วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 310 ฉันจะขอเธอแต่งงาน
มีคอนโดตั้งอยู่ใกล้ๆ หนานกงเจานั่งรถแท็กซี่ตรงมาที่ประตูคอนโด ในรถ เย่ชูวเสวียรู้สึกอึดอัดใจจึงดึงที่คอเสื้อ หนานกงเจากลัวว่าคนขับจะเห็นดังนั้นเธอจึงจับมือของเธอไว้ พูดข้างๆหูด้วยเสียงต่ำ “ที่รักอย่าจับวุ่นวายสิ ใกล้จะถึงแล้ว”
หนานกงเจาก็มีอาการเมา แต่เย่ชูวเสวียเมาหนักกว่า
ทั้งสองคนเมาช่วยกันพาเข้าไปในลิฟต์ แล้วจูบกัน หนานกงเจาพาเธอไปที่มุมลิฟต์ด้านหลังซึ่งเป็นกล้องวงจรปิด
“ดิ่ง” ประตูลิฟต์เปิดออก หนานกงเจาประคองหญิงสาวออกจากลิฟต์
ถึงคอนโด หนานกงเจาใช้มือเปิดประตู แล้วอุ้มเธอเข้าไปในห้อง…….
สมองของเย่ชูวเสวียสับสนวุ่นวาย……ส่วนหนานกงเจาไม่ต้องพูดถึง ช่างเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์และน่าหลงใหล ไม่มีผู้ชายคนไหนต้านทานได้ นับประสาอะไรกับ…..
จากทางเดินจนถึงห้องนอน……
ต่อจากนั้น…..
ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง หนานกงเจาอยู่ในความปิติยินดี เอนตัวไปถามเธอว่า “ที่รักนี่เป็นครั้งแรกของคุณเหรอ?”
เย่ชูวเสวียทุบไหล่ของเขาเบาๆ และพึมพำ “ครั้งแรกอะไร?”
“คุณเคยนอนกับผู้ชายไหม?” หนานกงเจายังคงถามต่อ
“ไม่เคย…..”
แสงแดดอ่อนๆส่องเข้ามาในห้อง หนานกงเจาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง เมื่อเห็นใบหน้าของนางฟ้าที่อยู่ใกล้ๆ ก็จดจำทุกสิ่งที่สับสนวุ่นวายเมื่อคืนนี้
โอ้ พระเจ้า แท้จริงแล้วเขามีความสัมพันธ์กับลูกสาวคนคนโตของตระกูลเย่ อย่างไรก็ตามเขาไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีความสุขมากต่างหาก
เสียงน้ำซาวซาวซาวในห้องน้ำ เย่ชูวเสวียรู้สึกกระปรี้กระเปร่าด้วยน้ำเย็น เริ่มรู้สึกเสียใจและกลัว เธอรู้ดีถึงสิ่งที่ไม่มีความสุขที่เกิดขึ้นท่ามกล่างการเติบโตของเธอมู่เวยเวยแม่ของเธอยิ่งไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อตระกูลหนานกง ถ้าพ่อเธอรู้เรื่องที่เธอทำในวันนี้ เธอจะต้องโดนตัดขาหรือไม่?
โอ้ พระเจ้า ทำไมเมื่อคืนเธอต้องแสดงบารมีที่บ้าพลังด้วย ทำไมต้องไปดื่มเหล้าปีศาจขี้เมากลับชาติมาเกิดด้วย? มันจบแล้ว ก้าวพลาดกลายเป็นความเกลียดชังชั่วนิรันดร์
มันจบแล้ว
พ่อแม่ต้องตีฉันตายแน่ๆ……
ก้มมองลงไปที่ลำตัวเป็นที่ช้ำเขียวช้ำม่วง เย่ชูวเสวียอยากจะเอามีดสับผู้ชายคนนั่นจริงๆ
เดี๋ยวนะ อีกสักครู่เธอจะสวมอะไร? เสื้อผ้าเมื่อคืนฉันใส่ไม่ได้แล้ว
หายใจเข้าลึกๆ เย่ชูวเสวียเปิดประตู และตะโกนออกไปข้างนอก “หนานกงเจา ให้ฉันส่งเสื้อผ้ามาให้”
หนานกงเจายิ้มอย่างเงียบๆขณะที่นอนอยู่บนเตียง หญิงน้อยตัวนี้ค่อนข้างเงียบสงบ รีบหยิบโทรศัพท์บนพรมปูพื้นขึ้นมาโทร สั่งให้ผู้ช่วยส่งชุดเสื้อผ้าผู้หญิงไซส์ S และถุงมืออีกหนึ่งชุด
“เจ้านาย ต้องการไซส์อะไร?”
หนานกงเจาดูไปที่มือ “34D”
“ค่ะ”
วางสายโทรศัพท์ หนานกงเจา ไปที่ห้องรับฝากของ หาเสื้อเชิ้ตที่ยังไม่ได้สวมเอาไปที่ห้องน้ำ ยืนพิงกำแพงแล้วพูดว่า “ฉันมีเสื้อตัวใหม่ อีกสักครู่คุณสวมมันนะ”
“ไม่ต้อง ตัวใหม่นั้นว่าไว้ที่ผ้าปูที่นอน” เย่ชูวเสวียไม่ต้องการสวมเสื้อของเขา พูดก็พูดเถอะ สวมเสื้อแล้วส่วนล่างจะสวมอะไรละ?
หนานกงเจายักไหล “โอเค”
นอนแช่นอนอยู่ครึ่งชั่วโมง เย่ชูวเสวียออกมาจากห้องน้ำด้วยความสงบ มองเห็นผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินเข้มบนเก้าอี้ ขณะนี้
เธอหยิบมันขึ้นมา กำลังจะพันรอบตัว ก็สังเกตเห็นดวงตาที่กระตือรือร้นคู่หนึ่งจ้องมองมาจากด้านหลังเธอ เย่ชูวเสวียกัดฟัน เธอสะบัดผ้านวมให้ปลิวไปคลุมบนศีรษะของเขา
หนานกงเจาอึ้ง หลังจากดึงผ้าห่มออกแล้ว ผ้าปูที่นอนก็พันรอบตัวเย่ชูวเสวีย เหมือนชุดราตรีหรูหรา เขายังทิ้งร่องรอยบนไหล่ทั้งสองข้างของเธอ
เย่ชูวเสวียเดินยิ้มเข้ามาด้วยความเยาะเย้ย “เธอไม่แปลกใจเลย ดูเหมือนว่าพ่อของเธอจะพูดอะไรกับเธอ”
หนานกงเจามองไปที่เธอ แล้วพูดตะกุกตะกัก “พ่อของฉันพูดนิดหน่อย แต่เขาพูดแค่ว่า เย่… ลุงคือ … ไม่ได้พูดว่าคุณก็…”
“ไม่ผิด ฉันก็ทำได้ และเก่งกว่าพ่อมากๆ” เย่ชูวเสวียเท้าทั้งสองปวดเมื่อย นั่งอยู่บนโซฟาริมหน้าต่าง “แต่หนานกงเจา อย่าพยายามขู่คุกคามฉันด้วยความลับนี้ ฉันไม่กลัวอะไร ไม่เห็นจะสำคัญอะไรก็แค่ปลาตายทั้งที่ตาข่ายขาด”
“ฉันพูดออกไปไม่ได้” หนานกงเจาท่าทางหวาดกลัวและจริงจังจนน่าผิดปกติ
เย่ชูวเสวียเหลือบมองเขาเบาๆ กระดิกนิ้ว ผ้าปูที่นอนที่พันบนตัวเธอทำให้ดูเสมือนขายาว ห่อหุ่มเธออย่างแน่นหน่า เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนี้
“เรื่องของเธอ พูดแล้วเธอก็ไม่มีหลักฐาน” เย่ชูวเสวียผมยาวของเธอเหมือนน้ำตกที่โดดแสงแดดสาดส่อง “แล้วก็ ดีที่สุดลืมเรื่องนี้ไปซะ ทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น ”
“เธอรู้สึกว่าฉันหนานกงเจาไม่คู่ควรกับเธอ?” หนานกงเจา รู้สึกน้อยใจเล็กน้อย ยังไงลูกชายคนเดียวของตระกูลหนานกงอยู่ดี
เย่ชูวเสวียไม่ให้ห้าเขาสักนิด พูดตรงๆ “ฉันกลัวพ่อจะหักขาฉัน และ เธอก็มีผู้หญิงอีกมากมายที่อยู่ข้างนอก ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว”
“คุณและพวกเขาไม่เหมือนกัน”หนานกงเจาเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
เย่ชูวเสวีย กางมือออกเธอดูหมิ่นเล็กน้อย “มีอะไรที่ไม่เหมือนกัน”
หนานกงเจาพูดออกมาว่า “ฉันชอบคุณ”
เย่ชูวเสวียตกตะลึงเป็นเวลาสองวินาที จากนั้น เธอก็หัวเราะเสียงดัง ฮาๆๆๆๆๆ “หนานกงเจา สมองเธอน้ำเข้าเหรอ”
“ฉันพูดเรื่องจริง” หนานกงเจาแสดงถึงความตั้งใจสุดขีด
เย่ชูวเสวียได้รับการสารภาพมาเยอะ จนไม่มีการตอบสนองใดๆแล้ว แต่อีกฝ่ายคือ หนานกงเจา ซึ่งแตกต่างออกไป “อื้ม…หนานกงเจา ฉันคิดว่าเธอควรไปนอนแช่น้ำเย็นสงบสติอารมณ์แล้วค่อยคุยกัน”
หนานกงเจามองไปที่เธอ รู้สึกซื่อบื้อเล็กน้อย เธอจึงหยิบเสื้อผ้าและเข้าไปในห้องน้ำ
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอก เย่ชูวเสวียก็เดินไปเปิดประตู ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างนอกพร้อมกับถุงสองใบในมือของเขา
“สวัสดี เจ้านายให้นำสิ่งนี่มาส่ง”
เอื้อมมือไปหยิบ แล้วปิดประตู
ผู้ช่วยยืนอยู่ข้างนอกนึกคิด ครั้งนี้เจ้านายหาผู้หญิงช่างสวยงามจริงๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง ที่ไหนเนี่ย?
เหมือนฟ้าผ่ามีแสงวาบขึ้นมา ผู้ช่วยขาแข็งตัวหยุดนิ่ง นี่นี่นี่คุณหนูคนโตตระกูลเย่ เย่ชูวเสวียสาวงามคนแรกในเมือง A ไม่ใช่หรือ? เจ้านายสะกิดคนในตระกูลเย่จริงหรือ? ยังเป็นเย่ชูวเสวียอีก?
จบแล้วจบแล้ว ตระกูลเย่และตระกูลหนานกงกำลังเริ่มต้นอีกครั้ง
ในห้อง เย่ชูวเสวียรีบสวมเสื้อผ้า ในขณะที่หนานกงเจายังอยู่ในห้องอาบน้ำ เธอรีบหยิบโทรศัพท์กระเป๋าแล้ววิ่งหนีไป
จิตใตของเขาแข็งนอกอ่อนใน ทำเพื่อหน้าตาของตัวเองจึงต้องแข็งแกร่ง แต่เวลานานไปทุกอย่างก็จะเปิดเผย รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง
ไม่ได้กลับบ้านหนึ่งคืน เย่ชูวเสวียเปิดโทรศัพท์ มีสองสายที่ไม่ได้รับ อีกสายมาจากพ่ออีกสายมาจากเซียวอวี้หลิน
เธอเรียนรถแท็กซี่จากด้านนอก บอกคนขับรถไปเย่ฮวางกรุ๊ป นั่งรถไปกดโทรหาเซียวอวี้หลินไป “ฮัลโหล? พี่สาม”
“ในที่สุดเธอก็เปิดเครื่องแล้ว” เซียวอวี้หลินพูดแบบทำอะไรไม่ถูก
“พ่อของฉันตามหาฉันอยู่ใช่ไหม?”
“ใช่ เมื่อคืนโทรหาฉัน ถามทำไมเธอยังไม่กลับบ้าน ฉันบอกว่าเธอดื่มเมาแล้วเลยนอนที่บ้านฉัน”
เย่ชูวเสวียถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พี่สาม ฉันรักพี่เหลือเกิน ขอบคุณมาก”
“พูดมา เมื่อคืนเธอไปไหนมา?” ทำไมเธอไม่กลับบ้านละ? เซียวอวี้หลินถามแบบไม่มีความสุข
“เรื่องนี้มันสับซ้อน วันไหนพอมีเวลาจะบอกพี่นะ ฉันวางสายก่อน เดี๋ยวจะโทรกลับไปที่บ้าน บายๆ”
ไม่สนใจคำว่า “เดี๋ยวๆ”เย่ชูวเสวียวางสายตรง จากนั้นถอนหายใจ บีบยิ้มเพื่อโทรหาพ่อของเธอ
“ฮัลโหล คุณพ่อ เมื่อคืนฉันดื่มหนักไปหน่อย ก็เลยนอนที่บ้านพี่สาม”เย่ชูวเสวียรีบพูดรับผิด ทัศนคติดีมาก
เย่ฉ่าวเฉินไม่สังเกตเห็นความผิดปกติอะไร และพูดว่า “หลังต่อไปโทรบอกที่บ้านสักคำ ได้ไหม แม่ป็นห่วง”
“รู้แล้วค่ะพ่อ ก็ดื่มจนเมาแล้วไง ฮี่ๆๆ”
เย่ฉ่าวเฉินพูดเสียงเบา “ดื่มไปเยอะแค่ไหนละ ทำไมถึงเมาได้ขนาดนี้ แล้วตอนนี้เธอทำอะไร ?”
“ฉันกำลังไปทำงาน”
“ทานข้าวหรือยัง? อาการเมาค้างมันน่าทรมาน ทานโจ๊กจะรู้สึกดีขึ้นหน่อย”
เย่ชูวเสวียอุ่นใจขึ้น “ค่ะ ข้างร้านขนมหวานมีร้านโจ๊ก เดี๋ยวฉันจะไปกิน”
“โอเค ฉันวางละ แม่ของเธอกำลังรดน้ำดอกไม้อยู่ข้างนอก ฉันจะไปช่วยเขา”
“ค่ะๆ เจอกันค่ะพ่อ”
หลังจากหลบหนีได้แล้ว เย่ชูวเสวียก็ปล่อยวางสงบใจของเธอโดยสิ้นเชิง หันศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เธออดไม่ได้ที่จะจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ใบหน้าสวยของเธอร้อนขึ้นเล็กน้อย
คิดว่าเหตุการณ์นี้จบลงแล้ว จู่ๆ หนานกงเจาก็ปรากฏตัวขึ้นในร้านขนมในตอนเที่ยงมองเธอด้วยสายตาคู่หนึ่ง มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้อยู่ในนั้น
เย่ชูวเสวียเพิกเฉยต่อเขา แต่เขายืนอยู่ที่ประตูและไม่ยอมไป เขาเดินไปเลิกคิ้วแล้วถาม “ไม่ใช่พูดทุกอย่างชัดเจนเหรอ ? คุณมาทำอะไรที่นี่?”
ดวงตาที่ลึกล้ำของหนานกงเจาจับจ้องเธ “เย่ชูวเสวีย ฉันต้องการจีบเธอ”
“เธอจะบ้าเหรอ” เย่ชูวเสวียไม่ได้เป็นหวัดเลยสักนิด และพนักงานในร้านขนมก็ดูน่าประหลาดใจ ยิ้มและดูตื่นเต้นกันมาก
กลัวว่าเขาจะพลาดอะไรบางอย่าง เย่ชูวเสวียบีบแขนเสื้อของเขา ลากเขาออกไปข้างนอก “หนานกงเจา เธอไม่ได้ยินที่ฉันพูดเมื่อเช้าหรือ?”
“ฉันได้ยิน ก็ตั้งใจคิดอย่ครึ่งวัน ครึ่งวันนี้ สมองฉันมีแต่ภาพเธอ ฉันต้องการชนะใจเธอ ดังนั้นฉันจะจีบเธอ”
เย่ชูวเสวียไม่มีความรู้สึกอะไร รู้สึกแค่วุ่นวาย “ฮา ฉันอย่าตลกได้ไหม? พวกเราแค่นอนด้วยกันหนึ่งคืน เธอเดินๆก็ลืมแล้ว จำขึ้นใจทำไม?”
“ชูวเสวีย ฉันเรื่องพูดจริง”
เย่ชูวเสวียโกรธแล้ว “ถึงแม้ว่าเธอจะพูดความจริงแล้วจะทำไม ฉันไม่ได้ชอบเธอ”
“ไม่เป็นไร ฉันค่อยๆจีบเธอ เธอค่อยๆชอบฉัน” หนานกงเจาเชื่อมั่นในตัวเอง
“ไม่อนุญาตให้จีบ” เย่ชูวเสวียการแสดงออกรุนแรง ตลก ถ้าเธอไล่จีบ หากพี่ชายรู้ พ่อแม่รู้ งั้นแค่คำถามก็รู้กันหมดแล้วนะสิ?
หนานกงเจายิ้มอย่างหน้าไม่อาย “ฉันควบคุมให้เธอชอบฉันไม่ได้ ดังนั้นเธอก็ควบคุมไม่ให้ฉันจีบเธอไม่ได้เหมือนกัน”
“เธอ…..”เย่ชูวเสวียไม่เคยเจอคนไร้ยางอายเช่นนี้ “ได้ๆๆ เธออยากทำอะไรก็ทำ แต่อย่ามาให้ฉันพบเจออีก รีบไป ยังไงฉันก็โยนดวงดาวของเธอทิ้งไปแล้ว ให้ชาวเมืองAชื่นชมชื่นชม”
หนานกงเจาได้ยินคำพูดนั้น ก้าวถอนหลังสองก้าว บอกตามตรง เขากลัวผู้หญิงคนนี้ทำแบบนี้จริงๆ
“งั้นเธอยุ่งเถอะ ฉันมีเวลาจะมาหาเธอ”
“ไสหัวไป ไม่ต้องมาให้เห็นอีก”
อย่างไรก็ตามไม่มีใครหยุดสิ่งที่หนานกงเจามุ่งมั่นที่จะทำได้ ทันที่เธอเขาไป กุหลาบช่อใหญ่ถูกส่งไปในร้านขนม ผู้ลงนามเซ็นรับคือเย่ชูวเสวีย
สาวน้อยยิ้มเย้ยสองสามครั้ง เทคนิคนี้ ต้องแจกจ่ายดอกไม้ให้กับสาวน้อยในร้าน
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน หนานกงเจาขับรถสปอร์ตสุดหรูรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นระดับโลกจอดที่ประตูเพื่อรอเธอ เย่ชูวเสวียไม่แม้แต่จะมอง เดินเชิดตรงไปที่โรงรถ
หนานกงเจามอง กระโดดจากรถเดินไปพร้อมเธอ
“ชูวเสวีย ฉันเลี้ยงข้าวเธอ” หนานกงเจาขวางด้านหน้าเธอ
“ไม่อยากกิน”
“มื้อค่ำทำไมไม่กินอะไรนะ? ไปเถอะไปเถอะ”
เย่ชูวเสวียปอดจะระเบิดแล้ว “เธอไม่เข้าใจภาษาคนเหรอ? ฉันบอกว่าไม่อยากกิน”
หนานกงเจาได้แต่มองไปที่ด้านหลังของเธอ พูดอย่างแผ่วเบาว่า “ถ้าคุณไม่ตกลง ฉันจะโทรหาลุงเย่ หรือไปที่บ้านของคุณเพื่อขอแต่งงานโดยตรง” ชื่อเขาเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว เมื่อวานนี้ยังเรียกชื่อเย่ฉ่าวเฉินอยู่เลย วันนี้มาเรียกลุงเย่แล้ว
เย่ชูวเสวียหยุดเดินทันที อดทนและอดกลั้น หันกลับมาและรีบวิ่งไปหาเขา“คนเลว”
หนานกงเจายิ้มด้วยรอยยิ้มที่ประสบความสำเร็จ เขาจับแขนของเธอและเดินออกไป “ไปกันเถอะไป นั่งรถของฉัน!”
“เธอปล่อยฉันสิ”
“ไม่ปล่อย ปล่อยไปเธอก็วิ่งสิ”
“เชื่อไม่เชื่อ ฉันจะตีเธอ”
“ทุบตีได้ตามสบาย ถึงแม้ว่าแขนข้างนี้จะตี ฉันก็ไม่ปล่อย”
เย่ชูวเสวียก้มหน้าไม่พูดจา เธอก็เป็นคนรู้จักข่มใจตัวเอง แต่โกรธหนานกงเจาอย่างต่อเนื่องจนพูดไม่ออก ทำได้เพียงเดินขึ้นรถไปกับเขา เย็นนี้ เย่ชูวเสวียไปที่ร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมือง A และสั่งอาหารที่แพงที่สุดเพื่อระบายความโกรธ
และหนานกงเจามองไปที่เธอด้วยรอยยิ้มจางๆ รู้สึกเธอโกรธแบบนี้ก็ยังสวย ถือว่าเปรียบแทบกับพวกผู้หญิงเหล่านี้ล้วนน่ามองกว่า
รับประทานอาหารเสร็จ หนานกงเจาส่งเธอกลับบ้าน ก่อนลงจากรถเธอไม่ได้เตรียมตัว จับเธอมากดทับจนเธอพลิกตัวออกได้ เย่ชูวเสวียโมโหจึงต่อยหน้าอกเข้าไปหลายหมัด
หนานกงเจาคิดได้เพียงว่าเธอกำลังงอล
วันที่สอง เย่ชูวเสวียกลัวว่าหนานกงเจาจะมาหาเธออีก รีบไปแอบที่คฤหาสน์ตระกูลมู่ เขาโทรหาไม่กี่สายก็ปิดเครื่องใส่ หนานกงเจาหาทั้งวันก็ไม่เจอเธอ หัวใจว่างเปล่า ไม่รับประมานอาหาร รู้สึกอึดอัด กลัวว่าเธอจะคิดสั้น จึงโทรศัพท์มือถือไปหาเย่จิงเหยียน
เย่ชูวเสวียคุกเข่าลงกับพื้นพูดสิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริง แน่นอนว่าเรื่องทุกอย่างถูกมองข้ามไปโดยอัตโนมัติ ถึงกระนั้นเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยจะสั่นสะท้านด้วยความโกรธก็ตาม
“คุณพ่อคุณแม่ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ผู้ชายบ้านนั่นมันตั้งใจยั่วยุฉัน…….”
คำพูดของเย่ชูวเสวียยังไม่ขาดคำ มู่เวยเวยคว้าแก้วน้ำที่อยู่ในมือแขวงออกไป เย่จิงเหยียน รีบวิ่งไปปิดกั้น ยังอยู่ไกลไปหน่อย แก้วจึงกระแทกไหล่เย่ชูวเสวียไปซะแล้ว แก้วกระเบื้องกระทบกระดูกทำให้เกิดความเจ็บปวด แต่เย่ชูวเสวีย ทำไม่ได้ ไม่มีข้อร้องเรียนใดได้แต่ทนไป
เย่จิงเหยียนตกใจกลัวในการกระทำของแม่ เขาไม่เคยเห็นแม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดและยังลงไม้ลงมือ
“ที่ฉันบอกเมื่อก่อนเธอลืมแล้วเหรอ? เรื่องราวตระกูลหนานกงทำไมคิดไม่ได้?”คนนำไม่ดี คนตามก็คงจะดีไม่ได้ หนานกงเฮ่าคืออะไร? มันทำร้ายฉันและพ่อของแกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่แกกลับไปมีอะไรกับลูกชายของมัน?” มู่เวยเวยดุด่าอย่างรุนแรง
เย่ชูวเสวียพูดเสียงกระซิบ “ฉันไม่ได้ไปมีส่วนร่วมกับเขา”
เย่ฉ่าวเฉินตะโกนออกมา “แกหุบปาก”
เย่ชูวเสวียคอหด ไม่กล้าพูดต่อ
“ค่ะ แกไปตามหาไอเลวนั้น แล้วฆ่ามันซะ”
เย่จิงเหยียนและเย่ชูวเสวียตกใจ รีบเดินไปกอดพ่อ “คุณพ่อ ใจเย็นๆ แบบนี้ผิดกฎหมาย”
“แกให้ฉันสงบ? ข้าเลี้ยงถนุถนอมมายี่สิบกว่าปี แกให้ฉันสงบสติอารมณ์?”
เย่จิงเหยียนแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เมื่อได้ยินเช่นนี้ “พ่อ แกทำแบบนี้ให้หนานกงเฮ่าหัวเราะเยาะเหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง ใช่ หนานกงเฮ่าไม่ได้ฉวยเวยเวยไปในปีนั้น แต่หลังจากยี่สิบปีผ่านไป ลูกชายของมันก็ดันไปมีอะไรกับเย่ชูวเสวีย ตัวเองไม่สามารถโดนตระกูลนั้นหัวเราะเยาะเหยียดหยาม
แค่หายใจก็รู้สึกอึดอัดในใจ ชี้ไปที่ลูกสาวแล้วตะโกนว่า “แก ไปคุกเข่าที่ประตูและไตร่ตรองดู ถ้าแม่ไม่ให้อภัยฉันก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ลุกขึ้น”
“ค่ะ” เย่ชูวเสวียก้มต่ำเดินออกไป
เวลานี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง กลางคืนก็น้ำค้างตกอย่างหนัก เย่ชูวเสวียคุกเข่าลงบนพื้นแผ่นหินเย็น ยินดีอยู่ในใจ แต่โชคดีที่เธอไม่ถูกตัดขา
เย่จิงเหยียนทนไม่ได้ที่จะเห็นน้องสาว นั่งข้างๆแม่ของเธอคอยพูดสิ่งดีๆของน้องสาว “แม่ อย่าไปโกรธเลย อารมณ์ไม่ดีมีผลต่อสุขภาพ มันไม่คุ้ม ปีนี้หรูอี้อายุยี่สิบห้าปีแล้วเธอ เธอไม่ได้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนของมาหลายปีแล้ว เธอไม่มีประสบการณ์เลยถูกหนานกงเจาหลอกลวง อีกอย่างเธอดื่มแอลกอฮอล์ ทำอะไรก็ไม่รู้เรื่องแล้ว อันที่จริงเธอก็ตกเป็นเหยื่อเช่นกัน”
“ถ้าแกยังพูดอีกครั้ง ฉันจะให้แกไปคุกเข่าอยู่ข้างนอกด้วย”
เย่จิงเหยียนปิดปากสนิท เขาก็เศร้าก่อนที่ต้วนอีเหยาจากไป แต่เขาไม่อยากไปคุกเข่า
มู่เวยเวยต้องการลงโทษลูกสาวของเธออย่างจริงใจ เพื่อเธอจะไม่ไปสนใจปีศาจกลับชาติมาเกิดอีกต่อไป ดังนั้นเย่ชูวเสวียยีงคุกเข่าอยู่ข้างนอกเป็นเวลาสามชั่วโมงและไม่ยอมปล่อย
อากาศด้านนอกเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เย่จิงเหยียนกลัวว่าน้องสาวของเขาหนาวสั่นจึงไปหยิบเสื้อคลุมหนาๆจากห้องของเธอมาสวมให้เธอ
“คุกเข่าดีๆ ตอนนี้จะเที่ยงคืนแล้ว อดทนอีกหน่อยก็จะว่างแล้ว” เย่จิงเหยียนพูดเยาะเย้ย
เย่ชูวเสวียมองไปที่พี่ชายของเธอ “ให้เธอมาช่วยฉัน เธอมาปากดี วิ่งมาทำเป็นเรื่องตลก”
เย่จิงเหยียนยืนด้านหน้าเธอ จับที่คางแล้วพูด “ฉันมีวิธี ตอนนี้เธอสามารถหลีกเลี่ยงโทษได้”
“อะไร?”เย่ชูวเสวียดวงตาแวววาว
“กลยุทธ์ยามพ่าย”
เย่ชูวเสวียรอคิดสักหน่อย “เธอจะให้ฉันแกล้งลมจับสลบไปเหรอ?”
“ใช่ เธอลมจับสลบไป แม่ก็ไม่ลงโทษเธอแล้ว?”
“ช่างเป็นกลยุทธ์ที่ดีจริงๆ”
“ใช่แล้วใช่แล้ว” เย่จิงเหยียนยิ้ม ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าพูดผิด เมื่อเห็นพี่สาวของเธอจ้องมองอย่างมีความหวัง คับแคบใจ เธอเปลี่ยนใบหน้าที่ประจบแล้วลุกขึ้นหันหน้าไป “แม่ฉันล้อเล่นกับหรูอี้”
มู่เวยเวยเฉยเมย “พี่น้องคู่นี้ความสัมพันธ์ดีมากฉันดีใจจริงๆ ไม่อย่างงั้น เธอก็คุกเข่าเป็นเพื่อนเขาสิ เป็นไงละ?”
เย่จิงเหยียนพูดอะไรไม่ออก ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคุกเข่าข้างเย่ชูวเสวีย ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ครับ พวกเราคนหนุ่มสาวมีสุขภาพที่ดี คุกเข่าทั้งคืนก็ไม่เป็นไร”
“งั้นก็ดี” มู่เวยเวยพูดจบ แล้วก็เดินจากไปกับสายลม สักครู่เย่ฉ่าวเฉินก็เดินมา
เพียงไม่กี่ชั่วโมง ความโกรธของเย่ฉ่าวเฉินก็หายไปอย่างมาก เขารักลูกสาวคนนี้มากเขาจึงทนไม่ได้ที่จะคุกเข่าท่ามกลางน้ำค้างที่หนาวเหน็บ ดังนั้นเขาจึงปลอบโลมขอให้ภรรยาไว้ชีวิตเธอในขณะนี้ ฉันไม่คาดคิดว่าจะได้ยินลูกชายพูดแบบนั่นทันทีที่ลงจากบันได