วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 300 ฉันกับเขาเป็นแค่เพื่อนกัน
“ไม่มีแฟนก็ไม่มีความมั่นใจนั้น กลับไปฉันต้องแก้ไขคำถามที่ถามขึ้นในวันนี้แล้วแหละ” หนานกงฉิงหันมายิ้มและถามเขา “แล้วคุณล่ะ?ต้องมีผู้หญิงสวยๆหลายคนนัดคุณไว้แน่ๆ ”
“ไม่มีอารมณ์” เย่จิงเหยียนพูดเบา ๆ แต่หัวใจของเขากลับรู้สึกเจ็บปวด
เมื่อออกมาจากประตูบริษัทลมกระโชกอย่างแรง ข้อมูลในมือของหนานกงฉิงก็กระจัดกระจายไปทั่วพื้นทันที เธอก้มศีรษะลงและหยิบมันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เย่จิงเหยียนเองก็นั่งลงแล้วช่วยเธอ เมื่อหนานกงฉิงลุกขึ้นเธอก็หน้ามืดและขาอ่อนจนแทบล้มลงไป โชคดีที่มีมือที่แข็งแกร่งคู่หนึ่งพยุงเธอไว้
“คุณเป็นอะไรไป?” เย่จิงเหยียนถาม
หนานกงฉิงเขย่าหัวไปมา สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอก็ค่อยๆชัดเจนขึ้น หลังจากนั้นไม่นานเธอก็พูดอย่างหมดหนทาง “โลหิตจาง เป็นมานานแล้ว บวกกับหลายวันมานี้ทำงานหนักเกินไปร่างกายก็เลยโต้แย้งขึ้นมา”
เย่จิงเหยียนเห็นใบหน้าของเธอซีดเผือด เพื่อไม่ให้เธอล้มลงอีกครั้งเขาก็เลยไม่ปล่อยมือออกและพูดด้วยความกังวลเล็กน้อย “สละเวลาไปโรงพยาบาลดีกว่า ถ้าระดับเลือดต่ำเกินไปอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้”
“ขอบคุณมาก รอให้ช่วงนี้ผ่านไปก่อนเถอะ ฉันยังทนไหว”
“รถของคุณล่ะ?ผมไปส่ง”
หนานกงฉิงพูดติดตลกว่า “รถฉันรออยู่ที่ป้ายรถเมล์”
เย่จิงเหยียนถึงกับอึ้งและหลังจากเข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไรจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นผมไปส่งคุณเอง ยังต้องเดินไปอีกช่วงหนึ่งของถนน”
“ไม่ต้องหรอก ลำบากคุณมากเกินไป” หนานกงฉิงปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร ยังไงซะผมก็ยังว่างอยู่ ไปกันเถอะ”
เย่จิงเหยียนหันหลังกลับเพื่อไปที่ลานจอดรถ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นเลือดก็แข็งตัวและสมองของเขาก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่าในทันที
คนที่เอาแต่นึกถึงทั้งวันทั้งคืนยืนอยู่ข้างๆรถที่ไม่ไกลนัก สวมแว่นกันแดดและเผยให้เห็นใบหน้าเล็กๆที่ขาวนวล มองไม่เห็นดวงตาของเธอแต่รู้สึกได้ถึงความโกรธที่แผ่ออกมาจากเธอ
คนที่ยืนอยู่ข้างๆเธอไม่ใช่ทหารจากครั้งที่แล้ว แต่เป็นชายร่างสูงใหญ่ที่รูปร่างดูเนี้ยบ มีดวงตาเย็นชา สวมเครื่องแบบทหารแบบเดียวกับเธอและมีมือข้างหนึ่งจับเอวเธอไว้ …
หัวใจถูกทิ่มแทงอีกครั้ง เธอ … หมายความว่าอย่างไร?
เมื่อหนานกงฉิงเห็นฉากนี้ก็ยืนอยู่เงียบๆโดยไม่พูดอะไร
เขาไม่พูดและเธอก็ไม่พูด
เมื่อทั้งสี่สบตากันเป็นเวลานาน ต้วนอีเหยาจึงพูดกับคนข้างๆเธอว่า “เราไปกันเถอะ”
เมื่อเย่จิงเหยียนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกกังวลขึ้นมาและรีบก้าวพุ่งไปข้างหน้าหลายก้าว คว้าแขนของเธอไว้ทันทีแต่เธอก็สะบัดมันออกไป ดวงตาของเขาแสดงความเจ็บปวดที่เขามองไม่เห็นออกมา
“ทำไมคุณไม่บอกลาสักคำ” โทนเสียงของเย่จิงเหยียนต่ำลงและมองตรงไปที่เธอ พยายามคว้าแขนของเธออีกครั้งแต่ก็ถูกเธอสะบัดออกอีกครั้งเช่นกัน
“วันนั้นฉันมีเรื่องด่วน” ต้วนอีเหยาอธิบายอย่างเย็นชา
“เรื่องอะไรทำไมรีบขนาดนั้น ไม่ทันได้พูดอะไรเลยสักคำแม้แต่ข้อความเดียวก็ไม่มี” เย่จิงเหยียนจี้ถาม ราวกับว่าอยากระบายความเจ็บปวดทั้งหมดในช่วงไม่กี่วันนี้ออกมา
ต้วนอีเหยาเงยหน้าขึ้นจ้องเขาโดยไม่พูดอะไร มีเรื่องบางเรื่องที่เธอไม่สามารถพูดได้
“ทำไมไม่พูด?” เย่จิงเหยียนเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป ทันทีที่เห็นต้วนอีเหยาเขาก็สูญเสียการควบคุม
ต้วนอีเหยายิ้มอย่างเย็นชา“เย่จิงเหยียน คุณเป็นอะไรกับฉัน?ทำไมฉันต้องบอกคุณ?
คำพูดสำคัญที่ตรงประเด็นเหล่านี้ทำให้เย่จิงเหยียนได้รับผลกระทบทางร่างกายทันที ดูเหมือนว่าพอเขาได้ยินเช่นนั้นเสียงหัวใจก็ดัง “เปรี๊ยะ” แหลกสลายลงบนพื้น แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
จริงสิ เขาเป็นอะไรกับเธอ? มีสิทธิ์อะไรไปถามเธอ?
หายใจเข้าลึกๆ รวมกับความรู้สึกที่เจ็บปวดและความเสียใจ เย่จิงเหยียนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาและถามเธอประโยคสุดท้าย “คุณยังไม่ได้ให้คำตอบผม ผมต้องการคำตอบที่ชัดเจน”
ต้วนอีเหยามองไปที่สาวสวยที่ยืนอยู่ตรงประตูบริษัทและพูดอย่างใจเย็นว่า “คุณจะเจอคนที่เหมาะสมกับคุณ” หาคนที่มีชีวิตเหมือนกับคุณ มีเรื่องพูดคุยที่เหมือนกับคุณและสามารถอยู่กับคุณได้ตลอดเวลา ไม่ใช่แบบที่ฉันเป็น ผู้หญิงที่ตกอยู่ในอันตรายตลอ ไม่รู้ว่าจะตายวันหรือตายพรุ่งและไม่สามารถเป็นผู้หญิงที่อยู่กับคุณได้
วันนั้นยังแอบหวังตั้งหน้าตั้งตารอ แต่เมื่อกี้เพิ่งเห็นเขาและผู้หญิงคนอื่นที่เดินออกมาแล้วพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา เขาอยู่ในเมืองนี้และเหมาะกับการยืนอยู่ใต้แสงไฟที่ส่องแสงอันไกลโพ้น แต่เธออยู่ในสนามรบต้องเผชิญกับดาบปืนและเลือด บางครั้งเธอไม่กล้าแม้แต่จะใช้ชื่อจริงของเธอด้วยซ้ำแล้วทำไมเธอถึงต้องดึงเขาเข้ามาในชีวิตแบบนี้?
คำพูดไม่กี่คำของต้วนอีเหยาทำให้เย่จิงเหยียนพุ่งลงไปในนรกโดยตรง
ต้วนอีเหยาไม่สามารถทนมองเขาได้เพราะกลัวว่าจะหวั่นไหวขึ้นมา เธอจึงกระซิบบอกคนข้างๆเธอว่า “ฉันขึ้นรถเอง”
ชายคนนี้ดูเหมือนจะไม่เต็มใจเล็กน้อย แต่เขาก็ยังต้องทำตามคำสั่งแล้วปล่อยมือที่จับเอวของเธอ
เมื่อเปิดประตู ต้วนอีเหยาก็หันหลังและกัดฟันแน่น นั่งอยู่ข้างคนขับด้วยท่าทางที่ดูปกติ หลังจากถอนหายใจอย่างโล่งอกเธอก็หันหน้าไปพูดกับเย่จิงเหยียนที่ยังคงเฉื่อยชาว่า“ สิ่งที่คุณพูดกับฉันมันจะคงอยู่ข้างในตลอดไป ฉันไม่มีทางบอกคนอื่นๆคุณไม่ต้องห่วง”
เย่จิงเหยียนมองเข้าไปในดวงตาของเธอ กัดฟันเอาไว้แล้วถามอย่างดุดัน “ถ้าคุณไม่ชอบผมแล้วทำไมยังมาหาผม?สงสารผมหรอ?”
ดวงตาของต้วนอีเหยาเป็นประกาย เธอไม่ได้อธิบายอะไรแค่พูดเบาๆว่า “จิงเหยียน ลาก่อน”
รถสตาร์ทอย่างรวดเร็วและพุ่งออกไปอย่างไว เย่จิงเหยียนเดินตามไม่กี่ก้าวแล้วหยุดลงและยืนมองสีเขียวเข้มนั้นที่ค่อยๆหายไป
ในรถ ต้วนอีเหยามองไปที่ร่างใครบางคนผ่านกระจกมองหลังที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานและน้ำตาสองหยดก็ร่วงหล่นไหลออกมาจากแว่นกันแดดของเธอ
คนที่มาพร้อมกับเธอคือชิงหลงจากกองทัพนักล่า เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้ก็ตกใจ รีบหยิบกระดาษทิชชู่แผ่นหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้เธอ“โอ้แม่เจ้า คุณร้องไห้เป็นด้วย?ผมคิดมาตลอดว่าคุณเป็นคนเหล็ก ”
เขาไม่พูดออกมายังรู้สึกโอเคบ้าง แต่พอเขาพูด น้ำตาของต้วนอีเหยาก็ไหลออกมาอย่างกับสายน้ำ เธอถอดแว่นกันแดดออก รอยแผลที่หางตาเธอดูน่าเวทนาเกินกว่าที่จะทนดูได้
“อ้าว ทำไมร้องหนักขึ้นล่ะ?กัปตัน ผมผิดไปแล้วๆ คุณอย่าร้องเลย”
ต้วนอีเหยาสั่งจมูกแล้วดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ดน้ำตาและพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “แม่ง ไม่ง่ายเลยที่จะชอบผู้ชายคนหนึ่งแล้วก็ปล่อยไปง่ายๆแบบนี้เลย จะไม่ให้ฉันเสียใจได้ยังไง?”
ชิงหลงตกใจอีกครั้ง ในขณะที่มองไปทางข้างหน้าเขาก็หันไปมองกัปตัน “คุณ … คุณชอบไอ้หน้าขาวนั้นจริงๆหรือ?ยังจะพูดอะไรอีก?ผมจะพาคุณกลับไป ถึงจะต้องมัดเขาก็ต้องมัดแล้วพามาให้ได้”
“ไปไกลๆตีน!” ต้วนอีเหยาด่าเขาไปประโยคหนึ่ง “นายเป็นโจรหรือไงจะมัดเขามาอ่ะ”
“ไม่ใช่เพราะกัปตันชอบหรอ แล้วตอนนี้คุณจะเอายังไงต่อ?ตกลงจะกลับไปไหม?” ชิงหลงหัวดื้อแต่ก็ทำได้แค่ฟังต้วนอีเหยา
ต้วนอีเหยาหายใจเข้าออกช้าๆ ในกระจกมองหลังไม่มีร่างคนๆนั้นอยู่แล้ว มีความขมขื่นในรอยยิ้มของเธอ “กลับไปที่โรงพยาบาลเถอะ”
“ คุณไม่ต้องการไอ้ขาวนั้นแล้วหรอ? ผมดูๆแล้วเขาน่าจะชอบกัปตันมากเลยนะ”
“เอาไว้ค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลัง อย่างไรซะตอนนี้ฉันยังไม่อยากเจอเขา” น้ำเสียงของต้วนอีเหยาแฝงด้วยความโกรธ ไม่ง่ายเลยที่เธอจะเอาชนะอุปสรรคที่ยากลำบากต่างๆแล้วหนีออกมาจากโรงพยาบาลได้ เธอมาหาเขาด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุข แต่เขากลับพูดคุยหัวเราะเฮฮากับผู้หญิงคนอื่นแถมยังมองไม่เห็นเธอเลยด้วยซ้ำ
ในประเด็นนี้ทำให้ต้วนอีเหยาไม่อยากสนใจเขาในตอนนี้
อย่างน้อยในอนาคต ถ้าเขาชอบผู้หญิงคนอื่นเข้าจริงๆก็แสดงว่าเย่จิงเหยียนไม่ใช่คนรักของเธอ
ค่อยๆเปิดแขนเสื้อออก ผ้ากอซสีขาวที่ปลายแขนซึมด้วยเลือดสีแดงสดและมันกำลังแพร่กระจายไปทั่ว
“ไอ้เด็กบ้า จับที่ไหนไม่จับมาจับตรงแผลพอดีแถมยังจับไปตั้งสองรอบ เจ็บจะตายอยู่แล้วเนี่ย” ต้วนอีเหยาบ่นเบาๆ
ชิงหลงไม่เข้าใจ “กัปตัน ทำไมเมื่อกี้คุณไม่ให้ผมพยุงคุณขึ้นรถ?ทั้งๆที่เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บนั้นสาหัสมากแค่ไหน”
“ฉันไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันได้รับบาดเจ็บ” ต้วนอีเหยาอธิบายเบาๆ เธอเป็นผู้หญิงที่หยิ่งยโส ไม่ต้องการเห็นความสงสารหรือเห็นใจจากสายตาคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาถามเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บนี้เธอจะอธิบายอย่างไร?
ดังนั้น ไม่พูดถึงดีกว่า
กลับไปถึงโรงพยาบาลทหารในเมืองA ต้วนอีเหยาเห็นคนคุ้นเคยสองคนยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องผู้ป่วยของเธอจากระยะไกล หัวใจเธอก็กระตุกเล็กน้อยรีบหันกลับมาและเตรียมตัวจะเดินออกไป
“กัปตันห้องผู้ป่วยอยู่ฝั่งนั้น คุณจะไปไหน?” ชิงหลงเสียงดังทำให้ดึงดูดความสนใจของบุคคลนั้นทันที
ถ้าไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บที่ร่างกายของเธอ ต้วนอีเหยาอยากจะเตะผู้ชายคนนี้จริงๆ “เสียงดังขนาดนี้อยากตายหรอ?”
ชิงหลงแตะที่หลังศีรษะของเขาแล้วมีรอยยิ้มที่รู้สึกผิดเพราะเขาเห็นสองคนนั้นเดินมาหาพวกเขาและหนึ่งในนั้นเขาบังเอิญรู้จัก
“ผู้นำสวัสดีครับ!” ชิงหลงโค้งคำนับด้วยความเคารพอย่างนอบน้อม
คนที่เดินมาไม่ใช่คนอื่นไกล แต่เป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารบกของกองทัพC พ่อของต้วนอีเหยา ทหารต้วนรูปร่างเขาสูงใหญ่และแต่งกายในชุดเครื่องแบบทหาร มีผมขาวเล็กน้อย ผิวสีดำเข้ม โครงร่างของเขาดูมีอำนาจและดวงตาของเขาสงบราวกับน้ำลึกซึ่งยากที่จะคาดเดา
คนที่เดินตามเขาเป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลทหาร
ผู้นำต้วนพยักหน้าให้ชิงหลงและมองไปที่ลูกสาวของเขาแล้วถามด้วยโทนเสียงต่ำ”จะไปไหนล่ะ?”
ต้วนอีเหยาหันกลับมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “พ่อ หนูคิดว่าหนูเดินผิดชั้น”
“ฮึ!” ผู้นำต้วนอุทานอย่างเย็นชา เขาไม่อยากดุลูกสาวตรงทางเดินจึงหันหลังเดินไปทางห้องผู้ป่วยของเธอ
ผู้อำนวยการชี้ไปที่เธอพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำอะไรไม่ถูกที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ต้วนอีเหยาส่งยิ้มให้เขาแล้วประสานมือเข้าหากันและขอร้องให้เขาพูดอะไรดีๆออกมา
“มัวทำอะไรอยู่? ขาหักหรือไง?” ผู้นำต้วนหันหน้ามาถาม
ต้วนอีเหยาแลบลิ้นแล้วค่อยๆเดินตามหลังพ่ออย่างปวกเปียกทีละก้าว
เมื่อเข้ามาในห้องผู้ป่วย ผู้นำต้วนนั่งลงบนโซฟาสีดำในขณะที่ต้วนอีเหยายืนตัวตรง แม้ว่าขาของเธอจะเจ็บ แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะนั่งโดยไม่ได้รับคำสั่งจากผู้นำ
ผู้อำนวยการพูดดีๆแทนต้วนอีเหยา “ผู้นำให้อีเหยานั่งลงเถอะ อาการบาดเจ็บที่ขาของเธอยังไม่หายดี”
“ฉันว่าดีขึ้นเยอะแล้วนิ ยังแอบหนีออกไปได้” ผู้นำต้วนพูดเยาะเย้ย
ผู้อำนวยการยิ้มแห้งแล้วขยิบตาให้ต้วนอีเหยา เพื่อส่งสัญญาณให้เธอรีบขอโทษเร็วๆ
ต้วนอีเหยาเข้าใจและพนมมือขึ้นยอมรับความผิดของเธออย่างเชื่อฟัง “พ่อ หนูผิดไปแล้ว หลังจากนี้ไม่กล้าทำอีกแล้ว”
“ยังมีหลังจากนี้อีก?” ผู้นำต้วนขมวดคิ้วหนาของเขาขึ้น
“ไม่มีหลังจากนี้แล้ว นี้เป็นครั้งสุดท้าย” ต้วนอีเหยารับประกันทันที
“ลูกรู้ไหมว่าการที่จู่ๆก็หายไปทำให้โรงพยาบาลเดือดร้อนมากแค่ไหน มีคนมากมายแค่ไหนที่ขึ้นๆลงๆตามหาลูก?” ผู้นำต้วนชะลอน้ำเสียงลงมาก สายจากผู้อำนวยการทำให้เขาตกใจมาก กลัวไอ้ตัวแสบนี้จะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ
“ขอโทษค่ะ หนูผิดไปแล้ว”
ผู้นำต้วนฟังเสียงของเธอและมองไปที่แผลทั่วทั้งร่างกายของเธอ เขาก็ใจอ่อนแล้วชี้ไปที่เตียงผู้ป่วยพร้อมกับพูดว่า “นั่งลง”
ต้วนอีเหยาขยับตัวไปแล้วนั่งลง ผู้อำนวยการเห็นว่าความโกรธของผู้นำลดลงแล้วจึงขยิบตาให้ชิงหลงเพื่อให้สองพ่อลูกได้พูดคุยกัน
“ไปไหนมา?”
ต้วนอีเหยาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อรู้ว่าเธอไม่สามารถปกปิดพ่อของเธอได้จึงพูดไปตรงๆว่า “ไปหาเพื่อนมา”
“เพื่อนคนนั้นสำคัญมากเลยหรอ คุ้มพอที่จะวิ่งออกไปทันทีที่ตื่น” ผู้นำต้วนเอนตัวลงเพื่อพิงโซฟา ท่าทางดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“เย่จิงเหยียนนั้นแหละ”
แน่นอนว่าผู้นำต้วนรู้จักเย่จิงเหยียน ตอนเด็กๆเขามีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดกับลูกสาวของเขาและยังเคยเขียนจดหมายหลายฉบับต่อกัน ไม่คิดเลยว่าจะติดต่อกันอีกครั้ง
“ลูกกับเขา … ” ผู้นำต้วนไม่ได้พูดต่อ
ต้วนอีเหยารู้สึกแน่นบริเวรหน้าอก จริงๆแล้วเธอก็รู้สึกเสียใจเหมือนกัน
“พ่อ หนูกับเขาเป็นเพื่อนกัน” ยังไงซะฉันก็ปฏิเสธไปแล้ว ต่อจากนี้แม้แต่เพื่อนก็อาจจะเป็นไม่ได้แล้วนะสิ
ผู้นำต้วนเห็นลูกสาวก้มศีรษะลงและเอามือทั้งสองทับเข้าหากัน เขาถอนหายใจและพูดว่า “ลูกโตแล้ว ถ้าเป็นเพื่อนกันพ่อไม่สน แต่ถ้าเป็นแฟนกันละก็พ่อจะเตือนลูกว่าหาสามีต้องหาแบบที่แน่วแน่ รู้หน้าที่และรับผิดชอบต่อครอบครัว โดยเฉพาะคนที่มีอาชีพลักษณะเดียวกับเรา พ่อจำได้ว่าครอบครัวของเด็กนั้นเป็นนักธุรกิจนิ คนแบบนั้นมีหัวที่ฉลาดก็จริงแต่มีประสบการที่ปฏิบัติต่อสังคมอย่างปลิ้นปล้อนพวกนักธุรกิจก็ช่างเถอะ เย้ายวนสิ่งล่อใจของโลกมากเกินไป พอปกป้องไว้ไม่ได้ก็จะทำเรื่องบางอย่างขึ้นมา อีกอย่างลูกมักจะไม่อยู่บ้าน … ”
“พ่อ หนูรู้แล้ว”
เมื่อผู้นำต้วนได้ยินเสียงของลูกสาวเปลี่ยนไปก็ขมวดคิ้วและถามว่า “ลูกชอบเด็กคนนั้นใช่ไหม?”
ต้วนอีเหยากัดริมฝีปากของเธอและไม่พูดอะไร เธอชอบเย่จิงเหยียนอยู่บ้าง มิฉะนั้นตอนเห็นเขาพูดคุยหัวเราะกับผู้หญิงคนอื่นที่ประตูบริษัทเย่ฮวาง เธอก็คงจะไม่รู้สึกโกรธขนาดนั้น
ไม่ง่ายเลยที่ผู้นำต้วนจะเห็นลูกสาวของเขาชอบผู้ชายคนหนึ่งเข้า เขาตะลึงจนนั่งตัวตรงและหัวข้อก็เปลี่ยนไป “แต่ก็ไม่ใช่ว่านักธุรกิจทุกคนจะไม่มีระเบียบในชีวิต … ”
เมื่อต้วนอีเหยาได้ยินดังนั้นเธอก็หัวเราะและน้ำตาก็ไหลออกมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆว่า “พ่อ หนูชอบเขาดังนั้นหนูไม่อยากให้เขาเดินตามทางของแม่”
สีหน้าของผู้นำต้วนมืดมนลง ตอนเขากำลังปฏิบัติภารกิจภรรยาของเขาถูกแก๊งอันธพาลสังหารอย่างโหดเหี้ยม ปีนั้นต้วนอีเหยาเพิ่งเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย เดิมทีทหารต้วนไม่ต้องการให้ลูกสาวเข้าโรงเรียนทหาร ดังนั้นจึงให้สอบมหาวิทยาลัยธรรมดาทั่วไปเพื่อใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่ต้วนอีเหยาไม่เห็นด้วย เธอสาบานว่าจะจับไอ้พวกอันธพาลนั้นด้วยมือของเธอเอง
ไม่กี่ปีที่แล้วในเมืองเล็กๆในต่างประเทศ ต้วนอีเหยาก็ทำตามคำปฏิญาณของเขาจนสำเร็จ
ในเรื่องนี้ต้วนอีเหยาไม่เคยโทษพ่อของตัวเอง เธอเติบโตในพื้นที่เขตทหารและเข้าใจสถานการณ์ของพ่อเป็นอย่างดี สิ่งที่เธอทำได้คือช่วยพ่อปกป้องคนที่ควรได้รับการปกป้อง
อย่างไรก็ตามผู้นำต้วนยังคงยืนหยัดในความรักที่มีต่อภรรยาตัวเอง ในหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้แต่งงานใหม่ บางครั้งต้วนอีเหยาเห็นพ่อตัวคนเดียวก็รู้สึกสงสาร จึงยุให้พ่อหาภรรยาใหม่ ทหารต้วนก็บอกว่าถ้าหาก็หามาเพื่อดูแลชีวิตของเขาเอง แต่เขามีทหารคอยรับใช้อยู่รอบตัวไม่จำเป็นต้องมีผู้หญิงมาดูแลก็ได้
ช่วงบ่ายในห้องผู้ป่วยเงียบและสงบ ผู้นำต้วนเดินไปที่ตู้กดน้ำแล้วกดน้ำร้อนแก้วหนึ่งและยื่นให้ลูกสาวพร้อมกับพูดเบาๆว่า “แต่ยังไงหลังจากนี้ลูกก็ต้องแต่งงาน แทนที่จะมองหาใครก็ได้สู้หาคนที่ตัวเองชอบไม่ดีกว่าหรอ พ่อไม่อยากให้ลูกต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ”
ต้วนอีเหยาเงยหน้าขึ้นยิ้มทั้งน้ำตา ดวงตาสีดำเป็นประกาย “พ่อ มีแต่หนูบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ คนอื่นมีโอกาสมาบังคับให้หนูทำในสิ่งที่หนูไม่อยากทำที่ไหนล่ะ?ไม่ถูกสิ พ่อนั้นแหละที่บังคับหนู”
ผู้นำต้วนสะกิดเธอที่หัวแล้วลูบคลำพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ยัยตัวแสบ พ่อบังคับลูกยังไง?”
“พ่อบังคับให้หนูไปนัดบอด แบบนี้ไม่ใช่บังคับหรือไง” ต้วนอีเหยากำลังครุ่นคิด คนนั้นชื่อหวังอะไรนะ แค่ดูก็รู้สึกไม่ถูกชะตา
“ลูกก็ไม่ดูตัวเองเลยว่าอายุเท่าไหร่แล้ว นี้ก็ยี่สิบแปดแล้วนะ ถ้า … ”
“ดูๆๆ เอาอีกแล้ว” ต้วนอีเหยาขมวดคิ้ว “พ่อ หนูอายุยี่สิบแปดแล้วทำไมล่ะ? เยาวชนรุ่งโรจน์ไง อีกอย่างยังไงหนูก็ขายออก ถ้าไม่เวิร์คจริงๆก็หาใครก็ได้ในกองทักสักคนมาแต่งงานด้วย เรื่องนี้มันง่ายนิดเดียวไม่ใช่เหรอ?”
“สุ่มหาใครก็ได้? ถ้างั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าลูกจะเข้าตาคนอื่นไหม” ผู้นำต้วนแขวะเธอ
ต้วนอีเหยายกคางเล็กๆของเธอขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงอวดดีว่า “หนูเป็นถึงดอกไม้ของกองทัพC ใครกล้ารังเกียจหนู?”
“พอแล้วๆ ดีแต่พูดนั้นแหละ” ผู้นำต้วนแตะที่แผลตรงมุมตาอย่างระมัดระวังแล้วถามอย่างทุกข์ใจ “ยังเจ็บอยู่ไหม?”
ต้วนอีเหยาพยักหน้าอย่างจริงจัง “เจ็บ ก็เจ็บอยู่”
“ถ้าเจ็บก็นอนนิ่งๆแล้วทำตัวว่านอนสอนง่ายหน่อย วิ่งไปไหนมาไหน ผู้หญิงที่ครอบครัวแตกแยกยากที่จะได้แต่งงาน” ไม่ว่าข้าราชการจะใหญ่แค่ไหน มียศสูงแค่ไหน ในเวลานี้ทหารต้วนก็เป็นพ่อที่เปี่ยมไปด้วยความรักและไม่อยากเห็นมันลูกสาวต้องทนทุกข์ทรมาน
“ถ้าไม่ได้แต่งหนูก็จะพึ่งพาพ่ออยู่ข้างๆ ยังไงซะพ่อก็มีเงินบำนาญในอนาคตมากมาย สามารถเลี้ยงดูเราสองคนได้ก็พอ” ต้วนอีเหยายิ้มจนตาหยีเหมือนลูกแมวที่ว่านอนสอนง่าย
ทหารต้วนกดผมที่ม้วนงอไว้ที่ด้านหลังศีรษะของเธอและพูดติดตลกว่า “ทำไมล่ะ?ลูกจะเป็นหญิงชราประจำบ้าน?แบบนั้นไม่ได้ ต่อไปในอนาคตถ้าพ่อเจอแม่ของลูกมันยากที่จะอธิบาย”
“มีหนูอยู่ด้วยดีจะตาย อยู่อย่างมีความสุขได้แม้ว่าจะไม่มีความสุขก็ตาม” ต้วนอีเหยาเป่าน้ำร้อนแล้วดื่มไปอึกหนึ่ง
“พอแล้ว เลิกพูดไร้สาระแล้วรีบนอนพักผ่อนเถอะ” ผู้นำต้วนหยิบแก้วน้ำร้อนในมือเธอออกแล้วเปิดผ้าห่มออกให้เธอขึ้นไปนอนบนเตียง
ต้วนอีเหยาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ถอดรองเท้าทิ้งแล้วขึ้นไปนอนพักผ่อนบนเตียง
“ช่วงนี้ก็พักฟื้นในโรงพยาบาล ผู้อำนวยการบอกว่ายังออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ ดังนั้นก็ห้ามออกจากโรงพยาบาลเด็ดขาด มิฉะนั้นก็รอดูว่าพ่อจะจัดการลูกอย่างไร”
“รู้แล้วค่ะ” ต้วนอีเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงลง นึกถึงเรื่องฝึกขึ้นเลยรีบถาม “พ่อแล้วเรื่องฝึกจะทำยังไง?”
ผู้นำต้วนห่มผ้าห่มให้เธอและพูดด้วยความโกรธว่า “มีคนรับช่วงต่อแล้ว ลูกรักษาอาการบาดเจ็บให้หายก่อนค่อยคุยกัน เรื่องอื่นๆก็ไม่ต้องสนใจแล้ว ไม่มีลูกคนเดียวทั้งกองทัพไม่ล่มสลายหรอก”
“แล้วผู้ชายพวกนั้นล่ะ?” ต้วนอีเหยาถาม
“ถูกจับหมดแล้วไม่มีใครหนีไปได้” เมื่อผู้นำต้วนพูดเช่นนี้ดวงตาของเขาก็เย็นชาลง
ท่าทางของต้วนอีเหยาก็ดูจริงจัง “ต้องมีใครอยู่เบื้องหลังพวกนี้แน่ๆต้องเขี่ยพวกเขาออกมาให้ได้”
“ตรวจสอบไปแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ ทหารฝ่ายธุรการของผู้นำต้วนก็เดินเข้ามา เขาเป็นชายวัยกลางคนที่ทำงานกับทหารต้วนมาหลายปี เขาพูดด้วยความเคารพว่า “หัวหน้า รถพร้อมแล้วครับ”
“อืม” ผู้นำต้วนหันหน้ามาและพูดกับลูกสาวของเขา “พ่อยังมีเรื่องนิดหน่อย ลูกพักผ่อนให้ดีและให้ร่วมมือในการรักษาของหมอด้วย หลายวันนี้ก็ให้ชิงหลงอยู่ที่นี้ ห้ามไปไหนมาไหนเข้าใจไหม?”
“พ่อ หนูไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ต้วนอีเหยาทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว ยังไงก็เป็นหัวหน้าของกองทัพแต่พอจู้จี้ขึ้นมาอย่างกับคนแก่เลย
“พ่อไปละ”
“ไว้เจอกันค่ะพ่อ”
เมื่อขึ้นรถ ผู้นำต้วนพูดกับทหารฝ่ายธุรการว่า “ไปตรวจสอบเย่จิงเหยียนของเมือง A มาหน่อย”
“ครับ หัวหน้า”
หลังจากที่พ่อของเธอจากไป ต้วนอีเหยามองไปที่ต้นไม้เขียวชอุ่มนอกหน้าต่าง ก็รู้สึกถึงความรู้สึกที่ดูถูกดูแคลน
เธอไม่รู้ว่าการตัดสินใจของเธอนั้นถูกหรือผิด แต่ในตอนนั้นมันเป็นการตอบสนองที่ตรงไปตรงมาที่สุด จริงๆแล้วสิ่งที่พ่อของเธอพูดก็ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล เธอไม่เหมาะกับเย่จิงเหยียนจริงๆ
อันที่จริงก็ไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งมากนัก แต่เป็นเพราะค่อยๆสะสมเวลาจนนานเกินไป โดยคิดว่าไม่ว่าจะเมื่อไหร่เขาก็ยังคงอยู่ตรงนั้น พอกลับมาลองคิดดู การมีเขากับไม่มีเขาในชีวิตแทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลย หลายปีมานี้เธอก็มีชีวิตที่ดีมากไม่ใช่หรอ?
แต่หลังจากเขาสารภาพรัก มีเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ต้วนอีเหยาก็ได้เห็นโลกที่แตกต่างออกไปแต่ก็เป็นแค่ช่วงเวลานั้น ภายหลังก็ถูกเขาจบมันลงอย่างสมบูรณ์
พยาบาลเคาะประตูเพื่อจะมาเปลี่ยนผ้ากอซ เมื่อพับแขนเสื้อของเธอขึ้นคิ้วสวยขมวดเข้าหากันแน่น“ทำไมแผลแยกออกจากกัน?”
“บังเอิญไปโดน” ต้วนอีเหยาอธิบายอย่างเรียบง่าย
เห็นได้ชัดว่าพยาบาลรู้ว่าเธอเป็นใครและไม่กล้าบ่นจึงถามขณะคลี่ผ้ากอซออก “แล้วท้องกับขาล่ะ?กระแทกโดนไหมคะ?”
“น่าจะไม่มีนะ” ต้วนอีเหยาไม่แน่ใจ เมื่อเห็นพยาบาลแสดงใบหน้าที่จริงจังเลยยิ้มและพูดว่า “น้องสาว อย่าทำหน้าบึ้งสิ ผู้หญิงต้องยิ้มเยอะๆถึงจะสวยมากขึ้น”
พยาบาลถูกแซวจนยิ้มออกมา “หัวหน้า ทำไมคุณไม่กลัวเจ็บเลยสักนิด นี้เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นผู้หญิงที่สามารถทนได้”
“ใครบอกว่าฉันไม่กลัวเจ็บ?ฉันกลัวเจ็บจะตาย”ต้วนอีเหยาพูดติดตลกกับเธอ
เห็นได้ชัดว่าพยาบาลไม่เชื่อและชื่นชมว่า “จริงเหรอ?ฉันได้ยินมาว่าคุณเป็นผู้พันหญิงที่เก่งที่สุดในกองทัพC ของเรา ไม่มีทหารชายคนไหนที่สามารถเอาชนะคุณได้เลย”
“นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันไม่กลัวเจ็บนิ โอ้ย น้องสาว เบาๆหน่อย” ต้วนอีเหยาพูดเกินจริง
พยาบาลหัวเราะคิกคักออกมา “หัวหน้า ฉันยังไม่ได้แตะที่แผลเลย”
“ดูสิ หัวเราะแบบนี้สวยจะตาย ถ้าเธอทำหน้าบูดบึ้งก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันไม่มีทางรักษาแผลให้หายได้”
“รักษาอะรักษาให้หายได้แต่อาการบาดเจ็บนั้นร้ายแรงมาก ดังนั้นฉันขอร้องว่าอย่าหนีออกไปไหนอีกเด็ดขาด ตอนบ่ายที่คุณหนีออกไป เงินเดือนในเดือนนี้ของฉันหายไปหมดแล้ว ถ้าคุณออกไปโดยไม่บอกกันสักคำอีก ฉันก็สามารถกลับบ้านได้ทันที”
ต้วนอีเหยาไม่คิดว่าผลที่ตามมาจะร้ายแรงขนาดนี้และพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “ขอโทษนะ ทำให้เธอถูกหักเงินเดือนเลย”
“ไม่เป็นไร เพียงแค่ต่อจากนี้คุณให้ความร่วมมือกับหมอก็พอแล้ว คุณอดทนหน่อย ฉันจะเปลี่ยนผ้ากอซให้คุณ”
อันที่จริงสิ่งที่ต้วนอีเหยาพูดเป็นเรื่องจริง เธอจะไม่กลัวเจ็บได้อย่างไร? เพียงแค่สามารถทนแบกรับความเจ็บปวดได้
หลังจากเปลี่ยนผ้ากอซที่แขนเสร็จ พยาบาลก็ปลดกระดุมของเธอแล้วยกเสื้อขึ้น พันผ้ากอซหนาๆรอบท้องเธอเพราะตรงนั้นถูกศัตรูแทงไปสองครั้ง …
ถ้าจะพูดเรื่องบาดแผลทั้งตัวนั้นมาจากไหนก็ต้องเริ่มต้นจากวันที่ต้วนอีเหยาไปนัดบอด
ตั้งแต่ที่เธอเดินเข้าไปในร้านอาหารจีนเพื่อรับประทานอาหาร พวกผู้ชายกลุ่มนั้นก็จ้องเธอไว้แล้ว พวกเขาตามเธอมาตั้งแต่ระยะไกล ต่อมาเมื่อเย่จิงเหยียนสารภาพรักกับเธอ หัวของเธอก็เริ่มสับสนและระดับความตื่นตัวต่ออันตรายรอบข้างก็ลดลงมาก ดังนั้นจึงเดินไปตามท้องถนนโดยไม่ทันสังเกตว่ามีอันตรายอยู่ด้านหลังเธอ
ห้องพักในโรงแรม
ตอนนั้นต้วนอีเหยาตัดสินใจและกำลังจะไปเจอเย่จิงเหยียน เธอก็จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและกำลังจะออกไป แต่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เธอคิดว่าเย่จิงเหยียนรอไม่ไหวที่จะฟังคำตอบ ต้วนอีเหยาจึงเดินไปเปิดประตูโดยไม่ระวังที่จะป้องกันใดๆ แต่นอกประตูมีพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งพร้อมจานผลไม้อยู่ในมือ
“ ไม่ทราบว่าใช่คุณผู้หญิงต้วนหรือเปล่าครับ?”
“ฉันเอง”
“นี่คือผลไม้สำหรับคุณ”
สมองของต้วนอีเหยายังคงอยู่ในอาการตื่นเต้น คิดว่าเย่จิงเหยียนเป็นคนส่งมา เธอถือมันด้วยมือทั้งสองข้างอย่างใจเย็นโดยไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม ทันใดนั้นก็มีมือยื่นออกมาจากด้านข้างแล้วปิดจมูกและปากของเธออย่างรวดเร็ว ลมหายใจที่ฉุนแทรกเข้าไปในโพรงจมูก ต้วนอีเหยาก็ตอบสนองทันทีแต่มันก็สายเกินไปและก่อนที่เธอจะขัดขืน ฤทธิ์ของยาก็เข้าสู่กระแสเลือด ดวงตาของเธอมืดลงและล้มลงไป