วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 297 : ฉันมานัดดูตัว
ไม่ได้ข่าวของเธอมาก่อน เย่จิงเหยียนจึงเป็นกังวล ตอนนี้รู้แล้วว่าเธออยู่ที่ไหนสักที่ในเมืองA อยากเจอแต่หาใครไม่พบ ตอนนี้เย่จิงเหยียนทรมานราบกับโดนแมวข่วน
ต้วนอีเหยาก็อึดอัดพอๆ กับเขา แต่สาเหตุไม่เหมือนกัน เพราะเธอถูกพ่อบังคับให้แต่งงาน เธอมีโอกาสได้เป็นคนฝึกคนใหม่ ให้เธอหยุดแล้วออกไปเที่ยวเล่น บางทีไม่แน่อาจจะหาแฟนได้ คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะหัวรั้น การฝึกจริงๆ ไม่ได้ผ่อนคลายเลยสักนิด และก็ห้ามเกียจคร้าน เรื่องนี้ทำให้ความตั้งใจของพ่อต้วนไร้ผล
ลูกสาวตนเองอายุย่างยี่สิบแปดปีแล้ว แต่ยังไม่มีคนรัก พ่อแม่คนไหนจะไม่รีบร้อนใจ? คุณพ่อต้วนเคยคิดวิธีหาคู่ในกองทัพให้เธอ แต่คนเหล่านั้นล้วนพ่ายแพ้ให้แก่ลูกสาวของตน ไม่เข้าตาเขา แล้วจะเข้าตาลูกสาวเขาได้อย่างไร?
หัวหน้าต้วนคิด หรือว่าต้องออกไปจากกองทัพ ไปหาคนธรรมดาๆ ไม่แน่เรื่องนี้อาจจะประสบผลสำเร็จ
“สหายเก่าพ่อมีลูกชายทำงานอยู่ที่เมืองA ได้ยินมาว่าทั้งซื่อสัตย์ และมีคุณธรรม พรุ่งนี้แกไปเจอเขา”
ต้วนอีเหยาได้ยินก็นึกแข็งข้อ “พ่อ พรุ่งนี้หนูไม่ว่าง”
“ทำไมไม่ว่าง? ทิ้งแผนการฝึกซ้อมไว้นั้นแหละ ให้พวกเขาซ้อมกันเอง แกแค่กลับมาตรวจสอบก็พอแล้ว ไม่ต้องเถียง” คำพูดสุดท้ายของคุณพ่อต้วนน้ำเสียงจริงจัง
ต้วนอีเหยากลอกตาไปมาเงียบๆ “อ่อ เข้าใจแล้ว”
“อีกอย่าง พรุ่งนี้เช้าพ่อจะให้แกไปที่เมืองA ไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆ จะใส่ชุดทหารไปเดท ฉันเกรงว่าทุกคนจะตื่นกลัวไปหมด”
ต้วนอีเหยายังกลอกตาไปมาเช่นเดิม “พ่อ ฉันเป็นทหารก็ต้องใส่เครื่องแบบทหารเป็นปกติป่ะ ถ้าแค่เห็นสวมเครื่องแบบทหารก็กลัว เขาก็ใจเสาะเกินไปแล้ว”
“เฮ้! ยัยเด็กคนนี้หนิไม่พูดมากสักทีจะอ้วกออกมาให้ได้เลยใช่ไหม สั่งให้ไปซื้อก็ไปซื้อ จะพูดอะไรให้เยอะแยะ?”
“อ่ะๆ รู้แล้วๆ”
“ถ้าเรื่องนี้แกไม่ปฎิบัติตัวดีๆ กลับมาคอยดูว่าพ่อจะจัดการกับแกยังไง นี่เป็นคำสั่ง”
“รับทราบค่ะหัวหน้า!” ต้วนอีเหยายืนขึ้นยืดอกเชิดหน้าอย่างสง่าผ่าเผยโดยสัญชาตญาณ แสดงความเคารพ
เมื่อวางสายโทรศัพท์จากพ่อ ต้วนอีเหยาก็ทิ้งตัวลงบนเตียง เสียงร้องไห้โศกเศร้า ชีวิตก็ยังก็ยังไม่สิ้น? เพิ่งอายุยี่สิบแปดปี พ่อรีบร้อนอะไรหนักหนา?
ยังต้องซื้อเสื้อผ้าอีก? เขาไม่รู้หรือไง ตั้งแต่เข้าโรงเรียนทหารเธอก็ไม่เคยซื้อเสื้อผ้าผู้หญิงอีกเลย?
เธอหงุดหงิดอยู่สักพัก จู่ๆ ก็นึกถึงเพื่อนที่อยู่เมืองA ขึ้นมาได้ หมอกควันจางหายไปทันที ใช่แล้ว พรุ่งนี้ก็ให้เขาไปเป็นเพื่อนตัวเองก็ได้ เขาเป็นคนสายตาแหลมคม
เมื่อได้เช่นนี้ ต้วนอีเหยาก็กดค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของเย่จิงเหยียนแล้วโทรออก
เวลานี้ เย่จิงเหยียนกำลังรับประทานอาหารค่ำกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท เมื่อเห็นมีสายโทรเข้ามา ทีแรกคิดว่าตัวเองตื่นเต้นจนตาฝาด หลังจากที่ยืนยันแน่ชัดว่าเป็นเธอ ก็รีบคว้าโทรศัพท์แล้วรีบออกจากห้องไปทันทีโดยไม่ได้กล่าวลา
“ฮัลโหวอีเหยา”
“ตอนนี้มีเวลาว่างไหม? ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
“ตอนนี้ว่าง พูดมาเลย” เย่จิงเหยียนโกหกออกไป
“พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปในเมือง นายไปซื้อเสื้อผ้าเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
“ได้สิ” เย่จิงเหยียนรับปาก นี่เป็นเรื่องที่เขาแทบอยากจะขอ แต่ยังมีเรื่องสงสัยอีกอย่าง “จู่ๆ ทำไมคิดอยากจะซื้อเสื้อผ้า?”
“เอ่อ มันอธิบายยากน่ะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน” ต้วนอีเหยาได้ยินเสียงเพลงดังออกมาจากปลายสาย ถามขึ้นแล้วรอยยิ้ม “ตอนนี้นายออกไปเที่ยวข้างนอกเหรอ?”
“เปล่า ออกมาทานอาหารกับผู้จัดการของบริษัท” เย่จิงเหยียนรายงานไปตามความจริง
“งั้นนายก็ไปทานข้าวเถอะ พรุ่งนี้ถึงเมืองAแล้ว ฉันจะติดต่อไป”
“ครับ”
เมื่อวางสายโทรศัพท์ เย่จิงเหยียนยังคิดว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องจริง จ้องไปที่หมายเลขโทรศัพท์แล้วหัวเราะอยู่เกือบครึ่งนาที จากนั้นเดินยิ้มกลับเข้าไปในห้อง
ทุกคนมองมาที่ใบหน้ายิ้มแย้มของเขา พูดหยอกล้อ “ได้เดทกับท่านประธานเย่ต้องเป็นสาวสวยแน่ๆ ยิ้มสดใสขนาดนั้น”
“ท่านประธานเย่เป็นคนมีพรสวรรค์เป็นที่ต้องการของคนเมืองA วัยนี้ต้องใช้ชีวิตให้สนุกสนาน…”
“พูดถูก พวกเราคนแก่ๆ ได้แต่อิจฉา”
พื้นฐานเย่จิงเหยียนเป็นคนขี้เล่นแม้จะอยู่ในฐานะเจ้าของบริษัท หลายคนที่ประคบประคองเย่ฉ่าวเฉินมา สำหรับเย่จิงเหยียนไม่ได้ดูแลมากมายขนาดนั้น การพูดคุยจึงเป็นกันเองมากขึ้น
เย่จิงเหยียนกล่าวอย่างสุภาพ “ทุกคนไม่ต้องมาล้อผมเลยนะ ประธานเฉิน พรุ่งนี้ผมไม่ไปประชุมในเมืองนะ คุณไปแทนผมที”
“แบบนี้มันจะไม่เหมาะสมนะครับ ในเมืองเรียกให้คุณไป” ประธานเฉินลังเลเล็กน้อย
“ผมให้ไปไม่ใช่ให้แสดงความคิดเห็น คุณไปแทนผมแค่นั้นก็พอแล้ว”
“นี่…ครับ”
เย่ฮวางตอนนี้ไม่ใช่เย่ฮวางเมื่อยี่สิบปีก่อน เค้กก้อนนี้เมืองAกินหมดไปนานแล้ว ตอนนี้ทั่วประเทศ แม้ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปก็ได้เห็นถึงศักยภาพของเย่ฮวางกรุ๊ป ด้วยเหตุนี้เย่จิงเหยียนจึงพูดเสียงแข็งแบบนั้น เขาไม่อยากไป ในเมืองก็คงทำอะไรไม่ได้ เพราะรู้ว่าเย่ฮวางเป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่ในเมืองA และขณะเดียวกันก็ล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในเมืองA นับหมื่นชีวิต
คืนนี้ทุกคนเห็นความคิดของเย่จิงเหยียนได้กระเจิดกระเจิง จึงไม่มีความตั้งใจว่าจะรวบรวมอีกครั้ง ดังนั้นไม่ถึงสี่ทุ่มจึงพากันแยกย้าย
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เย่จิงเหยียนเข้าไปในห้องเสื้อผ้าเพื่อหาเสื้อผ้าที่จะใส่ไปวันพรุ่งนี้
ตัวที่สี่ เป็นทางการเกินไป ไม่เหมาะกับการช้อปปิ้ง
เสื้อเชิ้ต รู้สึกเหมือนไปประชุม ไม่เหมาะ
หยิบมาแล้วก็เลือกอยู่เช่นนั้น เย่จิงเหยียนรู้สึกว่าเสื้อผ้าในตู้นี้ไม่มีตัวไหนเหมาะสำหรับวันพรุ่งนี้เลย หรือต้องไปซื้อให้ตัวเองบ้างแล้ว?
ขณะที่กำลังมองหาเสื้อผ้า เย่ชูวเสวียสวมชุดนอนพร้อมกับแผ่นมาร์คที่อยู่บนหน้าแล้วเดินเข้ามาด้วยเท้าเปล่า
“เฮ้ย! แกทำอะไรเนี่ย? ฉันตกใจหมดเลย” เย่จิงเหยียนหน้าดำขึ้นมาทันที นั่งลงกองกับพื้นด้วยความตกใจ
“ฉันน่าจะถามพี่มากกว่านะ” เย่ชูวเสวียชี้ไปที่กองเสื้อผ้ายุ่งเหยิงบนพื้น แล้วพูดเสียงอ้อแอ้ “นี่พี่กำลังทำอะไร?”
“หาเสื้อผ้า”
เย่ชูวเสวียใช้เท้าคีบเสื้อมูลค่าหลายพันหยวนขึ้นมา “นี่คือเสื้อเหรอ?”
“อย่ายุ่งน่า”
เย่ชูวเสวียกำลังว่างอยู่เหมือนกัน คิดอะไรได้สนุกๆ จึงถามขึ้น “พี่หาเสื้ออะไร? ให้ฉันช่วยไหม?”
เย่จิงเหยียนเงยขึ้นมองเธอสองสามวินาทีแล้วพูดขึ้น “พรุ่งนี้อีเหยาจะมาที่เมืองA ฉันต้องไปช้อปปิ้งเป็นเพื่อนเธอ”
“แค่กๆๆ…” เย่ชูวเสวียตกใจกับแววตาไร้เดียงสาของพี่ชาย ดึงแผ่นมาร์คหน้าออก ทั้งไอทั้งยิ้มไปด้วย แล้วนั่งลงข้างๆ เขา “พี่หยิบสคริปมาผิดแล้ว ผู้หญิงทุกคนตั้งใจแต่งตัวเพื่อคนรัก พี่จะทำในสิ่งตรงกันข้ามทำไม?”
“ไม่ช่วยก็ไม่ต้องมายุ่ง ออกไปเลย ฉันไม่ว่าง” เย่จิงเหยียนรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่มีคำพูดดีๆ ออกจากปาก เสียเวลาเปล่าอุตส่าห์เลี้ยงมาแต่ตอนเล็กๆ
“ไม่ได้บอกว่าจะไม่ช่วย” เย่ชูวเสวียมองเข้าไปในตู้เสื้อผ้ากว้างใหญ่ของเขา ชี้ไปที่เสื้อยืดสีขาวแล้วเอ่ยขึ้น “การออกเดทต้องใส่เสื้อผ้าวัยรุ่นๆ และมีชีวิตชีวาสักหน่อย อากาศร้อนขนาดนี้ เสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนส์สีอ่อน เหมาะมาก”
เย่จิงเหยียนถามอย่างไม่แน่ใจ “เธอ…แน่ใจนะ?”
“แน่นอน น้องสาวจะทำร้ายพี่ได้ยังไง?” เย่ชูวเสวียดันไหล่เขาขึ้น “ผู้คนส่วนใหญ่เลือกเสื้อผ้าที่ดูดี เพื่อปรับปรุงบุคคลิกภาพและหน้าตาของตัวเอง พี่มีทั้งสองข้อนี้แล้ว แม้ว่าพี่จะสวมแค่ผ้าปูที่นอน คนอื่นๆ ก็มองว่ามันเป็นแฟชั่น”
เย่จิงเหยียนยิ้มเจื่อนๆ “ยากที่ได้ยินว่าแกชมฉัน”
“พูดเป็นเล่น พี่ชายของเย่ชูวเสวียต้องการจะไปไหน?” พูดจบ เย่ชูวเสวียก็รับรู้ได้ว่ามีรองเท้าคู่หนึ่งบินอยู่ด้านหลัง รูปทรงปราดเปรียว แล้วตกลงบนพื้น
“สมดั่งใจคิดจริงๆ” เย่ชูวเสวียก้มตัวลงตรงหน้าประตูห้องเสื้อผ้า แล้วถามขึ้น “พี่ พี่เคยบอกกับสาวน้อยน่ารักคนนั้นเรื่องที่พี่มีพลังพิเศษหรือยัง?
แววตาของเย่จิงเหยียนมืดลง “ยัง”
“ฉันคิดว่า เรื่องนี้พี่ควรพูดกับสาวสวยคนนั้นให้ชัดเจน ทุกคนมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง อย่าโกหกเธอรอให้มือมาอยู่ในกำมือแล้วค่อยพูด แบบนี้เธอคงรับไม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้นคุณพี่ทั้งคู่จะเจ็บปวด”
เป็นครั้งแรกที่เย่จิงเหยียนรู้สึกว่าสิ่งที่น้องสาวพูดสมเหตุสมผล เขาพยักหน้า “ฉันรู้”
เย่ชูวเสวียยิ้มอีกครั้ง “พี่ใส่อะไรก็ดูดีไปหมดจริงๆ”
เย่จิงเหยียนโบกมือ ส่งสัญญาณให้เธอถอยออกไป
ตอนกลางคืน เย่จิงเหยียนนอนไม่หลับอยู่เป็นเวลานาน คิดว่าจะพูดอย่างไรดี? หลังจากพูดจบเธอจะรับได้ไหม? จะคิดว่าตัวเขาเองเป็นสัตว์ประหลาดหรือเปล่า?
คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นมาในสมอง จนกระทั่งดึกดื่นจึงผล็อยหลับไป
เช้าตรู่ เขาทำตามคำแนะนำของน้องสาว เย่จิงเหยียนสวมเสื้อยืดสีขาวเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยแฟชั่นทันสมัย และกางเกงยีนส์สีขาว รองเท้าผ้าใบสีขาว
เย่ฉ่าวเฉินและภรรยาที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นลูกชาย
“แกแต่งตัวแบบนี้…”
“วันนี้ผมไม่เข้าบริษัท มีธุระส่วนตัวนิดหน่อย” ใบหูของเย่จิงเหยียนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง
แววตาของมู่เวยเวยเป็นประกาย “ดูดีแล้ว ลูกน่ะควรสวมเสื้อผ้าสบายๆ บ้าง อายุเพิ่งจะยี่สิบเจ็ด อย่าใส่แต่ชุดสูทมันดูแก่”
“รู้แล้วครับแม่”
เย่ฉ่าวเฉินมองความคิดของลูกชายออกอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม “วันนี้จะไปเจอต้วนอีเหยาเหรอ?”
“พ่อผมบอกแล้วว่าไม่ต้องยุ่ง” เย่จิงเหยียนพูดอย่างระมัดระวัง
“แกตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น ฉันก็แค่ถาม ถึงเวลาก็พามาทานข้าวที่บ้านบ้างนะ ฉันกับแม่แกสนับสนุนเต็มที่”
“ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย พ่อกับแม่ทานข้าวเถอะ ผมขอตัวก่อน” เย่จิงเหยียนยัดขนมใส่ปากและเดินออกมาจากคนที่กำลังซุบซิบเขาอย่างรวดเร็ว
มู่เวยเวยถอนหายใจแล้วพูดว่า “เฮ้อ ลูกโตเกินกว่าที่แม่จะช่วยแล้วสินะ”
เย่ฉ่าวเฉินกระซิบข้างหูเธอ “คุณยังมีผมนะ ผมรับฟังคุณทุกอย่าง”
“จริงเหรอ?” มู่เวยเวยนึกถึงเรื่องเมื่อคืน แล้วถามอย่างเศร้าใจ
“ตอนอยู่บนเตียงผมฟัง อยู่ใต้เตียงฟังคุณ” เย่ฉ่าวเฉินอดไม่ได้จึงกัดติ่งหูสีชมพูของเธอ
มู่เวยเวยผลักเขาออกอย่างแรง ยิ้มพร้อมกับด่า “แก่แล้วยังไม่เจียม”
เย่ฉ่าวเฉินหยิบขนมหนิวผีถัง “ผมแก่แล้วไม่เจียมยังไง? คุณพูดมาสิ”
เย่ชูวเสวียเดินมาถึงห้องอาหารเมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วกะเแอมเบาๆ “คุณพ่อคุณแม่คะหนูยังเด็ก นึกถึงความรู้สึกของหนูบ้าง?”
“ทารกยักษ์อายุยี่สิบห้าแล้ว วันนี้ตื่นเช้าจัง” เย่ฉ่าวเฉินเหน็บแนม
เย่ชูวเสวียนั่งลงบนเก้าอี้ ฉีกขนมปังก้อนเล็กๆ แล้วพูดว่า “ในสายตาของคุณพ่อกับคุณแม่ ลูกต้องเป็นเด็กอยู่เสนอสิค่ะ แล้วพี่ชายไปไหน?”
“ไปเดทแล้ว”
“แต่งตัวหล่อไหมคะ?” เย่ชูวเสวียถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น
เย่ฉ่าวเฉินพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ลูกชายพ่อ ไม่หล่อได้ไง?”
“พ่ออย่าหลงตัวเองได้ไหมคะ?” งานอดิเรกของเย่ชูวเสวียก็คือการหักหน้าพ่อ
เย่ฉ่าวเฉินโยนขนมปังให้เธอก้อนหนึ่ง เธอรับไว้ได้อย่างแม่นยำ ยิ้มเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ขอบคุณค่ะ”
เวลาประมาณสิบนาฬิกา เย่จิงเหยียนและต้วนอีเหยามาเจอกัน เธอสวมชุดลายพรางทหารตัวเดิมเมื่อครั้งก่อน หรืออาจจะไม่ใช่ แต่ในสายตาของเย่จิงเหยียนก็ดูไม่เลว
เมื่อต้วนอีเหยามองเห็นเย่จิงเหยียนดวงตาก็เป็นประกาย แล้วเอ่ยขึ้น “แปลกจัง คราวก่อนทำไมรู้สึกว่านายไม่หล่อขนาดนี้?”
เย่จิงเหยียนมีความสุขเมื่อได้ยินแบบนั้น พูดอย่างถ่อมตัว “บางที…เพราะชุดละมั้ง?”
“ใช่แล้ว งั้นก็ไปซื้อเสื้อผ้าเป็นเพื่อนฉันสักสองสามชุดหน่อย”
สถานที่ที่ทั้งสองนัดเจอกันคือใจกลางเมือง เย่จิงเหยียนพาเธอไปยังห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด ถามเธอว่า “ทำไมถึงอยากซื้อเสื้อผ้า?”
“มีนัดดูตัวนะสิ”
คำพูดของต้วนอีเหยากระแทกเย่จิงเหยียนให้หยุดอยู่กับที่ทันที สมองขาวโพลน ถามขึ้นช้าๆ “นัดดูตัว?”
“ก็ใช่น่ะสิ พ่อของฉันบังคับให้ฉันไปดูตัว นายบอกว่าฉันเป็นผู้พันน่าเกรงขาม คิดไม่ถึงว่าจะตกอับถึงขั้นต้องมาดูตัว” ต้วนอีเหยาพูดจบ พบว่าเย่จิงเหยียนไม่ได้เดินตามมา จึงหันกลับไปดู เขาจ้องมองเธอด้วยความงุนงง สีหน้าดูซับซ้อน
“นายเป็นอะไร?”
“คุณไม่ไปดูตัวก็ได้หนิ” เย่จิงเหยียนโพล่งออกไป
ต้วนอีเหยาแบมือ “ฉันก็ไม่อยากไป แต่พ่อของฉันบอกว่านี่คือคำสั่ง ฉันคัดค้านไม่ได้”
“แต่…” เย่จิงเหยียนอยากจะพูดออกไปว่า ก็บอกว่าเขาเป็นแฟนของเธอ เธอจะได้ไม่ต้องไปดูตัว แต่ประโยคนี้มันจุกอยู่ในลำคอจะพูดออกไปได้อย่างไร เขาเกรงว่าเธอจะกลัว
ต้วนอีเหยายิ้ม “ฉันนัดดูตัวแล้วนายกังวลอะไร? ไปเถอะ ไปซื้อเสื้อผ้าก่อน ฉันมีนัดตอนเที่ยงครึ่ง ทานข้าวพอดี”
เย่จิงเหยียนถอนหายใจอย่างอึดอัด น้ำเสียงกลัดกลุ้มใจ “คุณเก่งขนาดนี้ ต้องมีคนตามจีบเยอะแน่ๆ ทำไมต้องไปดูตัว”
ต้วนอีเหยาหัวเราะแล้วพูดว่า “มีที่ไหนล่ะ ผู้ชายก็มีแต่ในกองทัพ ฉันเห็นพวกเขาตั้งแต่เล็กจนโต ฉันไม่มีความรู้สึกมานานแล้ว เห็นใครก็เหมือนๆ กันหมด ไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบคู่รักเลย ดังนั้นพ่อจึงเป็นกังวล เขาคิดว่าบางทีต้องเปลี่ยนรสชาติบ้าง เผลอๆ ฉันจะถูกใจ แบบนี้จึงให้ฉันมาดูตัว”
เย่จิงเหยียนได้ยินดังนั้น ใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจอีกใจหนึ่งก็เป็นทุกข์ รู้สึกดีใจที่ต้วนอีเหยาไม่ได้ชอบใคร ส่วนเรื่องที่ทำให้เป็นทุกข์แน่นอนว่าคือเรื่องที่เธอต้องไปนัดดูตัวตอนเที่ยง ในเมื่อเป็นคำสั่ง ก็ได้เพียงภาวนา บางทีอาจจะไม่สำเร็จ เขามีอีกร้อยวิธีการที่จะทำเรื่องนี้ นี่คือผู้หญิงของเย่จิงเหยียน คนอื่นอย่าได้คิดแตะต้อง
“แล้วคุณชอบแบบไหน?” เย่จิงเหยียนก้าวขึ้นบันไดเลื่อน แล้วหยั่งเชิงถาม
ต้วนอีเหยาขมวดคิ้ว “ฉันก็ไม่รู้ ต้องดูแล้วถูกชะตา”
“ถูกชะตาเรื่องนี้พูดยาก” เย่จิงเหยียนนึกถึงการนัดดูตัวของเธอ ถามขึ้นอย่างหึงหวง “ตอนเที่ยงคนที่คุณไปเจอเป็นใครเหรอ?”
“พ่อบอกว่าเป็นลูกชายของสหายเก่า บอกว่าทำงานอยู่ในเมือง”
เย่จิงเหยียนตากระตุก “ชื่อว่าอะไร? ผู้นำระดับสูงในเมืองผมรู้จักแทบทั้งหมด”
“ไม่ใช่ผู้นำอะไรหรอก ดูเหมือนว่าจะเป็นวิศวกรที่โครงการจ้างมาโดยเฉพาะ ชื่อ…” ต้วนอีเหยาครุ่นคิดแล้วพูด “อ่อ ชื่อหวังหงกวง รู้จักไหม?”
เย่จิงเหยียนค้นหาชื่อนี้ในสมองอย่างถี่ถ้วน แล้วส่ายหน้า “ไม่ ไม่เคยได้ยิน”
“อ่อ ไม่รู้เหมือนกันว่ารูปร่างหน้าตาเป็นยังไง ถ้าหน้าตาน่าเกลียดล่ะจะทำยังไง? เห็นฉันอย่างนี้ก็มองรูปลักษณ์ภายนอกอยู่นะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เย่จิงเหยียนก็ภาวนาให้อีกฝ่ายหน้าตาน่าเกลียด ชนิดที่แบบน่าตกใจที่สุดในโลก
ทั้งสองพูดคุยกันจนถึงชั้นสาม ชั้นเสื้อผ้าของสุภาพสตรี
เดินเข้าไปที่ร้านเสื้อผ้าผู้หญิงชั้นนำร้านหนึ่ง พนักงานขายเข้ามาต้อนรับ เมื่อเห็นต้วนอีเหยาอยู่ในชุดลายพรางทหารเธอถึงกับผงะเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มอย่างกระตือรือร้น “คุณผู้หญิง ต้องการเสื้อผ้าแบบไหนคะ?”
ต้วนอีเหยามอบงานยากลำบากนี้ให้เย่จิงเหยียน “นายช่วยฉันเลือกหน่อยสิ ฉันไม่มีประสบการณ์”
“ได้สิ” เย่จิงเหยียนรับปาก หันกลับไปหยิบกระโปรงยาวลายดอกไม้เล็กๆ ขึ้นมาตัวหนึ่ง ไม่ให้โชว์หน้าอก แบบที่ป้องกันไว้แน่นหนา
“ตัวนี้ เอาไซต์เอ็มให้เธอลอง” เย่จิงเหยียนพูดกับพนักงานขาย
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ”
ต้วนอีเหยาเหลือบมองไปที่กระโปรง “แบบนี้ดูดีใช่ไหม?”
“คุณลองดูก่อนค่อยว่ากัน”
“อืม” เธอถือเสื้อเข้าไปในห้องลองชุด เมื่อออกมาอีกครั้ง ดวงตาของเย่จิงเหยียนถึงกับเป็นประกาย เธอหุ้นดีมาก รูปร่างสูงเพียวกำลังพอดี
เอวบาง กับชุดประโปรงลายดอกไม้ที่อยู่บนตัว เผยส่วนสัดของเธอออกมาทั้งหมด ดูอายุเด็กลงมาก แต่รอยแผลเป็นที่แขนของเธอเผยให้เห็นชัดเจน
“แบบนี้เป็นยังไงบ้าง?” ต้วนอีเหยาถามขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เย่จิงเหยียนหายใจเข้าลึกๆ แล้วยิ้ม “ดูดีมาก”
“จริงเหรอ?” ต้วนอีเหยาก้มมองตัวเอง “ฉันไม่เคยใส่กระโปรง รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้”
เย่จิงเหยียนเดินไปด้านหลังเธอ มองดูสาวสวยในกระจกเดียวกันกับเธอ “โชคดีที่ยังไม่เคย ไม่งั้นผู้ชายในกองทัพคงคลั่งกันแน่”
ความใกล้ชิดกับเย่จิงเหยียนเป็นเรื่องธรรมดา ต้วนอีเหยาจึงไม่ทันรู้ตัว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพื่อความมั่นคงและความสามัคคีของกองทัพ ต่อไปฉันต้องใส่แต่เครื่องแบบทหาร”
“อืม คุณพูดถูก” เย่จิงเหยียนสูดอากาศที่อยู่รอบกายเธออย่างตะกละตะกลาม คิดอยากยื่นมือออกไปโอบเอวบางๆ ของเธอ
“แล้วชุดนี้ยัง…” ต้วนอีเหยาหันหน้ามา ริมฝีปากของเธอถูกับแก้มของเขาเบาๆ ทั้งสองตัวแข็งทื่อทันที
ในใจของเย่จิงเหยียนราวกับมีคลื่นซัดสาดเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ริมฝีปากของเธอนุ่มนิ่มยิ่งนัก
ราวกับเวลาหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาทั้งสองคนประสบกัน คนหนึ่งตกใจ อีกคนลึกซึ้ง
เป็นต้วนอีเหยาที่อึดอัดอยู่ฝ่ายเดียว จึงถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วเอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศ “บาปกรรมบาปกรรม ฉันจะเอาเปรียบนายง่ายๆ ได้ยังไง”
เย่จิงเหยียนประสานมือสองข้างไว้ด้านหลัง แกล้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน “คิดๆ ดูแล้ว ตอนเด็กๆ คุณก็ชอบเอาเปรียบผมนะ”
“จริงเหรอ? ฉันจำไม่ได้ได้ยังไง?”
“คุณลืมหลายเรื่องเลยล่ะ ผมจะช่วยให้คุณจำได้” ในอนาคตจะคืนให้คุณอย่างช้าๆ
พนักงานขายขัดจังหวะบทสนทนาของทั้งสองขึ้นอย่างพอเหมาะ “กระโปรงตัวนี้สวยมากเหมาะกับคุณผู้หญิงมาก จะซื้อเลยไหมคะ?”
“ซื้อ” เย่จิงเหยียนพูดปิดท้าย
“เฮ้ ซื้อเลยเหรอ?” ต้วนอีเหยาแปลกใจ
“คุณจะเดินช้อปปิ้งโดยที่ยังใส่ชุดทหารแบบนี้ไม่ได้ ตอนนี้ก็ใส่ชุดลำลองไปก่อน รอให้เจอชุดที่ถูกใจค่อยซื้อที่หลัง และรองเท้าก็ต้องเปลี่ยน ร้านขายรองเท้าอยู่ข้างๆ”
“ได้สิ” ชุดกระโปรงและรองเท้าทหารดูไม่เข้ากันเอาซะเลย
เย่จิงเหยียนบอกให้พนักงานนำกรรไกรมาให้ แล้วช่วยเธอตัดฉลากบนเสื้อ ต้วนอีเหยาเดินเอาชุดทหารไปเก็บใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย แล้วไปจ่ายเงิน
“เท่าไหร่?”
“หมื่นแปดค่ะ”
“เท่าไหร่นะ?” ต้วนอีเหยาคิดว่าตัวเองฟังผิด จึงถามขึ้นด้วยความตกใจ
“หนึ่งหมื่นแปดพันค่ะ” พนักงานขายยิ้มอย่างอบอุ่น
ต้วนอีเหยาดึงกระโปรง อดบ่นคำหยาบคายออกมาเสียไม่ได้ “เชี้ย! แพงอะไรขนาดนี้? เงินเดือนฉันทั้งเดือนเลยนะนั้น”
เย่จิงเหยียนรีบปลอบเธอ “ผมให้คุณ ผมซื้อให้”
“ไม่ต้อง” ต้วนอีเหยาปฏิเสธ หยิบบัตรขึ้นมาใบหนึ่งแล้วส่งให้พนักงาน “ฉันเก็บออมเงินไว้หลายปี ซื้อเสื้อผ้าพวกนี้ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเสื้อผ้าแค่ชิ้นเดียวจะราคากว่าหมื่นหยวน หรือเพราะว่าฉันออกไปอยู่ข้างนอกนานเกินไปหรือเปล่า?”
เย่จิงเหยียนได้ยินเธอบ่นไม่หยุด ก็รู้สึกอบอุ่นและสนใจขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าคุณออกไปอยู่ข้างนอกนานเกินไปหรอก กระโปรงแบรนด์นี้ราคานี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“จริงเหรอ?” ต้วนอีเหยาป้อนรหัสผ่านอย่างเงียบๆ เซ็นชื่ออย่างทุกข์ใจ จากนั้นก็รับบัตรตัวเองคืนมา
“จริงสิ”
เธอถือถุงเสื้อผ้า ทั้งสองเดินไปยังร้านขายรองเท้าใกล้ๆ
เมื่อรู้ว่าเธอใส่ส้นสูงไม่เป็น เย่จิงเหยียนจึงเลือกรองเท้าผ้าใบสีขาวแบนๆ คู่หนึ่งให้เธอ
“คู่นี้สวยมาก เพียงแต่ไม่ทนทานต่อสิ่งสกปรก ฉันใส่ไปฝึกซ้อมก็กลายเป็นสีดำแล้ว” ต้วนอีเหยาพูดความจริง
เย่จิงเหยียนยิ้มอย่างขมขื่น “คุณไปฝึกซ้อมก็ใส่รองเท้าทหารสิ มา ผมจะช่วยลอง”
ต้วนอีเหยานั่งลงบนที่นั่งนุ่มๆ เย่จิงเหยียนคุกเข่าข้างหนึ่งเพื่อถอดรองเท้าให้เธอ หญิงสาวมองดูทุกการเคลื่อนไหวของเขาที่อยู่ด้านล่าง ทันใดนั้นก็ถามขึ้น “จิงเหยียน นายมีแฟนหรือยัง?”
เย่จิงเหยียนลืมตาขึ้นมองเธอ มือยังคงถอดรองเท้าต่อไป “ไม่มี”
“งั้นนายก็เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี มองแปปเดียวก็รู้ว่าฉันใส่เสื้อผ้าไซต์อะไร รองเท้าไซต์อะไร”
เย่จิงเหยียนอธิบายพร้อมรอยยิ้ม “ที่ผมดูออกว่าคุณใส่เสื้อผ้าไซต์อะไร เพราะบริษัทเราทำเสื้อผ้าผู้หญิง รองเท้ายิ่งชัดเจนดูแปปเดียวก็ดูออกแล้ว”
เมื่อถอดถุงเท้า เย่จิงเหยียนใจสั่นไหว เท้าของเธอผิวขาวมาก แต่ก็มีรอยแผลเป็นที่ลุกลามไปถึงนิ้วก้อย
เธอ….มีส่วนไหนที่ไม่ได้รับบาดเจ็ดบ้าง
เขาไม่ได้ถามถึงประวัติที่มาของรอยแผลเป็น แต่ช่วยเธอสวมรองเท้าผ้าใบแบบสบายๆ ขนาดพอดีเป๊ะ
ต้วนอีเหยาก้มมองทุกๆ อิริยาบทของเขา ในใจพลันรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
ทันใดนั้นก็ค้นพบว่า ชายคนนี้ไม่ใช่เด็กน้อยเหมือนเมื่อก่อน และตอนนี้เขากำลังเติบโตเป็นชายหนุ่ม และเป็นชายหนุ่มที่อบอุ่นและใส่ใจอย่างมาก
หรือว่า…
ช่างเถอะ เขาเป็นน้องชายของเธอ จะทำกับเขาลงได้อย่างไร?
ต้วนอีเหยาสั่งตัวเองให้กำจัดความคิดชั่วร้ายในใจออกไป
หลังจากซื้อรองเท้า ทั้งคู่ก็แวะร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงอีกหลายร้าน สิ่งที่น่าแปลกอีกอย่างกับต้วนอีเหยาคือ เสื้อผ้าเหล่านี้ถูกมาก แต่คุณภาพและรูปแบบดีกว่าตัวแรกอย่างเห็นได้ชัด
“แน่ใจนะว่าแปดร้อยหยวน?” ต้วนอีเหยาถาม
พนักงานขายพยักหน้าแล้วยิ้ม “คุณผู้หญิงเป็นผู้โชคดีตอนนี้ทางร้านกำลังลดราคาค่ะ”
“ฉันดูราคาบนป้ายแปดพันกว่า พวกคุณลดกี่เปอร์เซ็นต์?”
“ลดเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ”
เอ่อ…ตัวเองโชคดีจัง
เดินไปรูดบัตรอย่างคล่องแคล่ว พนักงานขายเกิดความกังวลจึงเดินตามหลังมา
เย่จิงเหยียนซ่อนรอยยิ้มไว้ในดวงตา เขาจะปล่อยให้ต้วนอีเหยาใช้จ่ายเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร เขาจึงไปจ่ายส่วนต่างที่เหลือให้ครบ
ที่สุดท้าย เย่จิงเหยียนพาเธอไปยืนที่ร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงของตัวเอง
“หยิบได้ตามใจเลย ผมให้คุณ”
“ฉันมีเงิน ไม่หยิบยืมทีละเข็มทีละเส้น เป็นประเพณีที่ดีของกองทัพเรา”
“นี่คือร้านของผม งั้นผมไม่อนุญาตให้คุณจ่ายเงินผม” เย่จิงเหยียนพูดอย่างจริงจัง
“งั้นก็ไม่ได้เหมือนกัน ฉันทำลายประเพณีทหารไม่ได้”
เย่จิงเหยียนหมดหนทาง “อย่างนั้นผมให้เสื้อผ้าคุณ ตอนเที่ยงคุณก็เลี้ยงข้าวผม แบบนี้จะได้แลกเปลี่ยนกันและกัน เป็นวัฒนธรรมดั่งเดิมของจีนเรา แบบนี้เป็นไง?”
“ตอนเที่ยงฉันต้องไปดูตัวแล้ว”
“คุณถือของเยอะแยะขนาดนั้น จะไปดูตัวได้ยังไง? ผมจะคอยมองอยู่ไกลๆ เดี๋ยวผมช่วยถือของให้ และช่วยคุณพิจารณาเขาด้วย”