วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 288 โตแล้วมาขอฉันแต่งงานนะ
เด็กผู้ชายกลุ่มนั้นหยุดและหันกลับไปมองคนมาใหม่ ซึ่งเป็นเด็กผู้ชายที่ตัวเตี้ยกว่าพวกเขา และใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนเอกชนที่ค่าเทอมแพงหูฉี่ในเมืองA
เด็กผู้ชายตัวใหญ่ที่เป็นหัวโจกเบนความสนใจมาที่เย่จิงเหยียน หัวเราะและพูดว่า “มาแล้วหรอพวกลูกคนรวย นี่แกเอาเงินมาให้ฉันใช่มั้ย”
“ปล่อยเธอ แล้วไปซะ” เย่จิงเหยียนพูดอย่างสงบ
“ฮ่าๆๆ…” กลุ่มเด็กผู้ชายหัวเราะพร้อมกัน “นี่เด็กน้อย ตัวแค่นี้ริอาจมาเบ่งหรอ”
“ถ้าพวกแกจะมีเรื่องก็รีบหน่อย ฉันยุ่ง ไม่มีเวลามาเล่นด้วยหรอกนะ” เย่จิงเหยียนค่อยๆขับแขนเสื้อขึ้น
“อวดดีเกินไปแล้ว เข้ามา”
เมื่อพวกเขาพุ่งเข้าไป เย่จิงเหยียนก็จัดการพวกเขาได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที เด็กพวกนั้นนอนหมดสภาพอยู่บนพื้นและร้องโอดโอย
ตั้งแต่เขาเริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาล เย่ฉ่าวเฉินก็สอนเขาต่อสู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพื่อเอามาทำร้ายคนอื่น แต่เพื่อเอาไว้ป้องกันตัว ในเมื่อลูกเขาเป็นคนพิเศษ ภายภาคหน้าต้องเจอกับอะไรอีกมากมายแน่
เย่จิงเหยียนเดินไปตรงหน้าสาวน้อย ก่อนจะเห็นเธอจ้องเขาอยู่ด้วยความประหลาดใจ และเขาก็ชินแล้วกับการถูกมองด้วยสายตาแบบนี้ “หุ่นยนต์ในมือน้องไปเก็บมาจากไหนหรอ”
สาวน้อยดึงสติกลับมา แต่ตาก็ยังจ้องอยู่ที่เขา “หนู…หนูเก็บได้ที่สนามเด็กเล่นในโรงเรียน”
“อย่างนี้นี่เอง พี่ให้เงินน้องแลกกับหุ่นยนต์ได้มั้ย”
“คือ…” สาวน้อยลังเลเล็กน้อย กว่าจะได้เล่นของเล่นนั้นไม่ง่ายเลย แต่เธอจะมาขายให้เขาหรอ….
เย่จิงเหยียนนั่งยองๆตรงหน้าเธอ และยิ้มบางๆ “น้องเอาไปก็เล่นไม่เป็นหรอก พี่ให้เงิน น้องจะเอาไปซื้อไอติม ไปซื้อตุ๊กตาบาร์บี้สวยๆ หรือซื้อของกินอร่อยๆก็ได้ ดีมั้ย”
สาวน้อยไม่เคยเห็นผู้ชายหล่อขนาดนี้มาก่อน เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา เธอก็ยอมพยักหน้า “พี่จะให้เท่าไหร่คะ”
“อยากได้เท่าไหร่”
สาวน้อยก้มหน้ามองหุ่นยนต์ในมือ และยกมือขึ้นมาห้านิ้้ว
“ห้าร้อยหยวนหรอ” เย่จิงเหยียนถาม
สาวน้อยตกใจ ที่จริงเธอจะบอกว่าห้าสิบหยวน เพราะเธอคิดว่าห้าสิบหยวนก็เยอะมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าพี่ชายคนนี้จะบอกว่าห้าร้อยหยวน
เย่จิงเหยียนเห็นเธอไม่พูด จึงคิดว่าเธอยังไม่พอใจ จึงพูดอีกว่า “ห้าพันหรอ เยอะกว่านี้พี่ให้ไม่ได้แล้วนะ เพราะตอนนี้พี่มีแค่ห้าพันหยวน”
หลังจากหายตกใจแล้ว สาวน้อยก็พยักหน้า ตั้งห้าพัน เยอะมากเลย
เย่จิงเหยียนสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง นำเงินออกมานับ และมันก็ครบห้าพันหยวนพอดี
“อะ ห้าพันพอดี เก็บไว้ดีๆนะ” เย่จิงเหยียนจับหุ่นยนต์มาในขณะที่สาวน้อยยังคงตะลึงอยู่ จากนั้นก็เอาเงินยัดใส่มือของเธอ และพูดยิ้มๆ “ยังไม่รีบไปอีก พี่จะดูพวกชั่วๆนี่ให้เอง น้องไปให้ไกลก่อนแล้วเดี๋ยวพี่ค่อยไป”
เย่จิงเหยียนเตือน สาวน้อยจึงรีบเอาเงินใส่ไว้ในกระเป๋านักเรียน และวิ่งไป แต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เธอก็หันหลังกลับมาตะโกนถามว่า “พี่ชื่ออะไรคะ”
“ถามชื่อพี่ทำไม” เย่จิงเหยียนถามอย่างสงสัย
เธอส่งรอยยิ้มผ่านสายตาออกมา “พี่หล่อจัง ถ้าฉันโตขึ้นฉันแต่งงานกับพี่ดีมั้ย”
“ไม่ดี” เย่จิงเหยียนปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
“ทำไม”
“เพราะพี่จะไปขอคนอื่นแต่งงาน”
“อ๋อ โอเค งั้นไว้เจอกันนะคะ”
เย่จิงเหยียนมองตามหลังของเธอไป สาวน้อยคนนี้ช่างกล้าหาญจริงๆ เรื่องอย่างนี้ยังกล้าพูดออกมาได้
เย่จิงเหยียนเดินผ่านเด็กผู้ชายพวกนั้นไปโดยไม่ชายตาแลสักนิด
เมื่อขึ้นมาบนรถ สิ่งแรกที่เขาทำก็คือลูบกระเป๋าหนังสือ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ จางเห่อที่นั่งข้างคนขับจึงมองเขาและถาม “ทำธุระเสร็จแล้วหรอครับ”
“เสร็จแล้ว กลับบ้านเถอะ” เย่จิงเหยียนพูดอย่างผ่อนคลาย
เย่ชูวเสวี่ยที่นั่งข้างหลังโน้มตัวมาข้างหน้า และชี้เสื้อเลอะๆของเขา “พี่เสื้อเลอะ”
เย่จิงเหยียนแกล้งปัดลวกๆ “เมื่อกี้ไม่ระวังเลยไปเลอะโดน”
เย่ชูวเสวี่ยหรี่ตามองเขา และพูดยิ้มอย่างมีเลศนัย “พี่เมื่อกี้้ไปตีกับคนอื่นมาใช่มั้ย”
“รู้ได้ไง” เย่จิงเหยียนถามกลับไปอย่างไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว
สองพี่น้องตระกูลมู่เมื่อได้ยินคำว่าตีกันก็เกิดความสนใจขึ้นมา พวกเขาโน้มตัวมาข้างหน้าและพูด “พี่ จะมีเรื่องทำไมไม่เรียกผม ผมช่วยพี่ได้นะ”
“ผมก็ช่วยได้ พ่อเพิ่งสอนมาหลายท่า ยังไม่ได้ใช้เลย”
เย่จิงเหยียนสอนทั้งสามคนอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “นั่งดีๆ”
“ชิ…”
แม้ทั้งสามคนจะไม่อยากทำ แต่ก็ยังเชื่อฟังเย่จิงเหยียนเสมอ ดังนั้นทั้งสามจึงยอมกลับไปนั่งดีๆ
“กลับบ้านห้ามทุกคนพูดถึงเรื่องนี้เด็ดขาด ไม่งั้นอย่าฝันว่าจะพาไปเที่ยวอีก” เย่จิงเหยียนพูดขู่
เย่ชูวเสวี่ยขมวดคิ้วสวย “งั้นพี่ก็ต้องบอกพวกเราว่าทำไมต้องมีเรื่องชกต่อย”
“พี่ไม่ได้มีเรื่องชกต่อย แต่เมื่อกี้พี่เห็นเด็กผู้ชายกำลังรังแกเด็กผู้หญิงอยู่ พี่เลยไปสั่งสอนนิดหน่อย” เย่จิงเหยียนพูดอย่างมีจริยธรรม โดยไม่ได้พูดถึงเรื่องหุ่นยนต์เลย
“ว้าว พี่ยื่นมือเข้าไปช่วยคนที่โดนรังแกหรอ” เซียวอวี้หลินพูดชมเขา
เย่จิงเหยียนพูดหน้าตาย “ใช่ แต่คุณลุงคุณป้าไม่ชอบให้พี่มีเรื่องชกต่อย ฉะนั้นเรื่องนี้อย่าบอกพวกเขา”
“ครับ ผมจะไม่พูด”
เย่จิงเหยียนยื่นมือมาลูบผมเขา “เจ้าหลินน่ารักที่สุด”
เด็กอีกสองคนแสดงท่าทีไม่พอใจออกมา
หลังจากเย่จิงเหยียนปราบเด็กสามคนได้แล้ว เขาก็หันมาพูดกับจางเห่อยิ้มๆ “ลุงจางเห่อ ผมขอร้องล่ะ”
“คุณชายน้อย ผมขับรถอยู่ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นครับ” จางเห่อมองตรงไปขับรถอย่างเคร่งขรึม
เย่จิงเหยียนพูดอย่างดีใจ “ขอบคุณครับลุงจาง ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณรักผมที่สุด”
จางเห่อยิ้มมุมปากบางๆ เขารักผิงอันที่สุด เพราะผิงอันผ่านความลำบากมามากที่สุด นิสัยก็อ่อนโยน ดังนั้นเขาจึงชอบผิงอัน
เมื่อถึงบ้าน เย่จิงเหยียนก็หยิบกระเป๋าและเข้าห้องไปทันที โดยให้เหตุผลว่าเขาจะทำการบ้าน ห้ามรบกวน
นั่นทำให้พ่อบ้านถึงกับงงทันที คุณชายน้อยของเขาเคยทำการบ้านเสียที่ไหน วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรอ
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยมาบ้านก็เรียกทุกคนมากินข้าว
เย่จิงเหยียนแอบมองพ่ออยู่หลายครั้ง สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจพูด “พ่อ เพื่อนในห้องผมอยากซื้อหุ้นยนต์หลายคนมาก”
เย่ฉ่าวเฉินเหลือบตาขึ้นมาเอากุ้งที่แกะเปลือกแล้วใส่จานมู่เวยเวย จากนั้นก็ถามช้าๆ “กี่คน”
“สิบห้าคน”
“พรุ่งนี้จะให้จางเห่อเอาไปส่งให้” เย่ฉ่าวเฉินแกะกุ้งให้ภรรยาอีกครั้ง แะทำเหมือนถามไปเรื่อย “ลูกบอกเพื่อนไปเท่าไหร่”
เย่จิงเหยียนไม่กล้ามองหน้าพ่อ จึงตักข้าวและพูด “ราคาตลาดขายเท่าไหร่ ผมก็ขายเท่านัเนแหละ”
“อ้อ งั้นก็หกหมื่นแปด”
“ห๊ะ ลุงจางเห่อบอกว่าห้าหมื่นไม่ใช่หรอครับ” เย่จิงเหยียนถามอย่างตกใจ ทันทีที่กลับมาบ้านเขาก็เข้าห้องไปนับเงินสะสมทั้งหมดของเขา ซึ่งถ้ามันราคาห้าหมื่นตอนนี้เงินของเขาที่มีก็เติมส่วนที่ขาดไปได้พอดี แต่ถ้ามันหกหมื่นแปดก็ยังมีส่วนที่ขาดอยู่
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างใจเย็น “ห้าหมื่นเป็นราคามิตรภาพ อย่างเช่นถ้าคุณลุงซื้อน่ะห้าหมื่น แต่ถ้าเพื่อนคนอื่นเราจะคิดราคามิตรภาพไม่ได้”
“ขนาดเงินคุณลุงยังเอา ขี้เหนียวไปหน่อยมั้ยครับ” เย่จิงเหยียนพูดอย่างไม่พอใจ
“ไม่งั้นเงินแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงลูกๆ”
เย่จิงเหยียนคิดอย่างลังเลด้วยใจที่ตื่นตระหนก ก่อนจะพูด “พ่อให้ราคามิตรภาพกับเพื่อนผมเถอะ เป็นเพื่อนร่วมห้อง ร่วมชั้นกันทั้งนั้น ผมเกรงใจ”
“มีอะไรต้องเกรงใจ ขนาดเป็นพี่น้องกันยังต้องคิดเงินเลย” เย่ฉ่าวเฉินพูดจบ มู่เวยเวยก็แอบบิดขาเขาใต้โต๊ะ จนเขาต้องแอบจับมือเธอไว้พลางสบตากับเธอ
เย่จิงเหยียนยังไม่ยอม “พ่อเห็นแก่หน้าผม ให้ราคามิตรภาพเถอะ”
“เพราะหกหมื่นแปดเงินลูกไม่พอใช่มั้ย” เย่ฉ่าวเฉินถามกะทันหัน
“ใช่” เย่จิงเหยียนพูดเสร็จก็เอามือขึ้นมาปิดปากทันที เขาโดนหลอกแล้ว
มู่เวยเวยหัวเราะออกมาเบาๆ เย่จิงเหยียนจึงรู้ว่าเขาหลุดไปแล้ว จึงรีบลุกยืนขึ้น “พ่อ ผมผิดไปแล้ว”
“ผิดตรงไหน” เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้วางตะเกียบลง แต่น้ำเสียงเขาเคร่งขรึมมาก
เย่จิงเหยียนพูดตรงๆ “ผิดที่ไม่ควรเอาหุ่นยนต์ไปโรงเรียน แถมยังเอาไปเล่นในห้อง และบอกเพื่อนว่าขายแค่สามหมื่น”
“โอ้ ซื่อสัตย์ไม่เบา” เย่ฉ่าวเฉินแซวเขา
เย่จิงเหยียนแอบยิ้ม “แน่นอน อยู่ต่อหน้าแก่ๆของพ่อผมไม่กล้าโกหกหรอก”
เย่ฉ่าวเฉินคีบเต้าหู้ไปให้ เย่จิงเหยียนจึงรีบยกจานขึ้นมารับทันที
“เมื่อกี้บอกว่าใครแก่” เย่ฉ่าวเฉินไม่พอใจ เขาเพิ่งจะสามสิบกว่าปี สามสิบแปดก็ยังถือว่าสามสิบกว่านั่นแหละ
เย่จิงเหยียนวางชามลง ยื่นมือเล็กมาตรงหน้าเขาเพื่อแสดงความชื่นชม “ผมผิดไปแล้วๆ พ่อไม่แก่เลยสักนิด เหมือนวัยรุ่นอายุยี่สิบปี พวกเราออกไปไหนใครๆก็คิดว่าเราเป็นพี่น้องกันหมด”
เย่ฉ่าวเฉินลูบคอเขาเบาๆ และพูดยิ้มๆ “เจ้าลูกคนนี้ พูดมั่วแล้ว”
“ผมสาบาน ที่ผมพูดเป็นเรื่องจริงนะ พ่อยังเด็กมากจริงๆ” เย่จิงเหยียนพูดอย่างสัตย์จริง
เย่ฉ่าวเฉินหมดคำพูดกับเด็กแบบนี้จริงๆ ไปเรียนการพูดกะล่อนแบบนี้มาจากไหน
เย่จิงเหยียนเห็นพ่อยิ้มแล้ว จึงรู้ว่าเรื่องกำลังไปได้ด้วยดี เขาจึงถามอย่างระมัดระวังว่า “พ่อรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
เย่ฉ่าวเฉินพูด “พ่อของเพื่อนลูกที่โรงเรียนเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกับพ่อ พอเลิกงานเขาก็โทรมาถามเรื่องหุ่นยนต์ พ่อเลยถามกลับไป ก่อนจะรู้ว่าลูกพ่อไม่ธรรมดาเลย ไปทำธุรกิจถึงในโรงเรียน แต่จะทำก็ไม่ทำดีๆ พาขาดทุนไปเป็นแสน ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป บ้านเราคงถูกลูกสูบไปจนหมดตัวแน่”
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว จะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้วครับ” เย่จิงเหยียนพูดอย่างเชื่อฟัง
“หึหึ”
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้พูดอะไรมาก แต่นั่นก็ทำให้เย่จิงเหยียนกลัวตัวสั่นได้ เขาวางมือลงอย่างรอให้พ่อลงโทษ
เย่ฉ่าวเฉินกินโจ๊กไปเรื่อยๆ พลางเติมซุปให้ภรรยาด้วยเป็นระยะๆ ก่อนจะพูด “กินเยอะๆ” โดยที่ไม่สนใจเย่จิงเหยียนเลย
เด็กอีกสามคนถึงจะไม่ได้หัวเราะเยาะเย่จิงเหยียนซึ่งๆหน้า แต่ก็ต่างแอบทำหน้าล้อเลียนเขา พวกเขาชอบตอนที่พี่ใหญ่โดนดุที่สุด
หลายนาทีจากนั้น มู่เวยเวยจึงกระทุ้งแขนคนที่อยู่ข้างๆ จากนั้นเย่ฉ่าวเฉินจึงยอมพูดออกมา “ที่พ่อสอนวันนี้ไม่ใช่เพราะลูกทำขาดทุน แต่เพราะลุกไม่ควรทำตัวเบ่งในโรงเรียนแบบนี้ ลูกคิดว่าตัวเองเก่งมาก ตอนสอบก็ได้ที่หนึ่งตลอด ครูก็ชอบลูก แล้วลุกคิดว่าโลกมันกว้างแค่นี้หรอ”
เย่ฉ่าวเฉินหยุดไป และพูดกับเด็กอีกสามคน “ทุกคนฟังนะ โลกนี้กว้างใหญ่มาก เหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าคิดว่าตัวเองเก่งมาก บนโลกใบนี้ยังมีคนเก่งกว่าตัวเองอีกมาก แต่ที่น่ากลัวก้คือเขาไม่เพียงแต่จะฉลาดกว่า แต่เขายังขยันกว่าด้วย หรือลูกคิดว่าจะสืบทอดธุรกิจเล็กๆของเราก็พอ สืบทอดแล้วลูกคิดว่าจะบริหารต่อไปได้ดีมั้ย สามารถรับผิดชอบปากท้องของพนักงานอีกเป็นหมื่นได้มั้ย แต่ถ้าไม่สืบทอด พวกลูกจะใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้มั้ย”
คำถามของเย่ฉ่าวเฉินทำให้ทั้งสี่คนเงียบทันที แม้พวกเขาจะอายุยังน้อย แต่ทุกอย่างที่เห็นผ่านตาผ่านหูมาก็ทำให้พวกเขาเป็นผู้ใหญ่กว่าปกติ รู้ว่าต่อไปพวกเขาต้องมีหน้าที่อะไร
เขาถอนหายใจและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงว่า “พระเจ้ายุติธรรมเสมอ ท่านมอบสมองอันชาญฉลาด และชีวิตที่ร่ำรวยให้ลูก แต่เขาจะเอาบางอย่างไปจากชีวิตของพวกเราเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสงบและความปรารถนาให้เป็นดั่งใจ ลูกมีพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีและไม่ดี วันข้างหน้าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นเราก็ไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นเราต้องพยายามทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ถ้าวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้น ลูกจะได้มีความสามารถไปแก้ไข ยังไงลูกก็ต้องดำเนินชีวิตไปด้วยตัวเอง พ่อกับแม่จะอยู่ด้วยแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น”
เด็กๆต่างพากันก้มหน้าไม่พูด มู่เวยเวยรู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างอึดอัด จึงกระแอมและพูดว่า “ทุกคนกินข้าวก่อนแล้วค่อยคุยกัน ผิงอันกลับไปกินข้าว”
แต่ตอนนี้ใครจะมีอารมณ์ไปกินข้าวต่อ โดนเย่ฉ่าวเฉินสอนไปขนาดนั้น
เย่ชูวเสวียใช้ช้อนเขี่ยข้าวในจาน ก่อนที่น้ำตาหยดน้อยๆจะไหลหยดลงไปในจาน
มู่เวยเวยตกใจรีบหันมาปลอบ “ลูกรักร้องไห้ทำไมลูก”
เย่ชูวเสวียเบะปาก พูดน้ำตาคลอว่า “หนูไม่ให้พ่อกับแม่ไป หนูจะอยู่กับพ่อกับแม่ตลอดไป”
มู่เวยเวยได้ยินก็น้ำตาริ้นขึ้นมา เธอหันไปจ้องสามีเขม็ง “พวกเขาเด็กแค่นี้ จะพูดอะไรนักหนา เดี๋ยวลูกโตขึ้นก็รู้เอง”
เย่ฉ่าวเฉินกลัวภรรยาที่สุด เขาจึงยิ้มแหยๆ “ผมแค่เผลอพูดเอง”
“ลูกรักไม่ต้องร้อง พ่อกับแม่จะอยู่กับหนู รอดูหนูโต ทำงาน มีความรัก แต่งงานและอื่นๆ สบายใจเถอะ พ่อกับแม่จะอยู่กับหนูอีกนานแน่นอน”
“จริงหระคะ” เย่ชูวเสวียสูดน้ำมูก แล้วหันไปถามเย่ฉ่าวเฉิน
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า “จริงสิ แต่อย่ารีบแต่งงานล่ะ พ่อเลี้ยงหนูได้”
สีหน้าของเย่ชูวเสวียกลับมาสดใสในพริบตา จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับพี่น้องตระกูลมู่ข้างๆว่า “รีบกินข้าวเถอะ กินเสร็จไปเล่นเกมกัน”
“อืม โอเค”
เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยตะลึง ลูกสาวของพวกเขา เปลี่ยนอารมณ์ได้ไวกว่าคนปกติจริงๆ
หลังกินข้าวเสร็จ เย่จิงเหยียนก็กลับไปที่ห้องของตัวเองเงียบๆ ขณะที่ยืนเหม่อมองหุ่นยนต์บนโต๊ะอยู่นั้น เย่ฉ่าวเฉินก็เคาะประตูเข้ามา
“คิดถึงเรื่องวันนี้อยู่หรอ” เย่ฉ่าวเฉินนั่งบนโต๊ะของเขา ด้วยท่าทางดีกว่าเมื่อครู่มาก
เย่จิงเหยียนมีสีหน้าสับสน “พ่อผมทำเลวมากใช่มั้ย”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว ตอนนี้ลูกแค่สี่ปี อายุยังน้อยอยู่ มีสิทธิทำผิดได้ พ่อไม่ควรว่าลูก แถมพ่อยังรู้สึกว่าลูกเป็นความภูมิใจของพ่อด้วย เพราะลูกทำได้ดีกว่าพ่ออีก”
เย่จิงเหยียนไม่แน่ใจ “พ่อล้อเล่นหรอ”
“พ่อพูดจริง” เย่ฉ่าวเฉินหยุดไปนิดหนึ่ง และพูดเสียงทุ้ม “ตอนที่พ่อโตพอๆกับลูก วันหนึ่งพ่อก็รู้ว่าตัวเองมีพลังพิเศษ….”
เรื่องยาวมาก อย่างกับเกิดขึ้นตั้งแต่ชาติที่แล้ว เย่ฉ่าวเฉินเล่าเรียบๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยราวกับกำลังเล่าเรื่องคนอื่นอยู่
ตอนแรกคิดว่าเรื่องต้องเล่านานมาก แต่หลังผ่านไปแค่ไม่กี่นาที เย่ฉ่าวเฉินก็เล่าเรื่องนั้นจนจบ “ที่พ่อเล่าเรื่องนี้ให้ลูกฟังก็เพราะไม่อยากให้ลูกใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่อย่างนั้นถ้าในอนาคตลูกคิดย้อนกลับมาวันนี้ ลูกจะรู้สึกเสียดายที่ตัวเองไม่พยายาม เมื่อถึงตอนนั้นจริงๆจะทำอะไรก็ไมทันแล้ว เหมือนพ่อที่ทำอะไรไม่ดีกับแม่หลายอย่าง ตอนนี้พอมาคิดกลับไปพ่อแทบอยากฆ่าตัวเอง ดีที่แม่ยกโทษให้พ่อ ไม่อย่างนั้นลูกกับน้องสาวคงไม่ได้เกิด”
เย่จิงเหยียนรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้มาก “มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรอครับ”
“ใช่” เย่ฉ่าวเฉินเศร้ามาก ตอนนี้ถ้าคิดย้อนกลับไปเขาก็ยังรู้สึกเสียใจ
เย่ฉ่าวเฉินมองรูปเด็กผู้หญิงที่วางอยู่บนโต๊ะมานานแล้ว ก่อนจะยิ้มอย่างอบอุ่น “ตอนนี้เด็กคนนี้ก้น่าจะโตแล้วนะ”
เย่จิงเหยียนก็มองไปที่รูปภาพเช่นกัน จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมา “อาจจะสูงกว่าผมแล้วด้วย”
“ลูกชอบเธอขนาดนั้นเลยหรอ” เย่ฉ่าวเฉินแซวลูกชาย
เย่จิงเหยียนหน้าแดงเล็กน้อย “พ่อ เธอไม่ได้คิดแบบเดียวกับผม”
เย่ฉ่าวเฉินตบไหล่ลูกชาย “ผิงอันจำไว้นะ ถ้าลูกเก่ง ยืนอยู่สูงกว่าคนอื่น ลูกก็จะได้รับความสนใจจากผู้หญิง และตอนนั้นเธอจะหาลูกเจอเอง และลูกก็จะสามารถหาเธอจนเจอด้วย อย่าให้เธอเห็นลูกตอนที่ไม่มีเสน่ห์อะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นแม้จะได้เจอกัน สายตาของเธอก็จะไม่หยุดอยู่ที่ลูก”
เย่จิงเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยสายตาแน่วแน่ “ครับพ่อ”
“เด็กดี” เมื่อสิ่งที่เย่ฉ่าวเฉินต้องการจะบอกได้พูดไปหมดแล้ว เขาก็เตรียมจะเดินออกไป “อ้อ แล้วก็ไหนๆก็บอกไปว่าสามหมื่นแล้ว พ่อก็ไม่อยากหักหน้าลูก ทำธุรกิจต้องมีความซื่อสัตย์ ส่วนที่ขาดทุนพ่อจะหักเอาจากบัญชีลูก มีอะไรเพิ่มเติมมั้ย”
“ไม่ครับ” เย่จิงเหยียนแทบจะตามไม่ทันความคิดของพ่อแล้ว เมื่อกี้ยังให้กำลังใจเขาอย่างอบอุ่นอยู่เลย ทำไมอยู่ดีๆเปลี่ยนมาเรื่องเงินง่ายๆ
“ไม่มีก็ดี ฝันดี” เย่ฉ่าวเฉินรีบออกไปรายงานภารกิจเสร็จสิ้นทันที
คืนนั้นเย่จิงเหยียนนอนไม่หลับ เขานึกถึงตอนที่ต้องแยกกับต้วนอี้เหยาขึ้นมา พ่อพูดถูก เขาไม่ควรทำตัวอย่างนี้ต่อไป เขาต้องพยายามกว่านี้ เขาถึงจะหาเธอเจอ
วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆวันแล้ววันเล่า
ปีนี้เย่ฉ่าวเฉินพาภรรยาและลูกทั้งสองคนไปร่วมงานศพของปู่ที่ต่างประเทศ
ปีนี้เย่ฉ่าวเหยียนพาผู้หญิงที่ชอบกลับมาที่บ้าน ทั้งสองคนจดทะเบียนสมรสโดยไม่ได้จัดงานแต่งงาน และเลือกที่จะไปเที่ยวแทนการแต่งงาน
ปีนี้พ่อบ้านหวังขาหักเพราะความไม่ระวัง และหลังจากรักษาอยู่หลายเดือนเขาก็จากโลกนี้ไป คืนฝังศพ เย่จิงเหยียนกับเย่ชูวเสียก็มานอนที่ห้องไว้ทุกข์หนึ่งคืนด้วยความกตัญญู จากนั้นจางเห่อก็มาทำหน้าที่แทน
หลังจากนั้นไม่กี่เดือนฉินหม่าก็เสียชีวิตด้วยความเสียใจ และก็ยังเป็นเย่จิงเหยียนกับเย่ชูวเสวียเหมือนเดิมที่ทำหน้าที่ไว้ทุกข์ เพื่อเป็นการขอบคุณที่เธอดูแลบ้านตระกูลเย่มาตลอด มู่เวยเวยเสียใจเป็นเวลานานมาก ไม่มีใครเป็นแม่ครัวได้ดีเท่าฉินหม่าแล้ว
ปีนี้เย่จิงเหยียนในวัย 21 ปีได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกด้วยผลการเรียนที่โดดเด่น เขาจึงเลือกไปเรียนต่อ
ก่อนจากไปนอกจากเย่จิงเหยียนจะเอาเสื้อผ้าไปแล้ว ส่วนที่ลึกที่สุดของกระเป๋ายังมีกล่องเล็กๆกล่องหนึ่ง ข้างในมีแม่กุญแจสีทองเล็กๆ และรูปเดิมรูปนั้น แม้ว่ารูปเด็กน้อยจะเลือนลางแล้ว แต่เขาก็ยังยึดมั่นในสัญญาเดิม
“ไปอเมริกาต้องดูแลตัวเองดีๆ เรื่องค่าใช้จ่ายก้ให้จัดการเอง” เย่ฉ่าวเฉินสวมเสื้อโค้ทยาวสีดำ ข้างในใส่สูทสีดำ แม้เวลาจะผ่านไป ใบหน้าของเขาก็ยังหลงเหลือเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ ราวกับภาพวาดที่สวยงามในทุกอิริยาบท
เย่จิงเหยียนก็สูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบสามเซนติเมตร เขาดูคล้ายกับพ่อของเขามาก แต่เขาดูละเอียดอ่อนกว่า ใบหน้าของเขาเหมือนเป้นผลงานชิ้นเอกของศิลปินชั้นยอด ไม่สามารถหาข้อบกพร่องจากเขาได้เลย
เขาสวมแจ็คเก็ตสีเทาอ่อน กางเกงยีนส์ และรองเท้าผ้าใบสีขาว แสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวาของวัยหนุ่ม
เย่จิงเหยียนยิ้มอย่างดีใจ “พ่อดูซะก่อนว่าผมลูกใคร ถึงพ่อจะไม่ให้เงินผมสักบาท ผมก็สามารถอยู่ในมหาลัยอย่างมีความสุขได้ แถมผมอาจจะได้เงินมาเล่นๆอีกเป็นล้านก็ได้ใครจะรู้”
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้เลย “บริษัทเกมหลายบริษัทที่ลูกสร้างขึ้นมาพ่อจะดูแลแทนก่อน ถ้ามีเรื่องใหญ่อะไร ลูกต้องเป็นคนตัดสินใจเอง แต่แน่นอนว่าบัญชีอยู่ในมือพ่อ”
“รู้แล้วครับๆ พ่ออย่าทำผมล้มละลายก็พอ” เย่จิงเหยียนพูดเว่อร์ บริษัทเกมเหล่านี้เป็นบริษัทที่เขาสร้างขึ้นสมัยที่เรียนอยู่ที่ไทย เขาสามารถเรียนจบในสองปีจากปกติสี่ปี เมื่อรู้สึกเบื่อเขาจึงเลือกไปเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดต่อ เพื่อจะดูว่ามหาลัยอันดับหนึ่งของโลกจะเป็นยังไง”
ถ้าไม่ใช่เพราะตรงนี้คนพลุกพล่าน เย่ฉ่าวเฉินเตะเขาไปแล้ว
“พ่อของแกไม่เคยทำบริษัทไหนต้องล้มละลาย”
“ดีๆๆ พ่อเจ๋ง” เย่จิงเหยียนยอมรับว่าเขานับถือพ่อเขาตรงจุดนี้มาก เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูด “ถ้า…เธอส่งจดหมายมาต้องรีบบอกผมนะ”
เย่ฉ่าวเฉินยกยิ้ม “แน่นอน จะบอกทันทีเลย”
ทันใดนั้นเสียงประกาศจากสายการบินก็ดังขึ้นเรียกให้ไปเช็คอิน เขาเริ่มรู้สึกใจหายขึ้นมา จึงพูดอย่างซึ้งๆ “พ่อต้องดูแลแม่กับน้องให้ดีนะ”
“อืม สบายใจได้” เย่ฉ่าวเฉินก็เสียใจเช่นกัน ตั้งแต่ผิงอันมาอยู่ข้างๆเขาก็แทบไม่ได้แยกจากกันอีก
“ผมถึงแล้วจะโทรหานะ”
“อืม อย่าลืมนะต้องโทรไปเบอร์แม่ เธอต้องดีใจมากแน่” เย่ฉ่าวเฉินเตือน วันนี้มู่เวยเวยกับหรูอี้ไม่ได้มาเพราะกลัวว่าจะร้องไห้หนัก
“จำได้แล้วครับ”
สายการบินประกาศย้ำอีกครั้ง เย่จิงเหยียนหันไปมองจุดตรวจที่อยู่ไกลๆ และหันกลับมายื่นแขนไปกอดเย่ฉ่าวเฉิน และพูดเสียงเบา “ผมไปแล้วนะพ่อ”
ในที่สุดเย่ฉ่าวเฉินก็ตาแดงขึ้นมา ลูกชายไม่ได้กอดเขามานานแล้ว