วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 304 : ตามจีบ อย่าตามฉันมานะ
เย่ชูวเสวียขมวดคิ้ว คิดแล้วก็เบะปาก “พี่สาวใจร้ายเกินไปไหม? พูดไปก็เท่านั้น ช่างมันเถอะ พี่คะ พี่ไปซื้อดอกไม้ที่ร้านข้างนอกเป็นเพื่อนฉันหน่อย ฉันอยากเอามันมาวางไว้ในห้องผู้ป่วย คุณย่าชอบดอกไม้ที่สุด อย่างนี้แล้วย่าจะได้มีความสุขขึ้นมาหน่อย
“อืม โอเค” เย่จิงเหยียนพยักหน้า
ห้องทำงานแพทย์
“ซีหร่าน คุณเป็นเพื่อนผมมานาน ผมอยากจะเตือนคุณสักหน่อย เมื่อกี้ที่เพิ่งเอ่ยถึงคนนั้นไปพวกคุณอย่าไปฟังเลย ไม่มีใครบอกเรื่องนี้กับคุณได้ อีกทั้งเธอก็ไม่ใช่คนที่พวกคุณควรจะฟัง”
เสี่ยวซีหร่านเห็นเขาจริงจังก็อดถามไม่ได้ว่า “คนที่ร้ายกาจมาก?”
คุณหมอยิ้มอย่างน่าหลงใหล “ฉันพูดไปตั้งมากมายแล้ว”
“โอเค ขอบคุณค่ะ”
ขณะเดียวกัน ต้วนอีเหยากำลังนั่งอาบแดดอย่างเกียจคร้านอยู่บนม้านั่งที่สนามหญ้าของโรงพยาบาล หมอบอกว่าต้องอาบแดดให้มากๆจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ชิงหลงคอยดูแลเธอไม่ห่างและกำลังปอกแอปเปิ้ลให้เธอ
“เฮ้อ ไม่ได้อยู่ว่างๆแบบนี้มานานเท่าไรแล้วนะ กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน นายบอกว่าเมื่อพวกเราออกจากโรงพยาบาลแล้ว แม้แต่ปืนก็เอาไปด้วยไม่ได้ด้วยใช่ไหม” ต้วนอีเหยาถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
ชิงหลงหัวเราะ “หัวหน้าคุณจะเอาปืนไปได้หรือเปล่าผมไม่รู้หรอกนะแต่ไม่ว่าจะอย่างไรผมก็จะฝึกฝนมันทุกคืนครับ”
“ฉันได้ยินมาหมดแล้ว ไอ้เด็กใจแคบ ไม่ยอมให้ฉันแตะต้องสักนิด” ต้วนอีเหยาพูดอย่างตรงไปตรงมา
เพื่อปกป้องเธอ ชิงหลงสั่งให้ทำเตียงเดี่ยวให้ในห้องของต้วนอีเหยา กลางคืนเอาไว้นอน กลางวันก็เก็บเอาไว้ ดังนั้นเมื่อชิงหลงเล่นปืนต้วนอีเหยาได้ยินเข้าก็รู้สึกคันไม้คันมือแต่กลับแตะต้องมันไม่ได้เลย
ชิงหลงยื่นแอปเปิ้ลที่ปอกแล้วให้เธอและทิ้งเปลือกลงถังขยะที่อยู่ไม่ไกล ทำเสร็จก็นั่งลงที่ตรงข้างเธอ “หัวหน้า ไม่ใช่ว่าผมไม่ให้คุณเล่นนะครับ แต่หมอบอกว่าแขนของคุณบาดเจ็บขยับมากไม่ได้”
“แจ๊บๆ” ต้วนอีเหยาทั้งเคี้ยวแอปเปิ้ลทั้งพูดไปด้วย “ เรื่องได้รับบาดเจ็บที่ผิวภายนอกนี้ฉันยังต้องอยู่กับมันอีกครึ่งเดือน ฉันคิดว่าตาแก่นั่นจงใจแก้แค้นฉันแน่”
“ท่านผู้นำจะแก้แค้นคุณไปเพื่ออะไร?”
“เฮอะ เขาโกรธที่ฉันหนีนัดบอดน่ะสิ”
ขณะต้วนอีเหยากินแอปเปิ้ลหางตาก็เหลือบมองเห็นหนุ่มหล่อสาวสวยคู่หนึ่ง ผู้หญิงถือดอกไม้ไว้ในอ้อมแขนและชายหนุ่มที่รูปร่างสูงโปร่ง วัดจากสายตาก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้สวยมาก
“เธอใช้แขนสกิดลูกน้องที่อยู่ด้านข้าง “ชิงหลง สาวสวย”
“ไหนไหน?” ชิงหลงรีบถามขึ้น
ต้วนอีเหยาใช้คางพยักพเยิด “ฝั่งทางเข้าโรงพยาบาล”
พอชิงหลงเห็นตาก็วาววับขึ้นมาทันที “แม่เจ้าโว้ย เกิดมาสวยอะไรขนาดนี้ เอ๊ะ ตาสีม่วง หัวหน้าคุณรีบดูสิ…หัวหน้า?”
ชิงหลงหันมามองหัวหน้า เห็นว่าเธอกัดแอปเปิ้ลเข้าไปในปากแล้วแต่ก็ยังไม่ได้เคี้ยวและมองอย่างว่างเปล่า แสดงออกถึงความสับสนเป็นอย่างมาก
“หัวหน้า คุณเป็นผู้หญิงนะ ไม่ต้องมองผู้หญิงขนาดนี้ก็ได้” ชิงหลงมองไปที่สาวสวยอีกครั้งและสายตาก็ไปหยุดที่ชายหนุ่มข้างกายเธอ เขารีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีและชี้ไปที่ทั้งคู่ที่อยู่ไกลออกไปพร้อมทั้งพูดว่า “หัวหน้า นั่นใช่ไอ้หน้าขาวไหม?”
ต้วนอีเหยาดึงสติกลับมาและถลึงตาใส่เขา ใช้แรงที่มีเคี้ยวแอปเปิ้ลราวกับอยากระบายความโกรธ “เอะอะเกินไปละ นั่งลง”
ชิงหลงรีบนั่งลง เขาตื่นตระหนกมากเป็นพิเศษ “หัวหน้า นั่นมันไอ้หน้าขาวจริงๆ”
“ฉันเห็นแล้ว จะเน้นอะไรหลายรอบ” ต้วนอีเหยาพูดอย่างโกรธแค้น อดไม่ได้ที่จะหันไปมองอีกรอบ สองคนนั้นกำลังพูดคุยหัวเราะกัน ต้องบอกเลยว่าผู้หญิงคนนั้นสวยมากๆเมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่นที่เธอเคยเห็น ที่สำคัญคือมือของผู้หญิงคนนั้นที่วางอยู่บนท่องแขนเขา ท่าทีของเขาช่างดูสบายใจเหลือเกิน
ชิงหลงเฝ้าดูสองคนนั้นที่เดินหายลับเข้าไปล็อบบี้ของโรงพยาบาลก่อนจะหันหลับมาชื่นชม “ผู้หญิงคนนั้นเกิดมาสวยมากจริงๆ ผมยังไม่เคยเห็นสาวคนไหนสวยขนาดนี้มาก่อน…” จู่ๆข้างกายก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่เย็นยะเยือก จึงรีบหุบปากลงทันที “หัวหน้า คุณเห็นว่าการเป็นเจ้าของธุรกิจก็คือการไม่ไว้ใจ เมื่อสองวันก่อนยังเห็นว่าเขาอยู่ด้วยกันกับสาวอื่นอยู่เลย มาวันนี้เปลี่ยนอีกแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นคนเจ้าชู้อย่างกับสับปะรด โชคดีที่คุณฉลาดเลือก ไม่อย่างนั้นตอนคุณอยู่ข้างนอกบ่อยๆ เขาก็ยังไม่รู้ว่า….”
“ชิงหลง นายพูดมากไปละ” ต้วนอีเหยาพูดเสียงเย็น ตอนนี้ใจของเธอหงุดหงิดมากที่สุด ถึงแม้ว่าเย่จิงเหยียนจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม แต่พอนึกถึงวันนั้นแล้วเธอยังอยากจะตอบตกลงกับเขาอยู่ดี แต่มาวันนี้กลับดูเหมือนเป็นเรื่องน่าขัน
นอกจากนี้ ตอนนี้เธอก็ไม่เข้าใจเย่จิงเหยียนเลยสักนิด ภาพในความทรงจำต่อเย่จิงเหยียนเมื่อยี่สิบปีก่อนเขายังเป็นหนุ่มน้อยน่ารักอยู่เลย พอเจอกันอีกเพียงแค่สองถึงสามครั้ง ไม่นึกเลยว่าจะถูกคำพูดหวานๆของเขาทำให้หวั่นไหวได้ เกือบจะตกลงเป็นแฟนกับเขา คิดแล้วก็เหมือนกับคนโง่ ลืมไปว่าคนเราเปลี่ยนไปได้เสมอ มาวันนี้เขานิสัยเป็นอย่างไร ชอบอะไรไม่ชอบอะไร เธอไม่รู้อะไรเลยสักนิด
แล้วไปเถอะ ไม่ว่าอย่างไรหลังจากนี้ก็ไม่อยากพบอีกอยู่ดี เขาเป็นถึงคุณชายของตระกูลที่ร่ำรวยส่วนเธอยังคงเป็นทหารฝึกซ้อมในสนามรบต่อไป นี่ก็ดีที่สุดแล้วแหละ
คิดแล้ว ภายในใจของต้วนอีเหยาก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย เธอพูดกับชิงหลงว่า “ถึงเวลากินยาแล้วใช่ไหม พวกเรากลับกันเถอะ”
“อ้อ” ชิงหลงยังอยากจะพูดอะไรอีกตั้งมากมาย เขาประคองต้วนอีเหยาเดินไปยังแผนกผู้ป่วยช้าๆ
หลังจากนั้นไม่กี่วัน แม้ว่าเย่จิงเหยียนจะไปโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง แต่ทั้งสองคนกลับไม่เคยได้พบกัน เพราะคุณปู่เสี่ยวอยู่ที่ชั้นสามแต่ต้วนอีเหยาอยู่ที่ชั้นหก
หลังพักฟื้นร่างกายได้สองสามวัน ร่างกายของต้วนอีเหยาก็หายดีเกือบทั้งหมด ยกเว้นรอยมีดที่อยู่บนหน้าท้องยังร้ายแรงอยู่ แผลที่หลังแขนและทรวงอกก็ค่อยๆตกสะเก็ด ไม่ได้มีอะไรน่าห่วงมากแล้ว แต่มันนี่ว่างมากจริงๆ กระดูกเธอแทบจะอ่อนปวกเปียกไปหมดเพราะไม่ได้ทำอะไร
“คุณหมอ ตอนไหนฉันจะออกโรงพยาบาลได้คะ? หมอดูสิ ฉันหายดีหมดแล้วนะ หมอให้ฉันออกจะโรงพยาบาลดีไหม?”ต้วนอีเหยาดึงแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นรอยสะเก็ดแผลสีน้ำตาล
คุณหมอฟังคำพูดนี้จนหูชาหมดแล้ว แต่หมอก็ยังคงพูดด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “ไม่ได้ครับ อาการบาดเจ็บที่หน้าท้องและเท้ายังไม่หายดี ท่านผู้นำก็กำชับมาว่าถ้าคุณยังไม่หายดีห้ามให้ออกจากโรงพยาบาล”
ต้วนอีเหยาลุกโดดออกจากเตียง “ฉันจะไปหาผู้อำนวยการ”
ชิงหลงรีบจับตัวเธอไว้อย่างกล้าๆกลัวๆ “เฮ้ย หัวหน้า ช้าๆหน่อยได้ไหม”
“กูไม่ใช่คนท้องนะเว้ย ที่จะเดินช้าๆคอยดูลูกที่อยู่ในท้อง” ต้วนอีเหยาเวลาโมโหก็ชอบระเบิดคำหยาบออกมา ถึงอย่างไรรอบตัวเธอก็เป็นผู้ชาย คำหยาบพวกนั้นก็ห้อยตามคนนั้นไป
คุณหมอส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “คุณไปหาผู้อำนวยการก็ไม่มีประโยชน์อะไร เขา….เฮ้อ คุณยังจะไปจริงๆเหรอ”
“ฉันเป็นหน่วยปฏิบัติการนะ ฉันจะไปแน่ๆ” พูดๆอยู่ก็มีลมพัดผ่านข้างกายหมอไปอย่างรวดเร็ว
“คุณจะไปก็ไปแต่เดินช้าๆหน่อย ไม่มีใครขวางคุณไว้เสียหน่อย” หมอตะโกนตามหลังเธอไป
พอถึงห้องทำงานของผู้อำนวยการ ต้วนอีเหยาก็ถามอย่างตรงไปตรงมา “อาจ้าว ตอนไหนฉันจะออกจากโรงพยาบาลได้?”
“ตอนนี้ไม่ได้” ผู้อำนวยพูดด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“คุณต้องให้เวลากับมันหน่อย พลทหารของฉันยังรอฉันอยู่นะ”
“รอให้การบาดเจ็บตามร่างกายคุณหายดีกว่านี้ ผมจะปล่อยให้คุณไปตามสบายเลย” ผู้อำนวยการกล่าวประโยคนี้ออกมา
ต้วนอีเหยาก็กระโดดอยู่ที่เดิมสองครั้ง “ท่านดูสิ ฉันกระโดดโลดเต้นได้อย่างนี้ ไม่เป็นไรแล้ว”
“นั่นก็ไม่ได้อยู่ดี ฉันไม่กล้าขัดคำสั่งของท่านผู้นำหรอกนะ”
ต้วยอีเหยาหดหู่ใจเป็นอย่างมาก เธอก็เหมือนกับซุนหงอคงที่ถูกพ่อกักขังไว้ที่หุบเขาห้านิ้ว มีฝีมือไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีที่ให้แสดงฝีมือ”
เธอกลับไปที่แผนกผู้ป่วยอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่นาน สายของทหารต้วนก็โทรเข้ามา
“แกไปโวยวายกับผู้อำนวยการมาอีกแล้วใช่ไหม?”
“อาจ้าวรีบฟ้องเชียวนะ” ต้วนอีเหยาแขวะเสียงเบาแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “พ่อ ถ้าไม่มีหนูเดี๋ยวพวกทหารก็ก่อความวุ่นวายเอาหรอก”
“สบายใจได้ พวกเขาว่านอนสอนง่ายมาก”
ต้วนอีเหยาแปลกใจมาก “เป็นไปได้อย่างไร?”
ทหารต้วนแอบลอบยิ้ม “ฉันสั่ง ใครจะกล้ายุ่ง พวกเขาส่งแกออกไปปกป้องที่นอกประเทศ พากันกลัวว่าแกจะจากไป เพราะงั้นจึงว่าง่ายอย่างกับกระต่าย”
ต้วนอีเหยาฟังแล้ว ภายในใจก็รู้สึกอบอุ่นอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อได้รู้ว่าพวกพ้องเป็นห่วงตัวเอง
“แกพักรักษาตัวให้ฉันอย่างว่าง่าย แล้วหลังจากหนึ่งเดือนนี้ถ้ามีภารกิจสำคัญฉันจะมอบหมายให้พวกแก เพราะงั้นร่างกายแกจะต้องผ่านมาตรฐาน”
พอต้วนอีเหยาฟังจบก็เกิดคึกขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “ภารกิจอะไรเหรอพ่อ?”
“ตอนนี้ยังบอกแกไม่ได้” ทหารต้วนหยุดพูดไปพักหนึ่ง น้ำเสียงเขาอ่อนลงไปมาก “อีเหยา พ่ออยากให้แกพักผ่อนรักษาตัวที่โรงพยาบาลอย่างเต็มที่ เพราะภารกิจครั้งนี้ลำบากและหนักมากและต้องสำเร็จเท่านั้นล้มเหลวไม่ได้ แกเข้าใจไหม?”
สีหน้าของต้วนอีเหยาก็เคร่งเครียดขึ้นมา เธอยืนกรานพูดว่า “พ่อ วางใจเถอะ หนูฝึกมาดีมากแล้ว”
“นี่ยังไม่พอ ฉันยุ่งอยู่ แค่นี้นะ”
ต้วนอีเหยาทิ้งโทรศัพท์ลงบนเตียง อาการหงุดหงิดหายไปอย่างไร้ร่องรอยแถมยังมีรอยยิ้มบนใบหน้าอีก ชิงหลงเห็นก็คิดว่ามีเรื่องดีๆ จึงเดินเข้าไปถามเธอ “หัวหน้า มีภารกิจแล้วเหรอ?”
“จมูกไวอะไรขนาดนี้?”
“ทุกครั้งที่มีภารกิจคุณก็แสดงอาการมีความสุขแบบนี้แหละ”
ต้วนอีเหยาเลิกคิ้ว “แสดงอาการอะไร?”
ชิงหลงพูดอย่างใจกล้า “การแสดงหน้าร้ายๆแบบจิ้งจอกขโมยไก่มาได้และยิ้มอย่างชั่วร้ายไงล่ะ”
ต้วนอีเหยาที่กำลังอารมณ์ดีก็ไม่ได้โต้เถียงอะไร พูดด้วยความสมัครใจอย่างเปี่ยมล้นว่า “เราจะเริ่มฝึกซ้อมตั้งแต่บ่ายนี้เป็นต้นไป”
“นี่มันโรงพยาบาลนะ จะฝึกซ้อมได้อย่างไร?”
“แกเซ่อละ อาการบาดเจ็บของฉันยังไม่หายดี เริ่มจากการวิ่งไปก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยๆฟื้นฟูร่างกาย”
“ใช่ใช่ใช่”
ต้วนอีเหยาเห็นว่าถึงเวลากินข้าวแล้วจึงพูดว่า “ปะ ไปกินข้าวข้างนอกกัน วันนี้ฉันเป็นเจ้ามือเอง กินข้าวโรงบาลมาสองสามแล้ว ฉันเบื่อมาก”
ชิงหลงลังเลเล็กน้อย “แต่หมอไม่ให้คุณออกไปนะ”
“แค่กินข้าวเอง ไม่ได้หนีเสียหน่อย” ต้วนอีเหยาหยิบเงินออกจากกระเป๋าสตางค์และก็เดินออกไป ชิงหลงห้ามอะไรไม่ได้ ได้เพียงแต่เดินตามไป
เพื่อการออกกำลังกายแล้ว สองวันมานี้ต้วนอีเหยาเดินขึ้นๆลงๆที่บันได ตอนที่ทั้งสองคนเดินถึงชั้นสามก็ได้ยินเสียงทะเลาะกัน นอกจากนั้นแล้วยังได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้อีกด้วย
“เกิดอะไรขึ้น? ปะ ไปดูกันเถอะ”
พอเดินถึงชั้นนั้นก็เห็นว่า มีคนอยู่ไม่น้อยยืนออกันอยู่หน้าห้องผู้ป่วย มองผ่านหัวสองสามคนที่อยู่ข้างหน้าไป เห็นว่าครอบครัวของผู้ป่วยกำลังตำหนิพยาบาลสาวอยู่ “คุณจะร้องไห้ทำไม? จะว่าไปนะการทำตัวของคุณที่มันไม่ดีมันก็ยังไม่โอเคเลยเถอะ”
พยาบาลสาวแก้ตัวเสียงเบาและร้องไห้สะอึกสะอื้น “ดิฉันไม่ได้ทำตัวไม่ดีนะคะ”
“ยังกล้าต่อปากต่อคำอีกเหรอ? ไป ไปเรียกหัวหน้าของพวกคุณมา”
ขณะเดียวกันก็มีพยาบาลหญิงสวมชุดคลุมสีขาวเดินแทรกต้วนอีเหยาเข้ามา “เกินเรื่องอะไรขึ้น? ดิฉันเป็นหัวหน้าของพวกเขาค่ะ”
“พยาบาลสาวคนนี้ของพวกคุณทำให้เกิดเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน? จะทำหน้าแบบนี้ให้ใครมองฮะ? พูดได้สองประโยคก็ร้องไห้ ไม่รู้จะร้องไห้ทำไม? พวกคุณรู้ไหมว่าคุณปู่ของพวกเราเป็นใคร? พวกเราพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลนี้ต้องจ่ายเงินไปมากมายขนาดไหนเพื่อให้เรามองหน้าคุณแบบนี้เหรอ?” ญาติผู้ป่วยแสดงสีหน้าเย่อหยิ่งและนิ้วก็แทบจะชี้จมูกด่าพยาบาลสาว
หัวหน้าพยาบาลเห็นเหตุการณ์แบบนี้จนเคยชิน ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ จึงพูดกับพยาบาลสาวว่า“ขอโทษญาติผู้ป่วยซะ”
พยาบาลสาวเม้มริมฝีปากไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดแต่ต้องก้มหน้ายอมรับความผิด “ขอโทษค่ะ”
“แค่นี้ก็พอแล้วเหรอ? ทำลวกๆเกินไปนะ ไม่มีทาง”
หัวหน้าพยาบาลมองเขาอย่างเย็นชา “งั้นคุณจะเอาอย่างไร?”
ญาติผู้ป่วยโอหังมากขึ้น “เฮ้ย ทุกคนดูนี่สิ พวกนี้ทำตัวอะไรกันเนี้ย พวกคุณมาโรงพยาบาลเพื่อรักษายังมาเจอการทำตัวแบบนี้ เชื่อไหมว่าฉันจะร้องเรียนคุณ”
หัวหน้าพยาบาลหน้าซีดด้วยความโมโห ต้วนอีเหยาแหวกกลุ่มคนเดินเข้าไป เธอจ้องเขม็งญาติผู้ป่วย “ขอถามหน่อยนะคะว่าคุณปู่นี่คือใครเหรอคะ?”
ญาติผู้ป่วยชะงักไปเล็กน้อย มองว่าเธอเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆก็พูดจาเหยียดหยามว่า “นังเด็กไร้มารยาทนี่ ฉันบอกเธอไปเธอก็ไม่รู้หรอก”
ต้วนอีเหยาร้องเฮอะ “ก็เป็นแค่คนรวยไม่ก็ข้าราชการเท่านั้น ถ้าเป็นคนรวย ที่นี่เป็นโรงพยาบาลทหาร ทหารย่อมได้สิทธิก่อน เพียงแค่ประโยคเดียวฉันอยากขอให้ไสหัวไปซะ ถ้าหากเป็นข้าราชการ ตอนนี้ฉันก็อยากรู้จักคนที่อวดเบ่งคนนั้นนัก”
หลังจากญาติผู้ป่วยถูกเธอขู่เข้าก็ถอยออกไปสองก้าว ความโอหังก็น้อยลงกว่าเดิมมาก “แก แกเป็นบ้าอะไรเนี้ย…”
“คุณไม่จำเป็นต้องสนหรอกว่าฉันเป็นใคร “ต้วนอีเหยาพูดแทรกเขาและยิ้มเย็น “คุณพูดสิ คนป่วยของครอบครัวคุณเป็นใคร ฉันยังไม่เคยเห็นคนมาหาหมอนิสัยเสียขนาดนี้มาก่อน”
ขณะที่ญาติผู้ป่วยพูดอยู่นั้น ก็ถูกอีกคนที่อยู่ข้างๆดึงแขนและกลืนประโยคที่จะพูดนั้นลงไป
บรรยากาศเงียบลงเล็กน้อยแม้แต่เสียงร้องไห้ของพยาบาลสาวก็หยุดลง
“ในเมื่อคุณไม่ว่าอะไรและพยาบาลก็ขอโทษไปแล้ว ขอให้คุณปล่อยไปได้ไหม?”
ญาติผู้ป่วยถลึงตาใส่เธออย่างโกรธแค้น กลั้นใจอยู่นานก่อนพูดขึ้นว่า “ได้”
ต้วนอีเหยาหยิบกระดาษออกมาจากห่อให้พยาบาล “ร้องไห้ทำไม? คนแบบนี้มีอะไรให้คิดเล็กคิดน้อย?”
”
“ขอบคุณค่ะ”
เมื่อหัวหน้าพยาบาลเห็นว่าเรื่องนี้คลี่คลายแล้ว จึงพูดกับผู้คนที่อยู่บริเวณรอบๆประตูว่า “เลิกมองได้แล้ว ทุกคนแยกย้ายกันได้แล้ว”
ผู้คนที่มุงดูหายไปทันที ต้วนอีเหยาก็ออกมาพูดกับหัวหน้าพยาบาลว่า “ คุณย้ายงานให้เธอหน่อยสิ อย่าให้เธอมาที่ห้องผู้ป่วยนี้อีก”
“ฉันทราบเรื่องนี้ค่ะ” หัวหน้าพยาบาลยิ้มอย่างอบอุ่น เธอเป็นคนของโรงพยาบาล คงไม่มีทางทำให้เกิดเรื่องทะเลาะกับญาติผู้ป่วยอีก แน่นอนว่ามีคนยินดีแก้ไขปัญหานี้แทนเธอ “ขอบคุณคุณนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คนประเภทนี้ก็เป็นคนที่รังแกคนอ่อนแอกว่าแต่กลัวคนที่แข็งแรงกว่า หนูขอตัวนะคะ” ต้วนอีเหยาพูดจบก็หันหลังกลับและตกใจตัวแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เย่จิงเหยียนยืนอยู่ข้างหลังเธอ
เขามองเธอด้วยสายตาคลุมเครือ ดวงตาคู่แปลกนั้นราวกับเก็บซ่อนคลื่นที่ซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง
“อีเหยา” เขาเรียกเธอด้วยความรู้สึกห่วงหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในเมื่อได้พบกันแล้วก็คงแสร้งทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ ต้วนอีเหยาไม่ได้แสดงสีหน้าแต่อย่างใดราวกับว่าเห็นเพื่อนธรรมดาคนหนึ่ง “อ้อ นายเองนี่นา”
เย่จิงเหยียนถูกเธอทิ่มแทงด้วยความเย็นชาจนเจ็บปวด เขาก้าวเข้าไปข้างหน้าและถามว่า “ทำไมเธอถึงอยู่ที่โรงพยาบาล ได้รับบาดเจ็บเหรอ?”
“ได้รับบาดเจ็บที่ผิวนิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวก็หายแล้ว” ต้วนอีเหยาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขา จึงพูดกับชิงหลงว่า “ไปกันเถอะ”
ชั่วแวบเดียวเย่จิงเหยียนก็มายืนขวางเธออยู่ข้างหน้า สายตาที่แสดงออกถึงความแตกสลายอย่างหมดเปลือก “อีเหยา ขอโทษนะ วันนั้นฉันใจร้อนไปหน่อย ไม่ควรพูดอย่างนั้นกับเธอ”
ต้วนอีเหยาใจกว้างพอ “ไม่เป็นไร ฉันให้อภัยนาย” พูดจบก็เดินอ้อมเขาแล้วเดินหน้าต่อไป
กลับมาที่เย่จิงเหยียน เขายังคงสับสนงุนงงอยู่ ไม่คาดคิดว่าต้วนอีเหยาจะให้อภัยได้เร็วขนาดนี้ แต่ในเมื่อเธอให้อภัยแล้ว ทำไมภายในใจของเขาถึงยังเจ็บปวดมากขนาดนั้นล่ะ?
ทั้งยังสายตาของเธอนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นสายตาที่มองคนแปลกหน้าไม่มีความรักความห่วงใยสักนิด
เมื่อฟื้นคืนสติ ต้วนอีเหยาเลี้ยวเดินลงไปชั้นล่าง เย่จริงเหยียนรีบตามเธอขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง เขากลัวว่าเธอจะหายไปอีกครั้ง
พอตามเธอทัน ชิงหลงหมดความอดทน ได้เข้าขวางกั้นฝีเท้าของเขาและมองเขาอย่างรังเกียจเล็กน้อย “คุณตามพวกเรามาทำไม?”
“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับอีเหยา” สายตาที่บีบบังคับของเย่จิงเหยียนจ้องมองตรงมายังแผ่นหลังที่อยู่เบื้องหน้า
“แต่หัวหน้าของพวกเราไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ” ชิงหลงชี้เตือนไปที่ปลายจมูกของเขาอย่างโหดร้าย “อย่าตามพวกเรามาอีก ไม่อย่างนั้นเราจะไม่เกรงใจคุณ”
เย่จิงเหยียนยืนอยู่ที่เดิมและมองพวกเขาเดินจากไปทีละนิด ตอนเริ่มเดินไปได้เพียงสิบเมตร เขาไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะตามเธอไปอีกครั้ง
ไม่ง่ายเลยที่จะบังเอิญได้เจอกันอย่างนี้ เขาจะยอมแพ้ง่ายๆไปอย่างนี้ได้อย่างไร
วันนี้เป็นวันเสาร์ เย่จิงเหยียนนมาเยี่ยมคุณปู่เสี่ยวที่โรงพยาบาล ไม่คิดว่าเมื่อเดินมาถึงชั้นสามจะได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากหน้าห้องผู้ป่วยโดยบังเอิญ
ในขณะนั้นหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมา รีบวิ่งไปดูว่านั่นคือเธอ
แม้ว่าเธอจะหันหลังให้ตัวเอง สวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่แผ่นหลังนี้และน้ำเสียงของเธอไม่ผิดแน่
จิตใจที่ห่อเหี่ยวมานานกลับมาชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง แสงแดดอันอบอุ่นสาดเข้าหา จุดประกายด้านความเจ็บปวดภายในใจของเขาให้สว่างไสว ราวกับว่าบนโลกนี้เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน
ต้วนอีเหยาและชิงหลงออกจากโรงพยาบาลทางประตูใหญ่ เดินไปร้านอาหารจีนที่อยู่ระแวกนั้น ชิงหลงพูดอยู่ข้างหูเธอว่า “หัวหน้า ไอ้หน้าขาวนั้นยังเดินตามเรามาอยู่เลย ทำอย่างไรดี?”
ต้วนอีเหยาไม่ได้มีท่าทีสนใจใดๆ “เขาชอบตามก็ตามไป ถนนมีตั้งกว้าง พวกเราห้ามให้คนเดินได้เหรอ?”
“อ้อ”
เดินเข้าไปร้านอาหารจีน เขาสองคนเลือกนั่งมุมลับตาคน ต้วนอีเหยาเรียกพนักงานอย่างกระตือรือร้น เพียงแค่เธอสั่งก็ถูกชิงหลงห้ามอย่างเด็ดขาด
“หัวหน้า คุณไม่ควรทานเผ็ดนะ หมอกำชับมาเป็นพิเศษ”
“ก็แค่สั่งอาหารเผ็ดเอง”
ครั้งนี้ชิงหลงเด็ดขาด “ไม่ได้ก็คือไม่ได้ครับ ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้ผมจะโทรหาท่านผู้นำแล้วนะ”
ต้วนอีเหยาใช้ตะเกียบเคาะไปที่หน้าผากของเขาและพูดอย่างมีน้ำโหว่า “แกกล้ามากขึ้นนะ ที่จะมาฟ้องเรื่องฉันเนี้ย”
”ถึงวันนี้คุณจะตีผม ผมก็ไม่ให้คุณกินอยู่ดี” ชิงหลงยืดคอ
ต้วนอีเหยาเข้าใจดีว่าเขาทำเพื่อตัวเธอเอง ถึงคิดที่จะโทรหาพ่อเธออีก จึงยอมพูดว่า “ได้ได้ได้ ไม่กินเผ็ดก็ไม่กินเผ็ด กินเนื้อได้ใช่ไหม?”
ชิงหลงแสยะยิ้ม “กินเนื้อได้ครับ”
ต้วนอีเหยามองไปที่เมนูสั่งอาหารคาวมาห้าหกอย่าง ตอนชิงหลงดึงเมนูไป เธอกำลังน้ำลายไหลกับเมนูเต้าหู้ผัดซอสเสฉวน
ชิงหลงสั่งอาหารมังสวิรัติและซุปมาอีกหนึ่งอย่างจากนั้นรีบให้พนักงานไปทำอาหารและเพิ่งจะพูดกับต้วนอีเหยาว่า “หัวหน้า ตอนนี้คุณทานเนื้อไม่ได้แต่ต้องทานอาหารที่สั่งมาให้ถูกหลักและพอเหมาะนะครับ”
ต้วนอีเหยาใช้สายตามองเขาแปลกๆและพูดติดตลกว่า “ชิงหลง ฉันคิดว่าวันที่ฉันออกจากโรงพยาบาลนายจะต้องกลายเป็นนักโภชนาการอาหารแล้วล่ะ เราต้องไปเรียนทำอาหารสักสองสามวันดีไหม?”
“ชิงหลงรีบปฏิเสธ “นั้นไม่ได้ ผมทำอาหารไม่เป็นแต่ทานเป็นครับ”
โต๊ะอาหารที่เย่จิงเหยียนนั่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก เขามองเธอและชิงหลงหยอกล้อกัน ภายในใจรู้สึกอึดอัดมาก ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าความสำคัญของพวกเขาเป็นเพียงเพื่อนร่วมรบก็ตาม
“คุณผู้ชายคะ คุณต้องการสั่งอาหารอะไรคะ?” พนักงานยิ้มและมองหน้าเขา
“เอาเหมือนโต๊ะนั้น” เย่จิงเหยียนชี้เบาๆ
พนักงานชี้ตามมือเขาและมองตามไป เธอพูด “รับทราบค่ะ”แล้วเดินจากไป
ชิงหลงไม่สบายใจที่ถูกใครบางคนสะกดรอยตามมา เพียงเย่จิงเหยียนมองมาเขาก็จ้องเขม็งกลับไปอย่างดุเดือด แต่ทำไงได้ในเมื่อเย่จิงเหยียนไม่ได้มองมาที่เขาเลยสักนิด เพราะงั้นเขาถึงไม่รับรู้ความโมโหของชิงหลงและนี้ยิ่งทำให้ชิงหลงโมโหขึ้นไปอีก
ขณะรออาหาร ชิงหลงพูดว่า “หัวหน้า คุณดูสิ ไอ้ผู้ชายหน้าขาวนั่นยังมองพวกเราอยู่เลย”
“คุณสนใจเขาบ้างไหม? เขาชอบมองก็มองอยู่นั่น” ต้วนอีเหยารีบตอบกลับ
“ฉันก็ไม่สบายใจ อยากจะไปฟาดเขาสักทีอยู่เหมือนกัน” ชิงหลงตั้งท่ากำหมัดใส่ หวังว่าเย่จิงเหยียนจะเข้าใจความหมายของเขาและแน่นอนว่าการขู่ของเขาก็ไม่เป็นผลเช่นกัน
ต้วนอีเหยาพูดเสียงเรียบนิ่ง “ชิงหลง ความสัมพันธ์ของชายชาติทหารก็เหมือนปลากับน้ำ นายอย่าไปทำลายความสัมพันธ์นี้เลย”
“ก็ได้”
อาหารมาแล้ว ทั้งสองกินอย่างตะกละตะกลามแต่เย่จิงเหยียนแม้แต่ตะเกียบก็ไม่แตะ ต้วนอีเหยาทานอาหารที่ร้อนเกินไปจึงดึงแขนเสื้อขึ้นอย่างลวกๆ เผยให้เห็นรอยแผลเป็นบนแขนเล็กทำให้รอยยิ้มบนหน้าของเย่จิงเหยียนหยุดชะงักลง
ตอนไปซื้อเสื้อผ้าครั้งที่แล้วรอยแผลนี้ยังไม่มีเลยครั้งนี้มันคงเป็นรอยใหม่ที่เพิ่มขึ้นมา
จู่ๆเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าครั้งที่แล้วที่หน้าทางเข้าบริษัท เขาคว้าแขนเธอไว้ด้วยความตื่นเต้นแต่ก็ถูกเธอสะบัดออก ตอนนั้นเขาคิดว่าเธอรังเกียจตัวเขา จึงไม่ให้เขาแตะต้อง แต่ที่จริงคือ…เธอได้รับบาดเจ็บที่แขน….
คิดถึงสาเหตุนี้แล้วเย่จิงเหยียนก็รู้สึกเสียใจลึกลงไปอีก
ทานอาหารเสร็จ ชิงหลงเรียกพนักงานมาชำระเงิน
“คุณผู้ชายด้านนั้นชำระบิลให้คุณเรียบร้อยแล้วค่ะ” พนักงานพูดด้วยรอยยิ้ม
ต้วนอีเหยาไม่ได้หันกลับไปมองเธอรู้ว่าพนักงานหมายถึงใคร เธอนึกรังเกียจการกระทำแบบนี้มาก
“ทั้งหมดเท่าไร?” ต้วนอีเหยาถามขึ้น
“350หยวนค่ะ”
ต้วนอีเหยาหยิบแบงค์ร้อยออกมาสี่ใบยื่นให้พนักงาน พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ฉันทานเองก็ต้องจ่ายเองน่ะถูกแล้ว ที่สั่งมานี้ฉันจ่ายเองได้”
พนักงานทำตัวไม่ถูกจึงหันกลับไปมองพี่ชายคนหล่อโต๊ะนั้นและหันกลับมามองสายตาที่น่าเกรงขามของต้วนอีเหยาและยอมรับเงินของเธอไป
“อย่าลืมทอนฉันห้าสิบหยวนล่ะ” ต้วนอีเหยาเตือนพนักงาน
“ค่ะค่ะ เดี๋ยวมานะคะ”
ชิงหลงยิ้มอย่างลำพองใจ ค่อนข้างที่จะพูดอย่างภูมิใจว่า “ใช่แล้ว แค่เงินจ่ายค่าข้าวสักมื้อที่พวกเรายังกินไม่ไหวต้องขอให้เขาจ่ายให้เลยเหรอ อวดเก่งจริงๆ”
ต้วนอีเหยาหันไปมองหน้าต่าง อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ดูเหมือนว่าเด็กน้อยคนนี้จะเข้ามายุ่งกับเธออีกแล้วสิ
หลังรับเงินทอนต้วนอีเหยาและชิงหลงก็กลับโรงพยาบาล ตอนออกจากร้านอาหารสายตาก็ไม่ได้ให้ค่าอะไรกับเขาสักนิด
เย่จิงเหยียนลุกเดินตามไป อาจเป็นเพราะทานข้าวเที่ยงเยอะไปหน่อยต้วนอีเหยาจึงพาชิงหลงเดินเล่นย่อยอาหารในโรงพยาบาล จึงเร่งฝีเท้าเดินตามไปอีกและยังถูกชิงหลงขวางกั้นเอาไว้
“เฮ้ย ผมพูดกับคุณไปแล้วทำไมยังกลับมาอีก ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง? ตามมานานมากแล้วเนี้ย?” ชิงหลงตะโกนใส่หน้าเขา เย่จิงเหยียนไม่พอใจ แต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงออกมาแต่อย่างใด
ทหารที่อยู่ตรงหน้าเรียกเขาแบบนี้ ดูเหมือนว่ามักจะตะคอกแบบนี้ต่อหน้าต้วนอีเหยา
“ฉันมีเรื่องจะพูดกับอีเหยา” เย่จิงเหยียนพูดประโยคนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
ต้วนอีเหยาหยุดฝีเท้าลง หันมาแล้วเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเดินกร่างเข้ามาหาเขา สีหน้าที่ดูเย็นชามากทั้งหมดนั้นดูไม่มีเยื่อใยมาก่อน
เย่จิงเหยียนหายใจเข้าลึกๆ ถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณยังโกรธผมอยู่หรือเปล่า?!”