วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 321 : พลอดรักเป็นกิจวัตร
“เธออย่าคิดมาก ฉันเห็นเมื่อวานเธอเริ่มแพ้ท้องแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุดของการตั้งท้อง ฉันจะปล่อยให้เธอไปได้ยังไง? เอาล่ะๆ รีบกินเถอะ จะให้คนรถไปส่งเธอที่ทำงาน”
จ้าวเสวียนกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณนะคะคุณป้า”
อีกด้าน ไฟโกรธลุกโชนอยูในท้องของเย่ชูวเสวียไม่มีที่ระบายอารมณ์ เธอขับรถไปด้วยความเร้วสูง สัญญาณไฟแดงอยู่ไม่ไกล เธอกระแทกเบรกอย่างแรง แต่ด้วยเหตุนี้ รถจึงไถลออกไปไกลและชนเข้ากับรถสปอร์ตคันหรูที่จอดอยู่ด้านหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“โครม!”
ตัวของเย่ชูวเสวียกระแดกไปข้างหน้าและถูกดึงกลับมาด้วยเข็มขัดนิรภัย ผลจากแรงทำให้ศีรษะเธอกระแทกจนเจ็บไปหมด เป็นไปได้ว่าตนเองอาจจะเป็นแม่มด เพิ่งพูดไปว่าจะชนต้นไม้ ไม่คิดว่าจะรถเข้าชนจริงๆ
คนที่อยู่ในรถคันข้างหน้าลงมาจากรถด้วยความโกรธ เมื่อเดินมาถึงรถของเธอก็เคาะกระจกเสียงดัง
เย่ชูวเสวียส่ายหัวไปมาเพื่อเรียกสติตัวเอง แล้วกดเปิดหน้าต่างรถทันที
“ขับรถห่วยแตกแบบนี้เธอขับรถเป็นไหม? มองไม่เห็นไฟแดงข้างหน้าหรือไง?” ชายหนุ่มไม่พอใจอย่างแรง ถูกชนตั้งแต่เช้าขนาดนี้ใครจะมาอารมณ์ดี
เย่ชูวเสวียรู้ว่าเป็นความผิดของตัวเอง ปั้นหน้ายิ้มแย้มพลางเสยผมขึ้นกำลังพูดว่า “ขอโทษ” แต่ก็ต้องหุบปากลง
แต่คนที่อยู่ด้านนอกกลับตกตะลึง ความโกรธบนใบหน้าพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย พูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง “คุณบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
“ไม่ต้อง ฉันไม่เป็นไร” สีหน้าของเย่ชูวเสวียเย็นชา
“ผมว่าสีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลยนะ ไปตรวจที่โรงพยาบาลดูสักหน่อยเถอะ”
ชูวเย่เสวียหยิบกระเป๋าในช่องคนขับแล้วดึงเอาบัตรเครดิตในนั้นออกมายื่นไปนอกหน้าต่าง “ค่าซ่อมรถ น่าจะพอนะ”
“เล็กๆ น้อยๆเอง ผมจ่ายได้ คุณลงมาก่อน ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
“หนานกงเจา คุณนี่มันน่ารำคาญชะมัด ฉันบอกว่าฉันสบายดีไง”
ไม่ผิด คนที่อยู่นอกรถคือหนานกงเจาที่กำลังเดินทางไปทำงานที่บริษัท
หนานกงเจามองไปที่เข่าของเธอ เพราะแรงกระแทกจากการชน ทำให้เข่าเธอแตก เลือดสีแดงฉาดดูเข้มขึ้นเป็นพิเศษเมื่ออยู่บนผิวขาวราวกับหยก
เวลานี้ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวแล้ว รถที่อยู่ด้านหลังเริ่มบีบแตรไล่
หนานกงเจาอ่อนโยนกับเย่ชูวเสวีย แต่สำหรับคนอื่นกลับไม่ใช่ เขาตะโกนกลับไป “บีบหาอะไร? ไม่เห็นรึไงว่ารถชนกันอยู่ตรงนี้!”
เสียงแตรเงียบลง รถคันด้านหลังเลี้ยวขับออกไปถนนอีกเลน
เย่ชูวเสวียมองเห็นบาดแผลที่ตรงหัวเข่า แล้วสูดหายใจเข้า กำลังจะใช้กระดาษทิชชูซับเลือด ประตูรถก็ถูกเปิดออก จากนั้นหนานกงเจาก็ยื่นมือเข้ามาปลดเข็มขัดนิรภัยออก อุ้มเธอออกมาจากรถ และยังสะพายกระเป๋าเธอออกมาอย่างง่ายดาย
“นายจะทำอะไร? ปล่อยฉันลงนะ” เย่ชูวเสวียตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
หนานกงเจาไม่ได้พูดอะไร เตะปิดประตูรถด้วยใบหน้าเย็นชา แล้วอุ้มหญิงสาวเข้าไปในรถของตัวเอง วางเธอลงที่นั่งข้างคนขับคาดเข็มขัดนิรภัยให้ จากนั้นวิ่งไปยังที่นั่งฝั่งคนขับอย่างรวดเร็ว กดปุ่มล็อครถทันทีก่อนที่เธอจะเปิดประตูแล้วหนีไป
“นายคิดจะทำอะไร?” เย่ชูวเสวียหันไปมองเขา คิ้วย่นใบหน้าเย็นชา เธอมักเป็นเช่นนี้เสมอ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังสวยอยู่ดี
หนานกงเจามองไปข้างหน้าแล้วสตาร์ทรถ “พาคุณไปโรงพยาบาล”
เย่ชูวเสวียกัดฟันพูด “นายหูหนวกรึไง? ฉันบอกว่าไม่เป็นไร ปล่อยฉันลง”
“คำว่าไม่เป็นอะไรคุณหมอต้องเป็นคนพูด”
เย่ชูวเสวียโกรธจนอยากซัดเขาสักที “ฉันมีธุระ”
“ไม่ว่าเรื่องนั้นจะสำคัญแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่าสุขภาพของคุณ” หนานกงเจาพูดขึ้นมาโดยไม่ต้องคิด
เย่ชูวเสวียชะงักไปสองวินาที ใจเธออ่อนโยนลง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “หนานกงเจา ฉันมีธุระจริงๆ ปล่อยฉันลงเถอะ”
“มีอะไรสำคัญขนาดนั้น? คุณควรไปทำแผลก่อน”
“ฉันต้องไปส่งอาหารเช้าให้พี่ชาย”
เมื่อหนานกงเจาได้ยินประโยคนี้ ความอิจฉาฉายอยู่ในแววตา เขาเหยียบคันเร่งหนักขึ้น “พี่ชายของคุณเขาไม่มีขาหรือไงถึงไปกินเองไม่ได้?”
เย่ชูวเสวียรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของเขา จ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ “พี่ชายฉันจะกินหรือไม่กิน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย? ฉันส่งข้าวจนเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว”
หนานกงเจาเม้มริมฝีปากไม่พูดอะไร แต่หญิงสาวยังกลับรับรู้ได้ถึงความโกรธของเขา เธอก็อดโมโหขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน เธอถูกเขาอุ้มมาโดยที่ไม่เต็มใจ แล้วยังมาทำสีหน้าแบบนี้ให้เธอเห็นอีก เขาเป็นบ้าไปแล้วรึไง
ยิ่งคิดยิ่งโมโห เย่ชูวเสวียพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย หยุดรถ”
“ไม่หยุด ถ้าคุณพูดคำนี้อีกผมจะจูบคุณ ไม่เชื่อใช่ไหม?” หนานกงเจาขู่
“เฮ้! ไม่เห็นยุติธรรมเลย?”
พวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าข้างถนน รถหยุดลงตรงข้างทาง เย่ชูวเสวียมึนงง กำลังหันไปมองด้วยความโกรธ ริมฝีปากอุ่นๆ ก็กดลงมาบนริมฝีปากเธออย่างรวดเร็ว จู่โจมในขณะที่เธอกำลังงุนงง
เย่ชูวเสวียไม่คิดว่าเขาจะใจกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ คิดอยากจะผลักเขาออก แต่ถูกเขาจับมือไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ปลายลิ้นอ่อนนุ่มดุจปุยฝ้าย แต่เป็นอาวุธที่ร้ายกาจที่สุด ทำให้ร่างกายเธอไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อต้าน
หนานกงเจาเป็นนักรักผู้ชำนาญสนาม เทคนิคการจูบแพรวพราว สาวน้อยไร้เดียงสาอย่างเย่ชูวเสวียที่ไม่เคยมีความรักจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร? เมื่อถูกจูบหลายต่อหลายครั้ง ทั้งร่างกายไร้กำลังวังชาอ่อนลงไปบนเก้าอี้
หนานกงเจาคิดถึงเธอตลอดเวลา ทันทีที่พบเธอครั้งแรกก็รู้ว่าตนเองเสร็จเธอเข้าแล้ว ยังไม่ทันได้ปีนขึ้นมาจากหลุมของเธอก็ตกลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า เขาโอมกอดหญิงสาวที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ลมหายใจหอมหวานของเธอหลอกหลานเขา ทันใดนั้นก็หวนนึกถึงความรักในคืนนั้น
เวลานี้ เมื่อได้ลิ้มลองรสชาติของเธอ หนานกงเจายิ่งหิวกระหายมากขึ้น เขาทนไม่ไหวแทบอยากจะกลืนกินเธอเข้าไป
จูบอันลึกซึ้ง หนานกงเจายังไม่พอใจ เขาละออกจากริมฝีปากไปที่ใบหู…
“อือ…”
เมื่อเสียงอารมณ์ดังออกมาจากปาก เย่ชูวเสวียได้สติทันที สีหน้าที่เต็มไปด้วยความอับอายเธอผลักเขาออก แล้วพูดขึ้นด้วยความโกรธ “หนานกงเจา นายมันสารเลว”
แม้ว่าจะเป็นคำด่า แต่เสียงของเย่ชูวเสวียกลับไม่มีผลอะไรต่อเขา ในทางกลับกันเขายิ่งสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวล ได้มองเธองอนเหมือนเด็กๆ ยิ่งทำให้หนานกงเจารู้สึกดี
“ผมเลว แต่ผมก็เลวแค่กับคุณคนเดียวนะ” หนานกงเจามองเธอแล้วยิ้ม แบบนี้ยิ่งทำให้เธอสวยมากขึ้น เขาชอบ
เย่ชูวเสวียเม้มปากที่บวมแดงของเธอ ดวงตาสีม่วงเป็นประกายจ้องมอง แต่ไม่มีอำนาจจะทำอะไรเขาได้ จึงได้แต่เฝ้าดูชายหนุ่มสตาร์ทรถแล้วพุ่งทะยานไปบนท้องถนนด้วยความโกรธ
บรรกายาศในรถตึงเครียด เย่ชูวเสวียหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ เธอกลัวคนบ้าคนนี้จริงๆ แต่อีกคนกลับยิ้มร่า ไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่าในใจจะมีความสุขขนาดไหน
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล หนานกงเจาจอดรถ แล้วมาอุ้มหญิงสาวออกจากที่นั่งข้างคนขับ แต่กลับถูกเธอปฎิเสธ “ไม่ต้องอุ้ม ฉันเดินเองได้”
หนานกงเจาเชื่อฟังซะที่ไหน ไม่ว่าจะถูกตีด้วยกำปั้นของเธอ แต่เมื่ออุ้มเจ้าหญิงออกมาได้ เขาก็กระซิบข้างหูขู่เธอเบาๆ “ถ้ายังสร้างปัญหาอีก ผมจะจูบคุณต่อหน้าคนเยอะๆ”
“ทำไมนายเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้?”
“คุณพูดถูก ผมก็เป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้แหละ”
หนานกงเจาเป็นคนหล่อเหลา ทันทีที่ประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออกก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก เย่ชูวเสวียกลัวว่าคนอื่นจะจำเธอได้ จึงรีบหันศีรษะฝังหน้าไว้ในอ้อมแขนของเขา
คนบางคนรับรู้ได้ถึงพฤติกรรมของเธอ ริมฝีปากหนาก็มีรอยยิ้มขึ้น
อ้อมกอดของหนานกงเจาอบอุ่น สบาย และยังมีกลิ่นซิการ์อ่อนๆ หอมมาก
หอมงั้นเหรอ? โอ้พระเจ้า เย่ชูวเสวียเธอกำลังคิดอะไรอยู่? เขาคือหนานกงเจา หอมกลิ่นตดนะสิ เธอรีบสลัดภาพหลอนในใจอย่างเงียบๆ
“เธอเป็นอะไรมาครับ?” ทันทีที่ก้าวเข้าแผนกฉุกเฉิน คุณหมอท่านหนึ่งก็ถามขึ้น
“รถชนครับ เข่าได้รับบาดเจ็บ แล้วก็เวียนหัวนิดหน่อย”
“ไม่มึนค่ะ ตอนนี้ไม่มึนหัวแล้ว” เย่ชูวเสวียหันหน้าออกมา
คุณหมอชะงักไปกับใบหน้างดงามของเธอ กระแอมเล็กน้อยแล้วถามขึ้น “ตอนที่ชนร้ายแรงไหมครับ?”
“ไม่ค่ะ ฉันคาดเข็มขัดนิรภัย แล้วก็ไม่ได้กระแทกพวงมาลัยด้วย”
“งั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก ไปทำแผลที่หัวเข่าก่อน ตามผมมาเลยครับ”
คุณหมอเดินไปข้างหน้า หนานกงเจาอุ้มหญิงสาวแล้วเดินตามไป หญิงสาวกัดฟันกระซิบเบาๆ “คุณไม่ปล่อยฉันลงล่ะ อุ้มอยู่แบบนี้มันยังไงๆ นะ?”
“ผมชอบอุ้ม” หนานกงเจายังคงหน้าด้านต่อไป กว่าจะมีโอกาสเช่นนี้ไม่ง่าย เขาจะยอมปล่อยไปได้อย่างไรล่ะ?
เย่ชูวเสวียโมโห เอื้อมมือไปบิดเอวเขาอย่างแรง เมื่อเห็นว่าสีหน้าของหนานกงเขาเปลี่ยนไปจึงคลายมือออก
“ได้ระบายอารมณ์รึยัง?” หนานกงเจาถามอย่างเอาใจ
“ระบายกับผีนะสิ!” เย่ชูวเสวียสถบ
เลี้ยวเข้ามาในห้องพยาบาล หนานกงเจาวางเธอไว้บนเตียงผู้ป่วย ยิ้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ผมปล่อยคุณแล้ว”
“เลว!” เย่ชูวเสวียแขวะไปคำหนึ่ง
คุณหมอไม่เห็นท่าทีของคนทั้งสอง พูดเบาๆว่า “พวกคุณรอก่อนนะครับ ผมจะให้พยาบาลมาทำแผลให้”
ในห้องพยาบาลเหลือเพียงสองคน บรรยากาศน่าอึดอัดอย่างอธิบายไม่ได้ เย่ชูวเสวียเห็นเขาเดินมาข้างหน้า จึงถอยหลังไปอย่างอัตโนมัติ พูดขึ้นอย่างจริงจัง “นายจะทำอะไร? ฉันขอโทษที่ลงไม้ลงมือกับนาย”
หนานกงเจาชี้ไปที่ไหล่ของเธอแล้วพูด “เสื้อคุณยับ”
เย่ชูวเสวียก้มมอง คอปกเสื้อของเธอพับเข้าไปอยู่ด้านในเสื้อ ทั้งพูดขณะจัดเสื้อ “ยับไม่ยับก็ไม่เกี่ยวกับนาย พูดมาก”
“ผมว่าอยู่ในนี้แล้วคุณปากเก่งขึ้นนะ” จู่ๆ หนานกงเจาก็ขึ้นมาตรงหน้า วางมือทั้งสองข้างไว้ด้านๆ ขาของเธอ บังคับให้เธอถอยหลังไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “หรือว่าอยากลิ้มลองขนมหวาน”
เย่ชูวเสวียไม่เคยถูกแหย่เช่นนี้มาก่อน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง จ้องมองเขาอย่างเขินอาย “หนานกงเจานายเชื่อไหมฉันซัดนายจนเข้าห้องผ่าตัดได้เลยนะ”
“เชื่อ แน่นอนว่าผมเชื่อ แต่ถ้าคุณตีผมผมก็รับได้นะ”
“นาย…” ดูเหมือนว่าเย่ชูวเสวียอยากตบเขาสักฉาก “ฉันไม่เคยเห็นใครหน้าหนาเหมือนนายมาก่อน หนานกงเจานายรู้ไหมว่ายางอายเป็นยังไง?”
หนานกงเจาสารภาพ “ผมรู้ แต่ผมชอบคุณ ผมควบคุมตัวเองไม่ได้”
“นายเก็บคนพูดเหล่านี้ไว้ไปบอกคนรักคนที่เจ็ดหรือแปดของนายดีกว่าโอเคไหม? ฉันไม่ต้องการมัน” เย่ชูวเสวียจ้องมอง บังคับในสิ่งที่เขาไม่เต็มใจ
“หลังจากที่อยู่กับคุณ ผมจะไม่อยู่กับพวกเธออีก..”
เย่ชูวเสวียขมวดคิ้ว “เดี๋ยวก่อน ใครจะอยู่กับนาย?”
“ผมประกาศอย่างเป็นทางการอยู่ฝ่ายเเดียว”
“บ้า” เย่ชูวเสวียกลอกตาไปมา
“คุณคือยาของผม”
เย่ชูวเสวียทั้งโกรธทั้งยิ้ม แต่ในสถานการณ์ตอนนี้เธอไม่อาจหัวเราะออกมาได้ จึงยกมือขึ้นยอมแพ้ “โอเค นายเก่งจริงๆฉันยอมแพ้ ตอนนี้ฉันอยู่โรงพยาบาลแล้ว นายจะไปได้หรือยัง?”
“ไม่ได้ ขาคุณยังเจ็บอยู่ ผมเป็นห่วงคุณ”
เย่ชูวเสวียมีปากจึงยากที่จะไม่ให้โต้แย้ง “ฉันว่าไม่จำเป็น นายไม่ต้องมาเป็นห่วง โอเคไหม? นายเป็นตัวอันตรายที่สุดสำหรับฉัน ถ้าพ่อกับแม่ฉันรู้ว่าเราพบกันอีก ครั้งล่าสุดคือฉันถูกทำโทษ แต่คราวนี้ได้ถูกเฆี่ยนด้วยแส้แน่ นายปล่อยฉันไปได้ไหม?”
แววตาของหนานกงเจาหม่นหมองลง แม้รู้ว่าเย่ชูวเสวียพูดเกินความจริง แต่คุณชายและคุณนายเย่ลงโทษเธอจริงๆ
“ผมจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อน รอให้คุณทำแผลเสร็จ ผมก็จะส่งคุณแล้วจากไป”
เย่ชูวเสวียอยากบอกว่าไม่จำเป็นต้องไปส่งฉัน ประตูห้องพยาบาลก็ถูกเปิดออก พยาบาลสาวตกตะลึงเมื่อเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน หญิงสาวงดงามและชายหนุ่มผู้หล่อเหลา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามที่นี่คือห้องพยาบาล
หนานกงเจายืนขึ้นด้วยสีหน้าเป็นปกติ แก้มของพยาบาลร้อนขึ้นเดินเข้ามาถามว่า “เข่าถลอกเหรอคะ?”
“ค่ะ นิดหน่อย”
พยาบาลมองดูบาดแผลที่หัวเข่าของเธอ เริ่มต้นด้วยการฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์ล้างแผล “อดทนหน่อยนะคะ จะเจ็บนิดหนึ่ง”
เมื่อสำลีสัมผัสกับบาดแผล เย่ชูวเสวียกระตุกตัวกลับโดยอัตโนมัติ มีรอยย่นปรากฎบนใบหน้า
“คุณพยาบาลเบามือหน่อยนะครับ” หนานกงเจาที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดเตือน เมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเย่ชูวเสวีย ดูเหมือนจะเจ็บมากจริงๆ
“นี่ก็เบามากแล้วนะคะ” พยาบาลสาวพูดอย่างหดหู่
“ผมทำเอง” หนานกงเจาอดไม่ได้จึงหยิบแหนบในมือเธอขึ้นมา “เดี๋ยวผมจัดการแผลต่อเอง คุณไปเถอะ”
พยาบาลสาวเห็นว่าเขามีอำนาจขนาดนี้ เธอก็ไม่อยากรับใช้หญิงสาวผู้งดงามและมีอำนาจนี้เช่นกัน จึงหมุนตัวแล้วเดินออกไป
“อ่ะๆ… คุณพยาบาลอย่าเพิ่งไป” เย่ชูวเสวียร้องเรียกพยาบาลสาวแต่ก็ไม่เป็นผล จึงหันไปจ้องหนานกงเจา “นายตั้งใจทำให้ฉันลำบากใช่ไหม”
หนานกงเจาคุกเข่าข้างหนึ่งลง ไม่สนว่ากางเกงขายาวที่ตัวเองใส่อยู่จะราคาแพงแค่ไหน เขาเป่าแผลเบาๆ การแสดงออกที่ดูใส่ใจเป็นพิเศษ “ผมไม่ได้ให้คุณลำบาก…คุณทนหน่อยนะ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”
ของเหลวเย็นๆ สัมผัสที่ผิวทีละน้อย เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เจ็บขนาดนั้น คิ้วที่ขมวดเป็นปมของเย่ชูวเสวียค่อยๆ คลายออก สายตาเคลื่อนจากมือใหญ่ไปที่ใบหน้าของเขาอย่างไม่รู้ตัว
ปฏิเสธไม่ได้ เขาดูดีมากจริงๆ เย่ชูวเสวียเห็นชายหนุ่มรูปหล่อมามากมาย ในใจลึกๆ พูดได้เลยว่า หนานกงเจายังโดดเด่นที่สุดในคนกลุ่มนั้น ใบหน้าราวกับงานศิลปะ ขนตางอนยาว ตาสวยราวกับกวางหาได้ยากมาก สันจมูกเป็นคม ปากบางที่ดูเหมือนว่ามีคำบอกรักมากมายซ่อนอยู่
ผู้ชายคนนี้แพรวพราวมากไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แน่นอน เมื่อเทียบกับที่ชายของเธอที่ราวกับลูกของเทพเจ้า เขายังด้อยกว่า
เธอมองอย่างเคลิบเคลิ้ม ทันทีที่ใครบางคนเงยหน้าขึ้นมาก็พบสายตาของเธอที่จ้องมองอยู่ เขายิ้มอย่างสดใส “เป็นยังไงบ้าง พอใจไหม?”
เย่ชูวเสวียถูกจับได้จึงทำตัวไม่ถูก กระแอมในลำคอแล้วถามขึ้น “พอใจอะไร?”
“หน้าตาของผม สะดุดตาคุณบ้างหรือเปล่า?”
เย่ชูวเสวียระงับการเต้นของหัวใจไว้ แสร้งทำเป็นไม่สนใจและพูดว่า “พ่อสอนฉันและพี่ชายเสมอว่า ผู้ชายอย่าสนใจแค่รูปร่างหน้าตา ถึงจะดูดีแค่ไหน ถ้าไม่มีความสามารถก็ไม่มีประโยชน์ ฉันมอบประโยคนี้ให้นาย”
“โอเค ผมเข้าใจแล้ว งั้นผมจะตั้งใจทำงาน”
เย่ชูวเสวียพึมพำ นายไม่ต้องทำงานหนักหรอก ความสัมพันธ์ของเราไม่มีแม้แต่สตางค์สักแดงเดียว?
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จึงหยิบขึ้นมาดูพบว่าเป็นพี่ชาย
“นายไม่ต้องพูด” เย่ชูวเสวียสั่งหนานกงเจา จากนั้นกระแอมเบาๆ แล้วกดรับสายโทรศัพท์ “พี่ ว่าไงมีธุระอะไรเหรอ?”
น้ำเสียงของเย่จิงเหยียนแหบแห้งเล็กน้อย “พ่อบอกว่าแกจะมาส่งอาหารเช้าให้พี่ ทำไมยังมาไม่ถึง?”
ตาของเย่ชูวเสวียหลุกหลิก คิดหาข้ออ้าง “ระหว่างทางฉันเจอคนรู้จักน่ะ ก็เลยใช้เวลาพอสมควร ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน?”
“พี่กำลังไปที่บริษัท…หรูอี้ แกเจอคนรู้จักจริงเหรอ?”
เย่ชูวเสวียมองไปที่ใครบางคน สีหน้าไม่ค่อยเต็มใจ “ใช่”
“อ่อ งั้นก็ดี พี่นึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับแก”
“ห่ะ?” เย่ชูวเสวียตกใจจนอุทานออกมา เกิดประหม่าขึ้นทันที “พี่ทำไมคิดแบบนั้น?”
“ฉันอยู่บนถนน เห็นรถสปอร์ตสีแดงคันหนึ่งจอดอยู่กลางถนน คล้ายกับคันนั้นที่แกขับมาก และคิดว่าแกน่าจะชนท้ายรถของใครบางคนเข้า”
เย่ชูวเสวียหัวเราะปกปิดความผิด “โถ่วพี่ ทักษะการขับรถฉันดีขนาดนี้ จะไปชนท้ายรถคนอื่นได้ยังไงล่ะ?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หนานกงเจาที่กำลังพันผ้าพันแผลอยู่ก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว อาหารก็ไม่ต้องเอามาแล้วนะ ฉันไม่อยากอาหาร อีกไม่นานก็จะเริ่มประชุมเรื่องสำคัญแล้ว”
เย่ชูวเสวียต้องไปพบเขา จีงรีบพนักหน้าอย่างรวดเร็ว “ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
“อืม พี่วางสายละ”
เย่ชูวเสวียวางสายโทรศัพท์ไป แล้วถอนหายยาวอย่างโล่งอก พอดีกับบาดแผลที่เข่าทำแผลเสร็จเรียบร้อย
หนานกงเจาลุกขึ้น “สองวันนี้อย่าเพิ่งโดนน้ำ รอใหคุณหมอจ่ายยาให้ หากคุณไม่ต้องการให้คนที่บ้านรู้ ก็ต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลเอง แค่นี้เองไม่ยาก”
เมื่อเห็นเขาใส่ใจรายละเอียดขนาดนี้ เย่ชูวเสวียก็อยากจะกล่าว “ขอบคุณ” ออกไป
เธอกระโดดลงจากเตียง เดินไปได้สองก้าว ยังโอเค ไม่เจ็บมาก
“คุณพักผ่อนอยู่ที่นี่สักพัก ผมจะไปหาคุณหมอ”
เย่ชูวเสวียก้มศีรษะลงไม่พูดอะไร แม้ว่าการชนจะเป็นความผิดของเธอ แต่ประโยคขอโทษและขอบคุณมันติดอยู่ในลำคอพูดไม่ออก
ถ้าเขาไม่ใช่ลูกชายของหนานกงเฮ่าเย่ชูวเสวียอาจจะไม่เป็นศัตรูกับเขา ไม่แน่คงเป็นเพื่อนกันได้
น่าเสียดาย ใครใช้ให้เขาเกิดมาในตระกูลหนานกงล่ะ?
เมื่อขั้นตอนต่างๆ เสร็จสิ้น หนานกงเจาเข้ามาพร้อมกับกล่องยาสองสามกล่องในมือ ราวกับแฟนหนุ่มแสนห่วงใยมือข้างหนึ่งถือกระเป๋าให้เธอ อีกข้างพยุงแขนเธอแล้วเอ่ยขึ้น “ไปกันเถอะ ตอนนี้จะไปที่ไหน ผมจะไปส่งคุณ”
“ฉันไปร้านทั้งสภาพแบบนี้ไม่ได้ เผื่อพี่ชายมาเห็นต้องถามซักไซ้แน่ ฉันต้องไปซื้อกางเกงมาเปลี่ยนก่อน”
“อยู่ถนนเส้นหน้าข้างก็มี คุณค่อยๆเดิน ระวังเจ็บ” หนานกงเจากำชับ
เย่ชูวเสวียเหน็บแนม “หนานกงเจา นายก็มีผู้หญิงตั้งเยอะแยะ เพราะทำแบบนี้บ่อยใช่ไหม?”
หนานกงเจาไม่ตอบสักพัก “ทำอะไรบ่อย”
“แกล้งขับรถชนคนไง แค่อ้าปากพูดคำหวานๆก็มากันแล้ว ถือกระเป๋าให้ราวกับเจ้าหญิงและยังจ่ายให้คนขับรถพิเศษอีกด้วย ทักษะการหลอกล่อสาวๆ ไม่ต้องพูดถึง คะแนนเต็มได้ไปแล้วแปดสิบคะแนน นี่ไม่ใช่ว่าทำบ่อยเหรอ?”
หนานกงเจาหันไปมองเธอ “แล้วคุณก็เคยถูกทำบ่อยๆ งั้นเหรอ?”
เย่ชูวเสวียยักไหล่ “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ฉันเจอผู้ชายแบบนี้มาเยอะ มีภูมิค้มกัน”
หนานกงเจาหงอย พูดแก้ตัว “ผมไม่เคยทำแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่น คุณเป็นคนแรก”
“อืม เข้าใจๆ ฉันเป็นคนแรก และก็จะเป็นคนสุดท้ายใช่ไหม? เอาล่ะ นายไม่ต้องพูดอะไร ฉันเข้าใจทุกอย่างแล้ว”
หนานกงเจาจะร้องไห้ก็ร้องไม่ได้หัวเราะก็หัวเราะไม่ออก เธอพูดคำพูดของตัวเองหมดแล้ว อย่างไรสิ่งที่เธอพูดก็เป็นความจริง สำหรับผู้หญิงคนอื่น เขาเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ โดยไม่พูดอะไร มีผู้หญิงอีกจำนวนมากพร้อมกระโจนเข้าใส่เขา จะไปที่ไหนหรือต้องการอะไรก็ต้องคอยถือกระเป๋าให้พร้อมกับพลอดคำรัก
เมื่อขับรถมาถึงห้างสรรพสินค้า เย่ชูวเสวียก็ไล่เขาอีกครั้ง “นายเลิกตามฉันได้ไหม?”
“ไม่ได้” หนานกงเจาปฎิเสธทันที
叶初雪无语,只好不理他,走进女装店看上一条阔腿裤,直接去试衣间换上,很合适很舒服,不会粘到伤口。
เย่ชูวเสวียไม่พูดอะไร เพียงแค่เพิกเฉยใส่เขา แล้วเดินเข้าไปยังร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงเห็นกางเกงขากว้างตัวหนึ่ง จึงเดินตรงไปยังห้องลองชุดทันที ใส่แล้วเข้ากับเธอมาก ใส่สบาย และไม่ติดแผล
“เท่าไหร่คะ?” เย่ชูวเสวียถามพนักงานที่คอยให้คำแนะนำ
“คุณผู้ชายแฟนของคุณจ่ายให้แล้วค่ะ” พนักงานกล่าวอย่างกระตือรือร้น
เย่ชูวเสวียพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “เขาไม่ใช่แฟนฉัน”
พนักงานเก้อเขิน หนานกงเจาโอบไหล่เธอแน่น แล้วพาเดินออกมา “เอาล่ะๆ มันก็แค่กางเกงตัวเดียวไม่ได้ลำบากอะไร เดี๋ยวผมไปส่งคุณ”
“ฉันไม่ต้องการให้นายไปส่ง” เย่ชูวเสวียโกรธมาก
หนานกงเจาพูดเอาใจ “ผมรู้ว่าคุณมีเงินมีมากกว่าผมด้วย แต่พนักงานเข้าใจว่าผมเป็นแฟนคุณ ถ้าผมไม่จ่าย ก็ไม่เท่ากับว่าปล่อยให้เธอหัวเราะเยาะคุณเหรอ?”
เย่ชูวเสวียขมวดคิ้ว “ที่นายหมายถึง คือฉันต้องขอบคุณนายงั้นเหรอ?”
“ไม่กล้าหรอก”
“ราคาเท่าไหร่ ฉันจะคืนเงินให้ ฉันไม่อยากมีอะไรติดค้างกับนาย” เย่ชูวเสวียกำลังล้วงกระเป๋าเงินออกมา
หนานกงเจาจับมือเธอไว้ก่อน “ถ้าคุณอยากจ่ายคืนจริงๆ งั้นก็ซื้อของให้ผมในราคาเท่ากัน”
เย่ชูวเสวียเงยหน้าขึ้นมอง รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นที่มุมปาก “หนานกงเจานายสนใจอะไรงั้นเหรอ?”
“ผมว่ามีอะไรน่าสนใจมากทีเดียว” พูดจบ เย่ชูวเสวียไม่อาจปฎิเสธได้ เขาลากเธอเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าผู้ชายใกล้ๆ
ในที่สุดเย่ชูวเสวียก็ได้เปิดโลกทรรศใหม่ พลาสเตอร์หนังหมาคนที่ชอบคำพูดจาหลอกลวง ก็คือคนอย่างหนานกงเจานั้นเอง
“อันนี้สวยไหม?” หนานกงเจาถามเย่ชูวเสวียด้วยรอยยิ้มแล้วหยิบเข็มกลัดงดงามประณีตขึ้นมาหนึ่งอัน
สีหน้าเบื่อหน่าย “ไม่สวย”
“อันนี้ล่ะ?”
“น่าเกลียดจะตาย”
แม้จะพูดไปหลายครั้ง เย่ชูวเสวียไม่ได้ตอบกลับมาว่าน่าเกลียด แต่บอกว่าไร้รสนิยม สีหน้าของพนักงานเริ่มไม่สบอารมณ์ แต่หนานกงเจาก็ยังมีความอดทน เพราะเพียงเย่ชูวเสวียแสดงความคิดเห็นก็เพียงพอแล้ว
“คุณตาแหลม ช่วยผมเลือกหน่อยสิ”
เย่ชูวเสวียต้องการออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด จึงมองไปรอบๆ แบบสุ่มๆ แล้วชี้ไปชิ้นหนึ่งในนั้นที่ไม่เหมือนใครและพูดขึ้นว่า “เฮ้ อันนี้”
หนานกงเจาพูดกับพนักงาน “รบกวนห่อชิ้นนี้ให้หน่อยครับ”
เย่ชูวเสวียยื่นบัตรเครคิตให้พนักงาน พนักงานประหลาดใจอยู่เล็กน้อย รูดบัตรแล้วยื่นคืนให้พลางเอ่ยอย่างสุภาพ “ขอบคุณนะคะ ทั้งหมดหมื่นหกค่ะ”
“เท่าไหร่นะ?” เย่ชูวเสวียตกใจ
พนักงานยิ้มแล้วอธิบายว่า “หนึ่งหมื่นหกพันค่ะคุณผู้หญิง เข็มกลัดของเราทำมาจากทองคำขาวบริสุทธิ์ ฝังด้วยแบล็คไดม่อนด์ล้ำค่า ดังนั้นราคาจึงแพงหน่อยค่ะ”
เย่ชูวเสวียสอดบัตรเข้าไปในกระเป๋า แล้วเดินออกจากร้านขายเสื้อผ้าผู้ชาย แล้วถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “กางเกงตัวนี้ราคาเท่าไหร่?”
“สองพัน” หนานกงเจาพูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้ งั้นอีกหมื่นสี่ถือว่าเป็นเงินค่าซ่อมรถ เราก็ลากันเพียงแค่นี้”
หนานกงเจาเหยียดขาเรียวยาวไปขวางทางเธอไว้ ก้มลงแล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ “โกรธเหรอ”
“ก็แค่หมื่นกว่าๆใช่ไหม? มีอะไรให้ต้องโกรธ?”
“แต่มีคำว่าอารมณ์ไม่ดีเขียนอยู่บนหน้าคุณ”
เย่ชูเสวียพูดอย่างกระวนกระวายใจ “นั้นเพราะว่าวันนี้อารมณ์ดีๆ ของฉันถูกคุณทำให้หดหายไป ฉันไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับนายอีกแล้ว” ทั้งสองคนไม่ได้ถูกขิลิตไว้ตั้งแต่แรก แล้วจะเสียเวลาเสียแรงไปให้เปล่าประโยชน์ทำไม?
หนานกงเจารับปาก “โอเคๆ ผมจะไปส่งคุณกลับตอนนี้ รถของคุณผมจะส่งไปซ่อมที่ร้าน4Sให้”
“ไม่ต้อง ฉันจะไปหาคนซ่อมเอง” ตอนนี้เย่ชูวเสวียเดินผ่านเขาไป เขาคว้าแขนเธอไว้ “อยู่ที่นี่สักพักเถอะ ไม่ต้องนานก็ได้”
จากนั้น ขาทั้งสองข้างของหนานกงเจาก็ขยับไม่ได้ เขาตกใจอย่างมาก เธอใช้พลังพิเศษกับตนเองงั้นเหรอ?