วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 294 : เธอมาหาถึงหน้าประตู
“โอเค ฉันจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง ถ้าครั้งต่อไปทำผิดพลาดอีก ไม่ว่าคุณจะรู้จักประธานเย่หรือไม่ จะไม่ทีทางมาเจรจาต่อรองอีก”
จ้าวเสวียนโค้งคำนับขอบคุณทันที “ขอบคุณมากท่านประธานหวัง”
รอเธอจากไป เลขาหวังก็ควบคุมความคิดไม่ได้ เกร่งว่าเย่จิงเหยียนจะรู้สึกว่าเขาทำงานไม่ทีลำดับขั้นตอน ด้วยเหตุนี้จึงหยิบเอกสารที่จำเป็นต้องลงนามบนโต๊ะเข้าไปที่ห้องทำงานของเย่จิงเหยียน
“ประธานเย่ เอกสารนี้จำเป็นต้องลงนาม” เลขาหวังสังเกตุการแสดงออกของเย่จิงเหยียน ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้
“อืม วางไว้ตรงนั้น”
เลขาหวังลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า ยังถามออกไปว่า “ประธานเย่ เป็นความบกพร่องต่อหน้าที่ของฉัน ขอถามหน่อยว่า ต้องการที่จะไล่จ้าวเสวียนออกไหม?”
เย่จิงเหยียนเงยหน้าขึ้น ในแววตาแสดงออกถึงความเย็นชาอย่างมาก “ถ้าเธอทำงานผิดพลาดก็ไล่ออกไป แต่ถ้าเป็นเรื่องเมื่อเช้านี้ก็ช่างเถอะ แค่กล่าวตักเตือนเธอกพอ”
“ครับ ฉันทราบแล้ว” เลขาหวังรู้อยู่แก่ใจแล้ว จึงออกจากห้องทำงานไป
อันที่จริงเวลานี้จ้าวเสวียนยังนับได้ว่ามีความรับผิดชอบในงาน ไม่ได้ทำเรื่องอะไรเกินไป วันนี้ที่ส่งอาหารเช้าก็เป็นครั้งแรก เย่จืงเหยียนนึกถึงภูมิหลังครอบครัวของเธอ ก็ปล่อยเธอไปน่าจะดีกว่า เพราะเขารู้ดีว่าการเข้าสู่เย่ฮวางนั้นต้องพยายามแค่ไหน เขาไม่อยากให้ความผิดพลาดครั้งเดียวของเธอก็ทำให้สูญเสียอนาคตที่สดใสไป
แต่สิ่งที่เลขาหวังคิดคือ จ้าวเสวียนมีความเกี่ยวข้องกับประธานเย่จริงๆ
เขตชายแดน
กลุ่มผู้ค้ายาบ้ากำลังดำเนินการค้าขายล็อตใหญ่ จำนวนเงินสูงถึง100 ล้านหยวน
คนที่ซ่อนอยู่ในพงหญ้าพูดเบาๆใส่ไมโครโฟนสองคำว่า “ลงมือ”
ในทันที เสียงปืนดังขึ้น ผู้ค้ายาเสพติดก็ยิงต่อต้าน แต่กองกำลังทหารป้องกันประเทศตรงหน้าฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ขบวนทัพพ่ายแพ้ไปเร็วมาก ทั้งตาย ทั้งบาดเจ็บ มีหัวโจกเพียงสองคนเท่านั้นที่หนีเตลิดเข้าไปในป่าลึก
“จูเชวี่ยชิงหลงตามฉันไปจับคน คนอื่นๆเก็บกวาดพื้นที่” ต้วนอีเหยาออกคำสั่ง จากนั้นก็ไล่ตามไปในทิศทางที่ทั้งสองคนนั้นหลบหนี
ต้นไม้ในป่าสูงใหญ่และเขียวชอุ่ม ในหนึ่งถึงสองนาที หัวโจกสองคนทิ้งร่อยรอยที่หายไป ต้วนอีเหยาจ้องมองจุดหนึ่งอย่างใจเย็น ฟังเสียงลมและการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนในอากาศ ส่งสัญญาณมือให้ทั้งสองคน จากนั้นก็เดินหมอบไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ
ใบไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลสั่นไหวเล็กน้อย ต้วนอีเหยาได้รับคำสั่งให้จับคนแบบเป็นๆ ทำได้แค่เพียงเข้าไปใกล้ๆเล็กน้อย
ในที่สุดก็เห็นรูปร่างคนหลังต้นไม้ ต้วนอีเหยาพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “วางอาวุธแล้วออกมา!”
“อย่าฆ่าฉันเลย อย่าฆ่าฉันเลย……” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ออกมา”
ชายคนนั้นชูมือขึ้น ก้มหัว ต้วนอีเหยามองไม่เห็นการแสดงออกของเขา
ในป่าจู่ๆก็มีเสียงปืนดังขึ้น ต้วนอีเหยาสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าใจสั่นเล็กน้อย และในเวลานี้ ชายที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งเมตรก็เข้ามาอย่างรวดเร็วและไม่รู้ว่าเอามีดสั้นมาจากที่ไหน ตรงเข้ามาจะแทงเธอ
ต้วนอีเหยาเป็นแชมป์การต่อสู้ประเภทจับล็อกข้อต่อ มีดสั้นทั้งสองเล่มไปๆมาๆก็ตกอยู่ในมือของเธอ
“กร๊อบ——”ตามด้วยเสียงกระดูก แล้วก็เสียงร้องแสบแก้วหูของชายคนนั้น แขนทั้งสองข้างของเขาถูกต้วนอีเหยาปลดลงมา
“ซื่อบื้อจริงๆ” ต้วนอีเหยาหัวเราะเยาะ
ฝ่ายชายร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด แสดงความดุร้ายในดวงตา “กูจะฟ้องมึง กูจะให้มึงไปขึ้นศาลทหาร”
ต้วนอีเหยาเหยียบเท้าของเขา ชายคนนั้นแทบจะล้มหกคะเมน “มึงไปฟ้องเลย กูจะให้โอกาสมึง ไป”
พาชายคนนั้นไปที่สถานที่ซื้อขายเมื่อกี้นี้ จูเชวี่ยชิงหลงพาอีกคนกลับมาด้วย เพียงแต่แขนของชิงหลงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
“นี่เกิดเรื่องได้ยังไง?” ต้วนอีเหยาถาม
“ไอ้หลานชายนี่มันยิง โดนถากๆผิวนิดหน่อย” ชิงหลงพูดแบบไม่สนใจ
“ดูมีอนาคต” ต้วนอีเหยาว่าเขาไปหนึ่งประโยคก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะว่าตำรวจชายแดนเข้ามาแล้ว
“ไอ๊หยา ต้องขอบคุณหัวหน้าต้วนอย่างสุดซึ้งจริงๆ ถ้าไม่ได้พวกคุณ วันนี้พวกเขาก็จะหนีไปได้” หัวหน้ากรมกล่าวขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
ต้วนอีเหยายิ้มจางๆ “ไม่เป็นไร ทั้งหมดเพื่อกวาดล้างการทำลายชาติ สมควรจะทำ เจ้าพวกนี้ก็ส่งมอบให้พวกคุณ เราถอนตัวก่อน”
แน่นอนว่าอธิบดีไม่กล้าขัดขวาง รีบพูดว่า “วางใจเถอะ พวกเขาจะหนีไม่พ้นการลงโทษทางกฏหมายอย่างแน่นอน”
ต้วนอีเหยาถอนกำลังของตนพ้นจากเขตอันตราย หายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที ทำให้อธิบดีมองอย่างชื่นชม
“มองดูคนอื่นสิ นี่คือกองกำลังทหารยอดฝีมือ เราจับพ่อค้ายาที่ค้ามาสองปีได้ภายในสิบกว่านาที”
รองอธิบดีที่อยู่ข้างๆพูดว่า “ท่านอธิบดี แต่นั่นคือยอดฝีมือในยิดฝีมือ นั่นไม่ใช่คนปกตินะ”
อธิบดีถลึงตาใส่เขา
“ฉันหมายความว่า เหล่านั้นคือเทพแห่งสงคราม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะได้ชัยชนะ” รองอธิบดีเสริมไปอีกประโยค
“โอเค ให้พวกลูกน้องพาเจ้าพวกนี้กลับไปลงโทษ แล้วก็ยาเสพติดเหล่านี้ด้วย”
“ครับ”
ครั้งนี้ที่ต้วนอีเหยามาช่วย เนื่องจากกองกำลังพิเศษกำลังฝึกอยู่ในป่าชายแดนในช่วงเวลานี้ หลังจากผู้บังคับบัญชาได้รับการร้องขอกองสนับสนุนจากตำรวจชายแดน ก็นึกถึงต้วนอีเหยาเป็นอย่างแรก ถึงอย่างไรก็เป็นการฝึกซ้อม เทียบไม่ได้กับการสู้รบจริง
กลุ่มผู้ค้ายาเสพติดกลุ่มนี้อยู่แถวชายแดนมาหลายปีแล้ว ติดอาวุธครบถ้วน สู้รบเป็นขั้นเป็นตอน ตำรวจชายแดนจับกี่ครั้งก็จับหัวโจกไม่ได้ ยังได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อย
คาดไม่ถึงว่าต้วนอีเหยาขึ้นมาก็ทำให้จับพวกนี้ได้ การสู้รบนี้แข็งแกร่งกล้าหาญ
กลับถึงค่ายฝึกอบรม ต้วนอีเหยาก็โทรหาเบื้องบน แจ้งสถานการณ์ให้ทราบ จากนั้น เธอก็ได้รับคำสั่งที่แปลกๆอีกหนึ่งอย่าง
“คุณว่าอะไรนะ? ให้ฉันไปฝึกพวกทหารเกณฑ์? ล้อเล่นใช่ไหม”
“ไม่ใช่ทหารเกณฑ์ ก็ใช่”
“เพิ่งได้รับคัดเลือกคงไม่ใช่พวกทหารเกณฑ์ใช่ไหม?” ต้วนอีเหย้ากล่าวอย่างดูถูก
“ต้วนอีเหยา ทำตามคำสั่ง” คำสั่งทางด้านนั้นเข้มงวดจริงจัง
“ค่ะ!” ต้วนอีเหยากล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“แต่เห็นตรงข้ามกับคุณ ทางด้านนั้นคุณให้รองหัวหน้านำไปก่อน ทางด้านนี้ก็เป็นสามเดือน ฝึกจนผลออกแล้วคุณก็กลับสู่สังกัด”
ต้วนอีเหยาหัวเราะแล้วพูดว่า “ผู้นำนี่คือต้องการให้วันหยุดฉันใช่ไหม สามเดือนไม่ใช่สั้นๆนะ”
สายทางด้านนั้นก็หัวเราะ “รู้แล้วก็ดี นี่เป็นความรักของพ่อแบบผู้นำต้วน ยังไงก็อน่าทำให้ผิดหวัง”
“โอเคโอเค คุณบอกมาเถอะ ไปที่ไหน?”
“เมืองA”
ต้วนอีเหยาคาดไม่ถึง จะได้ไปเหยียบเมืองAอีกครั้งโดยรูปแบบนี้
เฮลิคอปเตอร์มีแนวโน้มที่จะลดระดับลงจอดในพื้นที่ภูเขาห่างไกลจากเมือง A ต้วนอีเหยากระโดดลงจากเครื่องบิน มีคนห้าสิบคนยืนรอต้อนรับเธออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกๆคนเคยได้ยินสมญานามของเธอ แต่ไม่เคยเจอตัวจริง
ต้วนอีเหยาในชุดเครื่องแบบลายพราง สวมแว่นกันแดดขนาดใหญ่ เห็นใบหน้าเล็กๆเพียงครึ่งเดียว
“สวัสดีหัวหน้าใหญ่ต้วน ฉันหลิวเฉียงเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายชี้แนะ เบื้องบนกำชับไว้ว่า ที่นี่คุณเป็นใหญ่”
ต้วนอีเหยาจับมือเขา ยืนอยู่ตรงหน้าทหารชายกลุ่มหนึ่ง พูดเสียงดังว่า “แนะนำเล็กน้อย ฉันชื่อต้วนอีเหยา รหัสประจำตัว ชื่อเยี่ยน เป็นครูฝึกคนใหม่ของพวกคุณ ฉันรู้ว่าคุณเป็นทหารที่ดีที่สุดที่แต่ละกองร้อยคัดเลือกมา แต่อยู่กับฉันที่นี่ พวกคุณก็ไม่ต่างจากทหารเกณฑ์ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎของฉัน ไม่มีการต่อต้านไม่มีการร้องทุกข์ มิฉะนั้น ประตูอยู่ทางด้านนั้น” ต้วนอีเหยาชี้ไปทางด้านประตูใหญ่ “มาทางไหนก็ไสหัวไปทางนั้น ภายใต้ชื่อเยี่ยนของฉันต้องไม่ทีคนอ่อนแอ อย่าคิดว่าพวกคุณมาถึงที่นี่ก็คือของจริงแล้ว ตอนนี้ห้าสิบคน มากที่สุดจะเหลือแค่สองคน พวกคุณทำตัวเองให้ดีแล้วกัน เข้าใจไหม?”
“เข้าใจ!” ทุกคนตะโกนพร้อมกัน
ต้วนอีเหยาแคะๆหู “เมื่อเช้าไม่ได้กินข้าวใช่ไหม? ฟังไม่ได้ยินเลย”
“เข้าใจ!” เสียงตะโกนดังก้องฟ้า
ต้วนอีเหยามองขึ้นไปที่ยอดเขาในระยะไกล ดูนาฬิกาแล้วพูดว่า “ครึ่งชั่วโมง วิ่งจากที่นี่ไปที่ยอดเขานั่น แล้ววิ่งกลับมา สามสิบนาทีไม่ยืนอยู่ตรงนี้ คัดออกทันที”
ทุกคนตกตะลึง ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการวิ่งข้ามภูเขาลูกนั้น ตอนนี้เธอให้วิ่งไปกลับงั้นหรอ?
“คุณคิดว่าเวลามากเกินไปใช่ไหม? ยังไม่ไปอีก?” ต้วนอีเหยาพูดเบาๆ
เหมือนเสียงฟ้าร้อง ทั้งห้าสิบคนก็ปฏิบัติทันที มุ่งหน้าตรงไปที่ยอดเขา
การแสดงอำนาจนี้ทำให้หลิวเฉียงชื่นชมไม่หยุด มาสองวันแล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรพวกนี้มักจะมีเหตุผลมาโต้แย้ง เมื่อก่อนเคยเป็นลูกรักของกองร้อย ทุกๆคนก็หยิ่งยโสถือตัว แน่นอนว่าทุกคนจะไม่เห็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายชี้แนะตัวน้อยๆอย่างเขาอยู่ในสายตา
“หัวหน้าต้วน นี่เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการที่จะทำงานร่วมกับคุณ มีอะไรที่ต้องการก็บอกเขาได้โดยตรง”
ทหารฝ่ายธุรการ”พรึ่บ”ทำวันทยาหัตย์แสดงความเคารพ “สวัสดีท่านผู้นำ ฉันจางเฉินทหารฝ่ายธุรการ”
“สวัสดี ไม่ต้องเรียกฉันว่าท่านผู้นำหรอก เรียกฉันว่าหัวหน้าก็ได้ หอพักฉันอยู่ที่ไหนหรอ?”
ทหารฝ่ายธรการยกกระเป๋าเดินทางของต้วนอีเหยาไปทางอาคารเล็กสองชั้น “หัวหน้า หอพักอยู่ทางด้านนั้น หัวหน้า ฉันได้ยินชื่อเสียงคุณตั้งแต่เริ่มเป็นทหารแล้ว คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เห็นตัวเป็นๆ เหมือนกับฝันไปเลย”
ต้วนอีเหยาหัวเราะ มีคนพูดเช่นนี้หลายคนมาก เธอกำลังมีภูมิคุ้มกันบ้างแล้ว
ขึ้นไปชั้นสอง เปิดประตูห้องหนึ่ง เป็นห้องชุด เตียง ห้องรับแขก ห้องน้ำครบครัน นอกหน้าต่างเป็นต้นไม้สูงใหญ่ ลมฤดูร้อนพัดเข้ามา พาความเย็นสบายๆนิดๆมาให้
“หัวหน้า นี่คือห้องของคุณ กินข้าวที่โรงอาหาร ถ้าต้องการอะไร ให้ฉันพาคุณ……”
“ไม่ต้อง กินข้าวในโรงอาหารนั่นแหละ” ต้วนอีเหยาพูดตัดบททหารหนุ่มคนนี้ เขาพูดมากจริงๆ ตลอดทางมานี้ยังพูดไม่หยุดเลย
“งั้นหัวหน้าตอนนี้คุณหิวไหม? ต้องการสั่งอาหารเพิ่มจากในโรงอาหารไหม?”
“ไม่ต้อง” ต้วนอีเหยาเขี่ยไหล่ของเขา “ออกไปก่อน ฉันจะพักผ่อนสักครู่”
“อืม ได้ได้ได้ ฉันจะออกไป”
ทหารฝ่ายธุรการออกไปแล้ว ต้วนอีเหยาจึงรู้สึกว่าหูของเธอสงบเงียบขึ้นมาก นั่งอยู่บนโซฟาสักพัก ดูเวลาเกือบจะได้แล้ว หยิบแอปเปิ้ลบนโต๊ะลงไปข้างล่าง
ยี่สิบห้านาที ยังไม่มีคนโผล่มาสักคน
ยี่สิบหกนาที เห็นเงาคนปรากฏในสายตา
ยี่สิบแปดนาที สามสิบกว่าคนค่อยๆทยอยกันมา
ต้วนอีเหยาพิงรถจิ๊บกินแอปเปิ้ล มองดูคนจำนวนหลายสิบคนที่หอบเหนื่อยอย่างไม่แยแส ทว่าก็พึมพำในใจ สมรรถภาพร่างกายรุ่นนี้นับว่าดี
ยี่สิบเก้านาที มาถึงสี่สิบกว่าคน ต่อไปก็นับเป็นวินาที ต้วนอีเหยาโยนเข็มวินาทีให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายชี้แนะ “กดเวลาด้วย”
เห็นว่ายังมีหลายคนพยายามวิ่งอย่างสุดชีวิต เมื่อกำลังจะเหยียบเข้ามาขบวน “ติ๊ดๆๆ”เสียงก็ดังขึ้น
ต้วนอีเหยาเพิ่งจะทานแอปเปิ้ลเสร็จ เธอวางแกนกลางแอปเปิ้ลไว้ในมืออย่างมีมารยาท พูดอย่างเย็นชากับคนห้าคนที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวว่า “ถึงเวลาแล้ว”
และคำพูดนี้หมายถึงอะไร คนทั้งห้ารู้อยู่แก่ใจ พวกเขาไม่ได้แก้ตัว คนอื่นสามารถทำได้แต่พวกเขาไม่สามารถทำได้ นี่ก็คือความต่าง หมดคำที่จะพูด มีเพียงเก็บของแล้วออกไป
ต้วนอีเหยาพูดกับสี่สิบห้าคนที่สอบผ่านว่า “นี่เป็นเพียงแค่การอุ่นเครื่อง การคัดเลือกที่แท้จริงจะเริ่มขึ้นในบ่ายวันนี้ ให้เวลาพวกคุณผ่อนคลายอีกเล็กน้อย เพราะลำดับต่อไป ฉันจะทำให้พวกคุณเสียใจที่มาที่นี่”
ในสามเดือนต่อมา ต้วนอีเหยาใช้การปฏิบัติจริงมาพิสูจน์คำสัญญาของเธอ ทุกสัปดาห์จะมีการประเมินหนึ่งครั้ง สรุปผลลำดับสุดท้ายจะถูกส่งกลับไปโดยตรง เมื่อทุกคนคิดว่าวันนี้คือขีดความสามารถสูงสุดแล้ว แต่พรุ่งนี้จะยิ่งโหดร้ายมากขึ้น
ตอนเย็น ต้วนอีเหยานั่งอยู่ในรถ มองทหารแต่ละคนที่โคลนท่วมตัว ยิ้มกว้างแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าพวกคุณจำนวนมากไม่ยอมรับฉัน เอาแบบนี้มั้ย พรุ่งนี้พวกเรามาแข่งกันสักครั้งหนึ่ง ฉันคนเดียว ต่อสู้กับพวกคุณสามสิบเจ็ดคน ทุกคนคิดว่าเป็นยังไง?”
มีทหารกองหน้าถามเธอว่า “แข่งยังไง?”
“ง่ายมาก ก็คือยอดเขานี้ วกคุณไปหลบซ่อนได้ตามใจ ไม่ต้องถึงแปดชั่วโมง ภายในหกชั่วโมง ถ้าฉันทำลายได้สามสิบหกคน ก็ถือว่าฉันแพ้”
กลุ่มพวกคุณมองหาฉัน ฉันมองหาคุณ มีคนกล่าวถามว่า “งั้นพวกเราสามารถสู้ได้ไหม?”
“พูดไร้สาระ คุณจะถูกฉันทำลาย คุณจะไม่สู้หรอ? อีกอย่าง เมื่อคุณพบฉัน ก็สามารถยิงได้เลย”
การแข่งขันนี้คือหนึ่งต่อสามสิบหก เหล่าทหารฟังแล้วต่างก็เดือดพล่าน
“หัวหน้า ถ้าคุณแพ้ล่ะ?”
ต้วนอีเหยาหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ฉันแพ้ ก็จะผ่านโครงการฝึกอบรมเหล่านี้ทั้งหมด แต่ถ้าพวกคุณแพ้……” เธอกวาดสายตาอย่างเย็นชาไปรอบหนึ่ง “ต่อไปไม่ต้องพูดจาไร้สาระมากมายแบบนั้นให้ฉันได้ยินอีก”
“โอเค ฉันเข้าร่วม…..ฉันก็เข้าร่วม……”
“ดีมาก การฝึกซ้อมของวันนี้จบแค่นี้” ต้วนอีเหยากระโดดลงมาจากในรถ ยิ้มเหมือนดอกไม้ไฟ “คืนนี้กลับไปคิดให้ดีๆ พรุ่งนี้จะซ่อนยังไง ใช้อาวุธอะไร ยังไงก็อย่าทำให้ฉันผิดหวัง”
การแข่งขันเริ่มอย่างเป็นทางแปดโมงเช้า เวลาเช้ามืดตีห้า ต้วนอีเหยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าถี่ๆเข้ามาจากด้านนอกไม่หยุด
เธอพลิกตัวนอนต่ออีก ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงก็นั่งอยู่ในโรงอาหารที่ว่างเปล่าไม่มีคน
“หัวหน้า ทำไมคุณไม่ร้อนใจสักนิดเลยล่ะ” จางเฉินทหารฝ่ายธุรการถามอย่างกังวล
ต้วนอีเหยากัดซาลาเปาคำหนึ่ง กลืนลงไปแล้วพูดว่า “ร้อนใจอะไร? กองทัพCด้วยกันทั้งนั้น
คู่มือการฝึกซ้อมฉันก็ล้วนเป็นคนเขียน พวกเขาหลบซ่อนอยู่ที่ไหนแค่ฉันมองก็มองออกแล้ว ให้เวลาพวกเขามากกว่าสักสองชั่วโมง ก็คือให้พวกเขาเรียนรู้และนำไปใช้ ให้ความรู้ที่มั่นคงขึ้น”
จางเฉินใช้สายตาที่เลื่อมใสมองเธอต่อไป “หัวหน้า คุณยังอยากทานอะไรอีก? ฉันจะไปหยิบให้คุณ”
“ซาลาเปานี้ก็ไม่เลวนะ เอามาอีกสองชิ้น”
“จะเอามาให้เดี๋ยวนี้”
แปดโมง ต้วนอีเหยาแต่งตัวเป็นระเบียบเรียบร้อยออกเดินทาง บนร่างกายมีเพียงกริชหนึ่งเล่มและปืนพก
เจ้าหน้าที่ฝ่ายชี้แนะและทหารฝ่ายธุรการมองภาพเบื้องหลังของเธอแล้วพูดอย่างกังวลใจว่า “คุณคิดว่าใครจะชนะ?”
ทหารฝ่ายธุรการเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “ก็ต้องเป็นหัวหน้าชนะอย่างแน่นอน”
“ยังไงฉันก็คิดว่า…..เหมือนกับว่าจะเป็นหัวหน้าชนะ แต่ว่า ทหารสามสิบเจ็ดคนนั้นจะขายหน้าเกินไป”
ทหารฝ่ายธุรการหัวเราะคิกคัก “ฉันคิดว่าแพ้ให้หัวหน้าไม่ขายหน้าหรอก”
“หวังว่าพวกเขาก็จะคิดแบบนี้”
ดวงอาทิตย์สูงขึ้นเล็กน้อยจากภูเขาทางทิศตะวันออก เมื่อใกล้จะถึงเวลาเที่ยงตรง ทหารสองคนก้มหน้าค่อยๆยกอาวุธขึ้นอย่างช้าๆแล้วเดินออกมา พบว่าสองคนคือลำดับแรกที่ออกมา ยิ่งเพิ่มความหดหู่
เจ้าหน้าที่ฝ่ายชี้แนะรีบเข้าไปถามพวกเขา “ทำไมถึงถูกพบ?”
คนทั้งสองต่างไม่เงยหน้า เดินอ้อมเขาแล้วมานั่งลงที่สนามฝึกซ้อม เรื่องขายหน้าแบบนั้น พวกเขาจึงไม่อยากพูด
ต่อจากนั้น ทหารก็เดินออกมาจากทุกทิศทุกทางอย่างต่อเนื่อง ต่างก็มีลักษณะเดียวกัน นั่นก็คือบนใบหน้าแฝงไปด้วยความหดหู่และอับอาย กระทั่งมีบางคนบนหน้าบนตัวแขวนไปด้วยสีสัน รุนแรงหน่อยก็ลากขากลับมา และทุกครั้งที่เห็นคนๆหนึ่งปรากฎ ความหวังของกลุ่มคนก็ถูกทำลายเล็กน้อย
บ่ายโมง คนสามสิบคนนั่งไร้เรี่ยวแรงอยู่ที่สนามฝึกซ้อม บรรยากาศกดดันอย่างมาก
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง คนห้าคนก็กลับคืนสู่ที่เดิม คนหนึ่งในจำนวนนั้นคือถูกพยุงออกมา หน้าผากมีเลือดไหล
มองเวลาก็ใกล้จะหมดแล้ว ยังเหลืออีกสองคน
ในใจทุกๆคนมีความหวังขึ้นมา ต้องการเพียงเก็บไว้ได้หนึ่งคน ก็ถือว่าพวกเขาชนะ
แต่ถึงอย่างไรเวลานั้นก็ยังเหลืออีกสิบนาที ความหวังของทุกคนล้มเหลวแล้ว เพราะพวกเขาเห็นสองคนสุดท้ายผยุงกันและกัยเดินออกมา และทางด้านต้วนอีเหยาก็ตามมาด้านหลังอยากสบายใจ ในปากคาบกิ่งไม่อันหนึ่ง ท่าทางนั้นคล้ายกับว่ากลับมาจากการเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า ผมไม่มียุ่งเหยิงเลยแม้แต่น้อย รองเท้าบูทที่เท้าก็ยังคงสะอาดสะอ้าน
เห็นเธอเดินเข้ามา ทหารที่นั่งอยู่บนพื้นก็ลุกขึ้นยืนตัวตรงทันที ในสายตาไม่มีการดูถูกอีก ที่เหลือไว้ทั้งหมดคือความเคารพนับถือ
“ตอนนี้รู้ว้าช่องว่างอยู่ที่ไหนแล้วหรือยัง? เอาล่ะ ทานข้าวพักผ่อน ได้รับบาดเจ็บไปห้องพยาบาล ไม่ได้บาดเจ็บตอนบ่ายก็ฝึกซ้อมต่อ มีใครเห็นต่างไหม?”
“ไม่มี” น้ำเสียงเซื่องซึมอย่างมาก อีกทั้งยังไม่พร้อมเพรียง
“ไม่ได้ยิน” ต้วนอีเหยาพูดอย่างเฉยเมย
“ไม่มี!” เสียงครั้งนี้ทั้งดังกังวานทั้งพร้อมเพรียง เธอพยักหน้าอย่างพอใจ เดินไปยังโรงอาหาร
ยุ่งอยู่กับงานมาครึ่งค่อนวัน ซาลาเปาสองสามลูกและโจ๊กหนึ่งถ้วยที่ทานไปตอนเช้าตรู่นั้นก็ย่อยไปหมดแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะท้องร้องหิว เธอก็สามารถเล่นเป็นเพื่อนทหารสองคนสุดท้ายได้
หนึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดคนกลุ่มนี้ก็มีลักษณะของทหาร เพียงแต่จำนวนคนจากห้าสิบคนในตอนแรกลดลงเหลือสามสิบคนอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่าผู้นำต้วนรู้สึกว่าลูกสาวตนเองลำบากเกินไป หรือว่าคนเบื้องบนรู้สึกว่าต้วนอีเหยาฝึกโหดเกินไป เพียงเดือนเดียวนี้ก็มีทหารถึงยี่สิบคนถูกไล่ออกไป เป็นแบบนี้ต่อไป สามเดือนเสร็จสิ้นคนเดียวก็คงไม่เหลือ แต่ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุอะไร ต้วนอีเหยาได้รับเอกสารหัวแดง ให้หยุดงานหนึ่งวัน
ต้วนอีเหยาเป็นทหารมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเอกสารหัวแดงที่ออกสำหรับวันหยุด ความหมายของเบื้องบนนับวันยิ่งละเอียดมองไม่ทะลุจริงๆ
ได้ จะไปสนความหมายอะไร หยุดงานก็พักผ่อน
จู่ๆก็นึกถึงคนๆนั้นที่ไม่ได้พบครั้งที่แล้ว ต้วนอีเหยาถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายชี้แนะว่า “ที่นี่ห่างจากใจกลางเมืองมากไหม?”
ขับรถไปสองชั่วโมง หัวหน้า คุณอยากไปเที่ยวในเมืองหรอ? ฉันสามารถเป็นไกด์ให้คุณได้” เจ้าหน้าที่ฝ่ายชี้แนะเสนอตัวออกมาเองอย่างตื่นเต้น
“ไม่ต้อง ฉันไปเอง”
แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายชี้แนะไม่เห็นด้วย “คุณไปคนเดียวหรอ? นั่นไม่ได้ๆ ถ้าหากเกิดเรื่องล่ะแย่เลย แน่นอนว่าที่เมืองAไม่มีใครสามารถทำร้ายคุณได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีคนขับรถ”
“งั้นก็ให้จางเฉินขับรถไปกับฉัน” ต้วนอีเหยาประนีประนอมอีกขั้นหนึ่ง
“เอาล่ะ เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมรถ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายชี้แนะออกไป ต้วนอีเหยารู้สึกว่าเสื้อผ้าบนร่างกายเหนียวเหนอะหนะ เช้ามืดออกไปออกกำลังกายจนเหงื่อท่วมตัว ด้วยเหตุนี้จึงขึ้นไปอาบน้ำ เปลี่ยนเป็นเสื้อแขนสั้นลายพรางที่สะอาด
เธอดูเหมือนจะสวมเครื่องแบบทหารปกติยกเว้นชุดลายพราง
ก่อนที่รถจะมุ่งหน้าเข้าเมืองA จางเฉินเต็มไปด้วยความสนใจ “หัวหน้า คุณไปทำอะไรที่เมืองA? เที่ยวหรือว่าซื้อของ?”
“หาคน” ต้วนอีเหยามองไปที่วิวทิวทัศน์นอกหน้าต่าง มุมปากแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
จางเฉินได้ฟังก็มีรอยยิ้มมากขึ้น “หัวหน้า หาผู้ชายหรือว่าผู้หญิงล่ะ?”
ต้วนอีเหยาตบไปที่คอของเขาฝ่ามือหนึ่ง “พูดจาเป็นบ้างไหม อะไรหาผู้ชายหาผู้หญิง?”
“อิอิ หัวหน้า ฉันผิดไปแล้วๆ คุณจะต้องไปหาเพื่อนแน่นอนเลย”
“ก็ประมาณนั้น ขับรถไปอย่างเชื่อฟัง อย่ามาพูดไร้สาระให้มาก”
จางเฉินแอบมองสีหน้าของหัวหน้า รู้สึกว่าเธอยิ้มมากกว่าปกติที่อยู่ในสนามฝึกซ้อม ดังนั้นเขาจึงคาดการณ์สถานการณ์ คนที่หัวหน้ามาหาครั้งนี้ จะต้องเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน ไม่แน่อาจจะเป็นแฟน เพียงคิดถึงตรงนี้ จางเฉินก็รู้สึกว่าที่มาในวันนี้คุ้มค่ามาก ลองถามสิว่า มีกี่คนในกองทัพC ที่ได้เห็นแฟนหนุ่มของชื่อเยี่ยนต้วนอีเหยา?
ยิ่งคิดยิ่งมีความสุข จางเฉินจึงร้องเพลงขึ้นมา
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า รถก็ขับเข้ามาในใจกลางเมือง เพราะมีนำทาง คนทั้งสองเลยไม่จำเป็นต้องถามตามทาง แต่รถทหารดูสะดุดตาบนท้องถนนมากเกินไป ยังเป็นรถทหารสีเขียวลายพรางทั้งคัน เมื่อพบว่าคนขับรถและผู้สัญจรไปมาจำนวนมากกำลังมองดูเธออย่างอยากรู้อยากเห็น ต้วนอีเหยาก็หมุนกระจกหน้าต่างขึ้นอย่างเงียบๆ
ครั้งนี้ ถ้าเขาไม่อยู่อีก ก็ไม่มาหาแล้ว เวลาของฉันมันแน่นมาก ยังต้องเปลืองเวลาไปกับเขา ต่อไปจะหาแฟนได้ยังไง?
ช่วงเช้าสิบโมงกว่า รถทหารที่สะดุดตาก็มาจอดที่หน้าประตูเย่ฮวางกรุ๊ป
จางเฉินเงยหน้ามองตึกใหญ่ ถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า “หัวหน้า คุณแน่ใจนะว่าเป็นที่นี่?”
“คือที่นี่แหละ”
ต้วนอีเหยาสวมแว้นกันแดดแล้วลงจากรถ เอวและหลังตั้งตรง ร.ป.ภ.เห็นมาดนี้แล้ว ก็ตื่นเต้นถึงที่สุด แต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยเห็นทหารหญิงที่เท่สง่าผ่าเผยเช่นนี้
“เฮ้? เปลี่ยน ร.ป.ภ.แล้วหรอ?” ต้วนอีเหยาพูดกระซิบเบาๆประโยคหนึ่ง พูดเสียงดังว่า “ฉันมาหาเย่จิงเหยียน”
ร.ป.ภ.ดึงสติกลับมา ถามอย่างสุภาพว่า “ไม่ทราบว่าคุณได้นัดไว้ไหม?”
“เปล่า”
“ต้องขอโทษด้วย ไม่ได้นัดไว้ไม่สามารถเข้าไปได้”
ต้วนอีเหยากัดฟันกราม “ไอ้หนูเย่จิงเหยานี่ร้ายกาจนัก ฉันก็จะไม่ทำให้คุณลำบากใจ” พูดพลางเธอก็ล้วงแผ่นหยกจากในกระเป๋าออกมาโยนให้เขา “เอานี่ให้เย่จิงเหยา เขาก็จะรู้ว่าฉันเป็นใคร”
ร.ป.ภ.เพียงแค่มองก็รู้ว่าหยกชิ้นนี้มีมูลค่าไม่เบา กำลังจะเอาหยกไปมอบให้ จู่ๆฉันก็จำบางอย่างที่ประธานเย่แจ้งเมื่อไม่กี่เดือนก่อนได้ ด้วยเหตุนี้จึงถามต้วนอีเหยาอย่างรอบคอบว่า “ขอสอบถาม ชื่อนามสกุลของคุณ”
“แซ่ต้วน”
สีหน้าร.ป.ภ.เปลี่ยนไปทันที แซ่ต้วน? ตรงกับชื่อที่ประธานเย่เรียก หรือว่านี่ก็คือนางฟ้าคนนั้นที่อยู่ในใจของประธานเย่? ไม่กล้าเฉยเมย ร.ป.ภ.รีบโค้งตัวแล้วพูดว่า “เชิญครับคุณต้วน ฉันจะรีบไปแจ้งให้ประธานเย่ทราบทันที”
ต้วนอีเหยาหัวเราะ เห๊อะ คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะราบรื่นขนาดนี้?
แต่พอนึกถึงเรื่องราวครั้งที่แล้ว เธอก็ยังคงไม่สบายใจเล็กน้อย หยิบหยกจากในมือร.ป.ภ.แล้วพูดว่า “คุณไปเรียกเขามาเถอะ ฉันจะรออยู่ด้านนอก”
ร.ป.ภ.ไม่กล้าตอบโต้ สภาพร่างกายของเธอแข็งแรงเกินไป คล้ายกับว่าตนเองทำได้เพียงปฏิบัติตาม “อย่างนั้น ยังไงคุณต้วนก็อย่าเพิ่งไปไหน ประธานเย่จะลงมาเดี๋ยวนี้”
ต้วนอีเหยาโบกๆมือไปยังเขา คุณต้วน ชื่อเรียกนี้แปลกใหม่เกินไป แล้วก็ไม่คุ้นชินอย่างมาก
หันกลับมายืนพิงรถ จางเฉินถามเธอว่า “หัวหน้า คุณมาหาใครหรอ ตำแหน่งใหญ่ขนาดนี้?”
“น้องชายคนหนึ่ง”
“ห๊า?! ไม่ใช่แฟนหรอ?!” จางเฉินพูดความในใจออกมาโดยไม่ได้ยั้งคิด
ต้วนอีเหยาชำเลืองมองเขา “ไม่ใช่แน่นอน”