วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 320 : ไม่คาดคิด, โอกาสมีไว้สำหรับผู้ที่เตรียมพร้อม
- Home
- วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
- บทที่ 320 : ไม่คาดคิด, โอกาสมีไว้สำหรับผู้ที่เตรียมพร้อม
“แน่นอนว่าโอกาสเป็นของคนที่เตรียมพร้อมเท่านั้น”
เย่จิงเหยียนเห็นว่าบรรยากาศกำลังดี จึงใจกล้าเสนอข้อเรียกร้อง “ท่านผู้นำครับ ก่อนที่พวกท่านจะมาทุกคนตื่นเต้นมาก ไหว้วานช่วยพวกเขาด้วยเถอะครับ”
ท่านผู้นำระดับสูงเริ่มสนใจ “หึ? ช่วยอะไร? คุณพูดมาก่อนผมจะดูว่าช่วยได้หรือไม่”
เย่จิงเหยียนกล่าวด้วยความลำบากใจ “ทุกคนอยากถ่ายรูปกับพวกท่านครับ”
“แค่นี้เอง มาสิ” สิ้นคำพูดประโยคนั้น ทั้งโรงงานคึกคักขึ้น ทุกคนรีบเข้ามายืนข้างๆ ท่านผู้นำและเหล่าคณะกรรมการเมือง
เย่จิงเหยียนหลีกทางอัตโนมัติให้พนักงานหนุ่มสาวร้อยกว่าคน คนบางคนนั่ง บางคนยืนอยู้ข้างๆ ท่านผู้นำ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข
บอกตามตรงเรื่องนี้สามารถคุยโม้โอ้อวดได้ตลอดชีวิตเลยล่ะ
เมื่อถ่ายรูปเสร็จ ทุกคนโค้งคำนับอย่างสุภาพเพื่อเป็นการขอบคุณ
ทุกคนส่งท่านผู้นำด้วยความยินดีปรีดาแล้วจากออกมา ท่านผู้นำเดินไปพร้อมคุยกับเย่จิงเหยียนไปด้วย “เพื่อนที่อยู่ในเมืองนี้แนะนำมาว่า เย่ฮวางเป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่ในเมืองA และยังเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของทั้งมณฑล ผมคิดว่าผู้จัดการคนนั้นคงอายุไม่ต่ำกว่าห้าสิบปี คิดไม่ถึงว่าจะยังหนุ่มยังแน่นและพร้อมด้วยความสามารถขนาดนี้”
เย่จิงเหยียนกล่าวอย่างสุภาพ “ท่านชมเกินไปแล้วครับ ผมยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก”
“ยังหนุ่มๆ แต่มีทัศนคติดีแบบนี้ ดีมากๆ”
“ขอบคุณครับท่าน”
ใกล้ค่ำแล้ว ด้านนอกท้องฟ้าเต็มไปด้วยก้อนเมฆและพระอาทิตย์ค่อยๆ ตกดิน
ท่านผู้นำหันกลับมาก่อนที่จะเข้าไปในรถ “ตอนเย็นมีงานเลี้ยงต้อนรับแบบเป็นกันเอง คุณมาด้วยสิ”
เย่จิงเหยียนรู้สึกประหลาดใจ รีบตอบรับอย่างรวดเร็ว “ครับ”
เจ้าหน้าที่และคณะกรรมการของมณฑลที่อยู่รอบๆ ก็ตกใจเช่นกัน เขาเชิญชายหนุ่มที่ยังไม่มีครอบครัว พวกเขาไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน เห็นได้ชัดว่าท่านผู้นำคงชอบเย่จิงเหยียนมาก
สถานที่รองรับแขกที่จองไว้คือโรงแรมมาตรฐานสูงในเมืองA ต้วนอีเหยาทำหน้าที่ปกป้องท่านคุณหญิงทันทีที่เธอก้าวเข้าไปในงานเลี้ยง ด้านในนอกจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้ว ก็ยังมีเจ้าหน้าที่จากมณฑล
อยู่ที่นี่เวลานี้
หลังจากทักทายผู้คน ท่านคุณหญิงก็นั่งลงบนโซฟาในโซนสำหรับพักผ่อน เลขาเข้ามาด้านหน้าแล้วแจ้งว่า “ท่านคุณหญิง ท่านผู้นำจะมาถึงในอีกสิบนาทีค่ะ”
ท่านคุณหญิงพยักหน้า “อืม ฉันทราบแล้ว”
ต้วนอีเหยายืนอยู่ข้างๆ เธอคอยสังเกตการณ์สภาพแวดล้อมด้านนอกหน้าต่าง ห้องจัดเลี้ยงที่นี่ถูกเลือกเป็นเฉพาะ บริเวณรอบๆ ในระยะทางห้าร้อยเมตรไม่มีตึกสูง เช่นนี้จึงไม่มีจุดสูงที่ขึ้นมาได้
เธอนำชามาเสิร์ฟแสดงความเคารพ จากนั้นก็มายืนรอคำสั่งอยู่ข้างๆ
สิบนาทีต่อมา มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอยู่ไกลๆ ในที่สุดเหล่าผู้หลักผู้ใหญ่ก็มาถึง ประตูถูกผลักออกรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย ท่านผู้นำเดินนำหน้าเข้ามา
ท่านคุณหญิงเดินไปหาอย่างสง่างาม คนที่เดินตามมาด้านหลังท่านผู้นำก้มแสดงความเคารพ เธอยิ้มและพยักหน้าทักทาย
“พวกคุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ท่านผู้นำถามขึ้นอย่างเป็นกันเอง ขณะที่เจ้าหน้าที่นำทางพาเดินไปหาเหล่าแขกผู้มีเกียรติ
ท่านคุณหญิงยิ้ม “เพิ่งกลับมาเหมือนกัน”
สายตาเฉียบแหลมของต้วนอีเหยาสังเกตการณ์ไปรอบๆ ทันใดนั้น ตรงประตูก็ปรากฏใบหน้าของใครคนหนึ่งที่ทำให้เธอต้องคิ้วขมวด
บางทีเขาอาจรับรู้ได้ถึงสายตาของเธอ เย่จิงเหยียนหันมามอง ทุกคนอยู่ที่นี่เพื่อมาร่วมแสดงความยินดีกับเหล่าคนใหญ่คนโต เธอ…ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่?
กำลังจะเข้าไปพูดคุยด้วย สายตาของต้วนอีเหยาก็มองออกไปราวกับคนไม่รู้จักกัน จากนั้นพูดใส่หูฟัง แล้วรีบออกไปทันที
เย่จิงเหยียนรีบวิ่งตามหลังเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะหายไป แต่เมื่อเขาเห็นต้วนอีเหยายืนอยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่งตรงหัวมุม ตอนที่ชายหนุ่มกระซิบบางอย่างข้างหูของเธอ หัวใจของเขาราวกับว่าถูกมือของใครบางคนบีบมันอย่างแรง
“ประธานเย่ ทำไมคุณมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะครับ? รีบไปกันเถอะ” ไม่รู้ว่าคนที่เตือนอยู่ข้างๆ เป็นใคร
เย่จิงเหยียนได้สติกลับมา ตระหนักได้ว่าตนเองอยู่ในสถานะการณ์แบบไหน และเกรงว่าต้วนอีเหยาอาจกำลังทำงานอยู่ จึงไม่กล้าเดินไปขัดจังหวะ จำใจต้องกลับไปที่งานเลี้ยงหามุมสักมุมแล้วนั่งลง สายตามองตามเธอไปราวกับไม่มีอะไร
เธอไม่ใช่ไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?
มาปฎิบัติหน้าที่งั้นเหรอ?
ดูเหมือนนี่จะเป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุด
ในห้องจัดเลี้ยงมีเพียงสามโต๊ะ นอกจากเย่จิงเหยียนที่ถูกยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ส่วนที่เหลือเป็นของคนของเมืองและมณฑล เขานั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าหน้าที่ในเมืองของสองสามคนที่สนิมสนมกันดี
มุมที่ต้วนอีเหยาและเหล่ยหยิ่งยืนอยู่ไม่ได้มองเห็นง่ายๆ แต่ต้วนอีเหยากลับสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมายังตนเอง ไม่ต้องมองกลับไปก็รู้ว่าเป็นใคร
หลังจากประหลาดใจอยู่ชั่วครู่ ต้วนอีเหยาก็สงบลง แม้ว่าเขายังมองอยู่ เธอก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่การจ้องมองของเย่จิงเหยียนไม่อาจรอดพ้นสายตาของเหล่ยหยิ่งไปได้
“คนนั้นมองเธอหลายครั้งแล้ว รู้จักกันเหรอ?” เหล่ยหยิ่งถามขึ้นเบาๆ ข้างหูเธอ
ต้วนอีเหยาพยักหน้า “รู้จัก เมื่อก่อนเคยเรียนด้วยกัน”
“ถึงว่าล่ะ”
ต้วนอีเหยาไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้ มันเป็นเรื่องในอดีต
มื้อนี้เย่จิงเหยียนรับประทานธานอาหารไปได้เพียงสองสามคำ เมื่อเห็นเธออยู่กับชายอื่นอย่างใกล้ชิด เขาหึงจนอยากจะคว่ำมันทิ้ง มีจิตกะใจกินลงซะที่ไหน?
แต่เมื่อได้มาที่นี่แล้วพบเธอ ครั้งนี้ก็คุ้มค่าเกินพอ คุ้มมากกว่ารับประทานอาหารค่ำกับท่านผู้นำซะอีก
หลังจากรับประธานอาหารเสร็จ ต้วนอีเหยาและเหล่ยหยิ่งนำทั้งสองท่านออกไป ตอนที่เดินผ่านเย่จิงเหยียน เธอไม่ได้เหลือบมองเขาด้วยซ้ำ ในที่สุดเย่จิงเหยียนจึงตระหนักได้ว่าภารกิจเธอในครั้งนี้ของเธอคืออะไร
ในขณะเดียวกันเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า การสำรวจจะเสร็จสิ้นในวันพรุ่งนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือต้วนอีเหยาจะออกจากเมืองA ในบ่ายวันพรุ่งนี้ และครั้งต่อไปจะได้เจอเธออีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ไม่ได้ คืนนี้เขาต้องได้เจอเธอ แม้จะกลัวว่าเธอจะทุบตีหรือด่าทอเขา เขาต้องไปพบเธอให้ได้
เขาเดินไปหาเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่รู้กันเป็นอย่างดี รอจนรอบข้างไม่มีใครอยู่จึงเอ่ยถาม “จ้าวจวี คืนนี้ท่านผู้นำพักที่โรงแรมสินะ”
จ้าวจวีพูด “โรงแรมสำหรับแขกของรัฐบาล โรงแรมซื่อเจาไต้”
“อ่อ”
“ทำไมเหรอ?”
เย่จิงเหยียนหาเหตุผล “ไม่มีอะไร ผมแค่อยากรู้ว่าโรงแรมไหนที่จะได้รับเกียรติเช่นนี้ เราคงต้องเรียนรู้บ้างแล้ว”
จ้าวจวีตบไหล่เขาเบาๆ “วันนี้ทำงานหนักมามากแล้ว รีบกลับเถอะ”
“อืม คุณก็ทำงานหนักเหมือนกันนะ”
เมื่อเดินทางมาถึงโรงแรมสำหรับต้อนรับแขกของรัฐบาลที่อยู่ไม่ไกล ถนนทุกสายถูกปิดกั้นไว้ เย่จิงเหยียนเห็นร้านกาแฟตรงทางแยกจึงเข้าไปนั่ง แล้วสั่งบลูเมาน์เทนรออย่างเงียบๆ
การเข้าไปไม่ใช่เรื่องยาก จะหาเธอให้เจอก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน แต่เมื่อเจอเธอแล้วเขาจะพูดอะไรกับเธอ?
ขอให้เธอยกโทษให้? หรือบอกว่ารักเธอ?
ไม่ แบบนี้ยิ่งจะทำให้ต้วนอีเหยาเกลียดเขา
เขาเพียงแค่อยากมองเธอ เพียงแค่มองเห็นเธออีกสักครั้งเท่านั้น
เวลาหนึ่งผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า หลังจากดื่มกาแฟไปสามแก้ว พนักงานเสิร์ฟพูดขึ้นอย่างอบอุ่น “ขอโทษนะคะคุณผู้ชาย ร้านเราจะปิดแล้วค่ะ”
เย่จิงเหยียนเรียกเช็กบิล เป็นเวลายี่สิบสามนาฬิกา
เวลานี้ เธอน่าจะยังไม่นอน
รออีกสักหน่อย
ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ในเงามืดเพื่อรอเวลา ไม่ง่ายเลยกว่าเวลาจะเลยผ่านเที่ยงคืน เย่จิงเหยียนมองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีคน แล้วหายตัวไปในเงามืดชั่วพริบตา
สำรวจห้องพักไปได้สองสามห้อง เย่จิงเหยียนก็เจอห้องของหญิงสาว โคมไฟด้านในมืดสนิม กลิ่นหอมของอาหารลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ ข้างนอกแสงจันทร์ส่องสว่างเข้ามา กล่องอาหารถูกเปิดแล้ววางไว้บนโต๊ะกาแฟ ด้านในยังมีข้าวเหลืออยู่มากกว่าครึ่ง
เธอเหนื่อยเกินไปจนไม่มีแรงกินต่องั้นเหรอ? เย่จิงเหยียนคิดอย่างเป็นกังวลในใจ
ก้าวไปข้างหน้าเงียบๆ แล้วนั่งลงข้างเตียงของเธอ หญิงสาวกำลังหลับไหล คิ้วขมวดดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไหร่
เย่จิงเหยียนเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าเธอ แต่ยังเอื้อมไปไม่ถึง กริชคมๆ ก็จู่โจมเข้ามาที่ตรงหน้าอกเขาโดยไม่ทันตั้งตัว จากนั้นต้วนอีเหยาก็ลืมตาขึ้น
เมื่อเห็นหน้าคนตรงหน้าอย่างชัดเจน ต้วนอีเหยาก็แปลกใจ “นาย?”
“อีเหยา” เย่จิงเหยียนเรียกชื่อเธออย่างรักใคร่
เธอชักกริชออกจากอกเขา ต้วนอีเหยาลุกขึ้นแล้วถามอย่างเย็นชา “นายมาทำอะไรที่นี่?”
“ผมมาดูคุณ”
สีหน้าของต้วนอีเหยาเฉยชา “ก็เห็นแล้วหนิ กลับไปได้แล้ว”
หัวใจของเย่จิงเหยียนชะงักไปชั่วครู่ เขากระซิบเบาๆ “อีเหยา ขอโทษ…”
“เย่จิงเหยียนนายไม่ต้องขอโทษฉัน เราไม่ได้เป็นอะไรกันตั้งแต่แรก นายจะไปนอนกับใครก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“อีเหยา คุณอย่าพูดแบบนี้…”
ความรู้สึกเจ็บปวดในใจของต้วนอีเหยากลับมาอีกครั้ง เมื่อเขาพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้เธอเกลียดมันที่สุด ทำให้ดูเหมือนตนเองทำเรื่องผิดมหันย์ และเธอก็จะอดใจอ่อนกับมันไม่ได้
“เย่จิงเหยียนฉันไม่มีอะไรพูดกับนายแล้ว ฉันอยากนอน นายออกไปเถอะ”
เย่จิงเหยียนนั่งลงข้างๆ เตียงมองไปที่เธออย่างลึกซึ้ง เขาไม่อยากจากไปไหน “คุณนอนเถอะผมจะไม่พูดอะไร”
“นาย… “ เขาทำให้ต้วนอีเหยาโกรธ แต่ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เธอระงับความโกรธไว้แล้วเอ่ยออกไปว่า “เย่จิงเหยียนนายเลิกมายุ่งวุ่นวายได้แล้ว ฉันมีคนที่ชอบแล้ว”
เย่จิงเหยียนคว้าข้อมือของเธอไว้ แววตาหม่นหมอง “เป็นไปไม่ได้ เราแยกกันอยู่แค่เดือนกว่าๆ เองนะ”
ต้วนอีเหยาหัวเราะเยาะ “มีอะไรเป็นไปไม่ได้? ชายหญิงตกหลุมรักกันใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที เดือนเดียวก็เกินพอแล้ว”
“ใคร?” เย่จิงเหยียนนึกถึงคนที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงคนนั้น แล้วถามขึ้น “ใช่ผู้ชายคนนั้นที่ยืนอยู่กับคุณวันนี้หรือเปล่า?”
ต้วนอีเหยานึกย้อนกลับไป ดูเหมือนว่าเขาจะหมายถึงเหล่ยหยิ่ง เธอจึงไหลตามน้ำไป “ใช่ เขาเอง”
“ผมไม่เชื่อ!” เย่จิงเหยียนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองร่วงหล่นลงพื้นแล้วแตกสลาย
“มันคือเรื่องจริง ตอนที่ฉันได้รับคำสั่งจึงได้พบเขา หลักจากนั้นฉันก็ได้ค้นพบว่าเราทั้งสองเข้ากันได้ดีมาก และอีกอย่างเราเข้าใจการทำงานของกันและกัน กินอาหารเหมือนกัน และเขาก็หล่อด้วย ฉันไม่มีเหตุผลที่ต้องปฎิเสธเขา”
เมื่อได้ฟังหญิงอันเป็นที่รักพูดถึงคุณสมบัติของชายอื่นราวกับท่องจำขึ้นใจเช่นนี้ เย่จิงเหยียนก็เกิดความหึงหวงขึ้นมา แรงกระตุ้นสั่งให้เขาดึงต้วนอีเหยาเข้ามาในอ้อมกอดอย่างแรง แล้วกดจูบลงไปบนริมฝีปากอย่างหนักหน่วง
จูบของความคิดถึง จูบของความเจ็บปวด เย่จิงเหยียนกวาดต้อนไปตามไรฟันของเธออย่างหื่นกระหาย ตามริมฝีปากและลิ้นของเธอ อยากจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว เพื่อไม่ให้คนอื่นมาคว้าตัวไปได้
ต้วนอีเหยาตกใจกับพฤติกรรมหุนหันพันแล่นของเขา เธอตัวแข็งไปสองสามวินาที จากนั้นจึงเริ่มต่อต้าน มือทั้งสองข้างถูกมือใหญ่ๆ ของเย่จิงเหยียนจับไว้แน่นขยับตัวไปไหนไม่ได้
ทั้งสองคนเคยต่อสู้กันมาก่อน ต้วนอีเหยาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่เพียงแค่ไม่กี่ครั้งที่ผ่านมาเขายอมปล่อยเธอไป นั้นก็เพราะเย่จิงเหยียนไม่ได้ปกป้องตัวเอง และเพื่อให้เธอได้ระบายอารมณ์โกรธ
ตอนนี้ เย่จิงเหยียนตั้งใจที่จะปราบพยศเธอ ต้วนอีเหยาไม่มีแรงพอให้ตอบโต้กลับ
จูบนั้นทั้งดุดันและป่าเถื่อน เขากัดเธอ
ต้วนอีเหยาเจ็บ จึงผลักเขาออกด้วยแรงทั้งหมด “เย่จิงเหยียนนายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง”
เย่จิงเหยียนดึงมือเธอเข้าไปไว้ในอ้อมแขน แม้ว่าเธอจะดิ้นรนแค่ไหนเขาก็ไม่ยอมปล่อย
“ผมมันบ้า ตั้งแต่วันที่คุณจากไป ผมก็เป็นบ้า” เย่จิงเหยียนกอดเธอไว้แน่น แล้วสารภาพข้างๆ หูเธอ “อีเหยา ผมก็อยากลืมคุณเหมือนกัน ผมอยากแสร้งทำเป็นไม่รู้จักคุณ แต่ผมทำไม่ได้ ทุกคืนผมนอนไม่หลับ ไม่ง่ายเลยที่จะหลับลงได้ แม้ในฝันก็ยังฝันถึงแผ่นหลังคุณที่เดินจากไปผมไม่รู้ต้องทำยังไง อีเหยาผมต้องทำยังไง”
เสียงของชายหนุ่มดังก้องอยู่ในโสตประสาท ทุกประโยคปะทะเข้ามาในใจ แต่เธอไม่อยากใจอ่อนอีกแล้ว เพราะเมื่อไหร่ที่เธอใจอ่อน ครั้งต่อไปเมื่อเจอเขามักมีเรื่องเกิดขึ้นไม่เหมือนเดิมทุกครั้ง
“แล้วนายคิดยังไง?” ต้วนอีเหยาถามอย่างเย็นชา
เย่จิงเหยียนกอดเธอไว้ไม่ยอมปล่อย “ผมรู้ว่าผมมันโง่ เรื่องครั้งที่แล้วผมก็อธิบายไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อีเหยาผมขอโอกาสอีกครั้งได้ไหม? เพียงครั้งเดียว”
ต้วนอีเหยาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีโอกาสอีก ฉันมีแฟนแล้ว”
เย่จิงเหยียนชะงักงัน ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะยอมปล่อยเธอ ดวงตาเขาลู่ต่ำลง ดวงตาคู่นั้นที่แตกต่างกันอยู่ในเงามืด มองไม่เห็นว่าสีหน้าเขาเป็นอย่างไร แต่ต้วนอีเหยารับรู้ได้ถึงความเศร้าและทุกข์ใจของเขา
แต่เธอช่วยอะไรไม่ได้ เธอไม่อาจลืมภาพนั้นตอนที่เธอเข้าไปในโรงแรมได้
“นายไปซะเถอะ” ต้วนอีเหยาพูดขึ้นอย่างใจดำ
เย่จิงเหยียนกัดฟันพูดเสียงแผ่ว “พรุ่งนี้ผมจะมาส่งคุณ”
ต้วนอีเหยาเกลียดความยืดเยื้อ “ไม่ต้อง”
ชายหนุ่มมองเธออย่างลึกซึ้ง หลังจากเงียบอยู่นาน เขาก็พูดขึ้น “หลังจากนี้คุณก็ดูแลตัวเองดีๆนะ” แล้วหายตัวไปในอากาศ
ต้วนอีเหยามองไปยังอากาศว่างเปล่าอย่างโง่เขลา แม้ว่าเขาจะมีความสามารถพิเศษ แต่เมื่อหายตัวไปแบบนี้มันก็ยากจะรับได้ เธอเอื้อมมือไปสัมผัสที่ที่เขานั่งเมื่อครู่ ยังอบอุ่น
เมื่อกลับถึงคอนโด เย่จิงเหยียนนอนลงบนเตียงอย่างเหนื่อยล้าและรอยยิ้มเจื่อนปรากฏขึ้นที่มุมปาก รู้ว่าผลต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้วยังอยากไปพบเธออีก แกว่งเท้าหาเสี้ยนจริงๆ
เมื่อเปิดดูโทรศัพท์มือถือก็มีข้อความเด้งมามากมาย กดเข้าไปดูข้อความทั้งหมดนั้นเป็นของชูวเสวีย เนื้อหาทั้งหมดเป็นแนวเดียวกันทั้งหมด
พี่ เห็นข้อความแล้วโทรกลับหาฉันหน่อยนะ
พี่ พี่เดาสิว่าฉันเจอใคร?
พี่ ทำไมพี่ยังปิดโทรศัพท์อยู่เนี้ย
……
ในแต่ละบรรทัดมีความตื่นเต้นและดีอกดีใจปนอยู่ในนั้น เย่จิงเหยียนหลับตาลง น้องสาวคงจะเห็นต้วนอีเหยาที่โรงเรียนผู้พิการทางการได้ยิน นั่นคงเป็นเหตุผลที่เธอรีบร้อนส่งข้อความมาหาตัวเอง
กลิ่นอายของต้วนอีเหยายังติดอยู่ริมฝีปาก เมื่อคิดถึงสิ่งที่เธอพูด ฉันมีแฟนแล้ว ประโยคนี้ทำให้เย่จิงเหยียนรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น ไม่ว่าเธอจะพูดจากใจจริงหรือจงใจโกหกเขา แต่ความต้องการของเธอคือให้เขาปล่อยเธอไป
อย่างไรก็ตามคนที่หวงแหนอยู่ภายในใจมากว่ายี่สิบปี ต้องการถอนรากถอนโคน ก็ดูเหมือนว่าต้องขุดเอาทั้งหัวใจของเขาออกมา
เขาจะทำอย่างไรดี?
ต้วนอีเหยา ต้วนอีเหยา ผมควรจะทำอย่างไร?
ถ้าฤดูร้อนปีนั้น คุณไม่มีความน่าประทับใจอะไรเลย ฉันก็อาจไม่ได้ชอบคุณและคงไม่ได้มาเกี่ยวข้องกันจนถึงทุกวันนี้
พระจันทร์ส่องสว่างอยู่ภายนอกราวกับผ้าโปร่งบาง แต่กลับยากที่จะปลอบประโลมจิตใจของคนบอบช้ำ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เย่จิงเหยียนถูกปลุกให้ตื่นด้วยโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ข้างหู เขาควานหาขึ้นมาแล้วรับสาย ได้ยินเสียงแหลมดังมากจากข้างใน “เฮ้ ในที่สุดพี่ก็เปิดโทรศัพท์สักที”
เย่จิงเหยียนรีบยกโทรศัพท์มือถือออกจากหู แล้วโยนมันลงบนเตียง สติยังเลอะเลือนอยู่ “แกจะเสียงดังโวยวายอะไรหนักหนา”
“พี่ พี่เดาสิว่าเมื่อวานฉันเจอใคร?” เย่ชูวเสวียยังคงรักษาอาการดีใจของเมื่อวานซึ่งเป็นอะไรที่หาได้ยากมาก
เย่จิงเหยียนพูดเบา “ต้วนอีเหยา”
ฝั่งนั้นอึ้งไปสักพัก น้ำเสียงลดต่ำลงทันที “พี่รู้ได้ยังไง?”
“เพราะฉันก็เจอเหมือนกัน”
“งั้นพวกพี่ได้คุยกันหรือเปล่า? พวกพี่ได้….”
เย่ชูวเสวียยังไม่ทันได้พูดอีกสองคำ เย่จิงเหยียนก็กดตัดสายไปแล้ว ตอนนี้สภาพของเขาไม่เหมาะที่จะได้ยินชื่อนั้นบ่อยๆ
ในคฤหาสน์ตระกูลเย่
เย่ชูวเสวียกระโลดไปมาด้วยความโมโห “อ่า——เขาวางสายฉัน น่าเกลียดจริงๆไม่คิดเลยว่าผิงอันจะวางหูใส่ฉัน ฉันอุตส่าห์เป็นห่วงเขาทั้งคืน”
มู่เวยเวยหัวเราะอยู่ข้างๆ “เมื่อวานพี่แกไปต้อนรับท่านผู้นำ เกรงว่าน่าจะเหนื่อยมาก ลูกอย่าไปรบกวนพี่เขาเลย”
“เฮ้อ เพราะพี่เขาต้อนรับท่านผู้นำจนเหนื่อยซะที่ไหนกันล่ะ” เย่ชูวเสวียเห็นจ้าวเสวียนยกจานเล็กๆออกมาจากห้องครัวจึงจงใจพูดเสียงดัง “เพราะเขานัดเจอกับพี่เสี่ยวน่ะสิ ถ้าให้หนูคิดนะ เพราะเขามัวแต่ใช้เวลากับพี่เสี่ยวไปค่อนคืนน่ะสิถึงเหนื่อยได้”
จ้าวเสวียนชะงักเท้าไปชั่วขณะ เกิดรู้สึกอิจฉาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ยังเดินมาที่โต๊ะอาหารด้วยรอยยิ้ม
มู่เวยเวยเห็นว่าบรรยากาศน่าอึดอัด จึงรีบหยุดลูกสาว “หรูอี้พูดไร้สาระอะไร?”
“หนูจะพูดไร้สาระได้ยังไง? พี่เพิ่งพูดอยู่เมื่อกี้เอง” เย่ชูวเสวียใส่ไฟ
“งั้นลูกก็ไม่ควรพูดอย่างนี้ต่อหน้าคนอื่น จ้าวเสวียนยังท้องอยู่นะ”
เห็นแม่ดูแลจ้าวเสวียนอย่างกับดอกบัวขาว เย่ชูวเสวียตวาดอย่างโมโหและลุกจากเก้าอี้ไป “แม่เมื่อก่อนหนูก็พูดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเพราะผู้หญิงคนนี้มาอยู่ที่บ้านเราแล้ว แม้พูดความจริงหนูก็พูดไม่ได้แล้วงั้นเหรอ?”
“แม่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แค่ตอนนี้จ้าวเสวียนท้องอยู่ ลูกเสียงดังอย่างนี้ ถ้าเธออารมณ์ไม่ดีเด็กจะสบายดีได้อย่างไรล่ะ?”
เย่ชูวเสวียโมโหมากขึ้นไปอีก “ลูกๆๆ เธอท้องจริงหรือเปล่าเถอะ? ให้ฉันคิดนะ เด็กคนนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นลูกของตระกูลเย่หรือเปล่ายังไม่แน่เลย แม่ระวังไว้ละกันเดี๋ยวจะไปเลี้ยงลูกคนอื่นเข้า”
เย่ชูวเสวียเผลอปล่อยความลับออกมา ใบหน้าจ้าวเสวียนซีดเซียวจนแทบเป็นลม มือเธอเกาะไว้ที่ขอบโต๊ะ
มู่เวยเวยรีบประคองเธอไว้และพูดด้วยความโมโห “หรูอี้ คำพูดของแกนับวันยิ่งไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจคนอื่นแล้วนะ”
เดิมทีแล้วเย่ชูวเสวียอยากออกไปจากที่นี่ แต่ถ้าไปอยู่ข้างนอกแล้วไม่อยู่ในสายตาใจเธอยิ่งเป็นห่วง แต่พี่ชายย้ายออกไปแล้ว ถ้าเธอย้ายออกไปอีก ยัยจ้าวเสวียนคงไม่หลอกแม่จนเปลี่ยนไปหรือไง? เธอจะไม่ให้ผู้หญิงคนนี้มาเอาเปรียบได้
一
เธอกลับไปนั่งที่เก้าอี้อีกครั้งและรับประทานอาหารอย่างสบายใจ “แม่ หนูไม่เกรงใจตรงไหน? ตั้งแต่เล็กจนโต แม่สอนให้หนูพูดความจริง ตอนนี้หนูก็กำลังพูดความจริงอยู่”
“แก….” มู่เวยเวยไม่รู้จะทำอย่างไรกับลูกสาว จึงได้แต่ปลอบจ้าวเสวียน “เธอไม่ต้องคอยเดินเข้าๆออกๆหรอก มีแม่ครัวอยู่ รีบนั่งเถอะ ช่วงสามเดือนแรกเด็กในท้องยังไม่แข็งแรงและจะมีปัญหาง่ายที่สุด”
“คุณป้าคะ หนูไม่เป็นไรค่ะ” จ้าวเสวียนพูดด้วยรอยยิ้ม สองวันมานี้ เธอเปลี่ยนจากเรียก “คุณผู้หญิง” มาเป็น “คุณป้า” ได้สำเร็จ
“ยังพูดว่าไม่เป็นไรอีก หน้าซีดหมดแล้ว รีบนั่งเร็ว หรูอี้มักจะพูดจาโผงผางอย่างนี้แหละ เธออย่าไปใส่ใจเลย”
เย่ชูวเสวียไม่เข้าใจแม่ เธอฉีกขนมปังเล็กๆและเหลือบตามองยัยดอกบัวขาว “แม่ ไม่ต้องพูดดีแทนหนูหรอก หนูกับพี่เราไม่ชอบเธอเหมือนกัน ดังนั้นไม่จำเป็นที่เธอจะต้องมาชอบหนู”
มู่เวยเวยโมโห “ยัยเด็กนี่ทำไมช่วงนี้ถึงดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกันนะ ทำไมถึงพูดจาไม่เห็นใจกันอย่างนี้?”
เย่ชูวเสวียถอนหายใจและแสร้งพูดว่า “พอพอพอ อย่างไรตอนนี้ก็มีแค่ผู้หญิงที่อุ้มท้องคนนี้แหละที่เข้าตาแม่ คนอื่นผิดหมดทุกอย่าง หรือยังต้องให้หนูหุบปาก?”
ขณะเย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามา เห็นหน้าภรรยาและลูกสาวที่ขุ่นเคืองกัน จึงอดถามไม่ได้ว่า “เช้าขนาดนี้ ลูกไปทำอะไรให้แม่เขาโกรธล่ะ?”
เย่ชูวเสวียแบมือยักไหล่ พูดจากลับตาลปัตรว่า “พ่อหนูจะกล้าได้ยังไงคะ? หนูแค่พูดว่าเมื่อวานพี่ไปเจอกับพี่เสี่ยวมาเลยทำให้บางคนไม่มีความสุข พ่อหนูยังมีสิทธิ์พูดอะไรในบ้านนี้ได้อยู่ไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินตากระตุก ที่แท้เพราะเรื่องนี้นี่เอง
“งั้น…ลูกติดต่อกับพี่ได้แล้วเหรอ?” เย่ฉ่าวเฉินเปลี่ยนประเด็น
“ติดต่อได้แล้วค่ะ พี่เพิ่งเปิดโทรศัพท์”
“ได้พูดเรื่องเมื่อวานไหมเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่มีอะไรค่ะ เสียงของพี่แทบจะหมดแรงตายอยู่แล้ว พูดได้สองประโยคก็วาง” เย่ชูวเสวียโยนขนมปังที่ฉีกแล้วลงในจานเล็ก ลุกขึ้นเช็ดมือและพูดว่า “พี่หนูน่าสงสารมาก อยู่ข้างนอกคนเดียว วันๆก็เอาแต่ทำงานหนัก กลับมาถึงบ้านแม้แต่น้ำร้อนๆก็ไม่ได้ดื่ม หนูเอาอาหารเช้าไปให้เขาดีกว่า”
มู่เวยเวยได้ยินประโยคนั้น อดรู้สึกเศร้าไม่ได้ จะให้เธอไม่เป็นห่วงลูกชายได้อย่างไร? ตั้งแต่เล็กที่ลูกชายคนนี้เจอแต่เรื่องราวร้ายๆมากมาย เธอจึงรักและเอาใจมากเป็นพิเศษ ในตอนนี้แม่และลูกตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เธอก็เสียใจมากเช่นกัน
จ้าวเสวียนนั่งเงียบอยู่ข้างๆ ไม่ง่ายเลยที่เธอจะเข้ามาอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ได้ แน่นอนว่าจะไม่ย้ายออกไปเด็ดขาด
เย่ฉ่าวเฉินพูดแทนลูก “เมื่อวานคนที่บริษัทส่งข่าวมาว่า ผิงอันทำได้ดีมาก ท่านผู้นำก็ชื่นชมเขามาก ชมแล้วชมอีก เดาได้เลยว่าช่วงนี้เขาไม่ได้นอนหลับฝันดีแน่ มันยากมากสำหรับเขาที่จะควบคุมสถานที่ใหญ่ๆขนาดนั้นได้”
เมื่อได้ฟังที่สามีพูดขนาดนี้ มู่เวยเวยยิ่งเสียใจมากขึ้น “ถ้าอย่างนั้น คุณไปชวนเขากลับมาสิ? ถึงอยู่ข้างนอกไปก็กินไม่อิ่มนอนไม่หลับ ร่างกายจะพังเอาได้นะ?”
“ผมทำไม่ได้หรอก เขาดื้อซะขนาดนั้น” เย่ฉ่าวเฉินมองจ้าวเหยียนโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นว่าเธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ราวกับว่าไม่ได้ยินบทสนทนานี้
เย่ชูวเสวียเก็บอาหารใส่กล่องอาหารด้วยตัวเอง แล้วเดินไปข้างนอก ตอนเดินผ่านจ้าวเสวียนเธอก็หยุดและพูดว่า “นั่นน่ะสิแม่ แม่ให้รถเธอสักคันสิ หนูเกรงว่าเธอจะไม่อยากได้คนขับรถคนนี้ ตอนหนูกลัวอะไรเดี๋ยวตกใจจนเหยีบคันเร่งชนต้นไม้เอา ถึงตอนนั้นเดี๋ยวแม่ไม่มีหลาน แล้วจะโทษหนูไม่ได้นะ?”
“เย่ชูวเสวีย!” มู่เวยเวยตะโกนพูดทั้งชื่อและนามสกุลของลูก เธอกำลังเสียใจเพราะลูกชาย แต่คำพูดของลูกสาวครั้งนี้ทำให้เธอโมโหขึ้นอีกครั้ง
เย่ชูวเสวียเห็นแม่โกรธขึ้นมาจริง ก็หวาดกลัวรีบคว้ากล่องอาหารแล้วรีบวิ่งออกไป
“ไม่ต้องโกรธไม่ต้องโกรธ” เย่ฉ่าวเฉินรีบปลอบภรรยา “หรูอี้ก็เป็นห่วงผิงอัน เด็กสองคนนี้รักกันดีมาตั้งแต่เด็ก อยู่ด้วยกันทะเลาะกัน พอแยกกันก็คิดถึงกันเป็นธรรมดา”
“คุณยังจะตามใจอีกเหรอ?” มู่เวยเวยเตรียมจะโกรธสามีไปด้วย
เย่ฉ่าวเฉินพูดในสิ่งที่ควรจะเป็น “ลูกสาวเรา ถ้าเราตามใจแล้วใครจะตามใจล่ะ?”
“คุณได้ยินไหมว่าเธอพูดอะไร?”
“ได้ยินสิ พูดแรงไปจริงๆ ตอนเย็นลูกกลับมาผมจะตักเตือนแกเอง”
เป็นเช้าที่ดี เมื่อเย่ชูวเสวียก่อความวุ่นวายเรียบร้อยไปแล้ว จ้าวเสวียนจึงมีโอกาสพูดอย่างน้อยใจ “คุณป้าคะ หนูคิดว่าหนูไปกว่าค่ะ หนูไม่อยากให้คุณป้าลำบาก”
มู่เวยเวยเห็นว่าตาของเธอแดง คิดในใจว่าถ้าหากมีคนอื่นมาแช่งให้ลูกของตัวเองตาย กลัวว่าจะต้องตีสักครั้งเพื่อคลายความโกรธ หญิงสาวคนนี้กลับอดทน ไม่ต่อว่าลูกสาวจึงอดไม่ได้ที่จะชอบเธอมากขึ้น