วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 308 : เขินอาย
“รู้แล้ว งั้นตอนเที่ยงพวกคุณอยากกินอะไร?”
ชิงหลงหันไปมองหัวหน้าที่ยังคงไม่พูดอะไร จำใจต้องกัดฟันพูดว่า “แล้วเต่เลย คุณสั่งก็ได้”
“โอเค”
กินข้าวเสร็จ มีเวลาชิงหลงก็ลากเย่จิงเหยียนออกมาจากห้องผู้ป่วย พูดเบาๆว่า “เกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับหัวหน้าหรอ?”
“ไม่มีอะไ” สีหน้าเย่จิงเหยียนไม่เปลี่ยน
“โกหก ตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่ายที่คุณไป ฉันก็รู้สึกว่าหัวหน้าแปลกไป พวกคุณสองคนทะเลาะกันหรือเปล่า?” ชิงหลงถามอย่างกังวลใจ ยากที่หัวหน้าจะเห็นความรักผ่านตา ดังนั้นจะต้องไม่หนีไปไหน
เย่จิงเหยียนถามชิงหลงว่า “เธอแปลกยังไง?”
“เริ่มคลุมตัวเองอยู่ในผ้าห่ม จากนั้นก็ออกไปวิ่งรอบเลย ตอนเย็นก็เหม่อลอย ฉันพูดอะไรก็เหมือนไม่ได้ยิน”
เย่จิงเหยียนได้ฟังก็ตกตะลึง ปฏิกิริยาของต้วนอีเหยานี่คืออะไร เขาไม่มีประสบการณ์นะ
“เอ่อ……เที่ยงเมื่อวานเราทะเลาะกันนิดหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เดี๋ยวฉันจะขอโทษเธอ คุณ……”
“วางใจเถอะ ฉันจะหลบไปเดี๋ยวนี้” พูดจบ ก็วิ่งไปอย่างรวดเร็ว
เย่จิงเหยียนหายใจเข้าลึกๆแล้วเข้าไปในห้องผู้ป่วย แล้ปิดประตู
ต้วนอีเหยานั่งดูโทรศัพท์อยู่บนโซฟา มองเห็นรองเท้าของเขา ในแววตาก็ลนลานเล็กน้อย ทว่าสีหน้าไม่แสดงออก
สองเท้านั้นเดินมาแล้วหยุดตรงหน้าเธอ เธอได้ยินเย่จิงเหยียนพูดว่า “คุณโกรธหรอ?”
“เปล่า” ต้วนอีเหยาไม่เงยหน้า พูดน้ำเสียงเรียบๆ
งั้นทำไมวันนี้ไม่มองฉันเลยล่ะ”
ต้วนอีเหยาเงยหน้าขึ้นมองตาของเขา “ฉันจะไม่มองคุณทำไม?”
เย่จิงเหยียนมองแววตาของเธอ จู่ๆฉันก็นึกถึงความฝันเมื่อคืนนั้น ใจก็สั่น มือสองข้างประคองหน้าเธอ จูบลงไปเบาๆ ด้วยความหิวกระหายและเร่งด่วน……
ต้วนอีเหยาไม่สบายใจอย่างมาก ทำไมพันเอกผู้สง่างามอย่างเธอถึงได้ถูกโจมตีอยู่ตลอดด้วยนะ? ไม่ได้สิ น่าขายหน้าเหลือเกิน
คิดเช่นนี้ ต้วนอีเหยาก็กอดเอวเขา ดึงเขามาด้านหน้า จากนั้นก็พลิกตัวกลับ จับเขากดลงมาแล้วคร่อมอยู่บนตัวเขา
เย่จิงเหยียนคิดว่าเธอจะผลักตนเองออกไป ไม่คิดว่าจะนั่งอยู่บนตัวของตน เพียงแค่คิดถึงท่วงท่านี้ ไฟในใจของเขานั้นก็”พรึ่บ”ลุกโชนขึ้นมา
ทั้งสองคนเป็นรักแรกของกันและกัน อีกทั้งเป็นผู้ใหญ่ในวัยยี่สิบกว่าแล้ว บำเพ็ญตบะมาเป็นเวลาหลายปี แต่เมื่อประตูแห่งความปรารถนาถูกเปิดออกแล้วก็ยากที่จะปิดมันอีกครั้ง ต่างคนต่างบ้าคลั่ง
ต้วนอีเหยาไม่ใช่ผู้หญิงขี้อาย เมื่อคืนเธอคิดเรื่องนี้ทั้งคืน ในเมื่อเรื่องก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่เข้าใจผิด ตนเองก็มีความรักต่อเย่จืงเหยาจริงๆ ทำไมจะไม่ลองสักหน่อยล่ะ? เย่จองเหยียนก็ไม่ได้ถือสาในฐานะของเธอ ทำไมเธอไม่เจาะปัญหานี้เพื่อจะแก้ไขล่ะ?
ก็เสพสุขทันที นี่คือสิ่งที่เธอต้องการทำ
สายฟ้าสวรรค์ชักนำอัคคีพสุธา ทั้งสองคนยิ่งจูบก็ยิ่งร้อนแรง มือของเย่จิงเหยียน……
เขาอุ้มร่างของฝ่ายหญิงขึ้นมา นำเธอมาวางลงที่เตียง แล้วปิดประตูในเวลาเดียวกัน……
ในช่วงเวลานี้ ริมฝีปากของคนสองคนประกบกันราวกับทากาวติดไว้ ไม่แยกจากกันเลย
จูบลามไปที่ลำคอยาวของเธอ ไม่สามารถควบคุมมันได้ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะการกระทำของพวกเขา
เย่จิงเหยียนหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและวางสายโดยไม่ได้มองมัน แต่วินาทีต่อมา โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก
ปรึกษาเรื่องโรแมนติกอะไรได้หมด โดยเฉพาะเรื่องความรักนี้
ถูกขัดจังหวะสองครั้ง อย่าว่าแต่เย่จิงเหยียนลย ต้วนอีเหยาก็หมดสนุก ได้แต่เอามือทั้งสองปิดหน้าไว้ไม่กล้ามองหน้าเขา พูดเบาๆว่า “รับโทรศัพท์เถอะ”
เย่จิงเหยารู้ดีว่าวันนี้ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ลุกขึ้นมาจากเธอ รับสายแล้วพูดใส่โทรศัพท์ว่า “ธุระอะไร?”
เลขาหวังตกใจกับน้ำเสียงโกรธนี้ จึงพูดอย่างตรงประเด็นว่า “ประธานเย่ มีเอกสารสำคัญมากที่คุณจำเป็นต้องลงนาม”
“พรุ่งนี้ไม่ได้หรือไง?” เย่จิงเหยียนโมโหจนอยากจะไล่ให้หมอนี่ไปตาย
“ไม่……ไม่ได้”
เย่จิงเหยียนกัดฟัน สบถด่าเงียบเงียบในใจ พูดด้วยความโกรธว่า “ส่งมา ฉันอยู่โรงพยาบาลทหาร”
นำโทรศัพท์โยนไปบนเตียง เย่จิงเหยียนหันกลับไปมองสาวน้อย เธอยังคงปิดหน้าอยู่ หูแดงอย่างมาก
ก้มลงไปคิดจะจูบบนหลังมือเธอ ต้วนอีเหยารู้สึกได้ถึงการเข้ามาใกล้ของเขา จึงรีบพูดว่า “อย่าเข้ามา”
เย่จิงเหยียนหยุดทันที ตามด้วยหัวเราะอย่างเงียบๆ เด็กโง่ แข็งนอกอ่อนใน
ยกมือจัดเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงของเธอให้เรียบร้อย มือของเย่จิงเหยียนวางอยู่บนมือของเธอ จากนั้นก็แยกนิ้วของเธอออกทีละนิ้ว ถือโอกาสจับไว้ในมือของตน
เธอเอียงหน้าไม่มองเขา กัดปากไม่ให้ตนเองยิ้ม
“เอาล่ะ ฉันจะลงไปวิ่งเป็นเพื่อนคุณ ขืนอยู่ที่นี่ ฉันก็อยากจูบคุณอีก” น้ำเสียงเย่จิงเหยียนอบอุ่นจนหยุดหายใจ
ต้วนอีเหยามองเขาอย่างเขินอาย ไม่มีความน่าเกรงขามใดๆเลย มีเพียงเด็กสาวตัวน้อยที่ไร้เดียงสา
“คุณไม่ลุกขึ้นล่ะ หรือว่ายังอยาก……”
“ลุกแล้วลุกแล้ว” ต้วนอีเหยาลุกขึ้นโดยยืมมือของเขา กระโดดลงจากเตียงจากด้านหลังเขา
เห็นเธอรีบวิ่งหนี เย่จิงเหยียนก็แทบจะหัวเราะ ขณะนี้เวลานี้ เขาไม่จำเป็นต้องถามว่าต้วนอีเหยาชอบเขาหรือเปล่า ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวของเธอได้อธิบายเรื่องนี้ไว้หมดแล้ว
แสงแดดในฤดูใบไม้ร่วงอบอุ่นมาก ผู้คนนั่งพักผ่อนกระจัดกระจายอยู่บนสนามหญ้ากว้างสีเขียว เพราะว่าเป็นโรงพยาบาลทหาร ผู้ป่วยหลายคนก็ออกมาวิ่งจ้อกกิ้ง
เย่จิงเหยียนวิ่งตามต้วนอีเหยาไปหลายรอบ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นเบอร์แปลก
“สวัสดีครับ?” เย่จิงเหยียนพูดไปด้วยรับโทรศัพท์ไปด้วย
“ประธานเย่ ฉันจ้าวเสวียนนะ ฉันมาส่งเอกสารให้คุณแล้ว คุณอยู่ที่ไหน?”
“คุณมาที่เขตพักผ่อนของโรงพยาบาล”
โอเคประธานเย่”
รับโทรศัพท์แล้ว เห็นมีเก้าอี้ยาวอยู่ไม่ไกล เย่จิงเหยียนดึงมือต้วนอีเฟยาแล้วพูดว่า “พักสักเดี๋ยวเถอะ”
ต้วนอีเหยาหิวน้ำพอดี “ฉันจะไปซื้อน้ำ”
“คุณนั่งพักเถอะ ฉันไปซื้อเอง”
ต้วนอีเหยาพยักหน้า
จ้าวเสวียนเดินถือเอกสารมาแล้วถามผู้คนเพื่อหาเขตพักผ่อนของโรงพยาบาล ยากที่เธอจะได้งานนี้จากเลขาหวังก็ต้องมาแล้ว เพื่อให้รู้ว่าหลายวันมานี้เย่จิงเหยียนอยู่ที่ไหน เธอคิดมาตลอดว่าเย่จิงเหยียนไปเที่ยว คาดไม่ถึงว่าจะอยู่โรงพยาบาล ไม่รู้ว่าป่วยเองหรือมาดูแลคนป่วย ถ้าเขาป่วย งั้นพอดีเลยตนเองจะได้……
กำลังคิดถึงตรงนี้ เธอก็เห็นร่างที่สง่างามร่างหนึ่ง แต่งตัวสบายๆ จะเป็นใครถ้าไม่ใช่เย่จิงเหยียน?
จ้าวเสวียนดีใจ รีบเดินไปข้างหน้า ไม่นานเธอก็เห็นเย่จิงเหยียนเดินไปหาหญิงสาวบนม้านั่ง นั่งลงข้างๆเธอ เปิดขวดน้ำด้วยตัวเองแล้วยื่นส่งให้เธอ
รอยยิ้มบนใบหน้าของจ้าวเสวียนก็แข็งทื่อ ผู้หญิงคนนี้คือใคร? ทำไมถึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานเย่ปเช่นนี้?
กดความหงุดหงิดไว้ในใจ จ้าวเสวียนเงยหน้าขึ้นและเดินไปหาคนทั้งสอง
ต้วนอีเหยาดื่มน้ำไปสองสามอึก ก็เห็นสาวสวยคนหนึ่งเดินเข้ามา สายตาจ้องมองตรงมาที่เย่จิงเหยียน เธอเงยหน้าพูดว่า “มาตามหาคุณใช่ไหม?”
เย่จิงเหยียนหันกลับมา ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นจ้างเสวียน “อืม ส่งเอกสาร”
“ประธานเย่” จ้าวเสวียนยืนทำความเคารพอยู่ข้างๆเขา
“เอกสารล่ะ?”
จ้าวเสวียนหยิบเอกสารออกมา พร้อมกับยื่นปากกาหนึ่งด้าม
ตอนที่เย่จิงเหยียนตรวจดูเอกสารอย่างละเอียด จ้าวเสวียนก็พินิจพิเคราะห์ต้วนอีเหยา คิดเงียบๆในใจว่า ก็ไม่ได้สวยมากมาย ผิวก็ไม่ได้ขาว สรุปนี่คือใครกัน
เย่จิงเหยียนเซนต์ชื่อเสร็จ ก็ส่งเอกสารให้เธอ
จ้าวเสวียนไม่เต็มใจที่จะกลับไปเช่นนี้ ถามอย่างห่วงใยว่า “ประธานเย่ คุณไม่สบายหรอ?”
“เปล่า ยังมีธุระอีกไหม?”
“เอ่อ ไม่มีแล้ว” จ้าวเสวียนรีบพูด
ไม่มีก็กลับไปเถอะ” เย่จิงเหยียนออกคำสั่งส่งแขกอย่างไม่สุภาพ
จ้าวเสวียนแววตาผิดหวัง “แล้วเจอกันค่ะประธานเย่”
ต้วนอีเหยาดื่มน้ำอีกหนึ่งที พูดอย่างตรงไปตรงมา “ผู้หญิงคนนี้ชอบคุณ”
เย่จิงเหยียนประหลาดใจ “จะเป็นไปได้ยังไง?”
“ดวงตาของเธอจับจ้องมาที่คุณ อีกทั้งยังแอบสังเกตุฉัน นี่ไม่ชอบแล้วคืออะไร?” ต้วนอีเหยาสังเกตุคนได้เก่งมาก
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วสีหน้าเย็นชามาก “เธอชอบก็ชอบไป ผู้หญิงเช่นนี้ฉันเห็นมาเยอะแล้ว ตราบใดที่เธอไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของฉัน ฉันก็ไม่อยากไปสนใจ”
ต้วนอีเหยาหันไปมองเขา “เย่จิงเหยียน คุณหยิ่งเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
เย่จิงเหยียนหันกลับมามองเธอ “ถ้าคุณไม่ชอบ พรุ่งนี้ฉันจะให้เธอออกไปเลย”
“ไม่ไม่ไม่ จะทำให้คนตกงานเพราะว่าฉันได้ยังไงล่ะ?”
แววตาที่ลึกซึ้งของเย่จิงเหยียนล็อกเธอไว้แน่น “อีเหยา หัวใจของฉันเล็กนิดเดียว คุณอยู่ข้างในมายี่สิบกว่าปีแล้ว ฝังรากแตกกิ่ง จนเต็มพื้นที่ด้านในไปหมด เดิมทีก็ไม่มีที่ว่างให้คนอื่นแล้ว”
ต้วนอีเหยารู้สึกใจสั่นขึ้นมาอีกครั้ง เธออยากจะตอบรับตอนนี้มากๆ แต่นึกถึงหน้าที่ที่หนักหนายากลำบากนั้น ก็ไม่สามารถกลับมามีชีวิตชีวาได้
“จิงเหยียน คุณให้ฉันคิดอีกสักหน่อยเถอะ”
เย่จิงเหยียนพยักหน้าหนักๆ ยิ้มพูดว่า “อืม ฉันไม่รีบ”
เธอเป็นคนจริงจัง บอกว่าขอคิดเรื่องนั้นก็คือมีความหวัง สำหรับเย่จิงเหยียนนี้ ก็คือเป็นผลลัพธ์ที่ดีมากๆแล้ว
ตอนเที่ยงเย่จิงเหยียนไม่ได้ทำอาหาร แต่พาทั้งสองคนไปกินข้าวไปที่ร้านอาหารชื่อดังในระแวกใกล้เคียง
ระหว่างทางไปทานอาหารเย็น โทรศัพท์ของต้วนอีเหยาก็ดังขึ้น เธอหยิบดู ก็ส่งสัญญาณให้ทั้งสองคนเงียบ
“คุณพ่อ” สาวน้อยเรียกด้วยรอยยิ้ม
เย่จิงเหยียนได้ยินสองคำนี้ หูก็ผึ่งขึ้นมา
“คุณทำอะไรอยู่ล่ะ?”
“ทานอาหารกลางวัน”
“ทานอยู่ที่ไหนล่ะ?”
ต้วนอีเหยาหันไปมองเย่จิงเหยียนกับชิงหลงไม่กล้าปิดบัง “อยู่ข้างนอก พ่อ คุณจะไม่มาที่โรงพยาบาลเลยใช่ไหม”
“ฉันไม่มีเวลาว่าง” ทหารต้วนหยุดไปชั่วขณะ พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “การฟื้นฟูร่างกานของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?”
ต้วนอีเหยารีบวางตะเกียบลง หลังตรง แววตาเป็นประกาย “รายงานท่านผู้นำ ร่างกายฟื้นฟูสมบูรณ์แล้ว พร้อมออกรบได้ทุกเมื่อ”
เย่จิงเหยียนใจสั่น นี่เธอจะต้องไปเร็วขนาดนี้เลยหรอ? อีกอย่างร่างกายฟื้นตัวได้สมบูรณ์ซะที่ไหนกัน? แผลที่ท้องยังต้องเปลี่ยนยาอยู่เลย
“เรื่องที่พูดเมื่อครั้งที่แล้ว ไม่สามารถรอได้นานขนาดนี้ คุณกับชิงหลงเตรียมพร้อมไว้ รถจะมารับตอนบ่ายสองโมง”
“ค่ะ ท่านผู้นำ” ต้วนอีเหยาปรากฎควาทตื่นเต้นดีใจบนใบหน้า แม่งเอ้ย ในที่สุดก็ได้ออกจากโรงพยาบาล
ทหารต้วนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน “อีเหยา ภาระกิจครั้งนี้อันตรายมาก เดิมทีพ่อไม่อยากให้คุณไป แต่หาคนที่เหมาะสมไม่ได้จริงๆ ดังนั้น คุณจำเป็นต้องระมัดระวังความปลอดภัย”
“พ่อ คุณวางใจเถอะ กี่ครั้งแล้วที่ฉันรอดจากความตาย พระเจ้าไม่สามารถตัดใจให้ฉันตายไปได้หรอก” ต้วนอีเหยาพูดอย่างยิ้มกริ่ม แต่ไม่ได้เห็นสีหน้าของบางคนข้างๆที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“อย่าพูดแบบนี้” ทหารต้วนตำหนิเธอคำหนึ่ง พูดต่อไปว่า “สถานการณ์อย่างละเอียดของภาระกิจนี้จูเชวี่ยไปแล้วจะแจ้งให้คุณทราบ รู้หลักการแล้วใช่ไหม?”
ต้วนอีเหยายืนขึ้นมา ท่าทางจริงจังและเคร่งขรึม ชิงหลงที่อยู่ด้านข้างก็ลุกขึ้นยืนตามเธอ
“ท่านผู้นำวางใจได้ ต่อให้เป็นคนสุดท้ายในสงคราม พวกเราก็จะทำภาระกิจให้สำเร็จ”
“คุณระวังความปลอดภัย” คำห้าคำนี้ของทหารต้วนแฝงไปด้วยความกังวลใจของพ่อคนหนึ่ง
ลำพังในใจ เขาก็ไม่อยากให้ลูกสาวไป แต่เบื้องบนเลือกให้เธอไป ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้นำกองทัพก็ไม่สามารถเข้าข้างได้ อีกอย่างหนึ่งคือ เธอเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุดจริงๆ
“พ่อ คุณวางใจเถอะ”
วางสายแล้ว ต้วนอีเหยาและชิงหลงรู้สึกฮึกเฮิมขึ้นอย่างรวดเร็ว มีเพียงเย่จิงเหยาที่เศร้าสร้อยหงอยเหงา
ไปครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหนถึงจะได้พบเธอ เขาจะดีใจขึ้นมาได้ยังไง อีกอย่างความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเพิ่งจะขยับเข้าใกล้กันอีกขั้นหนึ่ง เป็นธรรมดาที่เขาจะทำใจไม่ได้
ต้วนอีเหยาสังเกตเห็นถึงความเศร้าสร้อยของเขา เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า กระแอมทีหนึ่งแล้วพูดว่า “งั้นก็ ทานข้าวๆ”
เย่จิงเหยียนรู้สึกขึ้นได้ทันทีทันใดว่า อาหารอร่อยบนโต๊ะไร้ซึ่งรสชาติ
กลับถึงโรงพยาบาล เขามองคนทั้งสองเก็บสัมภาระตาปริบๆ การกระทำรวดเร็ว คล่องแคล่วอย่างมาก เย่จิงเหยียนไม่สามารถแทรกเข้าไปได้เลย ทำได้เพียงยืนนิ่งๆ
เวลาเกือบสองทุ่ม รถจิ๊ปสีเขียวก็มาจอดตรงทางเข้าแผนกผู้ป่วย
ชิงหลงนำกระเป๋าต้วนอีเหยาโดนเข้าไปในรถ จากนั้นก็ขึ้นนั่งบนรถ
เวลานี้ ในใจของต้วนอีเหยาเกิดความรู้สึกเศร้าของการจากลาเล็กน้อย เธอแทบไม่กล้าที่จะมองสายตาอันอาลัยอาวรณ์ของเย่จิงเหยียน “งั้น ฉันไปแล้วนะ”
เย่จิงเหยียนดึงข้อมือของเธออย่างกล้าหาญ จ้องมองเธอไม่ละสายตา อยากจะแกะสลักรูปลักษณ์ของเธอเข้าไปไว้ในหัวใจ
“การแข่งขันของพวกเราเมื่อวาน ฉันชนะแล้ว คุณยังจำการเดิมพันนั้นได้ไหม?”
ต้วนอีเหยาพยักหน้า “จำได้ ว่ามาสิ ให้ฉันทำอะไร?”
นิ้วมือของเย่จิงเหยียนลูบแขนเรียวเล็กของเธอ พูดด้วยเสียงเศร้าว่า “ฉันอยากให้คุณกลับมาอย่างปลอดภัย”
ต้วนอีเหยาใจหวิว ในใจสั่น มองตาเขาด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง
ในรถ จูเชวี่ยถอดแว่นกันแดดออกด้วยความประหลาดใจ ถามชิงหลงอย่างตื่นเต้นว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ใบหน้าซุบซิบของชิงหลง พูดอย่างยิ้มกริ่มว่า “เขาชอบหัวหน้า”
“เชี่ย สายตาละอ่อนนี่ไม่เลวนะ ทำอะไรเนี่ย?”
“เจ้าของกิจการใหญ่ เจ้าของกิจการใหญ่ที่ร่ำรวยมากคนนั้น ที่ฉันบอกคุณว่า หัวหน้ากับละอ่อนนี่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก……..” ชิงหลงรวบรวมคำพูดที่อยู่ในท้องเพียงรวดเดียว อดกลั้นความไม่สบายใจมาหลายวัน ในที่สุดก็หาเป้าหมายระบายความในใจได้ แทบอยากจะเอาเรื่องที่เห็นที่ได้ยินมาในหัวพูดออกมาในรวดเดียว
ต้วนอีเหยายิ้ม พูดอย่างจริงจังว่า “ฉันรับปากคุณ จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”
เย่จิงเหยียนยื่นนิ้วก้อยออกมา พูดเหมือยเด็กผู้ชายตัวโตว่า “เราเกี่ยวก้อยกัน”
หวนรำลึกความทรงจำกลับไปใต้ต้นท้อเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ปีนั้น เด็กน้อยสองคนเกี่ยวก้อยประทับตรา สัญญาว่าเมื่อโตขึ้นต้วนอีเหยาจะเอาแผ่นหยกกลับมาหาเขา ชีวิตหมุนเวียนเปลี่ยนไปหลายปี เธอทำได้แล้ว
ต้วนอีเหยาฉีกยิ้มงอนิ้วก้อย “สัญญา”
ปล่อยมือของเขา ต้วนอีเหยาก็สูดลมกายใจเข้าลึกๆ “ฉันไปแล้วนะ”
“คุณยังไม่ได้ประทับตา” เย่จิงเหยียนพูดตามไปอีกคำหนึ่ง
ต้วนอีเหยายิ้มเจื่อนๆ ยื่นมือแล้วพูดว่า “โอเค มา”
“ไม่ ครั้งนี้ต้องประทับตราแบบนี้” พูดพลาง เย่จิงเหยียนก็ก้าวเข้ามาข้างหน้า โอบเธอเข้ามาในอ้อมกอด เชยคางของเธอขึ้น จูบลงไปอย่างหนักหน่วง แฝงไปด้วยความกลัดกลุ้มใจและความอาลัยอาวรณ์
คนสองคนในรถนิ่งอึ้งไปชั่ววินาที หลังจากนั้นก็ระเบิดอารมณ์ ตบไหล่กันและกันอย่างรุนแรง “เชี่ย เชี่ย จูบแล้วจูบแล้ว………ฮ่าๆๆๆ…..คาดไม่ถึงว่าหัวหน้าจะหน้าแดง ไม่ได้เจอกันนานมากอ่ะ…….”
ปล่อยริมฝีปากของเธออย่างอาลัยอาวรณ์ เย่จิงเหยียนจับใบหน้าของเธอ ไม่ให้เธอหลบไป ดวงตาที่อ่อนโยนสามารถทำให้คนหลงตายได้ “ฉันจะคิดถึงคุณ คุณจำไว้ว่าต้องคิดถึงฉัน”
ต้วนอีเหยาได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของชิงหลง จับมือของเขาออกอย่างรู้สึกอาย พูดอย่างเขินอายว่า “ทำไมฉันต้องคิดถึงคุณด้วย ไปล่ะ”
พูดจบ ก็รีบก้าวเท้าไปยังรถ เปิดประตูแล้วขึ้นไป
“ยิ้มอะไร ขับรถ” ต้วนอีเหยายิ้มแล้วพูดด่า
จูเสวี่ยรับคำสั่ง เมื่อรถเลี้ยวกลับผ่านเย่จิงเหยียนไป ก็ยื่นศีรษะออกมาแล้วพูดว่า “น้องชาย สุดยอด!”
เย่จิงเหยียนยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้ากับเขา สายตาจับจ้องอยู่ที่เด็กผู้หญิงคนนั้นที่นั่งด้านหลัง เธอไม่ได้หันหน้ากลับมามองเขา แต่หูของเธอแดงกร่ำ
จูบเธอซึ่งหน้าเพื่อนทหารของเธอ เย่จิงเหยียนกำลังสาบานต่ออำนาจอธิปไตยของเขา ก็คือบอกคนในกองทัพที่มีความคิดเกี่ยวกับต้วนอีเหยาผ่านปากของพวกเขา ว่าเธอมีเจ้าของแล้ว
ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่ยอมรับ เพียงแต่การขยายข่าวคราวไว้ล่วงหน้าถือเป็นข้อดี ไม่มีข้อเสีย
สายตาส่งจนรถทหารจากไป ในใจเย่จิงเหยียนก็โหรงเหรง คนดูไม่มีชีวิตชีวา ได้ยินน้ำเสียงของเธอที่รับสายในตอนกลางวัน ภาระกิจครั้งนี้ดูเหมือนจะอันตรายมาก เขาอยากจะไปด้วยกันกับเธอ
ถอนหายใจยาว เย่จิงเหยียนก็หันกลับไปยังชั้นสามของโรงพยาบาล เยี่ยมคุณปู่เสี่ยวแล้ว เขาก็ต้องกลับไปทำงานที่ทั้งหน้าเบื่อทั้งซับซ้อน
บนรถที่เคลื่อนไปไกลแล้ว ต้วนอีเหยาหันกลับมามองโรงพยาบาล ช่วงเวลานี้น่าจะสบายที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ชิงหลงเห็นสีหน้าของเธอจากกระจกมองหลัง ผิวปากที่หนึ่ง ยิ้มพลางพูดว่า “หัวหน้า คุณก็ชอบเย่จิงเหยียนใช่ไหม”
ต้วนอีเหยาขมวดคิ้ว “คุณมองออกจากไหน?”
“แหะๆ ตามอารมณ์ของคุณ ถ้าคุณไม่ชอบ เย่จิงเหยียนจะกล้าจูบคุณหรอ? ป่านนี้ถูกถีบลอยไปแล้ว อีกอย่าง” ชิงหลงหัวเราะอย่างเจตนาร้ายสองคำแล้วกล่าวอีกว่า “ฉันเห็นเมื่อกี้นี้คุณก็พึงพอใจ ฉันและจูเชวี่ยสังเกตเห็นได้”
จูเชวี่ยพยักหน้าอย่างแรง “ใช่ หน้าก็แดง”
“หาเรื่องโดนต่อยใช่ไหม มาล้อเลียนฉัน” ต้วนอีเหยาหน้าแดง แต่การตำหนิแบบนี้ไม่ได้มีการใช้อำนาจคุกคามใดๆ
จูเชวี่ยและชิงหลงมองตากันแล้วยิ้ม พูดต่อไปว่า “หัวหน้า ฉันเห็นว่าเย่จิงเหยียนก็ดีนะ วงศ์ตระกูลดี ปฏิบัติต่อคุณก็ดี บุคลิกก็ไม่เลว คุณลองคิดไตร่ตรองดูให้ดีๆเถอะ”
“เขาซื้อตัวคุณไปแล้วใช่ไหม? ถึงพูดแทนเขาดีมากขนาดนี้?”
แน่นอนว่าชิงหลงไม่ยอมรับ “ฉันเป็นเด็กดีมีจุดยืนแน่วแน่คนหนึ่ง จะถูกซื้อตัวไปได้ยังไงล่ะ? นี่คือฉันคิดแทนหัวหน้า”
“พอล่ะ คุณหาภรรยาให้ตัวเองให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยมาพูด” ต้วนอีเหยาจบหัวข้อสนทนานี้ อารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “จูเชวี่ย บอกภาระกิจครั้งนี้ซิ”
“ครับ หัวหน้า” พูดถึงเรื่องเฉพาะ คนทั้งสามก็จริงจังขึ้นมา “คือแบบนี้ ช่วงเวลาก่อนหน้า กลุ่มคนร้ายบุกเข้าไปในแนวป้องกันของประเทศ พวกเขาติดอาวุธครบชุด ติดตั้งอุปกรณ์ครบถ้วนมาก ทำร้ายฆ่าพี่น้องพวกเราไปไม่น้อย ตอนนี้คนกลุ่มนี้หนีเข้าไปในเขตภูเขา ยังไงก็หาไม่เจอ เบื้องบนเป็นกังวลว่าพวกเขาจะนำอาวุธเคมีติดเข้าไปด้วย เมื่ออาวุธเคมีเหล่านี้ถูกปล่อยไว้ในทุกที่ของเมือง จะนำมาซึ่งหายนะที่ไม่อาจคาดคิด”
“ดังนั้นภาระกิจของพวกเราก็คือค้นหากลุ่มคนเหล่านี้หรอ?” ชิงหลงถาม
“ไม่เพียงแค่นั้น ยังต้องเผาทำลายอาวุธเคมีด้วย เบื้องบนให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ติดตามพวกเราไปด้วยสองคน”
จูเชวี่ยพูดจบ บรรยากาศในรถก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที ต้วนอีเหยาไม่ได้คาดคิดว่าเรื่องราวจะร้ายแรงขนาดนี้
“ทำไมไม่ให้พวกเราเข้าไปเร็วกว่านี้?” ต้วนอีเหยาขมวดคิ้วแน่น
“ก็นี่ไม่ใช่เพราะคุณได้รับบาดเจ็บอยู่หรอ? ท่านผู้นำรักลูกสาวมากจนทำเรื่องยุ่งเหยิง”
“ตอนนี้จะไปไหน?”
“เฮลิคอปเตอร์จอดรออยู่แล้ว”
โลกภายนอกหน้าต่างรถอบอุ่นมาก คุณแม่วัยสาวอุ้มลูกน้อย คนสูงอายุจูงมือกันเดินเล่น นอกจากนี้ยังมีนักเรียนขี่จักรยานส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวผ่านไป………..ใบไม้สีทองปลิวร่วงหล่นลงมาตามลม ปูเป็นพรมทางเดินให้หนาขึ้นชั้นหนึ่ง……..
สิ่งที่ต้วนอีเหยาต้องการปกป้องทั้งหมด ก็คือชีวิตเรียบง่ายของพวกเขา เธอจะปล่อยให้ไอ้พวกชั่วนั่นทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้ยังไง
เย่ฮวางกรุ๊ป
จ้าวเสวียนส่งเอกสารเสร็จกลับมาก็คาดเดาฐานะทางสังคมของผู้หญิงคนนั้นมาตลอด ตกลงเธอเป็นใคร คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เย่จิงเหยียนยอมทอดทิ้งงานไปหลายวันขนาดนี้ เดินทางไปดูแลที่โรงพยาบาลโดยเฉพาะ
คือทหารหญิงคนนั้นหรอ? แต่พวกเขาเลิกกันไปแล้วนี่ หรือว่าจะคืนดีกันอีกแล้ว?
ไม่ได้ ต้องยืนยันฐานะทางสังคมของเธอก่อนแล้วค่อยวางแผนต่อไป
คิดๆแล้ว จ้าวเสวียนก็หยิบมือถือแล้วไปหาเพื่อนร่วมงานคนสนิทที่แผนกอื่น
ถามมาหลายคนแล้ว หลังคำยืนยันที่พวกเธอบรรยายถึงทหารหญิงที่ปรากฎตัวในวันนั้นเหมือนกับที่ตนเองพบในวันนี้แล้ว ในใจของจ้าวเสวียนก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา
เธอยังคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะสวยงามขนาดไหน เดิมทีก็แค่รูปร่างงดงามก็เท่านั้น ตัวเธอเองสวยกว่าหลายเท่า ตกลงประธานเย่พอใจอะไรเธอ?
ไม่ได้ เธอไม่สามารถปล่อยให้ประธานเย่ตกอยู่ในกำมือของผู้หญิงแบบนั้นได้
เธอต้องคิดหาวิธี ทางที่ดีที่สุดคือยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ตอนพลบค่ำ เย่จิงเหยียนกลับถึงคฤหาสน์ เอนกายบนโซฟาไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว ในสมองเต็ทไปด้วยต้วนอีเหยา คิดถึงว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน คิดถึงว่าบาดแผลของเธอจะติดเชื้อไหม คิดถึงว่าเธอทานข้าวแล้วหรือยัง คิดถึงว่าเธอพบเจอกับอันตรายอะไรไหม……..
มู่เวยเวยหอบช่อดอกกุหลาบช่อใหญ่ช่อหนึ่งเดินเข้ามา เห็นลูกชายก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “ทำไมตอนนี้คุณกลับมาล่ะ? ไม่ใช่อยู่โรงพยาบาลหรอ?”
เย่จิงเหยียนถอนหายใจไม่ได้พูดจา
มู่เวยเวยนำดอกกุหลาบวางลงบนโต๊ะน้ำชา ให้สาวใช้หยิบแจกันดอกไม้สองสามใบและกรรไกรมา ถามลูกชายว่า “นี่เป็นอะไรไป? รู้สึกว่าไม่มีชีวิตชีวาเลย”
“อีเกยาไปแล้ว” เย่จิงเหยียนพูดอย่างเศร้ามาก
มู่เวยเวยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เธอไปไหนล่ะ?”
“ไปปฏิบัติภาระกิจ แต่ฉันไม่รู้ว่าเธอไปที่ไหน”
มู่เวยเวยตัดก้านดอกไม้ไปพลาง หยอกเย้าลูกชายไปพลาง “ทำไม เธอเพิ่งไปก็คิดถึงเธอแล้วหรอ”
“แม่ ฉันเป็นห่วงว่าเธอจะเกิดอันตราย” เย่จิงเหยาพลิกตัวกลับมา ศีรษะหนุนบนแขน มองแม่จัดดอกไม้อย่างเงียบๆ
มู่เวยเวยยิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณก็ไม่คิดๆดูล่ะ ตอนที่คุณยังไม่ได้พบเธอ เธอก็ผ่านเรื่องแบบนี้มาตั้งหลายปี ต้องให้คุณเป็นห่วงไหม?”
“เหตุผลคือเหตุผล แต่ฉันก็อดไม่ได้”
มู่เวยเวยหันกลับมามองลูกชาย “เพียงแต่การตกหลุมรักคนๆหนึ่ง จำต้องผ่านความทุกข์ทรมานเหล่านี้ ไม่เช่นนั้น ทุกคนจะเห็นคุณค่ามันได้ยังไงล่ะ?”
เย่จิงเหยียนหันกลับมาอีกครั้งอย่างหงุดหงิด เงยหน้าขึ้นมองเพดาน แอบอธิษฐานต่อพระเจ้าในใจเพื่ออวยพรให้เธอทำภาระกิจครั้งนี้สำเร็จราบรื่น กลับมาอย่างปลอดภัย
แม่ลูกสองคนยุ่งอยู่กับเรื่องของตนเอง เวลานี้ มือถือของเย่จิงเหยียนก็ดังขึ้น ล้วงออกมาดูแล้วไม่รู้จัก
“ใคร?”
“ใช่เย่จิงเหยียนไหม?” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังเข้ามา
“ฉันเอง คุณเป็นใคร?”
ฝ่ายตรงข้ามคล้ายกับลังเลใจ “เอ่อ……เย่ชูวเสวียอยู่ไหม?”
เย่จิงเหยียนเลิกคิ้วขึ้น “คุณไม่บอกว่าคุณเป็นใคร ทำไมฉันต้องบอกคุณด้วยว่าน้องสาวฉันอยู่ไหม?”