วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 301 มารยาหญิง ยั่วยวนเขา
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ต้วนอีเหยาพบว่าตัวเองถูกมัดติดกับเก้าอี้ บริเวณนั้นมืดซะจนเธอมองอะไรไม่ชัด และร่างกายของเธอก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
“พรึ่บ——” แสงสปอตไลท์สว่างขึ้นตรงหน้าเธอ มันจ้าซะจนเธอต้องเธอต้องปิดตาลงทันที เมื่อปรับสายตาเข้ากับแสงได้แล้ว เธอจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
นี่คือห้องขนาดเล็ก เรียบ ๆ ไม่มีหน้าต่าง มีของวางระเกะระกะอยู่ตรงมุมห้อง
ชายในชุดดําหลายคนนั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ ยกขาขึ้นนั่งไขว้ ท่าทางหยิ่งผยอง หนึ่งในนั้นควงปืนในมือไปมาและเหน็บแนมขึ้นว่า “ฉันก็นึกว่าหน่วยกำลังพิเศษของกองทัพ C จะแน่สักแค่ไหนเชียว ที่ไหนได้”
“พวกแกเป็นใคร? ดูเหมือนเราจะไม่เคยพบกันมาก่อน” ต้วนอีเหยากล่าวอย่างเย็นชา
“จะเคยพบกันมาก่อนหรือไม่ไม่สำคัญ” ชายคนนั้นลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปที่ต้วนอีเหยา เขาใช้ปืนเชยคางของเธอขึ้น และยิ้มเบา ๆ “ตอนนี้ก็ได้เจอกันแล้วไม่ใช่หรือไง?”
“พวกแกคิดจะทําอะไร?”
“ในเมื่อผู้พันต้วนถามตรง ๆ แบบนี้ พวกเราก็ไม่มีอะไรจะต้องปิดบัง ง่ายนิดเดียว แค่บอกมาเกี่ยวกับฐานทัพลับทั้งหมดของกองทัพ C แล้วพวกฉันจะปล่อยเธอไป”
ต้วนอีเหยาหัวเราะเสียงดัง “ต้วนอีเหยาคนนี้ไม่ได้เพิ่งจะเป็นทหารวันแรกนะ แกประเมิณฉันต่ำเกินไปหน่อยแล้วมั้ง”
“ดูท่าแล้ว เธอคงไม่อยากจะพูดสินะ?” ชายคนนั้นถามด้วยใบหน้าเย็นชา
ต้วนอีเหยาเอียงคอมองเขาแล้วพูดว่า “ทำไมไม่ปล่อยให้ฉันคิดเรื่องนี้สักสองวันล่ะ?”
“เธอต้องการถ่วงเวลาให้คนมาช่วย? อย่าเพ้อฝันไปเลย สถานที่แห่งนี้ไม่มีใครสามารถค้นหาเจอหรอก” ชายคนนั้นมองทะลุความคิดของเธอ
“ฉันไม่หนีไปไหนหรอก เพียงแต่ฐานทัพลับของกองทัพ C มีมากมาย แกต้องให้เวลาฉันคิดด้วย” ต้วนอีเหยาพูดย้อนกลับ
ชายคนนั้นจ้องมองเธอด้วยสายตาเข้ม “เธอไม่ได้กำลังหลอกฉันใช่ไหม”
“ถ้าแกไม่เชื่อ งั้นก็ยิงฉันทิ้งไปเลย จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลา” ต้วนอีเหยาสีหน้าสงบนิ่ง
เธอเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะเป็นครั้งแรกและไม่มีประสบการณ์ เธอจึงแข็งข้อกับอีกฝ่าย จนทำให้เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดในครั้งนั้น โชคยังดีที่ทีมช่วยเหลือมาถึงทันเวลา ไม่เช่นนั้นเธอก็คงจะตายไปแล้ว
คราวนี้เธอไม่ได้โง่ขนาดนั้นแล้ว หนีได้ก็ย่อมต้องหนี ต่อให้ตายก็ต้องตายในสนามรบ หากมาตายในมือของเจ้าลูกสมุนกลุ่มนี้ จะเป็นการทําให้ชื่อเสียงกองกำลังพิเศษของเธอเสื่อมเสียเปล่า ๆ
ชายคนนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี หากฆ่าเธอซะ กว่าจะจับมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แถมยังจะไม่ได้ข้อมูลใด ๆ ก็เท่ากับลงทุนไปเสียเปล่า แต่ถ้าจะให้เชื่อเธอ ดูยังไงเธอก็แค่จะเล่นลิ้นกับพวกเขา
หลังจากลังเลอยู่เพียงครู่เดียว เขาก็เลือกที่จะลองเชื่อเธอดู “สองวันนานเกินไป พรุ่งนี้เช้าคือเส้นตาย ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
“ไม่มีปัญหา ไหน ๆ ฉันก็ตกลงที่จะให้ที่อยู่แก่พวกแกแล้ว ขอข้าวกินบ้างได้ไหม? เมื่อท้องหิวฉันจะรู้สึกเวียนหัว เมื่อเวียนหัวฉันจะคิดอะไรไม่ออก” ต้วนอี้เหยาเริ่มเล่นลิ้น
ชายคนนั้นถลึงตาใส่เธอแล้วพูดอย่างดุดันว่า “ไม่มีข้าว เมื่อไหร่ที่คิดออกเมื่อนั้นถึงจะมีข้าวให้กิน”
ต้วนอี้เหยาแอบนึกอยู่ในใจว่า เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่ามันจะไม่ได้ให้อาหารกิน แต่จะเป็นลูกปืนแทนน่ะสิ
“ไม่มีข้าวก็ไม่เป็นไร ขอน้ำดื่มสักหน่อยได้ไหม?”
“น้ำก็ไม่มี!” ชายคนนั้นนั้นดึงกระชากคอเสื้อของเธอ “ต้วนอีเหยา เธออย่าคิดเล่นแง่อะไรกับฉัน ไม่อย่างนั้น……”
ต้วนอีเหยาหัวเราะเบา ๆ “พี่ชาย ฉันถูกแกวางยาแล้วยังถูกมัดไว้ที่นี่อีก ถามหน่อยเถอะ ฉันยังจะเล่นแง่อะไรได้อีก?”
“รู้ตัวก็ดีแล้ว” ชายคนนั้นละมือจากเธอ และพูดกับลูกน้องสองคนว่า “พวกนายเฝ้าเธอไว้”
“รับทราบ”
ภายในห้องนั้นเหลือเพียงต้วนอีเหยาและลูกสมุนอีกสองคน ต้วนอีเหยามีสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับกําลังคิดว่าจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร จะให้เธอเปิดเผยถึงฐานทัพลับของกองทัพฆ่าเธอซะยังดีกว่า
ที่ด้านนอกไม่มีเสียงใด ๆ มันเงียบกว่าหุบเขาในยามค่ำคืนเสียอีก อากาศค่อนข้างเย็นและมีกลิ่นอับชื้น ถ้าเดาไม่ผิด ที่นี่น่าจะเป็นห้องใต้ดิน
ทั้งสามคนต่างจ้องตากันไปมาจนกระทั่งในตอนกลางคืน ต้วนอีเหยาเริ่มมีท่าทางแปลก ๆ เธอพูดกับลูกน้องสองคนนั้นอย่างกระอักกระอ่วน “พี่ชาย ฉันอยากเข้าห้องน้ำ”
“ไม่ได้” คนหนึ่งในนั้นกล่าว
“พี่ชาย ฉันพูดจริง ๆ ผ่านมาตั้งสามสี่ชั่วโมงแล้ว คนเราก็ต้องปลดทุกข์กันบ้าง” ต้วนอีเหยาทําหน้าเหมือนจะร้องไห้
ทั้งสองสบตากัน คนหนึ่งในนั้นลุกขึ้นและออกไปถาม
ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็กลับมา “ลูกพี่ใหญ่ถามว่าเธอคิดออกกี่ที่แล้ว? บอกมาสักหนึ่งแห่งแล้วจะปล่อยให้ไปเข้าห้องน้ำได้”
เวรเอ้ย เจ้าพวกนี้ก็ไม่โง่เหมือนกัน
เพื่อจะได้ออกไปสำรวจสถานการณ์ภายนอก ต้วนอีเหยาจึงจำใจพูดถึงฐานฝึกแห่งหนึ่ง แน่นอนว่ามันเป็นเพียงสถานที่ที่นาน ๆ จะไปฝึกกันสักครั้งเท่านั้น และเป็นฐานลับที่ไม่มีอะไรเลย สถานที่นั้นยังอยู่ห่างไกลมากอีกด้วย มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จัก
เมื่อชายคนนั้นได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วด้วยความดีใจ และรีบออกไปรายงานทันที หลังจากรออีกสักพัก ชายคนนั้นก็กลับเข้ามาพร้อมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่เดินตามหลังมา
โอ้ เจ้าพวกโง่คงจะเชื่อแล้วสินะ
ผู้หญิงคนนั้นคาบบุหรี่ไว้ในปากของเธอ ประกายไฟจากก้นบุหรี่ส่องแสงริบหรี่ เมื่อเข้ามาถึงก็ผูกตาของเธอด้วยผ้าสีดํา จากนั้นก็ปลดเชือกที่ผูกติดอยู่กับหลังเก้าอี้ แล้วดึงเธอขึ้นมา
“ไปได้แล้ว” ผู้หญิงคนนั้นพูดเสียงแหลมสูง ทําให้คนฟังรู้สึกอึดอัด
“เธอไม่ปลดเชือกที่เท้าแล้วฉันจะเดินได้ยังไง?” อีกอย่างมือของเธอยังถูกมัดไพล่หลังเอาไว้อีก
“เดินไม่ได้แล้วกระโดดไม่เป็นหรือยังไง?” ในขณะที่พูดผู้หญิงคนนั้นก็ผลักเธออย่างแรง ต้วนอีเหยาที่ไม่ทันตั้งตัวก็ล้ม “ตุบ” ลงกับพื้น
ไหล่ของเธอกระแทกเข้ากับพื้นคอนกรีต มันเจ็บเสียจริง
“โอ๊ย” ต้วนอีเหยาคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด เธอหันกลับมาด่าอย่างโมโห “แม่ง เป็นบ้าหรือไง? จะผลักหาอะไร?”
ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะเยาะและไม่ได้พูดต่อปากต่อคำ แต่หันไปพูดกับชายสองคนนั้นว่า “ดึงมันขึ้นมา แล้วตามฉันไป”
จากนั้นต้วนอีเหยาก็ถูกกระชากขึ้นมาจากพื้นอย่างรุนแรง เธอถูกมัดมือไว้ข้างหลังราวกับเป็นนักโทษ ต้วนอีเหยาได้แต่อดกลั้นเอาไว้ และค่อย ๆ กระโดดออกไปข้างนอก ในใจของเธอก็แอบคำนวณอย่างเงียบ ๆ
เมื่อออกจากประตูก็เลี้ยวขวา ไม่ได้ขึ้นบันไดอะไร กระโดดต่อไประยะหนึ่งก็เลี้ยวซ้าย ได้กลิ่นหอมของอาหารลอยมา ที่นี่น่าจะเป็นห้องครัวหรือไม่ก็ห้องรับประทานอาหาร หลังจากกระโดดเข้าไปข้างในอีกสิบกว่าครั้ง ก็ได้ยินเสียงเปิดประตู จากนั้นต้วนอีเหยาก็ได้กลิ่นเหม็นคลุ้งโชยมา
ถึงห้องน้ำแล้ว
ผ้าสีดําที่ปิดตาไว้ถูกปลดออก ต้วนอีเหยามองไปที่พื้นห้องน้ำที่มีอุจจาระและปัสสาวะอยู่เรี่ยราด ก็รู้สึกคลื่นไส้จนเกือบจะอาเจียนออกมา
“เข้าไป” ผู้หญิงคนนั้นพูดอย่างเย็นชา
ต้วนอีเหยาขมวดคิ้ว “มีที่สะอาดกว่านี้ไหม?”
“ไม่มี!”
ต้วนอีเหยาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกระโดดขึ้นไปบนนั้น ชายสองคนที่คุมตัวเธอจ้องมองเธอด้วยดวงตาหื่นกระหาย จึงถูกเธอถลึงตามองกลับไป “จ้องอะไรกัน? ไม่เคยเห็นผู้หญิงเข้าห้องน้ำหรือยังไง?
บางทีอาจเป็นเพราะต้วนอีเหยาดูมีพลังอำนาจ ชายทั้งสองคนก็รีบหันหลังกลับทันที
ต้วนอีเหยาที่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน เธอมองตรงไปที่ผู้หญิงที่สูบบุหรี่อยู่ “เธอช่วยปลดเชือกที่มือให้ฉัน หรือไม่ก็ช่วยฉันถอด”
ผู้หญิงคนนั้นสูบบุหรี่เข้าลึก ๆ ก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้นแล้วเหยียบมัน และก่นด่าว่า “แม่ง เรื่องมากจริง ๆ”
ต้วนอี้เหยาคิดว่าเธอจะช่วยถอดกระโปรงเพื่อป้องกันไม่ให้เธอหนีซะอีก คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนั้นจะถือตัว เลือกที่จะปลดเชือกที่มือออกให้อย่างหงุดหงิด
หลังจากทำธุระเสร็จแล้ว ต้วนอีเหยาก็สวมกระโปรงของเธอ ที่จริงเธอสามารถสู้ออกไปข้างนอกได้เลย แต่ในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้จักกำลังของอีกฝ่ายนี้ เธอนิ่งไว้ก่อนจะดีกว่า ดีไม่ดี ทันทีที่ออกไปก็อาจถูกยิงจนพรุนทั้งตัวก็เป็นได้
เธอถูกมัดมือและปิดตาไว้อีกครั้ง และถูกนำกลับมาทางเดิม
กลางดึกคืนนั้น ต้วนอีเหยาที่กำลังหรี่ตาลงด้วยความสะลึมสะลือ ก็รู้สึกได้ว่ามีมือคู่หนึ่งกำลังสัมผัสที่หน้าอกของเธอ เธอรู้สึกขยะแขยง ต้วนอีเหยาลืมตาขึ้นเงียบ ๆ
“แกจะทําอะไรน่ะ?” เธอถามอย่างเย็นชา
ชายที่อยู่ตรงหน้าคือหนึ่งในคนที่เฝ้าเธอเมื่อตอนกลางวัน เขาเผยรอยยิ้มที่หื่นกามและพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “แล้วเธอคิดว่าฉันจะทําอะไรล่ะ?” ขณะที่เขาพูดไปก็เตรียมจะล้วงมือที่หยาบกร้านเข้าไปในคอเสื้อของเธอ
ต้วนอีเหยาโกรธมาก กระแทกหัวของเธอเข้าที่จมูกของเขาอย่างแรง ก่อนที่เขาจะได้ทันตั้งตัว เธอก็หมุนเก้าอี้ไปฟาดเข้ากับแขนข้างหนึ่งของเขา เขาล้มลงกับพื้น จากนั้นต้วนอีเหยาก็ใช้เท้ากระทืบลงไปอย่างแรง
“อ๊า——” เสียงโอดครวญอย่างเจ็บปวดของชายคนนั้นทำลายความเงียบงันของคืนนี้
ไม่นานนัก ก็มีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา เจ้าหัวหน้าคนนั้นวิ่งเข้ามา เห็นว่าต้วนอีเหยายังคงถูกมัดไว้กับเก้าอี้เหมือนเดิม ในขณะที่คนที่ได้รับคําสั่งให้มาเฝ้ากลับล้มอยู่กับพื้นพร้อมกับเลือดอาบหน้า
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ชายคนนั้นถามอย่างดุดัน
ต้วนอีเหยาเหลือบมองเขาพลางหัวเราะเย้ยหยัน “มีคนคุมมือของตัวเองไม่อยู่ ฉันจึงช่วยคุมแทน”
เมื่อชายคนนั้นได้ยินก็รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาเตะไปที่ขาของลูกน้องคนนั้น “เจ้าคนไร้ประโยชน์ ไสหัวไปซะ!”
ชายที่ใบหน้าเปื้อนเลือดกัดฟันทนต่อความเจ็บปวด ลุกขึ้นจากพื้นและวิ่งออกไป
“ต้วนอีเหยา เธออย่าอวดดีให้มากนัก”
อารมณ์โกรธของต้วนอีเหยายังคงคุกรุ่นอยู่ เธอยิ้มที่มุมปากอย่างเย็นชา “แกอาจจะไม่รู้จักฉันดีนัก ฉันก็เป็นคนอวดดีแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว”
“เธออย่าลืมซะล่ะว่าฉันสามารถเอาชีวิตเธอได้ตลอดเวลา”
ต้วนอีเหยาหัวเราะและพูดว่า “ฉันรู้ แต่ถ้าฉันตายไป แล้วแกจะไปหาคนที่รู้จักกับกองทัพ C อย่างดีมาจากไหนได้อีก? แกอย่าลืมนะว่า ต้วนอีเหยาคนนี้ไม่ได้เป็นแค่หน่วยกำลังพิเศษเท่านั้น แต่ยังเป็นลูกสาวของผู้บัญชาการทหารด้วย ถ้าหากแกฆ่าฉัน ต่อให้แกจะหนีไปถึงสุดล่าฟ้าเขียว พ่อของฉันก็จะบดขยี้แกจนแหลกเป็นเถ้าถ่านแน่ แต่ในทางกลับกัน การที่ฉันมีชีวิตอยู่ มันก็ทำให้แกยังมีค่า”
ชายคนนั้นนิ่งอึ้งไป สุดท้ายก็หันหลังเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรสักคํา
เคร้ง เคร้ง ประตูเหล็กของห้องเล็กถูกล็อค
ต้วนอีเหยาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เอาล่ะ ในที่สุดคืนนี้ก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจ พักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้ยังต้องเตรียมจัดการกับเจ้าหมอนี่อีก และเธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนส่งคนกลุ่มนี้มา ถึงกับคิดจะล้วงความลับของประเทศชาติ
วันรุ่งขึ้น ต้วนอีเหยาปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมา การที่เธออยู่ที่ชั้นใต้ดิน ทำให้ไม่รู้ว่าข้างนอกนั้นฟ้าสว่างแล้วหรือยัง
นิ้วที่ยืดหยุ่นทั้งสิบคลำอยู่ด้านหลังครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดเชือกป่านเส้นหนาออก
การจะมัดเธอไว้ด้วยของแบบนี้มันเด็กเกินไป เธอเรียนรู้เรื่องการผูกเชือกและปลดเชือกมาเป็นร้อยวิธี และวิธีที่ใช้มัดเธอไว้นี้ก็ง่ายเหลือเกิน
ต้วนอีเหยาอยากจะปลดเชือกที่เท้าออกเพื่อขยับแขนขา แต่เกรงว่าภายในบ้านหลังนี้จะมีกล้องวงจรปิดอยู่ ดังนั้นเธอจึงงดการฝึกซ้อมตอนเช้าไปก่อน
ในตอนนั้นเองเสียงไขกุญแจห้องก็ดังขึ้น ต้วนอีเหยารีบมัดตัวเองไว้อีกครั้ง โดยยังคงมัดตามเงื่อนเดิม
ชายร่างสูงเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเธอและพูดขึ้นว่า “ฉันบอกไว้แล้วว่าเช้านี้ถือเป็นเส้นตาย”
ต้วนอีเหยาแสร้งทําเป็นอ่อนแอและพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ไม่ไหว ฉันกําลังจะหิวตายอยู่แล้ว ไม่มีสติพอที่จะคิดถึงสถานที่เหล่านั้นหรอก”
“เพี๊ยะ——” เสียงตบดังพร้อมกับฝ่ามือที่ตบฉาดลงบนใบหน้าของเธออย่างไม่ทันตั้งตัว ใบหน้าของเธอก็บวมเป่งขึ้นมาทันที คอของเธอถูกมือใหญ่บีบไว้อย่างรุนแรง ชายที่อยู่ตรงหน้าดูราวกับเป็นหมาป่าที่ดุร้าย “ต้วนอีเหยา ไม่ต้องมาเสียเวลาอีกแล้ว ความอดทนของฉันมีไม่มากขนาดนั้น สถานที่ที่เธอบอกมาเมื่อวานนี้เป็นแค่ที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง”
ต้วนอีเหยาเข้าใจแล้วว่าทําไมวันนี้เขาถึงได้โมโหอารมณ์รุนแรงถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็เพราะเป็นแบบนี้นี่เอง คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำงานกันได้เร็วขนาดนี้
เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงละครอีกต่อไป ต้วนอีเหยาพ่นเลือดใส่หน้าเขา และพูดเสียงเหยียดหยามว่า “ถ้าแกมีปัญญาก็ฆ่าฉันซะเลยสิ”
“คิดว่าฉันไม่กล้าฆ่าเธอหรือไง?” ชายหนุ่มขบฟันแน่น และเพิ่มแรงในมือมากขึ้นไปอีก ต้วนอีเหยารู้สึกหายใจลำบากมากขึ้น ใบหน้าแดงก่ำ ขณะที่เธอเตรียมจะโต้กลับ ชายคนนั้นก็คลายมือออก แล้วยิ้มเยาะว่า “ดีมาก ฉันไม่ค่อยเห็นใครที่ไม่กลัวตาย ในเมื่อผู้พันต้วนไม่ยอมให้ความร่วมมือ ก็อย่าหาว่าฉันไม่มีความเมตตาก็แล้วกัน”
“จะมาไม้ไหนก็เชิญ หากฉันกะพริบตาก็ไม่ต้องมาเรียกว่าฉันว่าต้วนอีเหยาอีก”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดี” ชายคนนั้นตะโกนออกไปที่นอกประตู “เข้ามา”
ผู้ชายหลายคนวิ่งเข้ามา “ครับ เจ้านาย”
“แส้ล่ะ? เฆี่ยนมัน”
“ครับผม”
ต้วนอีเหยายืนดูอย่างเย็นชา ราวกับว่าคนที่จะถูกเฆี่ยนไม่ใช่เธอ เมื่อแส้ร้อน ๆ ฟาดลงมาบนตัวเธอ ผิวหนังก็แตก กระดูกก็สั่นสะท้านไปด้วยความเจ็บปวด หลังจากแส้ฟาดมาครั้งที่สอง ต้วนอีเหยาก็แสร้งทําเป็นหมดสติไป
“เจ้านาย เธอสลบไปแล้วครับ”
ชายคนนั้นเดินมาเตะเข้าที่ชายโครงของเธอ แล้วมองดูใบหน้าที่ทั้งแดงทั้งซีดของเธอ ดวงตาที่ปิดสนิทแน่น เขาก็ด่าว่า “แม่งเอ้ย คิดว่าจะแน่สักแค่ไหน คุยโมทั้งนั้น”
“เจ้านาย ยังจะให้เฆี่ยนต่ออีกไหมครับ?”
“เฆี่ยนหัวแกน่ะสิ”
การเฆี่ยนตีก็เพื่อที่จะข่มขู่เธอ ตอนนี้คนก็สลบไปแล้ว เฆี่ยนต่อไปจะมีประโยชน์อะไร?
เมื่อฟื้นขึ้นมาในช่วงบ่าย ชายคนนั้นก็ได้มาบังคับถามอีก หลังจากที่ทั้งสองได้ต่อปากต่อคำกันแล้ว ต้วนอีเหยาก็ถูกเฆี่ยนตีอีกครั้ง เธอต้องอดทนจนถึงกลางคืนให้ได้ ดังนั้นเธอจึงแกล้งสลบต่อไป
ในที่สุดก็ถึงเวลากลางคืน เมื่อตกดึกเงียบสงัด ต้วนอีเหยาก็ปลดเชือกออก ต่อให้มีกล้องวงจรปิด เธอก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนจับตาดูอยู่ตลอดเวลา คนพวกนี้ไม่ได้มีความทุ่มเทขนาดนั้น
บาดแผนบนร่างกายดูน่ากลัวมาก แต่ล้วนเป็นเพียงบาดแผลภายนอก ไม่กระทบกระเทือนถึงกระดูก แม้ว่าตอนที่ถูกเฆี่ยนตีนั้นจะเจ็บปวดมากก็ตาม แต่ตอนนี้ เธอไม่รู้สึกอะไรแล้ว
เธอเดินเงียบ ๆ ไปที่ประตู ลองดึงประตูดูและพบว่ามันถูกล็อคจากด้านนอก เมื่อมองลอดผ่านรอยแยกของประตู ไฟในทางเดินก็มืดสนิท และบางครั้งก็มีเสียงกรนของพวกผู้ชายดังแว่วมา
จะออกจากประตูนี้ได้อย่างไร จากนั้นก็ต้องหาทางออกให้เจออย่างรวดเร็ว นี่เป็นปัญหาแรกของเธอที่จะต้องแก้
ในวันที่สามพวกเขายังคงเผชิญหน้ากันตลอดทั้งวัน ไม่มีอะไรคืบหน้านอกจากร่างกายของต้วนอีเหยาได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะบาดแผลจากมีดบนท้องของเธอ
เจ้าสารเลวนั่นคิดจะเล่นเธอจนตาย หลังจากเฉือนเธอไปสองแผล ก็ให้คนมาทำแผลให้เธออย่างลวก ๆ
ต้วนอีเหยาคิดได้ว่าไม่สามารถจะอยู่แบบนี้ต่อไปได้อีกแล้ว ต่อให้เธอไม่ถูกคนกลุ่มนี้ทรมานจนตาย ก็คงเสียเลือดมากจนตายแน่
ต้วนอีเหยาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องงัดกลยุทธ์ที่เธอไม่ถนัดที่สุดออกมาใช้ นั่นก็คือ มารยาหญิง
เธอมองออกว่าคนในกลุ่มนี้ใครที่ร้ายกาจจริง ๆ และใครที่เป็นพวกหื่นกาม ในช่วงที่ทุกคนไม่ได้ตั้งตัวนั้น ต้วนอีเหยาก็ใช้เท้าถูกับน่องของคนหนึ่งในนั้น ชายหื่นคนนั้นก็เงยหน้าขึ้น ต้วนอีเหยาก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้เขา
ว่ากันว่าต้วนอีเหยานั้นเป็นที่รู้จักกันในฐานะดอกไม้แห่งกองทัพ C ฉายานี้ไม่ใช่ได้มาเปล่า ๆ แต่เพราะเธอมีหน้าตาสะสวยจริง ๆ แม้ในยามนี้ที่ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ความงามก็ยังคงปรากฎให้เห็นได้อยู่ ประกอบกับสัดส่วนรูปร่างหน้าอกที่ใหญ่และเอวที่บาง ไม่รู้ว่าน้ำลายของชายหื่นกามคนนี้ไหลไปมากแค่ไหนแล้ว ดังนั้นทันทีที่ต้วนอีเหยาส่งสัญญาณเชื้อเชิญเขา เขาก็รับมันทันที
รอจนถึงบ่ายเมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องดำแล้ว ชายหื่นก็ได้แอบย่องเข้ามา
“ทหารน้อย เมื่อเช้ามาหาพี่ทําไมกันจ๊ะ?”
ต้วนอีเหยายิ้มอย่างยั่วยวน “พี่ชาย ช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม?”
สีหน้าของชายหื่นจริงจังขึ้นมาทันที “ถ้าจะขอให้ฉันปล่อยเธอไป มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
“พี่ชาย ฉันไม่ได้จะขอร้องเรื่องนี้ ฉันแค่อยากให้พี่ช่วยนำของกินมาให้ฉันสักหน่อย ฉันไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว ได้โปรดเถอะนะ” ต้วนอีเหยาบีบน้ำตาน่าสงสาร
ชายหื่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปที่เธอด้วยสายตาเจตนาไม่ดี “ถ้าฉันเอาอาหารมาให้ แล้วเธอจะตอบแทนฉันยังไงล่ะ”
ต้วนอีเหยารู้สึกขยะแขยง แต่เธอต้องแสร้งทำเป็นเขินอาย “พี่อยากให้ฉันตอบแทนแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น”
ชายหื่นแทบจะทนไม่ไหว ถามด้วยความปลาบปลื้มว่า “จริงนะ?”
“จริงสิคะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันจะโกหกพี่ได้อีกหรือ?”
“ได้ คืนนี้รอให้ทุกคนนอนหลับแล้ว พี่จะเอาของกินมาให้นะ”
“ขอบคุณค่ะพี่ชาย”
รอจนชายคนนั้นจากไปแล้ว ต้วนอีเหยาก็ถ่มน้ำลายออกมา ให้ตายเถอะ ช่างน่าขยะแขยง
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ต้วนอีเหยารู้สึกเวียนศีรษะ เธอไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว อีกยังเสียเลือดมาก ระดับน้ำตาลในเลือดของเธอจึงต่ำ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียงประตูได้ดังขึ้นเบา ๆ ต้วนอีเหยาตื่นขึ้นจากอาการวิงเวียนศีรษะ
คนเปิดทางมาแล้ว ต้วนอีเหยาเผยรอยยิ้มที่ประสบความสําเร็จออกมาทางสายตา
ในไม่ช้าชายหื่นก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของเธอพร้อมกับถือขนมปังแผ่นหนึ่งไว้ในมือ
“ทหารน้อย ตื่นหรือยัง?” เขาถามเสียงเบา
“พี่ชาย มาแล้วเหรอ ฉันกําลังรอพี่อยู่เลย” ต้วนอีเหยาดัดเสียงเล็กเสียงน้อย
เมื่อชายหื่นได้ยินดังนั้นก็รู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก จึงรีบรุดเข้าไปหาเธอ ขณะที่มือหนึ่งยื่นขนมปังให้เธอ อีกมือหนึ่งก็ยื่นออกไปอย่างหื่นกระหาย แต่ก่อนที่มือของเขาจะทันได้สัมผัสกับหน้าอกของเธอ ก็ถูกเธอคว้ามือเอาไว้แล้วหักมันไปข้างหลัง จากนั้นลำคอของเขาก็ถูกลวดเหล็กแหลมทิ่มเข้าไป
“ถ้าอยากมีชีวิตรอด ก็อย่าตะโกน” หญิงสาวกระซิบขู่ที่ข้างหูของเขา
“ได้ ได้ ฉันไม่ตะโกน อย่าฆ่าฉันเลยนะ” เสียงของชายคนนั้นเริ่มสั่น แน่นอนว่าเขาไม่กล้าตะโกน เพราะถ้าเจ้านายรู้ว่าเขาแอบส่งอาหารให้เธอ ก็คงต้องตายสถานเดียวเช่นกัน
ที่นี่ไม่สามารถอยู่ได้นาน ต้วนอีเหยาลากชายคนนั้นไปที่ประตูพร้อมกับถามว่า “ทางออกอยู่ที่ไหน?”
“ทางออกอยู่ในห้องครัว”
“ห้องครัว?” ลวดในมือของต้วนอีเหยาแทงลึกลงไปอีกนิ้วหนึ่ง เจาะตรงเข้าไปในเนื้อของชายคนนั้น “พูดให้ละเอียดสิ”
ชายคนนั้นรู้สึกถึงเลือดอุ่น ๆ ที่ไหลออกมาจากคอ เขากลัวว่าเธอจะพลาดมือจนทำให้เขาต้องตายอย่างอนาถ จึงรีบพูดขึ้นว่า “มีประตูเหล็กบานเล็กอยู่ในห้องครัวและประตูเหล็กเล็ก ๆ นั่นแหละคือทางออก”
“มันถูกล็อคไว้ไหม?”
“มันถูกล็อคไว้ กุญแจอยู่ในมือของเจ้านาย”
ต้วนอีเหยาอยากจะสบถออกมาแต่ก็อดกลั้นเอาไว้ เมื่อมาถึงข้างประตู เธอก็ถามคําถามสุดท้าย “ใครเป็นคนส่งพวกแกมา?”
ชายหื่นแทบจะร้องไห้ออกมา “ฉันเพียงแค่ทําตามเจ้านายแลกกับอาหาร เรื่องสําคัญแบบนี้เจ้านายจะบอกฉันได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินดังนั้น เธอก็หันฝ่ามือและฟันไปที่ด้านหลังของศีรษะของชายคนนั้น ชายหื่นกามนั้นก็ล้มพับหมดสติลงกับพื้น
ต้วนอีเหยานำลวดเหล็กติดตัวไป เธอเปิดประตูอย่างเบามือ บริเวณทางเดินว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ จากนั้นเธอก็รีบวิ่งไปที่ห้องครัว
ข้างตู้เย็นในห้องครัว ต้วนอีเหยาเห็นประตูเหล็กบานเล็กที่ชายหื่นพูดถึง มีกุญแจขนาดใหญ่ล็อคอยู่ ต้วนอีเหยาย่องเข้าไปใกล้ จิ้มลวดบางเข้าไป คอยเงี่ยหูฟังเสียงอย่างระมัดระวัง
สองนาทีต่อมามีเสียง “คลิก” เบา ๆ ดังออกมาจากภายในแม่กุญแจ ต้วนอีเหยารู้สึกดีใจที่ไขกุญแจได้แล้ว
ขณะที่เธอกําลังจะหนีออกจากคุกใต้ดินนี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังว่า “เธอกำลังทำอะไรอยู่?”
ต้วนอีเหยาหันกลับไปมอง ก็พบกับชายคนหนึ่งที่เปลือยท่อนบนและสวมกางเกงลายดอกไม้ในมือถือแก้วน้ำมองมาที่เธอด้วยความตกใจ ก่อนที่ต้วนอีเหยาจะทันได้เดินเข้าไปปิดปากเขานั้น เขาก็ได้ตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “รีบมาเร็วเข้า ทหารหญิงกําลังจะหนีแล้ว”
ต้วนอีเหยาไม่อยากเสียเวลาจัดการเขา เธอถอดกุญแจออกและกําลังจะวิ่งออกไป แต่ทันทีที่ประตูเปิดออก ก็มีปืนกระบอกหนึ่งจี้เข้าที่หน้าผากของเธอ
“เธอคิดจะไปไหนน่ะ?” ฟังจากเสียงแล้วเป็นผู้หญิงที่สูบบุหรี่คนนั้นนั่นเอง
ต้วนอีเหยาเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้า ก่อนที่จะทันได้เห็นการเคลื่อนไหวของเธอ ปืนของผู้หญิงคนนั้นก็ตกไปอยู่ในมือของเธอเสียแล้ว
“อย่าขยับ ฉันไม่ใช่คนที่จะยอมไว้มือนะ” ต้วนอีเหยาเล็งปืนไปที่หัวของเธอ
เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นหวาดกลัว เธอไม่เคยคิดเลยว่าทหารหญิงคนนี้จะเก่งกาจถึงเพียงนี้
ต้วนอีเหยาจับเธอมาขวางไว้และเดินถอยหลังขึ้นทางลาดไป ชายหลายคนที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็รีบมาพร้อมกับปืน และก่อนที่พวกเขาจะพบศัตรู ต้วนอีเหยาก็ได้ยิงอย่างเฉียบขาดออกไป
คนแห่กันมามากขึ้น ๆ รวมทั้งเจ้านายของพวกเขาด้วย
ตอนแรกคิดว่าการเอาผู้หญิงคนนี้มาขวางไว้จะปิดกั้นพวกมันได้สักพัก คิดไม่ถึงว่าคนกลุ่มนี้จะโหดร้ายรุนแรง พวกเขายิงโดยไม่ลังเล เลือดอุ่น ๆ สาดกระเซ็นใส่ใบหน้าของต้วนอีเหยา
ไม่นานหญิงสาวที่เป็นเกราะด้านหน้าก็หมดลมหายใจ ต้วนอีเหยาเหวี่ยงเธอลง แล้ววิ่งออกไปอย่างสุดชีวิต
หนทางข้างหน้ามืดมาก แต่ต้วนอีเหยาทําได้เพียงวิ่งต่อไปเท่านั้น เพราะเธอรู้ดีว่าหากเธอถูกจับได้ในครั้งนี้ ก็คงหนีไม่พ้นจะต้องตายสถานเดียว
เสียงปืนดังมาจากด้านหลังอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นไม่นานต้วนอีเหยาก็สัมผัสได้ถึงลมเย็น ๆ จากนั้นเธอก็เห็นแสงจันทร์ และเมื่อเธอวิ่งออกมาจนสุดทาง เธอก็ต้องหยุดฝีเท้าอย่างกะทันหัน เพราะเบื้องหน้านั้นคือหน้าผาที่ไม่รู้ว่าลึกสักเท่าใด
พระเจ้า ที่แท้นี่ไม่ใช่ห้องใต้ดิน แต่กลับอยู่ในภูเขาลึก เจ้าบ้าพวกนั้นอาศัยอยู่ใต้ภูเขา ไม่แปลกใจเลยว่าทําไมที่นี่ไม่มีทั้งแสงและเสียงเลยสักนิด
เสียงปืนและเสียงฝีเท้าที่อยู่เบื้องหลังดังใกล้เข้ามาทุกที ต้วนอีเหยาที่ยังหาทางไม่เจอได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้า
ครึ่งนาทีต่อมา คนกลุ่นนั้นก็วิ่งออกมา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ พวกเขาก็วิ่งไปในทิศทางตรงข้ามกับต้วนอีเหยา
ที่แท้ทางลงเขาก็อยู่ด้านนั้นนี่เอง เมื่อกลุ่มคนสิบกว่าคนไล่ตามไปทางนั้นแล้ว ต้วนอีเหยาจึงลุกขึ้นยืน โดยไม่ทันระวังเท้าของเธอก็ลื่นและไม่มีอะไรให้คว้าไว้ได้ เธอจึงกลิ้งตกเขาไป
ตลอดทางต้วนอีเหยาได้แต่ปิดศีรษะของเธอไว้แน่น หลังและแขนของเธอถูกกิ่งไม้บาด แต่เธอก็ไม่มีเวลาสนใจสิ่งเหล่านี้ ตอนนี้ทำได้เพียงภาวนาว่าเมื่อกลิ้งไปถึงตีนเขาแล้ว อย่าได้เข้าใกล้สถานการณ์อันตรายอะไรอีก
เป็นเพราะต้วนอีเหยามีสมรรถภาพทางกายที่ดี หากเป็นคนธรรมดา ก็คงจะตายไปนานแล้ว
ในที่สุด แรงโน้มถ่วงก็หมดลง ต้วนอีเหยารู้ว่าน่าจะมาถึงเชิงเขาแล้ว ต้วนอีเหยาขดตัวผ่อนคลายตัวเองอยู่พักหนึ่ง กลิ่นเลือดคาว ๆ ลอยขึ้นมาแตะที่ปลายจมูก
ไม่รู้ว่าเป็นบาดแผลใหม่หรือบาดแผลที่หน้าท้องเปิดออกกันแน่
บ้าเอ้ย ครั้งนี้เกือบตายแล้วไหมล่ะ