่บางส่วนนั้นถูกเอนเอียง เขาแนะนำเธอว่า “ตัวหนังสือเล็กขนาดนั้น อย่าอ่านเลย เสียสายตาเปล่าๆ”
“อ้อ ฉันขออ่านบทนี้จบก่อนนะ กำลังถึงจุดสำคัญเลย” มู่เวยเวยพูดโดยไม่ได้หันกลับไปมอง
ผิงอันดูเหมือนจะสนใจมากจึงพูดว่า “แม่ครับ อ่านให้ผมฟังหน่อยสิ”
เอ่อ…….
“หนังสือแบบนี้ไม่เหมาะจะอ่านให้เด็กฟังน่ะ หนูให้พ่ออ่านนิทานให้ฟังแล้วกันนะ”
“ทำไมถึงไม่เหมาะกับเด็กครับ?” ผิงอันซักถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
มู่เวยเวยยากที่จะอธิบาย อาจพูดได้ว่าเนื้อเรื่องนั้นมันลามกเกินไปไหม ? หรือพูดถึงความเป็นอมตะและการกลายเป็นสัตว์ประหลาด? ผิงอันมีพลังลึกลับอยู่ในตัวเขาแล้ว ถ้าหากว่าเขาเกิดจริงจังขึ้นมาล่ะจะทำอย่างไร?
เย่ฉ่าวเฉินกู้หน้าให้ภรรยา “เพราะสิ่งที่อธิบายอยู่ในนั้นมันลึกซึ้งเกินวัย รอลูกโตกว่านี้ ค่อยอ่านหยังสือพวกนี้แล้วกัน จะไม่ดีกว่านี้เหรอถ้าลูกได้อ่านมันเอง?”
“ผิงอันพยักหน้าอย่างว่าง่าย แต่จริงๆแล้วเขายังอยากรู้ว่าสิ่งที่ลึกซึ้งเหล่านั้นมันคืออะไรกันแน่
“แม่ครับ คืนนี้ผมขอนอนกับแม่นะครับ” ผิงอันฉวยโอกาสทิ้งผ้าขนหนูไว้ที่พ่อแล้วรับปีนขึ้นไปบนเตียงวิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของแม่
“เย่ฉ่าวเฉินรีบพูดขึ้นว่า “ไม่ได้”
“ทำไมล่ะครับ?” ผิงอันถามขึ้น เมื่อกี้ทั้งสองคนยังรักกันอยู่เลยมาตอนนี้กลับกลายเป็นศัตรูกันเสียแล้ว
“คุณแม่มีน้องสาวตัวน้อยอยู่ในท้อง ตอนกลางคืนลูกหลับจะเตะน้องเอาได้” เย่ฉ่าวเฉินแสดงออกอย่างจริงจรัง
ผิงอันกอดแขนเวยเวยแน่น “ผมไม่ดื้อหรอกครับและจะไม่เตะน้องด้วย”
“ลูกหลับไปแล้วจะรู้ตัวได้อย่างไรล่ะ?”
ผิงอันยืดคอ “งั้นพ่อนอนหลับ พ่อก็เตะน้องได้น่ะสิ”
เย่ฉ่าวเฉินพูดไม่ออกกะทันหัน “พ่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่เตะหรอก”
“ชิ พ่ออย่ามาโกหกผม พ่อแค่อยากจะครอบครองแม่ไว้คนเดียว ไม่อยากให้ผมนอนกับแม่” ผิงอันไม่พอใจและโกรธมาก เขาหันกลับไปออดอ้อนมู่เวยเวย “แม่ครับ ผมไม่ได้เจอแม่ตั้งหลายวัน ผมคิดถึงแม่ ให้ผมนอนกับแม่นะครับ”
มู่เวยเวยคิดขึ้นได้ว่าผิงอันลำบากมาหลายวันก็ใจอ่อนลงทันที จึงพูดว่า “โอเค”เย่ฉ่าวเฉินขัดคำพูดของเธอ “ไม่ได้ ฉันไม่เห็นด้วย”
ผิงอันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เงยหน้ามองพ่อและพูดว่า “พ่อไม่รักษาคำพูด”
“ฉันเป็นพ่อนาย ถ้าฉันไม่รักษาคำพูดใครจะรักษาคำพูดล่ะ?”
ผิงอันชี้ไปที่ท้องนูนเวยเวยและพูดอย่างมีชัยว่า “น้องไงรักษาคำพูด”
เย่ฉ่าวเฉินอดหัวเราะไม่ได้ “น้องจะพูดได้อย่างไร ? เธอยังอยู่ในท้องแม่อยู่เลย”
“เชอะ ผมมีวิธีละกัน”พูดจบ ผิงอันก็ก้มหน้าไปใกล้ๆท้องมู่เวยเวยแล้วพูดว่า “น้องสาวครับ ฉันคือพี่ชายนะ ถ้าเธออยากให้พี่นอนข้างๆเธอ เธอดิ้นหนึ่งครั้ง ถ้าไม่อยากให้พี่นอนด้วยก็ดิ้นสองครั้ง”
ทั้งสามจ้องมองท้องนูนๆ ไม่กี่วินาทีต่อมา น้องสาวตัวน้อยที่อยู่ในท้องก็ยืดแขนออกมาหนึ่งที
ผิงอันหัวเราะอย่างชอบใจ “ฮ่าฮ่าฮ่า พ่อดูสิ น้องขยับหนึ่งทีล่ะ เธอเห็นด้วยกับผม”
เย่ฉ่าวเฉินจำต้องยอมแพ้ วันนี้เขาโชคไม่ดีจริงๆ แพ้ตลอด
“นอนข้างๆแม่ได้ แต่อย่าเผลอเตะเชียวล่ะ”
ผิงอันตบลงที่หน้าอกน้อย “ไม่ต้องห่วง ผมไม่ทำหรอก”
และแล้ว ศึกแย่งชิงตำแหน่งข้างเตียงของมู่เวยเวย ก็จบลงด้วยชัยชนะของผิงอัน
ทว่า เย่ฉ่าวเฉินแทบมองไม่เห็นอนาคตที่สดใสเสียเลย ตอนนี้มีผิงอันเข้ามาแย่งชิงความโปรดปรานเขาไป ถ้าน้องสาวคลอดออกมาอีกละ เขาจะอยู่ที่ไหนได้เนี้ย?
เส้นทางยังอีกยาวไกล เขายังต้องอดทนอยู่กับมัน
คืนนี้ ผิงอันเข้านอนด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้นอนตรงกลางระหว่างพ่อแม่มานานแล้ว
สองสามนาทีต่อมา เมื่อมู่เวยเวยเห็นว่าผิงอันหลับสนิทแล้วจึงถามเย่ฉ่าวเฉินว่า “คุณจัดการกับหมอนั้นอย่างไร?”
“เคยอ่านนิยายเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้าไหม?” เย่ฉ่าวเฉินถามขึ้นโดยไม่มีเหตุผล
มู่เวยเวยพยักหน้า “เคยดูละครน่ะ”
“ศิลปะฝีมือที่ยอดเยี่ยมของมู่หรงฟู่ ตาต่อตาฟันต่อฟัน” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างลับลมคมใน
ปฏิกิริยามู่เวยเวยเชื่องช้าลงเล็กน้อยหลังตั้งท้อง “หมายความว่าอย่างไร?”
เย่ฉ่าวเฉินเอ่ยเสียงเบา “ในตอนนั้นมันต้องการให้เราตายอย่างไร ผมก็ให้มันคืนอย่างนั้น แต่ก็เสียเฮลิคอปเตอร์ไปหนึ่งลำและเงินอีกสิบล้าน”
มู่เวยเวยใช้สมองอันน้อยนิดครุ่นคิดอยู่นานกว่าจะเข้าใจความหมายคำพูดของเขา
“ไม่มีใครเห็นหรอ?”มู่เวยเวยถามอย่างกังวลใจ
“ตอนนั้นพระอาทิตย์ตกสวยงามมาก น่าจะไม่มีใครเห็นนะ แต่ถึงเห็นก็แล้วอย่างไรล่ะ? ไม่มีใครรู้อยู่ดีว่าฉันทำอะไร”
มู่เวยเวยเงียบไปครู่หนึ่ง เธอถอนหายใจเบาๆแล้วพูดว่า “กรรมตามทันในชาตินี้เสียจริง”
“อืม” เย่ฉ่าวเฉินสัมผัสที่หน้าของเธอ เสียงอ่อนโยนเอ่ย “นอนเถอะ ทุกอย่างจบลงแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอและลูกกลับบ้าน”
。
“อืม” มู่เวยเวยหลับตาลง
ตั้งแต่ถูกอลิซลักพาตัวไปที่เกาะเล็กนั้น ฝันร้ายนี้ก็ได้เริ่มขึ้น ช่วงเวลาแห่งการเจ็บปวดและทรมาณ สับสน ทางเลือก เสียงหัวเราะ น้ำตา ในที่สุดก็ได้ตื่นจากฝันครั้งนี้เสียที
เธอหาลูกชายพบ หาความรักที่ต้องการเจอ พี่ชายก็ได้กลับไปหาคนข้างกายตามที่ปรารถนา ทั้งยังมีชีวิตใหม่ สำหรับบทสรุปนี้ หนึ่งปีที่ผ่านมา มู่เวยเวยไม่อยากจะคิดเลย
กาวิน ผู้ชายที่ไม่มีใครรู้ชื่อจริง ไม่มีใครรู้จักหน้าตา ตอนนี้ ในที่สุดก็ได้เดินออกจากชีวิตเธอไปแล้ว
คืนที่ไร้ความฝัน
เช้าวันรุ่งขึ้น เย่ฉ่าวเฉินพาภรรยาและลูกกลับบ้าน หญิงตั้งครรภ์ทั้งสองอำลากันด้วยความอาลัยอาวรณ์ ต่างนัดแนะกันไว้ว่าครั้งหน้าจะไปเดินชอปปิงด้วยกัน
มู่เทียนเย่พูดกับเย่ฉ่าวเฉินว่า “วันนี้อย่าลืมเอารถมาให้ฉันล่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินไม่แสดงสีหน้าแต่อย่างใด “รู้แล้ว”
น่าอายมาก รถคันนั้นเขายังไม่เคยแตะเลย ตอนซื้อมาก็ว่าจะลองขับสักครั้ง
มู่เทียนเย่มองสีหน้าอายๆของเขาแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
ถึงคฤหาสน์ตระกูลเย่ เย่ฉ่าวเฉินวางมู่เวยเวยลงแล้วค่อยพาผิงอันไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล
ลงทะเบียน ตรวจเลือด รอผลตรวจ ผู้คนที่เข้าๆออกๆแทบจำเย่ฉ่าวเฉินได้หมดทั้งยังเห็นเด็กมหัศจรรย์ที่เล่าต่อๆกันมานั้นด้วย
ผู้คนต่างจดจำเกี่ยวกับข่าวลือที่ถูกแพร่ออกมาได้ ถึงแม้ว่าเย่ฉ่าวเฉินจะชี้แจงและเรื่องนี้ก็ถูกปิดลงไปแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่านิสัยเดิมของผู้คนนั้นมักจะสนใจต่อเรื่องลี้ลับ ดูไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรแต่เป็นการมองเรื่องแปลกใหม่มากกว่า
“ว้าว มันเป็นอะไรที่แปลกมากเลยจริงไหม สุดยอดมาก” สาวน้อยคนหนึ่งมองไปที่ผิงอันและพูดด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ ใช่ ฉันไม่เคยเห็นสองตาที่แตกต่างอย่างนี้เหมือนกัน มันเหลือเชื่อมากๆ”
ผิงอันนั่งอยู่ข้างพ่อ ตอนแรกเขายังไม่ได้รู้สึกอะไร ใครมองเขา เขาก็ยิ้มให้ฝ่ายนั้นอย่างร่าเริง แต่เมื่อมีคนมองเขามากขึ้น ทั้งยังชี้มาที่เขาอีก ผิงอันที่ฉลาดหลักแหลมก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ
“พ่อครับ พวกผู้ใหญ่มองผมทำไมเหรอครับ? เพราะผมโตมาหล่อเหรอครับ?” ผิงอันถามอย่างไร้เดียงสา
เย่ฉ่าวเฉินอึดอัดใจและบีบเข้าที่จมูกน้อยๆของลูกชาย “ใช่แล้ว เพราะลูกพิเศษมาก พวกเขาไม่เคยเห็นเด็กน้อยที่น่ารักขนาดนี้ เพราะงั้นจึงมีหลายสายตาที่มองมา”
ผิงอันย่นจมูกและพูดอย่างไม่มีความสุขว่า “แต่ผมรู้สึกว่าพวกเขากำลังพูดถึงลูกตาของผม เพราะผมและพวกเขาแตกต่างกัน”
แววตาของเย่ฉ่าวเฉินวูบไหว เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นว่า “ผิงอัน โลกใบนี้กว้างใหญ่มาก มีผู้คนหลากหลายรูปแบบ จนถึงทุกวันนี้ยังมีคนอีกหลายประเภทที่ยังค้นหาไม่เจอ พวกเขามองที่แววตาของลูก เพราะว่าพวกเขาไม่เคยเห็น พวกเขาได้เห็นเพียงแค่ความตื้นเขินเพราะอย่างนี้มันไม่เกี่ยวกันกับลูกหรอก ลูกเป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ ใครๆจะไม่อยากรู้ได้บ้างล่ะ?”
ผิงอันที่ดูเหมือนจะเข้าใจ ลังเลอยู่นานก่อนถามขึ้นว่า “พ่อครับ ได้เห็นแค่ความตื้นเขินหมายความว่าอย่างไรเหรอครับ?”
“ก็คือ…อ่านหนังสือน้อยเกินไป ประสบการณ์ก็น้อยและคนที่เคยเห็นก็มีน้อยมาก”
“อ้อ” ผิงอันก็ไม่รู้ว่าเขาฟังเข้าใจหรือเปล่า เขาพูดอย่างจริงจังว่า “งั้นเมื่อผมโตขึ้นต้องอ่านหนังสือให้มากๆ พบผู้คนเยอะๆ และทำหลายๆอย่าง”
“แน่วแน่มาก” เย่ฉ่าวเฉินให้การสนับสนุนลูกชายอย่างแน่นอน
เย่ฉ่าวเฉินนับถือผิงอันจากใจจริง ไม่ใช่เพราะว่าเป็นลูกชายของเขา แต่เป็นเพราะเขามีจิตใจที่เปิดกว้างและสามารถแบกรับความกดดันได้อย่างเข้มแข็ง คิดถึงปีนั้น เย่ฉ่าวเฉินก็คิดว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่นเช่นกัน ครั้งหนึ่งเขาเคยตกอยู่ในภวังค์ปมด้อยของตนเอง ไม่กล้าที่จะคุยกับเพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนๆ กลัวว่าคนอื่นจะรู้ความลับของตนเอง
ตอนนี้ดูเหมือนว่าผิงอันจะสบายใจขึ้นมาก
สิบกว่านาทีหลังจากนั้น ใบผลตรวจก็ออกมา
หมอวัยกลางคนสวมแว่นตาหนาเตอะมองไปที่ผลตรวจอย่างไม่พอใจ
“หมอครับ เป็นปัญหาร้ายแรงมากไหมครับ?” เย่ฉ่าวเฉินถามอย่างกังวลใจ
คุณหมอขยับแว่นตาแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “พวกคุณเป็นพ่อแม่อย่างไรไปทำอีท่าไหนทำไมถึงให้เด็กกินยานอนหลับได้?แถมยังกินยาเกินขนาดอีก?”
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้แก้ตัวแต่อย่างใด รับฟังคำตำหนิของหมออย่างว่าง่าย ภายในใจกลับนึกเกลียดกาวินมากขึ้นอีก
คุณหมอมองค้อนเขาที่ไม่พูดอะไรก็ยิ่งโกรธมากขึ้น “พ่อแม่ที่อายุน้อยๆ การดูแลลูกมันลำบากขนาดนั้นเหรอ? ถ้าลูกซนไม่ยอมนอน งั้นก็ให้เขาเล่น เล่นให้เต็มที่เดี๋ยวเขาก็หลับเอง ทำไมต้องให้เขากินยานอนหลับด้วยล่ะ? คุณเห็นไหมว่าลูกโตมาน่ารักแค่ไหน? ถ้าหากว่าให้กินเยอะมากกว่านี้เกิดอะไรขึ้นมาแล้ว คุณจะเสียใจภายหลัง”
“พวกเราผิดไปแล้ว หลังจากนี้จะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” ในที่สุดเย่ฉ่าวเฉินก็ยอมเปิดปากยอมรับความผิด เขากลัวจนไม่พูดอะไร คุณหมอจึงดุว่าเขาไปหนึ่งชั่วโมง “คุณหมอครับ แล้วตอนนี้จะทำอย่างไร?”
“ไม่มีวิธี ผลของยานอนหลับเข้าไปในกระแสเลือดเรียบร้อยแล้ว ยาที่ยังหลงเหลืออยู่จะขับออกจากร่างกายได้ตามการเผาผลาญของเด็กเองเท่านั้น
“งั้นจะมีผลกระทบต่อเขาหรือไม่?”
“ไม่มากหรอก แต่ช่วงนี้อาจจะขี้เซาหน่อย พ่อแม่เอาใจใส่เขาหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว”
ได้ยินหมอพูดอย่างนั้น เย่ฉ่าวเฉินที่ตึงเครียดก็วางใจลง
“ขอบคุณคุณหมอมากครับ”
“กลับไปดูแลลูกดีๆล่ะ อดทนหน่อยละกัน” คุณหมอกล่าวตักเตือน
“ครับครับ รู้แล้ว” เย่ฉ่าวเฉินอุ้มผิงอันออกมาจากแผนกผู้ป่วยนอก เขาถอนหายใจยาวโล่งออกมาก เมื่อครู่เขาเกือบอดไม่ได้ที่จะสวนกลับ โชดดีที่นึกขึ้นได้ว่าไม่ใช่แพทย์ประจำตระกูลเขา
ผิงอันถามอย่างไม่เข้าใจว่า “พ่อครับ ทำไมเมื่อกี้พ่อไม่พูดอะไรเลยล่ะครับ? พ่อไม่ได้ให้ผมกินยานอนหลับเสียหน่อย ลุงหมอใจร้ายมากเลย”
เย่ฉ่าวเฉินกลั้นขำ “ไม่เป็นไร ถึงพ่อพูดไปหมอก็ไม่รู้จักคนนั้นอยู่ดี”
“อ้อ โอเคครับ”
วันเวลากลับมาเป็นปกติ ทุกๆอย่างกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่วันนี้ เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยกลับทะเลาะกันขึ้นมา แทนที่จะพูดคุยทะเลาะกัน ไม่เท่ากับมู่เวยเวยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ฝ่ายเดียว เหตุผลง่ายๆก็คืองานของมู่เวยเวย แต่หลังจากทะเลาะกันก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ตอนทานข้าวเย็น มู่เวยเวยพูดขึ้นเกี่ยวกับการไปทำงานในวันพรุ่งนี้ เย่ฉ่าวเฉินพูดออกมาทันที “คุณห้ามไปทำงานเด็ดขาด ตอนนี้ท้องอยู่มันไม่สะดวก”
มู่เวยเวยงุนงง “แต่ฉันรับปากไปแล้วว่าจะเข้าร่วมการแข่งขันออกแบบนะ”
“ฉันพูดกับเธอไปแล้ว ให้เขาเปลี่ยนคนไปซะ”
มู่เวยเวยไม่เต็มใจ ตอนนั้นเธอบอกว่าไม่อยากไปเพราะความสามารถไม่เพียงพอกลัวทำคนอื่นขายหน้า ตอน
นั้นเย่ฉ่าวเฉินก็บอกให้เธอไปศึกษาเพิ่ม ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะปรับความคิดได้
“คุณหมายความว่าอย่างไร?” มู่เวยเวยถามเสียงเย็น
เย่ฉ่าวเฉินที่กำลังหยิบก้างปลาเล็กๆออก พูดโดยไม่ได้เงยหน้า “ไม่ได้หมายความว่าไง ผมแค่คิดว่ามันลำบากเกินไปที่คุณจะอุ้มท้องไปทำงาน”
ความโกรธจากก้นบึ้งของหัวใจลุกโชนขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ มู่เวยเวยวางตะเกียบลง พูดอย่างวางมาด “ฉันจะไปทำสิ่งที่ฉันชอบไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร จะว่าไป บริษัทคุณก็มีพนักงานหญิงมากมาย ถ้าพวกเธอท้องขึ้นมาถึงกับต้องลาออกเลยเหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินยังไม่สังเกตเห็นน้ำเสียงโมโหของเธอ เขาคีบเนื้อปลาใส่ชามใบเล็กให้เธอและพูดว่า “พวกเธอล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิงที่มีหน้าที่การงาน แต่คุณต่างจากพวกเธอ”
“ฉันไม่เหมือนอย่างไร? ใช่ ตอนนี้ฉันท้องอยู่ เพราะงั้นต้องกลายเป็นผู้หญิงที่เกาะผู้ชายกินอย่างนั้นเหรอ?” น้ำเสียงของมู่เวยเวยกระทบกระทั่งเล็กน้อย ในที่สุดเย่ฉ่าวเฉินก็เข้าใจบรรยากาศที่มาคุ เขาเงยหน้าขึ้นมองภรรยาที่ไม่รู้ว่าสีหน้านั้นเปลี่ยนไปตอนไหน
เย่ฉ่าวเฉินแปลกใจ “แบบนี้มันทำไมเหรอ? ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
ความรู้สึกของหญิงตั้งครรภ์หวั่นไหวง่าย ไม่พอใจนิดหน่อยก็อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ มู่เวยเวยยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ ยิ่งคิดยิ่งโกรธ เบ้าตาชุ่มชื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “เมื่อก่อนตอนที่ฉันอ่านหนังสือ มุ่งมั่นที่จะเป็นนักออกแบบแฟชั่นที่ยอดเยี่ยม อาศัยความรู้เดิมมาสนับสนุนตัวเอง แล้วตอนนี้ล่ะ? ฉันพูดไปว่าไม่อยากเข้าร่วมแข่งขัน คุณก็สนับสนุนให้ฉันไป พอฉันรับปากแล้ว มาตอนนี้คุณกลับห้ามไม่ให้ไป เย่ฉ่าวเฉิน คุณเคยถามความเห็นฉันบ้างไหม? แม้แต่ตอนนี้ฉันจะไปหรือไม่ไปทำงานยังต้องรอให้คุณอนุมัติใช่ไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินฟังจบ เขารับรู้ว่าเธอโกรธมากแล้วจึงรีบเข้าไปปลอบโยน “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนี้ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าคุณไม่สะดวกเหรอ? รอคุณคลอดลูกก่อน คุณอยากไปเข้าร่วมแข่งขันก็ดีหรืออยากไปทำงานก็ตามผมจะสนับสนุนคุณทั้งหมดเลย”
“คุณอย่าพูดให้ตายใจ คุณไม่เคยให้เกียรติฉันเลย ไม่เคารพการตัดสินใจของฉัน ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคนอย่างคุณแล้ว” มู่เวยเวยลุกขึ้นด้วยดวงตาสีแดง เธอผลักเขาออกและเดินตรงไปที่บันไดทั้งที่ยังไม่ได้กินข้าว
เย่ฉ่าวเฉินรีบตามหลังไปดูแลเธอเพราะกลัวว่าเธอจะเผลอชนอะไรเข้า และพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “ช้าๆหน่อย ท้องคุณยังมีเด็กอยู่นะ”
มู่เวยเวยที่โกรธอยู่โพร่งออกมาว่า “เชอะ” เธอหยุดเดินทันทีและตวาดใส่เขาว่า “ลูก ลูก คุณก็รู้ว่าเป็นลูกมาทั้งวันแล้วและฉันแม่งก็เป็นเครื่องผลิตลูกให้ตระกูลเย่ ไม่สิ ไม่ใช่ ตอนนั้นคุณแต่งงานกับฉันก็เพื่อแก้แค้นพี่ชายของฉัน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่เพราะรักฉัน ผิงอันก็มายังโลกนี้โดยไม่ได้ตั้งใจหนิ”
เย่ฉ่าวเฉินหัวจะระเบิดอยู่แล้ว “ฉันไปคิดเรื่องแบบนี้ตอนไหน?”
“ถึงคุณไม่คิด แต่คุณก็ทำอย่างนี้”
“ผมทำอะไร?”
“ก่อนหน้านี้คุณยังทำมันไม่พอเหรอ?” มู่เวยเวยพูดโพร่งออกมาจนหมดคำที่อยู่ในหัว
เย่ฉ่าวเฉินถูกคำพูดแค่คำสองคำเล่นงาน“คุณจะขุดเรื่องเก่ามาทำไม?เรื่องพวกนี้มันผ่านมานานมากแล้วนะ?”
“ถึงจะผ่านมานานแต่นั้นก็เรื่องจริง”มู่เวยเวยตะคอกใส่เขา น้ำตาก็ไหลรินลงมา
เปลวไฟที่เพิ่งโหมอยู่ภายในใจของเย่ฉ่าวเฉิน ก็ถูกหยดน้ำตาของเธอดับมันลง เขาถอยออกมาหนึ่งก้าวและพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า “โอเคโอเคโอเค พรุ่งนี้คุณไปทำงานและผมจะไปส่งคุณเอง ตกลงไหม?”
“ไม่ไป!” มู่เวยเวยแสดงท่าทีตรงกันข้ามและก้าวเดินต่อไป
เย่ฉ่าวเฉินแกล้งไม่รู้จะพูดอย่างไร “ทำไมถึงไม่ไปอีกล่ะ?”
“ถึงไปก็ไม่อยากไปด้วยกันกับคุณ ฉันก็เป็นพนักงานตัวเล็กๆไม่กล้ารบกวนท่านประธานเย่หรอกค่ะ” มู่เวยเวยไม่ได้หันกลับมามอง เธอทั้งพูดและเดินขึ้นบันไดไปด้วย
เย่ฉ่าวเฉินกลุ้มใจอย่างมากและเดินตามหลังไปดูแลเธอ
มู่เวยเวยที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟพอเข้าห้องนอนก็ปิดประตูดัง”ปัง”ทันที เย่ฉ่าวเฉินเกือบจะชนเข้ากับประตู
ชายหนุ่มพิงประตูและพูดขอโทษเบาๆ “เมียจ๋า ฉันผิดไปแล้ว คุณเปิดประตูให้หน่อยได้ไหม? เรามีเรื่องที่ต้องคุยกันนะครับ ความโกรธมันไม่ดีต่อร่างกายนะครับ……เมียจ๋า? ฉันผิดไปแล้วจริงๆ……”
ประตูเปิดออก สีหน้าโกรธของมู่เวยเวยที่แสดงออกมา “คุณผิดตรงไหน?”
เย่ฉ่าวเฉินมึนงง เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหนจึงพูดว่า “ผมผิดทุกตรงเลยครับ”
“ปึง!” ประตูถูกปิดลงใส่หน้าเขาอีกครั้ง
เย่ฉ่าวเฉินพูดไม่ออก มู่เวยเวยคือผู้หญิงคนแรกที่เขาตกหลุมรัก โดยพื้นฐานแล้วทั้งสองไม่ค่อยจะพูดดีกันนัก ดังนั้นเขาไม่รู้ว่าจะง้ออย่างไรให้หญิงสาวหายโกรธ
เทคนิคการง้อภรรยาคงขึ้นอยู่กับการเรียนรู้จากอินเทอร์เน็ต หนังและละครทีวี สิ่งที่เย่ฉ่าวเฉินทำได้ตอนนี้คือการยอมรับความผิดต่อไป
“เมียจ๋า ฉันผิดไปแล้ว คุณเปิดประตูให้ผมก่อนดีไหม? จะตีจะด่าฉันก็ได้หมด อย่าโกรธผมมากมายเลยนะ เมียจ๋า…..”
ผิงอันก้าวเท้าน้อยๆวิ่งเข้ามา พิงประตูเลียนแบบพ่อ เงยหน้าพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อครับ พ่อไปกวนโมโหแม่เหรอครับ?”
“ใช่แล้ว” เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกถึงแสงเปร่งประกาย ก้มลงพูดเสียงเบากับผิงอัน “ลูกครับ เข้าไปช่วยพ่อพูดหน่อยสิ พ่อรู้ว่าผิดไปแล้ว อยากให้แม่หายโกรธ”
ผิงอันส่ายหัวน้อยๆแล้วพูดว่า “พ่อจะให้อะไรตอบแทนผมล่ะ”
“ลูกอยากได้อะไรล่ะ?”
ผิงอันรีบพูดขึ้น “ผมอยากได้รถเล็กๆสักคันที่ผมขับได้ด้วยตัวเอง”
ของขวัญนี้ผิงอันอยากได้มานานแล้ว แต่เย่ฉ่าวเฉินคิดว่าว่าเขายังเด็กเกินไป ให้ขับไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นรถของเล่นก็เถอะเพราะงั้นเขาจึงไม่เห็นด้วยอยู่เสมอ
ตอนนี้ผิงอันก็เสนอเงื่อนไขมาแล้ว เย่ฉ่าวเฉินเพียงตกปากรับคำ “ได้ ถ้าแม่หายโกรธ พ่อจะซื้อให้”
“เกี่ยวก้อย” ผิงอันยื่นนิ้วน้อยๆออกมา
“เกี่ยวก้อย” เย่ฉ่าวเฉินเกี่ยวที่นิ้วก้อยน้อยของเขา โยกสองครั้งหลังจากนั้นก็ใช้หัวแม่มือจรดเข้าหากัน
ผิงอันเคาะประตูอย่างตื่นเต้น “แม่ครับ ผมเอง เปิดประตูให้ผมหน่อยครับ”
ด้านในไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับแต่อย่างใด
“แม่ครับ งั้นผมเข้าไปนะ” ผิงอันพูดและแง้มประตูเดินหายเข้าไป
พอเย่ฉ่าวเฉินร้อนรนทีไรไอคิวเขาก็ลดลงทันที ทำไมเขาไม่คิดที่จะใช้พลังเหนือธรรมชาติเข้าไปนะ?
คิดแค่ว่ามีความช่วยเหลือของลูกชายก็จะทำให้ภรรยาหายโกรธได้ ไม่คาดคิดเพียงสองนาทีต่อมาผิงอันก็ปรากฏตัวออกมานอกประตูด้วยความโกรธ
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เย่ฉ่าวเฉินใจหายวาบ
ผิงอันเอามือเท้าเอวพูดด้วยความโกรธว่า “ทำไมพ่อถึงทำแม่ร้องไห้ล่ะ?”
เย่ฉ่าวเฉินตกใจ นั่งยองๆถามว่า “แม่ร้องไห้เหรอ?”
“ใช่แล้ว น้ำตายังไม่หยุดไหลเลยและเสียใจมาก” ผิงอันพูดจาน่าสงสาร “ผมไม่เอารถแล้วและก็ไม่ชอบพ่อด้วย”
พูดจบ ก็หายเข้าไปอีกครั้ง
เย่ฉ่าวเฉินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งพลันจิตใจสับสนวุ่นวายไม่ว่าเวยเวยจะโกรธอยู่หรือไม่ เขาวิ่งเข้าไปในห้องภายในพริบตาเดียว
แน่นอน ผิงอันไม่ได้พูดโกหก มู่เวยเวยนั่งร้องไห้อยู่ที่ข้างเตียง ผิงอันที่คอยส่งทิชชูให้แม่และยังคอยปลอบเธอ “แม่อย่าร้องไห้เลยนะ พ่อทำให้แม่โกรธ ผมก็ไม่ต้องการพ่อ ผมและแม่เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
มองท่าทีของมู่เวยเวย ใจของเย่ฉ่าวเฉินต้องเจ็บเจียนตาย ทำไมเขาต้องทำปากแข็งกับผู้หญิงของตัวเองด้วยล่ะ? เธอตกหลุมรักผม ให้กำเนิดลูกชายลูกสาว ไม่มีอะไรจะโชคดีไปกว่านี้แล้ว ทำไมยังทำให้เธอร้องไห้ได้ล่ะ?
“เมียจ๋า” เย่ฉ่าวเฉินร้องเรียกด้วยความรักใคร่ เขาเดินเข้าไปแตะที่ไหล่ของเธอแต่มู่เวยเวยกลับเบี่ยงหลบ
ผิงอันยืนบังมู่เวยเวยไว้ พูดด้วยแก้มป่องๆว่า “พ่อเข้ามาทำอะไร? แม่ไม่อยากเจอพ่อ”
เย่ฉ่าวเฉินกระซิบที่ข้างหูเขาว่า “เด็กดี ลูกออกไปก่อนนะ พ่อมายอมรับผิดครับ”
ผิงอันกลอกตาไปมาสองสามครั้ง พูดอย่างไม่เต็มใจว่า “พ่อต้องทำให้แม่มีความสุขให้ได้ ไม่อย่างนั้นผมก็จะไม่สนพ่อด้วย”
“รับประกันได้เลย” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างเที่ยงตรง
ผิงอันยัดกล่องทิชชูใส่มือของเย่ฉ่าวเฉิน จากนั้นถึงหันเดินออกไป
รอให้ลูกชายเปิดประตูออกไป เย่ฉ่าวเฉินคุกเข่าลงตรงหน้าภรรยาและพูดด้วยความรักใครว่า “เมียจ๋า อย่าร้องไห้เลย พอคุณร้องไห้ใจผมก็พลอยจะสลายไปด้วย”
มู่เวยเวยรู้สึกน้อยใจ ยิ่งเขาพูด เธอก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น เธอชี้นิ้วไปที่ประตูแล้วพูดว่า “ใครให้คุณเข้ามา? ออกไป!”
เย่ฉ่าวเฉินฉวยโอกาสคว้ามือเธอไว้และดึงเธอเข้ามากอดไว้แน่น “เมียจ๋า ขอโทษ ผมพูดผิดไปทำผิดไป ผมไม่ควรให้คุณออกจากการแข่งขันโดยไม่ได้ถามความเห็นคุณทั้งยังไม่ให้คุณไปทำงานอีก ผมคิดไม่รอบคอบเอง ครั้งหน้าผมไม่ทำแล้ว แต่เมียจ๋า ความรักที่ผมมีต่อคุณนั้นเปรียบได้กับท้องฟ้า โดยที่คุณไม่ต้องสงสัยกับมันเลย”
มู่เวยเวยสะอื้นไห้สะบัดมือเขาออก “คุณก็พูดให้ฉันตายใจไปงั้นแหละ คุณก็เห็นว่าฉันท้องใหญ่ขนาดนี้ ผิวก็ไม่ดีเหมือนเคย นั่นเป็นเพราะว่าทำไมคุณถึงเมินเฉยใส่ฉัน ไม่อยากให้ฉันไปทำงานที่บริษัทเพราะกลัวว่าฉันจะทำให้คุณอายใช่ไหมล่ะ?”
“โธ่ เมียจ๋า” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มเฝื่อนและพูดว่า “ถ้าฉันคิดอย่างนี้ต้องตายแน่ๆ ตอนนี้คุณก็ท้องแล้วด้วยและก็เป็นคุณแม่อุ้มท้องที่สวยที่สุดบนโลกใบนี้ ถ้าบอกว่ารังเกียจ มีแค่คุณเท่านั้นที่รังเกียจผม ผมจะไปรังเกียจคุณได้อย่างไร?”
“โอเค งั้นฉันขอถามคุณ ทำไมเลขาท่านประธานถึงมีสาวสวยถึงสองคน? อีกทั้งสองสามวันนี้ยังมักจะอยู่ที่บริษัทของคุณ” มู่เวยเวยถามทั้งที่น้ำตายังคลออยู่
เย่ฉ่าวเฉินได้ยินดังนั้นถึงเพิ่งรู้ว่ามู่เวยเวยที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟก็เพราะสาเหตุนี้ เขารีบชี้แจงทันที “ผู้หญิงสองคนนั้นเลขาหลิวเป็นคนเลือกเข้ามาเอง ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น แม้แต่หน้าตาเป็นอย่างไรฉันยังไม่เห็นด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องที่วิ่งเข้าไปในห้องทำงานของฉัน ก็ไม่มีอะไรเลยนะ”
“แน่ละว่าตอนนี้คุณจะไม่ยอมรับ”
“เพราะมันไม่มีอะไรฉันจะไปยอมรับได้อย่างไร?” เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกหมดหนทาง “ใครแม่งจะมานินทาคุณได้? คุณพาเขามาได้เลย ผมจะสู้หน้ากับเขาเอง”