วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 303 เจ้าหญิงน้อยผู้ร่ำรวย
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ร้านเหล้าเงียบลงอย่างกะทันหัน แม้กระทั่ง DJ ก็หยุดเพลงลงลุกขึ้นมาดูทางนี้
เย่ชูวเสวียปรบมือและพูดกับอีกห้าคนที่เหลือว่า “ยังจะดื่มเหล้าอีกเหรอ ?”
ทั้งห้าคนเมามีสติเพียงครึ่งเดียว คุณมองฉัน ฉันมองคุณ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
คนที่นอนอยู่ที่พื้นตะโกนด่าว่า “นังโสเภณีนี่ กล้าตบกู กูไม่ปล่อยพวกมึงไปแน่”
มีเพียงไม่กี่คนที่ไม่มีทางเลือก จึงลงมือ ผู้ชมมองเห็นเพียงผมสีดำปลิวไสวกระโปรงแดงเต้น เพียงระยะเวลาสั้นๆ ทั้งห้าคนก็ไปนอนอยู่บนพื้น ไม่กอดหัวกอดขาก็กอดท้อง และคนที่ตบตีก็ดูผ่อนคลายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยืนสวยอยู่ตรงกลางพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
รองเท้าส้นสูงแหลมของเธอเหยียบบนมือชายคนนั้น เย่ชูวเสวียยิ้มในใจและพูดว่า “พวกแกกลุ่มนี้คิดว่าหมัดของตัวเองแข็งแกร่งกว่าคนอื่นก็เลยสามารถมาวุ่นวายในเมือง A ได้ ? คิดว่าผู้หญิงจะรังแกได้ง่าย ? พวกแกไปเอาความมั่นใจนี้มาจากใคร ? ฉันจะบอกแกนะ ต่อไปอย่ามาให้ฉันเห็นอีก เจอครั้งหนึ่งตบครั้งหนึ่ง ยุติธรรมหน่อย ฉันจะไม่พึ่งพาพ่อของฉันเย่ฉ่าวเฉิน ฉันจะพึ่งพาหมัดตัวเอง เป็นยังไง ?”
“ผมไม่กล้าอีกแล้ว ไม่กล้าแล้ว…….”ชายคนนั้นเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ได้ และเขาก็ตื่นขึ้นมาจากความเมา และแน่นอนเขาไม่กล้าแกล้งอีกแล้ว
“ผู้จัดการ ความเสียหายในร้านเหล้านี้ก็นับรวมเป็นค่าเหล้าของพวกมัน ถ้าไม่ให้ก็แจ้งความ นี่อย่างน้อยก็น่าจะสักประมาณสองสามหมื่นหยวน เพียงพอที่พวกมันจะอยู่ที่นี่สักสองสามวัน”
“ครับ คุณเย่” ผู้จัดการตอบรับด้วยความเคารพ ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงหมื่นหยวน เขาก็จะนับเป็นหมื่นหยวน
หลังจากเย่ชูวเสวียจัดการธุระเสร็จ และจับมือของพี่ชายเธอเดินออกไป ในฝูงขนไม่รู้ว่าใครตะโกนมา ตามด้วยเสียงตะโกนจากด้านบนและเสียงปรบมืออย่างอบอุ่น
เย่ชูวเสวียเกือบจะล้มลง เธอมองเห็นคนมากมายจากข้างล่าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเชียร์เธอ ทำให้เธอรู้สึกเขินอายหน้าแดงเล็กน้อย เงยหน้ายิ้มให้กับทุกคน และรีบพาพี่ชายออกไปอย่างรวดเร็ว
ผลักเย่จิงเหยียนเข้าไปข้างหลังรถ เย่ชูวเสวียสูดลมร้อนในฤดูร้อน และรู้สึกสบายตัวในทันที
เธอไม่เคยทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย หนึ่งคือไม่เคยมีใครกล้าทำกับเธออย่างนี้ สองคือไม่มีโอกาสเจอเรื่องแบบนี้ สามคือพี่ชายและบอดี้การ์ดถูกจัดการไปก่อนแล้ว เธอจึงมองดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆต่อไป วันนี้ได้ลองความสามารถ ไม่คิดเลยว่าจะรู้สึกสนุกขนาดนี้
“มันสนุกมากเลย. เย่ชูวเสวียพูดกับตัวเองด้วยรอยยิ้ม
“สนุกพอรึยัง ?” จู่ๆเสียงของเย่จิงเหยียนก็ดังขึ้น
เย่ชูวเสวียตกใจจนเหยียบเบรกกะทันหัน หันหลับมามองเย่จิงเหยียนที่เมาและถามด้วยความแปลกใจว่า “คุณตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
เย่จิงเหยียนขยี้คิ้วและพูดเสียงดุดันว่า “ตั้งแต่ที่เธอหยิบขวดเหล้าตีหัวคน”
“ถ้างั้นทำไมถึงยังแกล้งหลับ ? ฉันแบกคุณออกมาเหนื่อยขนาดนี้ ?”
เย่จิงเหยียนแกล้งเธอ “หืม ? ฉันไม่แกล้งหลับ จะรู้ได้ยังไงวาเธอจะทำอะไรต่อ ?”
เย่ชูวเสวียยกคางเล็กๆขึ้นยิ้มอย่างมีชัย และขับรถต่อ “เป็นยังไง ? ฉันไม่ทำให้ตระกูลเย่ขายหน้าใช่ไหม ”
เย่จิงเหยียนพูดอย่างเงียบๆว่า “ไม่ คุณหนูใหญ่ของตระกูลเย่เก่งขนาดนี้ คนเดียวล้มนักเลงหกคน แค่ได้ยินก็ทำให้คนรู้สึกตื่นเต้นแล้ว ดูเถอะ พรุ่งนี้พาดหัวข่าวออกมาแน่”
“จริงเหรอ ?”
“เธอคิดว่าไงล่ะ ?”เย่จิงเหยียนถามกลับ
เย่ชูวเสวียกัดปากและเงียบไปเป็นเวลานาน “พี่ชาย จะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม ”
เย่จิงเหยียนนอนอยู่ที่เบาะหลัง “กลัวอะไร ? กลัวว่าตระกูลเย่ของเราจะจัดการกับเรื่องเล็กน้อยนี่ไม่ได้ ? ตีก็ตีแล้ว ถ้าหากเมื่อกี้ฉันตื่นขึ้นมา ฉันว่าฉันจะตีหนักกว่าเธอ บังอาจมาด่าเสี่ยวหรูอี้ของพวกเรา”
เย่ชูวเสวียยิ้มอย่างเงียบๆ แววตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น เธอรู้อยู่แล้วว่า ไม่ว่าเธอจะเจอปัญหาใหญ่แค่ไหน ก็ยังมีพี่ชายกับพ่ออยู่ข้างหลัง แน่นอนว่าเธอก็มีสมอง แต่ก็ไม่สามารถจัดการเรื่องใหญ่ได้มากนัก
ทั้งสองยังไม่ทันกลับถึงบ้าน มู่เทียนเย่ก็โทรศัพท์เข้ามาที่โทรศัพท์มือถือของเย่ฉ่าวเฉิน และอธิบายวีรกรรมของเย่ชูวเสวียที่ร้านเหล้าอย่างละเอียด เย่ฉ่าวเฉินได้ยินก็จิตใจเบิกบาน และพูดหัวเราะใหญ่ว่า “สมกับที่เป็นลูกสาวฉันจริงๆ เยี่ยมมาก”
มู่เวยเวยฟังแล้วก็ส่ายหัว “พวกคุณชินกับเธอแล้วจริงๆ”
“เธอเป็นลูกสาวของพวกเรา พวกเราไม่ชินใครจะชิน ?”ใบหน้าของเย่ฉ่าวเฉินเต็มไปด้วยความภูมิใจ
มู่เวยเวยพูดไม่ออก เอาเถอะ ที่จริงแล้วเธอก็รักลูกสาวคนนี้มากเช่นกัน เธอรู้เรื่องมาก เธอไม่เคยพึ่งพาความงามและภูมิหลังของครอบครัวเลย ไม่เหมือนกับเย่จิงเหยียนที่ชอบออกไปเที่ยว หลายปีมานี้ลูกมักจะเป็นเด็กดีอยู่กับเธอและเย่ฉ่าวเฉิน ถึงแม้ว่าจะออกเดินทางไปเที่ยวไกลๆ อย่างมากก็แค่เดือนสองเดือนเท่านั้น ทำได้ขนาดนี้ เธอก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่งแล้ว
ในช่วงหลายปีมองดูเธอสวยขึ้นเรื่อยๆ มู่เวยเวยรู้สึกกังวลเล็กน้อย มีคำพูดที่ว่าหญิงงามมักอาภัพ พระเจ้าประทานความสามารถนี้ให้แก่เธอ และก็ให้ใบหน้านี้แก่เธอ และบางสิ่งจะต้องถูกพรากไป แต่จนถึงตอนนี้ ก็แทบจะยังไม่เกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้น หรือว่าพระเจ้าจะลืมเธอแล้ว ?
ในวันรุ่งขึ้น ก็เป็นจริงดั่งเย่จิงเหยียนพูดไว้ วิดิโอและรูปภาพที่คุณหนูใหญ่ตระกูลเย่ตบคนหกคนแพร่กระจายบนอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว และก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ทุกคนคิดว่าเย่ชูวเสวียเป็นเพียงเจ้าหญิงผู้งดงาม ไม่คิดเลยว่าจะมีด้านที่กล้าหาญเช่นนี้ โดยเฉพาะคำพูดที่สั่งสอนนักเลงพวกนั้น ซึ่งมันดึงดูดแฟนคลับเป็นจำนวนมาก บนอินเตอร์เน็ตทุกคนต่างชื่นชมความแข็งแกร่งของเธอจนยกย่องเป็นแฟนหนุ่ม ทุกคนล้วนตะโกนอยากจะแต่งงานกับเธอ
เย่ชูวเสวียหัวเราะเบาๆขณะที่นั่งอยู่บนโซฟากินแอปเปิ้ลพลางอ่านความคิดเห็นพวกนี้ ด้วยความภาคภูมิใจและตื่นเต้น
“พอแล้ว ดูมาทั้งเช้าแล้ว ยังยิ้มอยู่ได้”
เย่ชูวเสวียรีบไปข้างๆมู่เวยเวย และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หม่าม้า บนอินเตอร์เน็ตน่าสนใจมาก เรียกฉันเป็นสามี และยังจะให้ลิงกับฉันอีก”
มู่เวยเวยผลักศีรษะของเธอและยิ้มพูดอย่างอ่อนโยนว่า “โชคดีที่ครั้งนี้ไม่มีใครตาย”
“ม๊า คุณไม่ต้องห่วง ฉันระงับได้”
“รู้ก็ดีแล้ว เธอเป็นคนที่ฉันกังวลที่สุด” มู่เวยเวยถามเธอด้วยเสียงต่ำ “เมื่อวานพี่ชายเธอเป็นอะไร ? ฉันเห็นว่าเช้าวันนี้ยังไม่ทันทานเช้าก็ไปทำงานแล้ว”
เย่ชูวเสวียพูดพลางเล่นโทรศัพท์ “ฉันก็ไม่รู้ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ตามที่ฉันคาดเดา 80%น่าจะเกี่ยวข้องกับสาว”
มู่เวยเวยพยักหน้า “ฉันก็คิดแบบนี้ เอ๊ะ ทำไมวันนี้เธอถึงไม่ไปทำงาน ?”
“ไม่รีบ ให้ฉันได้ภูมิใจสักนิดหนึ่งก่อน”
มู่เวยเวยลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก จู่ๆก็นึกอะไรขึ้นได้ “ใช่แล้ว พรุ่งนี้เป็นวันหยุด พวกเราทั้งครอบครัวไปเยี่ยมคุณปู่เสี่ยวกัน”
เย่ชูวเสวียวางโทรศัพท์มือถือในมือลง เงยหน้าถาม “อาการป่วยของคุณปู่เสี่ยวยังไม่ดีขึ้นเหรอ ?”
“กลับมาหนักอีกแล้ว เมื่อวานย้ายไปที่โรงพยาบาลทหาร ได้ยินมาว่าเทคโนโลยีที่นั่นดี”
“อ่อ เข้าใจแล้ว”
ทั้งวันเย่จิงเหยียนไม่มีสมาธิกับการทำงาน เมื่อวานนี้ในบางครั้งสายตาเขาก็มองเห็นต้วนอีเหยา ทันใดนั้นก็เกิดคำถามขึ้นมามายในใจเขา
ทำไมหน้าของเธอถึงขาวขึ้นขนาดนั้น ? ทำไมผู้ชายคนนั้นต้องโอบเอวเธอ ? และ ทำไมตอนที่ขึ้นรถ เธอต้องบอกกับคนนั้นด้วย ว่าเธอขึ้นรถเอง ? หรือพูดอีกนัยว่า เดิมทีชายคนนั้นต้องการพยุงเธอขึ้นรถ ?
ถ้าอย่างนั้นทำไมต้องพยุงเธอขึ้นรถ ? อีกอย่างท่าทางก็เหมือนกับตอนปกติ แต่เมื่อวานตอนเธอขึ้นรถเธอขึ้นช้ากว่าปกติมาก……
หรือว่าเธอ…..ได้รับบาดเจ็บ ?
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ใจของเย่จิงเหยียนก็ว้าวุ่น เขาเสียใจจะตายแล้ว ทำไมต้องหุนหันอย่างนี้ ? เธอมาก็ดีมากแล้ว ทำไมถึงต้องหุนหันพูดกับเธอแบบนั้น ? ยังถามว่าเธอไปไหนมาอีก ?
จบแล้วจบแล้ว เธอต้องคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่ไร้เหตุผลแน่นอน เห็นได้ชัดว่าเขากังวลเกินไป ทำไมคำที่จะพูดถึงเปลี่ยนไปได้ล่ะ ?
เมื่อคิดถึงประโยคสุดท้ายที่เธอพูด ใจเย่จิงเหยียนก็หดเล็กเป็นลูกบอล เธอบอกว่า จิงเหยียนลาก่อน
เธอจะไม่เจอเขาอีกแล้วเหรอ ?
เธอเกลียดคนที่ไม่เข้าใจเธอที่สุด เมื่อเห็นเธอปฎิบัติกับคู่เดทก็รู้แล้ว เพียงแค่ความเห็นต่างก็ยอมรับฝ่ายตรงข้ามแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาสารภาพเขาก็แค่จะบอกว่าเข้าใจเธอ
ในเวลานี้เย่จิงเหยียนจะเสียใจต่อไปไม่ได้แล้ว ความเงียบที่รักษามายี่สิบปีมันจะมีประโยชน์อะไร ? หุนหันครั้งเดี๋ยวก็ผิดพลาดไปหมด
หลังจากหลับตาทำสมาธิเป็นเวลานาน ในที่สุดเย่จิงเหยียนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปหาพ่อของเขา
เขาไม่สามารถคิดแบบนี้ต่อไปได้แล้ว เขาต้องหาต้วนอีเหยา และเคลียร์เรื่องนี้ให้ชัดเจน ถึงแม้ว่าคำตอบของเธอจะยังคงเดิม เขาก็ต้องหาเธอก่อน ดูว่าเธอปลอดภัยสงบสุขดี
“ผิงอัน มีธุระอะไร ?”
“พ่อ ตอนนี้คุณยุ่งอยู่รึเปล่า ?”
“ไม่ยุ่ง กำลังดื่มน้ำชากับลุงเธออยู่”
เย่จิงเหยียนหยุดลงสองสามวิก่อนที่จะพูดต่อว่า “พ่อ คุณช่วยผมหาต้วนอีเหยาหน่อยได้ไหม ?”
เย่ฉ่าวเฉินเงียบไปชั่วขณะและถามเขาว่า “คุณยังอยากจะหาเธอ ?”
“อืม มีบางเรื่องผมต้องการรู้อย่างชัดเจน”
“เมื่อวานคุณเจอเธอแล้วใช่ไหม ?”
เย่จิงเหยียนลุกขึ้นและถามด้วยความประหลาดใจว่า “คุณรู้ได้ยังไง ?”
เขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครในครอบครัว
เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้ปิดบังอะไร “เมื่อคืนคุณไปดื่มเหล้า ก็มีข่าวมาว่า มีบางคนในกองทัพกำลังตรวจสอบภูมิหลังของคุณ ฉันคิดว่าไม่มีใครตรวจสอบมันมาก่อน แต่จู่ๆเมื่อวานก็พบเข้า จึงคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับพวกคุณสองคน”
เย่จิงเหยาจัวแข็งทื่อ ต้วนอีเหยาไม่ตรวจสอบเขาแน่ น่าจะเป็นพ่อของเธอ พูดมาอย่างนี้ ต้วนอีเหยาเอาเรื่องของพวกเขาบอกพ่อของเขา ?
“จิงเหยียน ? ทำไมไม่พูดอะไรแล้ว ?”
เย่จิงเหยียนสติกลับมา “พ่อ ถ้าอย่างนั้นคุณจะหาเธอไหม ?”
เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจและพูดว่า “จิงเหยียน คนของทางกองทัพไม่ใช่ว่าใครก็ตรวจสอบได้ และพ่อเดาว่าตำแหน่งของต้วนอีเหยาคนนี้ไม่ธรรมดา มันเป็นไปไม่ได้ที่คนนอกอย่างพวกเราจะตรวจสอบได้ ดังนั้น……”
ดังนั้นอะไร เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ทันได้พูดอะไร แต่ความหมายคืออะไร เย่จิงเหยียนก็พอจะรู้แล้ว
หน้าต่างแห่งความหวังถูกปิดลงอย่างแน่นหนา ในใจของเขา พ่อคือคนที่มีอำนาจทุกอย่าง ถึงแม้พ่อจะบอกว่าไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ แต่เรื่องนี้……
“ผมรู้แล้วครับพ่อ เชิญคุณดื่มชาเถอะ”
เย่ฉ่าวเฉินได้ยินเสียงผิดหวังของลูกชายก็ทนไม่ได้จึงพูดว่า “ผิงอัน ถ้าหากว่าคุณอยากเจอเธอจริงๆ พ่อจะลองดู แต่มันอาจจะไม่ได้ผล”
“ขอบคุณครับพ่อ”
หลังจากวางสาย เย่ฉ่าวเฉินก็ถอนหายใจ มู่เทียนเย่จึงถามเขาด้วยความแปลกใจว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ? เกี่ยวข้องกับทหารได้อย่างไร ?”
เย่ฉ่าวเฉินเล่ารายละเอียดเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง
“ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะหลงใหลมากขนาดนี้ ?” มู่เทียนเย่พูดอย่างมีอารมณ์
“ทางคุณมีเส้นสายมากมาย มีวิธีอะไรบ้างไหม ?” เย่ฉ่าวเฉินรินชาให้กับเขา
มู่เทียนเย่เคาะนิ้วไปที่โต๊ะไม้ “ทั้งหมดที่พวกเรารู้จักจากธุรกิจและทางการ เป็นทหารจะไม่มีช่องทางการติดต่อใดๆ ”
“ทางด้านพี่สะใภ้ล่ะ ?”
“ไม่รู้ ผมก็ไม่ได้ยินเธอพูดถึงมัน ”ทันใดนั้นมู่เทียนเย่เหมือนคิดอะไรได้ “ใช่แล้ว ครั้งนี้พ่อย้ายไปโรงพยาบาลทหาร เหมือนจะเจอคนคุ้นเคยเก่า คุณก็รู้ โรงพยาบาลทหารไม่รับผู้ป่วยจากข้างนอก บางทีอาจจะถามคนรู้จักนั้นได้”
“บังเอิญอะไรอย่างนี้ ? ถ้างั้นเรื่องนี้ขอร้องคุณแล้ว มามา ผมจะรินชาให้คุณดื่มอีกถ้วย”
มู่เทียนเย่ไม่ยอมรับปัญหานี้ ยิ้มและพูดว่า “อย่าขอร้องผม ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้พวกคุณจะไปเยี่ยมคุณปู่ไม่ใช่เหรอ ? เรื่องของผิงอันก็ให้เขาไปถามเอง เรื่องเล็กๆแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ต่อไปจะทำเรื่องใหญ่ได้ยังไง”
“คุณพูดถูก ให้เขาไปถามเอง”
เย่ฮวางกรุ๊ป
เมื่อถึงเวลาทานอาหาร บางทีอาจเป็นเพราะอาการพิษสุราเรื้อรังเมื่อวาน เย่จิงเหยียนจึงไม่ค่อยรู้สึกอยากอาหาร และในมือเขาก็มีเอกสารสำคัญอยู่ ดังนั้นจึงไม่ไปทานอาหาร แน่นอนว่าเรื่องนี้มีเพียงเลขาที่จัดการเท่านั้นที่รู้
หลังจากจ้าวเสวียนคิดแล้ว ก็ยังตัดสินใจสั่งอาหารจากโรงแรมมา
สูดหายใจเข้าลึกๆและเคาะประตู
“เข้ามา”
จ้าวเสวียนก้าวเข้ามาในห้องประธาน พร้อมกับอาหารในมือ
เย่จิงเหยียนกำลังทำงานอยู่ที่โต๊ะ เงยหน้าขึ้นมองและถามเธอว่า “มีเรื่องอะไร ?”
จ้าวเสวียนดึงความกล้าออกมา “ประธายเย่ ฉันสั่งอาหารมาให้คุณ ถ้าคุณไม่ทานมันจะไม่ดีต่อสุขภาพคุณ อีกอย่างตอนบ่ายยังมีประชุม ฉันเกรงว่าร่างกายคุณจะรับไม่ไหว”
เย่จิงเหยียนกำลังอ่านรายงานเลยไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด จึงไม่ตอบสนองอะไร จ้าวเสวียนยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเก้ๆกังๆ เขาไม่พูดหมายว่ายังไง ? ให้ตัวเองอยู่ที่นี่หรือว่าให้ออกไป ?
ไม่กี่นาทีต่อมา เมื่อเย่จิงเหยียนอ่านรายงานจบ ก็เงยหน้ามองมองเธอที่ยืนร้อนรนในมือก็ถืออาหารอยู่ ในใจก็ทนไม่ได้จึงชี้ไปห้องพักผ่อน “วางเอาไว้ตรงนั้นเถอะ”
จ้าวเสวียนผงะเลิกคิ้วดีใจและรีบพูดว่า “ค่ะประธานเย่ คุณรีบทานตอนร้อนมันดีกับกระเพาะ ทานเสร็จแล้วก็เรียกฉันเข้ามาทำความสะอาด”
เย่จิงเหยียนพูดอืมออกมาเบาๆ และก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จ้าวเสวียนวางอาหารลง และเดินค่อยๆออกไป
เธอคิดว่าเย่จิงเหยียนจะต้องปฎิเสธ แต่ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้เขาจะยอมรับ ดูเหมือนว่านี่เป็นการเริ่มต้นที่ดี
ตอนเย็น เย่จิงเหยียนกลับมาถึงบ้าน ได้ยินสิ่งที่พ่อและลุงพูดพวกนั้นแล้ว ในที่สุดดวงตาของเขาก็เป็นประกายจากความมืด “ลุงพูดถูกเรื่องของเขาเอง พรุ่งนี้เขาจะไปหาป้าด้วยตัวเอง”
ทุกคนรู้ว่าเสี่ยวซีหร่านรักเอ็นดูเย่จิงเหยียนที่สุดแล้ว
ด้วยความหวังเล็กๆน้อยๆ ในใจของเย่จิงเหยียนก็เบาลงอย่างมาก เขาจึงมีความอยากอาหารมากขึ้น กินข้าวหมดทั้งถ้วย
เช้าวันรุ่งขึ้น ครอบครัวเก็บของขับรถไปโรงพยาบาลทหารแห่งเดียวในเมือง A
คุณปู่เสี่ยวมีอายุมากกว่าเก้าสิบปีแล้ว ความเจ็บปวดของร่ายกายเขาที่สะสมมาสองปีกำเริบ และความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นจนเขาไม่สามารถควบคุมได้ ช่วงที่ผ่านมาคุณปู่เสี่ยวคิดว่าตัวเองจะไม่รอดแล้ว เขาจึงบอกเสี่ยวซีหร่านว่าอยากกลับประเทศ ที่นี่คือบ้านของเขา ถ้าหากเขาตายแล้ว ก็ฝังไว้ข้างๆหลุมฝังศพของพ่อแม่
เสี่ยวซีหร่านไม่อยากเห็นพ่อจากไปแบบนี้ เมื่อกลับประเทศก็ไปหาหมอที่มีชื่อเสียงหลายคนมารักษา หลังจากโยกย้ายไปหลายครั้งสุดท้ายก็โยกมาที่โรงพยาบาลทหารในเมือง A
เมื่อถึงโรงพยาบาล ครอบครัวมู่ทั้งสี่คนรวมถึงคุณย่าเสี่ยวก็อยู่ที่นั่น คุณปู่เสี่ยวนอนอยู่บนเตียงหลับตาไม่สนิท ไม่รู้ว่าหลับไปแล้วรึเปล่า
เนื่องจากทั้งสองครอบครัวให้กำเนิดเย่ชูวเสวียที่เป็นผู้หญิงคนเดียวเท่านั้น คุณย่าเสียวจึงชอบมาก เมื่อเห็นเธอก็โบกมือ “สาวน้อยมาแล้ว มานี่มาให้คุณย่าดูหน่อย”
เย่ชูวเสวียเดินเข้าไปสวมกอดคุณย่าอย่างรวดเร็วยิ้มและพูดว่า “คุณย่า หรูอี้คิดถึงคุณมากนะ คิดถึงคุณปู่ด้วย”
คุณย่าเสี่ยวผลักหัวเธอเบาๆและบ่นเหมือนเด็กๆว่า “พูดจาอ่อนหวาน คิดถึงพวกเราแต่ก็ไม่มาเยี่ยมพวกเรา”
“คุณย่า ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก หลังจากนี้ฉันจะมาเยี่ยมคุณกับคุณปู่ทุกวัน ตราบเท่าที่คุณไม่คิดว่าฉันรบกวน”เย่ชูวเสวียคุกเข่าอยู่ข้างๆเธอ และเอนศีรษะขึ้นอ้อน
คุณย่าเสี่ยวหัวเราะ “ใช่ยุ่งมาก ยุ่งกับการเป็นนางเอกใช่ไหม ?”
เย่ชูวเสวียประหลาดใจ “คุณย่า คุณก็ดูวิดิโอนั่นแล้ว ?”
เสี่ยวซีหร่านพูดต่อว่า “ใช่สิ คุณย่าเห็นเมื่อวานตอนเช้า ยังชมเธออยู่เลยว่าทำถูกแล้ว”
เย่ชูวเสวียยิ้มอย่างภาคภุมิ จับมือของคุณปู่เสี่ยวและพูดเบาๆว่า “คุณปู่ หรูอี้มาเยี่ยมคุณแล้ว”
คุณปู่เสี่ยวเหล่มองตาเต็มไปด้วยความขุ่นมัว เมื่อได้ยินเธอพูด ก็ขยับปากพูดแต่ก็ฟังไม่ชัดว่าพูดอะไร ในใจใของเย่ชูวเสวียบีบแน่นขึ้น น้ำตาเอ่อล้นจนแทบจะร่วงลงมาก
“คุณปู่ได้ยินที่เธอพูด แต่เขาพูดไม่ได้ เธอดูสิ เขากำลังกระพริบตาให้เธอ”น้ำเสียงของคุณย่าเสี่ยวสงบมากพร้อมรอยยิ้มที่ฟังไม่ออกว่ามีความเศร้าขนาดไหน มีเพียงคนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ ทุกคืนเธอจะต้องอยู่ข้างคุณปู่และจับมือของเขาไว้แน่น
เมื่อมู่เวยเวยมองไปในใจก็รู้สึกเศร้า เธอดึงเสี่ยวซีหร่านไปข้างๆและกระซิบถามว่า “ตอนนี้อาการป่วยของคุณปู่เป็นอย่างไรบ้าง ?”
ดวงตาของเสี่ยวซีหร่านแดงก่ำและสีหน้าก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “หมอบอกว่าอยู่ได้อีกไม่กี่วัน ให้พวกเราอย่าโยกย้ายเลย เพื่อไม่ให้คุณปู่ทุกข์ทรมาน แต่ว่าฉัน…..”
มู่เวยเวยเมื่อเห็นน้ำตาเธอจะไหลออกมา ก็กอดเธอไว้ในอ้อมแขน และปลอบเบาๆว่า “โอเคโอเค พวกเราก็ให้โชคชะตาฟ้าลิขิตเถอะ อย่าร้องเลย คุณย่ามาเห็นก็จะรู้สึกแย่ไปด้วย”
ยี่สิบกว่าปีมานี้ดูเหมือนว่าใบหน้าของเสี่ยวซีหร่านจะไม่มีร่องรอยใดๆ เธอยังคงเป็นผู้หญิงที่สวยและมีเสน่ห์ แต่ร่ายกายเธอก็มีความมั่นคงและเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก บางครั้งในตอนที่เธอเดินอยู่บนถนนคนเดียวยังมีชายหนุ่มเข้ามาแทะโลม
เสี่ยวซีหร่านกัดฟันกลั้นน้ำตาและถอนหายใจว่า “ฉันก็รู้ว่านี่มันเป็นกฎของโลก แต่ลูกสาวก็มักจะให้พอ่แม่มีสุขภาพที่ดี ชีวิตที่ยืนยาวและอยู่กับเราไปอีกนานๆ”
“คุณดีขึ้นมากแล้วสินะ”มู่เวยเวยจับมือของเธอและพูดว่า “คุณดูพวกเราสี่คน มีเพียงคุณคนเดียวที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ คุณโชคดีกว่าพวกเรามาก อย่ารู้สึกแย่เลย”
“อืม”
เย่จิงเหยียนกับพี่น้องตระกูลมู่กำลังพูดคุยเรื่องธุรกิจอยู่ข้างๆ เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เทียนเย่ออกไปจากห้องผู้ป่วย ยืนอยู่ริมหน้าต่าทางเดินและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของคุณปู่
“จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คุณปู่ชอบเงียบสงบ และไม่อยากให้พวกเราทำอะไรมากนัก ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ พวกเราก็จัดการอย่างเรียบง่ายพอ”
น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเฉินค่อนข้างหนักแน่น “แต่สิ่งไหนที่ควรมีก็ต้องมี จะทำเรียบง่ายมากไม่ได้ มันจะดูเหมือนคุณปู่ไปแบบว่างเปล่าเกินไป”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว”
“สองสามวันนี้ผิงอันและหรูอี้จะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ สองชั่วโมงนี้จะได้ไม่รบกวนคุณปู่มากนัก”
มู่เทียนเย่พยักหน้า “อืม คุณปู่ชอบเด็กสองสามคนนี้มาก ฉันเป็นห่วงก็แต่อาหร่าน กลัวเธอจะรู้สึกเสียใจเกินไป”
“พี่สะใภ้ไม่ได้มีประสบการณ์ร้ายๆใดๆ อย่างมากก็แค่เสียใจไปช่วงหนึ่ง คุณก็แนะนำเธอมากๆ ”เย่ฉ่าวเฉินมองลงไปที่สนามหญ้าข้างล่างนอกหน้าต่าง ก็เห็นหญิงสาวในชุดผู้ป่วยเดินอย่างช้าๆ ข้างๆมีทหารนายหนึ่งคอยระมัดระวังเธอ และยังพูดคุยอะไรกัน
เมื่อหญิงสาวหันมายิ้ม เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกคุ้นหน้าเธอ ราวกับว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน
“คุณมองอะไรอยู่ ?” มู่เทียนเย่มองตามสายตาของเขาไป “รู้จักเหรอ ?”
“เหมือนเคยเจอที่ไหนสักแห่ง แต่ก็จำไม่ได้มาก……..”เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว
มู่เทียนเย่ไม่ได้สนใจ ทั้งสองคนกลับไปที่ห้องผู้ป่วย
เย่จิงเหยียนคิดถึงเรื่องนั้นตลอด รอคุณแม่กับคุณป้าพูดเสร็จ ก็เดินเข้าไปและพูดอย่างเกรงใจว่า “คุณป้า ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณ”
ใบหน้าของเสี่ยวซีหร่านแทบไม่แสดงรอยยิ้มออกมา “มาพูดขอร้องขอความช่วยเหลืออะไรจากป้า มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ”
เย่จิงเหยียนลูบศีรษะทำตัวเหมือนเด็กน้อยขี้อายว่า “คุณป้า คุณมีความสัมพันธ์กับกองทัพไหม ? ผมอยากหาคน”
เสี่ยวซีหร่านเข้าใจทันที “อ่อ~คุณอยากหาหญิงสาวที่สนิทกับคุณตอนเด็กใช่ไหม ?”
“คุณป้ารู้ได้ยังไง ?” เย่จิงเหยียนถามอย่างแปลกใจ
“เรื่องของพวกเธอฉันจะไม่รู้เลยเหรอ ?”หลังจากเสี่ยวซีหร่านแกล้งเขาก็พูดอย่างจริงจังว่า “ฉันก็รู้จักแค่หมอที่นี่คนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับกองทัพหรอก ฉันจะพาคุณไปถามเขาป่ะ ”
“จะเป็นการรบกวนไหม ?”
“ไม่รบกวน วันนี้เขามาทำงานพอดี ฉันพาคุณไปป่ะ ”
เย่จิงเหยียนดีใจมาก และรีบพยักหน้าอย่างแรง เย่ชูวเสวียรีบวิ่งไปข้างหน้าทั้งสองคน “คุณป้า ฉันไปด้วย”
“เธอจะไปทำไม ?”เย่จิงเหยียนจ้องมองเธอ
“คุณยุ่งไรด้วย” เย่ชูวเสวียทำหน้าบึ้งตึงใส่พี่ชายเธอ จับแขนของเสี่ยวซีหร่านและพูดว่า “คุณป้า ฉันไปเป็นเพื่อนคุณ”
“ตกลง”เสี่ยวซีหร่านก็ยังรักหญิงสาวเพียงคนเดียวนี้มาก
เย่จิงเหยียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เด็กคนนี้จะต้องไปป่วนแน่ๆ
ทั้งสามลงไปชั้นล่าง เมื่อมาถึงห้องทำงานหมอ เสี่ยวซีหร่านก็บอกว่าหลานชายต้องการหาอดีตเพื่อนตัวน้อย และยังเป็นทหารด้วย หมอยิ้ม นี่ราวกับว่างมเข็มในมหาสมุทร ไม่ต้องพูดถึงทั้งกองทัพ แค่หนึ่งหน่วยก็มีคนตั้งมากมาย ไม่แน่ว่าจะหาเจอ ว่าแต่เพื่อนของเธอชื่ออะไร ไม่แน่ฉันอาจจะเคยได้ยิน
“เธอชื่อต้วนอีเหยา” เย่จิงเหยียนพูดอย่างจริงจัง
หมอวัยกลางคนตกตะลึง ราวกับว่าได้ยินเขาพูดไม่ชัดและถามอีกครั้งว่า “คุณว่าชื่ออะไรนะ ?”
“ต้วนอีเหยา ปีนี้อายุ 28 ปี ”นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่เย่จิงเหยียนรู้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้วนอีเหยาอยู่หน่วยใด
สีหน้าของหมอวัยหลางคนดูจริงจังขึ้นมาและพูดกับเสี่ยวซีหร่านว่า “ขอโทษด้วยจริงๆ ผมไม่รู้จักคนที่เขาพูดถึง”
เหมือนว่าเสี่ยวซีหร่านจะมองอะไรออก แต่ก็ไม่ได้บังคับเพื่อน เธอยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร คุณทำงานเถอะ ถ้างั้นพวกเราขอตัวก่อน”
“อืม” หมอวัยกลางคนมองส่งพวกเขา แต่จู่ๆก็เรียกขึ้นมากอีกครั้ง “ซีหร่าน คุณอยู่ก่อน ผมยังมีเรื่องจะพูดกับคุณ”
เสี่ยวซีหร่านหันกลับไป เห้นเขาขยิบตาให้ตัวเอง ก็หันไปพูดกับเย่จิงเหยียนกับน้องว่า “พวกเธอขึ้นไปก่อน”
เย่จิงเหยียนไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่ในใจเขารู้ดีว่า เรื่องที่หมอพูดมานั้นไม่เป็นครวามจริง
“พี่ชาย ทำไมฉันรู้สึกว่าหมอคนนี้รู้จักหญิงสาว” เย่ชูวเสวียพูดพลางจับแขนของเขา
เย่จิงเหยียนยิ้มอย่างมีเลศนัย “เธอก็ดูออกเหรอ ?”
“ชัดเจนขนาดนั้น แต่เขาทำไมต้องบอกว่าไม่รู้จักล่ะ ?”
น้ำเสียงของเย่จิงเหยียนดูหดหู่ “บางที ตำแหน่องของเธออาจจะพิเศษก็ได้”