วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 302 ขาขาวๆจะไว้ใจได้กา
ต้วนอีเหยาพยายามลุกขึ้น จากนั้นเอามือแตะที่ท้องดู รู้สึกมีอะไรบางอย่างเหนียวๆอยู่ ใช่แผลเขาปริออก
ต้องไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
จากประสบการณ์ของเธอ เพียงแค่ยี่สิบนาทีก็พาตัวเองออกมาหาถนนบนภูเขาได้ เธอเห็นหมู่บ้านหนึ่งและมีคนอาศัยอยู่
เธอพาตัวเองเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ จากนั้นเจอบ้านหลังหนึ่งที่ไฟกำลังสว่างอยู่
ต้วนอีเหยาเคาะประตูเบาๆ มีเสียงผู้ชายตอบกลับมาว่า “ใครน่ะ?”
“ผ่านมาค่ะ” ต้วนอีเหยาพูดแบบไร้เรี่ยวแรง
“มีอะไร?”
“พี่ชาย ฉันมาเที่ยวแล้วหลงทาง ขอฉันนอนที่นี่สักคืนได้ไหม?”
อีกฝากหนึ่งของประตุได้ยินดังนั้นก็เดินมาเปิดประตู ทันทีที่เปิดประตูเขาก็ตกใจกับภาพที่ได้เห็น หญิงที่ยืนอยู่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด เขาถามเสียงสั่นๆว่า “นี่คนหรือผี?”
“พี่ชายอย่ากลัวไปเลย ฉันเป็นคน” ต้วนอีเหยาพูดจบก็เตรียมจะเดินเข้าไป แต่ชายคนนั้นขวางเอาไว้ และพูดกับเธอว่า “เอ่อ เธอออกไปเถอะ บ้านฉัน….”
ต้วนอีเหยาไม่อยากฟังเขาพูดอะไรต่อ ยกปืนขึ้นจ่อหน้าเขา “พี่ชายช่วยฉันได้ไหม?”
ชายคนนั้นตกใจตัวแข็งทื่อ ปืนจ่อแบบนี้เขาจะปฏิเสธอย่างไร?
“ใครกันคะ?” เสียงหญิงอีกคนดังจากในบ้าน
ชายคนนั้นตั้งสติได้ รีบตะโกนกลับไปว่า “คุณอย่าออกมา”
“ข้างนอกใครมาหรือคะ…”หญิงคนนั้นพูดยังไม่ทันจบ ต้วนอีเหยาก็เดินเซเข้าไปในบ้านแล้ว
ทันทีที่เธอนั่งลงบนโซฟา เธอก็พูดอย่างหมดแรงว่า “พี่สาว อย่าร้องตะโกนเลย ฉันไม่ทำอะไรพวกคุณหรอก”
หญิงสาวยืนหลบอยู่หลังสามีและถามว่า “เธอคือใครกันแน่? แล้วทำไมในมือถึงมีปืน”
“ฉันเป็นตำรวจ กำลังตามจับคนร้ายอยู่” ต้วนอีเหยาอธิบายง่ายๆ จากนั้นหันมามองบริเวณท้องมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด “พี่ชาย ฉันขอบืมโทรศัพท์ได้ไหม”
สามีภรรยามองหน้ากันเล็กน้อย คิดว่าไม่รู้ว่าเธอพูดจริงหรือไม่จริง แต่ยังไงก็ต้องให้เธอยืมโทรศัพท์ เพราะในมือเธอมีปืน…
จากนั้นเขาก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอ
โทรศัพท์ดังขึ้นแค่ครู่เดียว ปลายสายก็รับ
“ฮัลโหล?”
“ฉันเอง ต้วนอีเหยา”
ปลายสายตอบกลับเสียงตื่นเต้นว่า “หัวหน้า ในที่สุดคุณก็ติดต่อมา พวกผมแทบจะพลิกเมืองเอหาอยู่หัวหน้าแล้ว…”
“อย่าพูดมาก ฉันได้รับบาดเจ็บ ส่งคนมารับฉันด้วย”
“ห๊า? ตอนนี้หัวหน้าอยู่ที่ไหน พวกผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้.”
“ฉันอยู่ในภูเขา ไม่รู้ว่าที่ไหนเหมือนกัน นายก็หาโลเคชั่นของเบอร์โทรศัพท์นี้แล้วกัน รีบๆมา ขืนชักช้าฉันจะกลับไปคิดบัญชีกับนาย”
“หัวหน้าอย่าแกล้งผม อดทนไว้…..”
อีกฝั่งยังคนพูดต่อไป แต่ต้วนอีเหยาโยนโทรศัพท์ไว้ข้างๆแล้ว และไม่ได้สนใจต่อ
ผู้ชายคนนี้มักจะจู้จี้ตลอด
ต้วนอีเหยาถอนหายใจยาวๆ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมาถึงเมื่อไหร่ และถึงแม้ว่าเธอจะมึนหัวมากแค่ไหน ก็ไม่กล้าหลับลงได้ จึงหันไปถามชายคนนั้นว่า “พี่ชาย ขอน้ำฉันกินสักแก้วได้ไหม?”
สองสามีภรรยามองดูที่เธอพูดกับพวกเขา กับคนในสายเมื่อครู่นี้ ต่างกันลิบลับ ตอนนี้เธอสุภาพและเกรงใจกับพวกเขามาก เว้นเสียแต่เรื่องถือปืนจ่อหน้าเมื่อครู่นี้
ชายคนนั้นยื่นน้ำอุ่นให้เธอ เพียงรวดเดียวเธอก็ดื่มจนหมด รู้สึกสมองโอเคขึ้นมานิดหน่อย
“ขอบคุณมากพี่ชาย”
เธอดื่มน้ำเสร็จ เสียงข้อความก็ดังขึ้น ปลายสายเมื่อครู่ส่งเสียงมาว่า “หัวหน้าผมหาตำแหน่งเจอแล้ว เดี๋ยวผมรีบไปตอนนี้เลย อดทนไว้นะครับหัวหน้า”
ต้วนอีเหยาขี้เกียจจะตอบกลับ
หญิงสาวคนเมื่อครู่หายจากอาการตกใจไปพอสมควร จึงถามกับเธอว่า “น้องคะ ไปทำอะไรมาถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?”
ต้วนอีเหยาไม่กล้าให้ตัวเองหลับ จึงฝืนถ่างตาคุยกับเธอว่า “พี่สาวรู้เรื่องที่บนภูเขามีถนนลับไหม?”
“ถนนลับ?” สาวคนนั้นอึ้ง และพูดต่อว่า “ไม่มีนี่นา พวกเราเกิดและโตที่นี่ ไม่ได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลบ”
“งั้นพวกคุณเคยเห็นคนแปลกหน้าเข้าออกบ้างไหม?”
สาวคนนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และส่ายหัว “ไม่มีนะ ที่นี่มีคนอาศัยอยู่ไม่เยอะ และก็เป็นพวกที่รู้จักกันมาสิบกว่าปีแล้วทั้งนั้น เวลาปกติไปทำงานก็ไม่เคยเห็นคนแปลกหน้าอะไรเลย”
ต้วนอีเหยายิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีก คนคนนั้นแอบซ่อนตัวอย่างไร ถึงทำให้คนที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ไม่สังเกตเห็น
“พี่ชาย เดินออกไปปิดประตูข้างนอกก่อนดีกว่า และอย่าลืมปิดไฟเข้านอนด้วย ฉันกลัวว่าพวกนั้นเห็นไฟเปิดอยู่แล้วจะตามมา”
ชายคนนั้นเดินออกไปปิดประตูอย่างว่านอนสอนง่าย และยังไม่ลืมที่จะเอาไม้ท่อนขัดประตูไว้
แต่มีเรื่องหนึ่งที่พวกเขายังไม่ทำ คือเข้านอน คนทั้งคนนั่งอยู่ตรงนี้ พวกเขาจะหลับลงได้อย่างไรกัน?
“ไม่ต้องสนใจฉัน ปิดไฟเถอะ” ต้วนอีเหยาสั่ง
สองสามีภรรยาไม่กล้าขัดคำสั่งใดๆ รีบปิดไหเข้านอนทันที
ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามาหาต้วนอีเหยาอย่างหนักหน่วง เธอได้แต่กัดฟันทนความเจ็บนี้ ไม่รู้ทำไมเธอถึงฉุกคิดถึงเย่จิงเหยียนขึ้นมา เพราะตอนที่ออกมาเธอโดนจับตัวมา ไม่ได้บอกอะไรเขาสักคำ ตอนนี้ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง
และก็ไม่รู้ว่าเขาจะโทษตัวเองอีกไหม
น่าเสียดายที่คำตอบนั้นเธอยังไม่ได้บอกเขา รอเธอกลับไปเมืองเอ แล้วบอกเขาด้วยตัวเองแล้วกัน
อาจจะเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของเธอ จึงทำให้รู้สึกว่าเวลาเดินช้ากว่าปกติ
และในที่สุด ด้วยความอ่อนล้าและความเจ็บปวด จึงทำให้เธอหลับไป และไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ แต่รู้ตัวอีกทีตอนเสียงเคาะประตูดังขึ้น
สองสามีภรรยาก็ตกใจสะดุ้งตื่น ร้อนรนถามว่า “พวกที่ตามมาหรือเปล่า?”
ต้วนอีเหยารีบจับปืนให้กระชับมือ และพูดกับพวกเขาเสียงเบาๆว่า “อย่าเอะไป และอย่าเพิ่งออกมาด้วย”
ขณะนี้ด้านนอกประตูยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีเสียงผู้ชายดังขึ้นตามมาด้วยว่า “เปิดประตู!”
ต้วนอีเหยาตกใจครู่หนึ่ง นี่พวกนั้นตามมาได้แล้วหรือ
แม่งเอ้ย นี่พระเจ้าจะให้ฉันตายที่นี่ตอนนี้หรือ?
“ถ้าไม่เปิดประตู พวกกูพังประตูเข้าไปแน่” สิ้นเสียงพูด ก็ได้ยินเสียงทุบประตูดังขึ้น
ต้วนอีเหยารีบหลบเข้ามุมที่เล็งได้ง่ายๆ พร้อมกับตั้งลำปืนขึ้นเตรียมยิง แต่จากที่เธอคาดเดา ข้างนอกน่าจะมาแค่ 5 คนเท่านั้น
“ปั้ง…”
เสียงประตูถูกเปิดออกอย่างแรง สองคนที่พังประตูเมื่อครู่ รีบเดินเข้ามาในบ้าน ต้วนอีเหยาไม่รีรอ รีบลั่นไกใส่พวกนั้น
“ปัง ปัง” เสียงปืนดัง ทั้งสองตายทันที
เหลืออีกสามคนได้ยินเสียงปืนก็รีบหลบทันที จากนั้นต้วนอีเหยารีบหาที่หลบใหม่ ไม่รอให้พวกนั้นเพ่งเล็งมาทางเธอได้
เธอไม่รีรอรีบหยิบถาดเล็กโยนออกไปอีกทาง พวกนั้นสองคนก็รีบหันปืนไปทางนั้น จากนั้นต้วนอีเหยาก็รีบยิงพวกเขาทั้งสองตาย
ตอนนี้เหลืออีกหนึ่ง
และทันใดนั้น นอกประตูก็มีเสียงปืนดังขึ้นอีก ในที่สุดพวกเขาก็มาช่วยเธอแล้ว
อีกหนึ่งคนที่เหลืออยู่หน้าประตู รีบถอยเท้าวิ่งหนี แต่วิ่งไม่ถึงไหน ก็โดนลั่นไกใส่ขา ล้มลงไปกองที่พื้น
ต้วนอีเหยาหันไปเคาะหน้าต่าง และบอกสองสามีภรรยาว่า “พี่ชาย เปิดไฟได้แล้ว ไม่มีอะไรแล้ว”
จากนั้นไฟก็สว่างขึ้น เผยให้เห็นหน้าของต้วนอีเหยา
จูเชวี่ยโดดลงจากเฮลิคอปเตอร์ มองเห็นคนนอนเกลื่อนกลาด ก็ได้แต่ภาวนาขอให้หัวหน้าของเขาไม่เป็นอะไร
เมื่อเดินเข้ามา เห็นต้วนอีเหยายืนพิงกำแพงอยู่ตรงมุมห้อง หน้าของเธอซีดราวกับกระดาษ จูเชวี่ยแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ไม่เคยเห็นเธอตกอยู่ในสภาพย่ำแย่แบบนี้มาก่อนเลย ทั้งตัวมีแต่เลือด เหมือนกับไปนอนในกองเลือดมา
ต้วนอีเหยายิ้มให้เขา และพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ในที่สุดพวกนายก็มา ถ้ามาช้ากว่านี้ฉันคงต้องตายอยู่นี่แหละ”
จูเชวี่ยเดินเข้ามากอดเธอ และพูดต่อว่า “กัปตัน อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับ ตอนนี้เลือดไหลจะหมดตัวอยู่แล้ว”
“ไอ้บ้า อยากเจอดีหรือไง?”
“โชคดีที่ผมเรียกรถฉุกเฉินมาด้วย” จูเชวี่ยรีบอุ้มเธอขึ้นเตียงเปล และให้แพทย์ทหารห้ามเลือด
ต้วนอีเหยาโบกมือเรียกเขา และสั่งว่า “เดี๋ยวไปจัดการค่าเสียหายให้บ้านหลังนั้นด้วยนะ โดนไอ้พวกสารเลวนั่นพังประตูยับเยินเลย”
“รับทราบครับ”
“แล้วก็คนที่โดนฉันยิงบาดเจ็บ….”
“พวกพี่น้องเราจับมันไว้แล้วครับ”
แพทย์ทหารยกเสื้อของต้วนอีเหยาขึ้น เผยให้เห็นเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุด จูเชวี่ยโกรธมาก ทุบลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ และพูดว่า “แม่งเอ้ย ผมต้องตัดไอ้จู๋ของพวกมันทิ้งให้ได้”
ต้วนอีเหยาพูดกับเขาด้วยเสียงอ่อนแรงว่า “มีพวกลับๆซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา พวกมันมาเพื่อขโมยลักของ ยังไงก็ต้องจับพวกมันให้ได้ทั้งหมด”
“กัปตัน วางใจได้ พวกมันจะไม่มีสักคนที่หนีรอดไปได้” จูเชวี่ยพูด และหันไปบอกหมอว่า “หมอครับ งั้นผมฝากกัปตันด้วยนะครับ”
“ครับ”
จากนั้นจูเชวี่ยก็ลงจากเฮลิคอปเตอร์ และเดินมุ่งหน้าไปทางคนร้ายที่จับตัวไว้ได้….
ช่วงเช้ามืด ต้วนอีเหยาเดินทางมาถึงโรงพยาบาลทหารที่เมืองเอ เธอเกือบไม่รอดเพราะเสียเลือดมากประกอบกับแผลติดเชื้ออย่างรุนแรง
ณ ห้องผ่าตัด หมอมองบาดแผลที่อยู่บนตัวของเธอ คิดในใจว่าใครกันที่โหดร้ายขนาดนี้ ท้องขงอเธอถูกแทงสองแผล บริเวณหนังมีรอยถูกแส่ฟาดเยอะจนนับไม่ถ้วน อีกทั้งบริเวณขาก็ยังเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนของต้นไม้ใบหญ้าอีก
เธอยังมีชีวิตอยู่ คงจะใช้แรงฮึดเฮือกสุดท้ายอยู่ เพราะถ้าเป็นคนอื่นคงไม่รอดแล้วแน่ๆ
หลังจากผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย ต้วนอีเหยาหลับไปสามวันสามคืน และเมื่อเธอตื่นขึ้นมาก็ได้ถามไถ่เรื่องแก๊งอันธพาลลับ ชิงหลงบอกเธอว่าตอนนี้จับได้ทั้งหมดแล้ว และกำลังสอบปากคำอยู่
เพราะแบบนี้ทำให้ต้วนอีเหยาโล่งใจขึ้นมาบ้าง เรื่องที่เธอเจ็บตัวไม่เสียเปล่า
หลังจากนั้นเธอก็ขู่ชิงหลงให้พาไปหาเย่จิงเหยียน คิดไม่ถึงเลยว่า ยังไม่ทันพูดอะไร ก็โดนเขาบ่นใส่โครมๆ
เธอคือใคร? เธอคือต้วนอีเหยาเลยนะ ไม่มีใครเคยใช้คำพูดกับเธอแบบนี้มาก่อน แล้วนี่เขาทำไมถึงกล้าทำแบบนี้กับเธอ
ต้วนอีเหยาไม่สบายใจและสงสัยมาก ตอนที่เขาสารภาพรัก พูดซะดูดีไปทุกอย่าง แถมยังบอกอีกว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะคอยซัพพอร์ตเธอทุกเรื่อง แล้วนี่อะไรเธอหายไปแค่ไม่กี่วัน เขาก็เปลี่ยนไปขนาดนี้
พวกผู้ชายนี่กะล่อนจริงๆ….
เมื่อคิดถึงผู้หญิงที่ยืนข้างๆเขาคนนั้น ทั้งสวย ทั้งขาว ดูผู้ดีมากๆ แล้วหันกลับมามองตัวเอง เทียบไม่ได้เลย….
ขณะที่ชิงหลงกำลังนั่งกินองุ่นและดูทีวีอยู่นั้น หันไปเห็นอาการของหัวหน้าตัวเองก็ถามว่า “กัปตันเป็นอะไรครับ?”
ต้วนอีเหยาถอนหายใจยาว “ฉันอยากดื่มน้ำ ไปเทน้ำมาให้ฉันแก้วซิ”
“อ่อครับ” จากนั้นชิงหลงก็เดินไปเทน้ำมาให้เธอ ยื่นให้เธอพร้อมกับพูดขำๆว่า “กัปตันกำลังคิดไอ้หนุ่มหน้ามนคนนั้นอยู่ใช่ไหม เพราะตั้งแต่กลับมาจากเจอเขา กัปตันก็ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย”
ต้วนอีเหยาไม่ได้ตอบ และถามต่อว่า “ชิงหลง พวกผู้ชายชอบผู้หญิงแบบไหนหรือ?”
ชิงหลงตกใจมาก และถามต่อว่า “กัปตัน เอ่อ เอ่อ เอ่อ กัปตันสมองมีปัญหาหรือเปล่า?”
“ไอ้บ้า แกซิสมองมีปัญหา”
“กัปตันเคยบอกว่า ห้ามพวกเรามองกัปตันเป็นผู้หญิง แถมสั่งให้มองกัปตันเป็นเหมือนผู้ชายคนหนึ่งเลย อยู่ๆกัปตันก็มาถามอะไรแบบนี้ ผมก็ตกใจซิครับ” ชิงหลงนั่งบนโซฟาและอมยิ้มพูดต่อว่า “ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบผู้หญิงทำตัวดีๆ ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟัง น่ารักใจดี ขยันทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าวเก่ง…. ”
“หยุด!” ต้วนอีเหยาแทรกขึ้น ที่เขาพูดมาทั้งหมด ไม่มีในตัวเธอสักอย่าง..
จบเห่ ชาตินี้คงไม่ได้แต่งงานแล้วล่ะ
“กัปตัน ผมยังพูดไม่หมดเลยนะครับ”
“พูดบ้าอะไร ไปซื้อข้าวมากิน”
ชิงหลงตึงตังเดินออกไป และหยุดอยู่หน้าประตู หันมาพูดกับเธอว่า “กัปตัน พวกเราชอบผู้หญิงที่อ่อนโยน ไม่พูดคำหยาบ….”
ต้วนอีเหยาไม่รอให้เขาพูดจบ หยิบแอปเปิ้ลเขวี้ยงใส่เขาทันที
เวลาที่เธออยู่ห้องผู้ป่วยคนเดียว เธอก็เริ่มคิดมาก เอาจริงๆที่พูดมา เธอน่าจะไม้ได้แต่งงานชาตินี้จริงๆแหละ
หรือเธอคิดมากเกินไปนะ เห้อ
ไม่นานชิงหลงก็ซื้อข้าวกลับมา เห็นอาการของลูกพี่ไม่ค่อยจะดีนัก จึงพูดขึ้นว่า “กัปตัน ที่ผมพูดไปเมื่อกี้คือความคิดของผู้ชายธรรมดาๆแบบพวกผม แต่กัปตันไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา แน่นอนว่าไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้มากขนาดนั้น”
ต้วนอีเหยาจ้องที่เขา ถามต่อว่า “ฉันไม่ใช่คนธรรมดา? ฉันมี3 หัว 6 แขนหรือ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ ความหมายของผมคือ กัปตันเปรียบเสมือนมู่หลานหญิงแกร่งของยุคนี้เลย และต่อไปอาจจะได้เป็นถึงนายพล ไม่มีผู้ชายคนเลือกหรือเรียกร้องอะไรแล้ว กลับกันจะเป็นกัปตันมากกว่าที่เป็นคนเลือก” ชิงหลงกล่าว
ต้วนอีเหยาฟังจบก็ขำออกมา “ไม่รู้เมื่อไหร่ฉันถึงจะได้เลื่อนถึงขั้นนั้น หรือว่าต้องรอจนแก่ถึงจะได้แต่งงาน?”
“เอาแบบนี้ ผมอธิบายใหม่ ความหมายของผมคือ กัปตันเป็นคนที่เพอร์เฟค เก่ง และพิเศษกว่าคนอื่นมาก และในอนาคตไม่ว่าผู้ชายคนไหนได้แต่งงานกับกัปตัน นั่นถือเป็นความโชคดีของเขา กัปตันอย่าดูถูกตัวเองแบบนั้นเลย”
“นายรู้จักพูดคำพวกนี้ด้วยหรือเนี้ย?”
ชิงหลงตบไปที่อก และพูดว่า “ของแน่นอน ผมก็จบจากมหาวิทยาลัยทหารที่เคร่งครัดเหมือนกันนะครับ กัปตันรีบกินโจ๊กเถอะครับ เดี๋ยวเย็นหมด”
และทั้งสองก็พูดคุยหยอกล้อขำกัน
ทางฝั่งของเย่จิงเหยียน เขาเพิ่งรู้ตัวและรู้สึกเสียใจทีหลังว่าต้วนอีเหยามาหาเขาถึงที่แล้ว ทำไมเขาปฏิบัติต่อเธอแย่แบบนั้น? ทำไมไม่พูดดีๆกับเธอ? ทำไมต้องดุว่าเธอ?
คำที่ต้วนอีเหยาพูดก็ถูก เขามีสิทธิอะไรไปดุด่าว่าเธอ แม้กระทั่งแฟนก็ยังไม่ใช่
หรือว่าตอนนี้ แม้แต่ความเป็นเพื่อน เธอก็ไม่อยากให้เขาแล้ว?
เขาลืมตัวว่ายืนค้างอยู่หน้าบริษัทของหนานกงฉิงอยู่นาน พอรู้สึกตัวก็เดินไปลานจอดรถอย่างเหงาหงอยไม่มีชีวิตชีวา ระหว่างทางกลับบ้าน เขาผ่านกับบาร์ร้านหนึ่ง เขาตัดสินใจจอดรถแล้วลงเข้าบาร์ไป
แก้วแล้วแก้วเล่า เย่จิงเหยียนนั่งซดเหล้าอยู่ในมุมของร้าน มีสาวสวยหลากต่อหลายคนเข้ามาชวนคุย แต่ก้ถูกเขาปฏิเสธทั้งหมด
ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็เมาแอ๋ ผู้จัดการบาร์โทรหาคฤหาสต์ตระกูลเย่ทันที เพราะแท้จริงแล้วเจ้าของบาร์แห่งนี้ ก็คือมู่เทียนเย่นั่นเอง
ทางฝั่งเย่ฉ่าวเฉิน เรียกลูกสาวให้ไปรับสายโทรศัพท์
“พี่ไม่รู้ไปเจอเรื่องทุกข์ใจอะไรอีก เหล้าที่บ้านก็มีเยอะแยะยังจะไปบาร์อีก” เย่ชวูเสวียกล่าว พร้อมกับหยิบกระเป๋าเดินออกไป
มู่เวยเวยรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ถามขึ้นมาว่า “คุณให้หรูอี้ออกไปคนเดียว ไม่กลัวลูกได้รับอันตรายหรือคะ?”
เย่ฉ๋าวเฉินยิ้มเล็กน้อย และตอบภรรยาว่า “แค่คนอื่นไม่เข้าไปก่อกวนเธอก็พอแล้ว เพราะใครกล้าก่อกวนเธอ คนนั้นก็เหมือนหาเรื่องตาย”
มู่เวยเวยไม่พูดอะไร หันไปดูทีวีต่อ
เย่ชวูเสวียออกไปไม่นาน โทรศัพท์ของเย่ฉ๋าวเฉินก็ดังขึ้น
“เจ้านายครับ มีคนกำลังแอบสืบคุณชายครับ”
“ใคร?”
“เหมือนจะเป็นคนของกองทหารครับ”
เย่ฉ่าวเฉินคิดเล็กน้อย หรือจะเป็นพวกของต้วนอีเหยา?
“อย่าไปสนใจ พวกเขาอยากจะสืบก็สืบไป พวกนายทำเป็นไม่รู้ต่อไปแล้วกัน” เย่ฉ่าวเฉินกำชับ อย่างไรซะ ลูกชายคนนี้ของเขาก็ไม่มีอะไร
“รับทราบครับ”
มู่เวยเวยถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือคะ?”
เย่ฉ่าวเฉินส่ายหัว “ลูกชายของเราน่าจะไปทำเรื่องอะไรเตะตาพวกทหารเข้า พวกเขาเลยมาสืบน่ะ”
“ต้วนอีเหยา?”
“น่าจะใช่” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มออกมาอย่างเย็นยะเยือกว่า “เด็กคนนี้น่าจะไม่ธรรมดา”
“เธอไม่ได้ชอบผิงอันไม่ใช่หรือคะ? ทำไมต้องมาสืบ?”
เย่ฉ่าวเฉินครุ่นคิดเล็กน้อยและพูดต่อว่า “ช่วงไม่กี่วันมานี้ เหมือนผิงอันจะอาการดีขึ้น แต่วันนี้กลับไปดื่มเหล้าจนเมา หรือว่าเธอจะไปหาเขา?”
มู่เวยเวยพยักหน้า “น่าจะเป็นไปได้ และน่าจะจบไม่สวยด้วย ไม่งั้นลูกคงไม่เมาแบบนี้”
“ช่างเถอะ เรื่องหนุ่มๆสาวๆให้พวกเขาจัดการเอง ดูๆแล้วไม่น่าจะเกิดอันตรายอะไร”
มู่เวยเวยนึกถึงเรื่องตอนสมัยสาวๆ ก็ผ่านมาไม่น้อยเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เป็นอังวลอะไร หันไปดูทีวีต่อ
ไม่นานเย่ชูวเสวียก็มาถึงบาร์ ตอนเธอเดินเข้าไปในร้าน ทุกสายตาต่างก็จดจ้องมาที่เธอ ให้ตายเถอะ บนโลกใบนี้มีคนสวยขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ
ผู้จัดการหันไปเห็นเธอและทักทายเธอว่า “คุณหนูเย่ คุณชายอยู่ทางนั้นครับ”
เย่ชวูเสวียเดินตามผู้จัดการไป เห็นพี่ชายตัวเองนอนแอ้งแม้งอยู่บนโซฟา แถมโต๊ะข้างหน้าก็เต็มไปด้วยขวดเหล้าเปล่า
“นี่เขาดื่มคนเดียว?” เยวูเสวียถามอย่างอึ้งๆ
ผู้จัดการยิ้มแหยๆและตอบว่า “ใช่ครับ เพราะคุณชายต้องการดื่ม เราเลยขัดไม่ได้”
เย่ชวูเสวียหมดคำจะพูด หยิบบัตรเครดิตในกระเป๋ายื่นให้เขา “ไปคิดเงิน”
ผู้จัดการไม่กล้ารับบัตรเธอมา และพูดต่อว่า “คุณหนูเย่ครับ ถ้าเจ้านายรู้ว่าผมเก็บเงินกับคุณชายเย่ ผมคงจะเป็นผู้จัดการต่อไม่ได้แล้ว”
เย่ชวูเสวียเก็บบัตรเข้ากระเป๋าเหมือนเดิม อย่างไรซะร้านนี้ก็เป็นของคุณลุง ดื่มแค่นี้คงไม่เป็นอะไร จากนั้นเธอก็เดินไปทางพี่ชาย นั่งยองๆและพูดกับเขาว่า “พี่ ตื่นๆ กลับบ้านกัน”
เย่จิงเหยียนสะลึมสะลือลืมตามองหน้าน้องสาว และพูดต่อว่า “หรูอี้มาแล้วหรอ มาๆดื่มเป็นเพื่อนพี่หน่อย”
“กลับบ้านแล้วเดี๋ยวฉันดื่มเป็นเพื่อนโอเคไหม? พวกลืมแอบขโมยเหล้าดีๆของพ่อมาดื่มกัน”
เย่จิงเหยียนส่ายหัว “ไม่ได้ นั่นเป็นของคุณพ่อกับคุณแม่ ถ้าพวกเราขโมยพวกท่านต้องโกรธแน่ๆ”
“งั้นเดี๋ยวฉันขโมยเอง คุณพ่อไม่กล้าตีฉันหรอก เอาล่ะลุกขึ้นแล้วกลับบ้านกัน” เย่ชวูเสวียประคองพี่ชายลุกขึ้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะหนักขนาดนี้ เกือบล้มไปแล้ว
ผู้จัดการรีบเข้ามาช่วยพยุงด้วยอีกคน
เดินไปไม่ถึงไหน ก็มีอันธพาลในร้านเหล้ามาขวางไว้
“ได้ยินชื่อเสียงผู้หญิงตระกูลเย่มาตั้งนาน เคยดูแต่ในรูปภาพ วันนี้มาเจอตัวจริง สวยจริงๆด้วย สวยกว่าในรูปล้านเท่าอีก”
เย่ชวูเสวียมองไปทางพวกนั้นอย่างเย็นชา ไม่ได้ตอบโต้อะไร
ผู้จัดการเห็นท่าไม่ดี รีบพูดขึ้นว่า “เอ่อคุณผู้ชายต้องการอะไรหรือครับ?”
ชายอวดดีคนนั้นชี้ไปทางเย่ชวูเสวีย และตะโกนลั่นว่า “ให้สาวสวยตระกูลเย่คนนี้ ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนฉันสักแก้ว แล้วฉันจะปล่อยเธอไป”
“จะเป็นไปได้ไงครับ?”
ชายคนนั้นหันไปผลักผู้จัดการและบอกว่า “หุบปาก ฉันยังไม่ได้ให้แกพูด”
เพราะผู้จัดการกำลังพยุงเย่จิงเหยียนอยู่ เมื่อครู่ที่โดนผลักเกือบทำให้เขาล้ม
เย่ชวูเสวียพยายามอดทน เพราะแม่เธอบอกว่าอย่าก่อเรื่องข้างนอก แต่ตอนนี้เหมือนความอดทนของเธอจะถึงขีดจำกัดแล้ว
“คุณหนูใหญ่ตระกูลเย่ ว่าไงล่ะ แค่มารินเหล้าให้พวกพี่ไม่กี่คน แล้วน้องก็จะได้ไป”
สายตาที่ชายคนนั้นมองเย่ชวูเสวีย แม้แต่เด็กอมมือยังดูรู้ว่าหมายความว่าอะไร
เย่ชวูเสวียยิ้มเย็นยะเยือก “ถ้าฉันไม่ยอมล่ะ?”
“งั้นก็อย่ามาโทษพวกพี่ไม่มีมารยาทน้า ใช่มั้ยพวกเรา”
ผู้จัดการกลัวจะเกิดเรื่อง จึงรีบเอาตัวไปบังเธอและกล่าวเตือนกับพวกนั้นว่า “คุณครับ คุณยังเด็ก ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตระกูลเย่ รบกวนขอให้หลบไปดีกว่าครับ ไม่งั้นคุณอาจจะจบไม่สวย”
“ยุคของเยฉ่าวเฉินมันหมดไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้มันคือยุคของฉัน ฉันเป็นใหญ่โว้ย” จากนั้นหันไปพูดกับเย่ชวูเสวียต่อว่า “ว่าไงบ้างจ้ะสุดสวย”
เย่ชวูเสวียมองไปทางเขาด้วยสายตาน่ากลัว จากนั้นตอบกลับว่า
“ได้ซิ เดี๋ยวฉันรินเหล้าให้พวกนายเอง” ทุกคนได้ยินแบบนั้นถึงกับอึ้ง เธอให้ผู้จัดการประคองเย่จิงเหยียนต่อ และถามต่อว่า “รินที่ไหนล่ะ?
พวกนั้นได้ยินก็กุลีกุจอตอบว่า “ทางนี้ๆจ้ะ”
เย่ชวูเสวียเดินไปทางที่ชายคนนั้นบอก ยกขวดเหล้าแกว่งไปแกว่งมา ถามต่อว่า “หกคนนี้หรือ?”
“ใช่จ้ะใช่ๆๆๆ….”
ตอนที่ทุกคนคิดว่าเย่ชวูเสวียกำลังจะเท “เพล้งง” เสียงดังขึ้น ขวดเหล้าที่อยู่ในมือเธอเมื่อครู่ กระแทกกับหัวของชายอวดดีคนนั้นแตกกระจาย จากนั้นยกขาขึ้นเตะเข้าไปกลางเป้า เขาล้มลงไปนอนกับพื้นทันที ไม่รู้เลยว่าต้องเจ็บอันไหนก่อน ขาหรือไข่