วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 340 คนที่ทำให้ใจเขาเต้นแรง
“คุณเอาไปทำไมตั้งมากมาย ?”
หนานกงเจานั่งลงบนโซฟาตรงข้ามเธอ “ก็ถือว่าให้เป็นสวัสดิการพนักงาน”
ในเมื่อมีธุรกิจแล้ว เย่ชูวเสวียก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำ โดยพูดกับพนักงานว่า “แค่ทำตามวิธีที่เขาพูด เค้กทุกก้อนต้องเหมือนกัน”
“ตกลง”
เย่ชูวเสวียหันกลับมาพูด “ที่นี่ฉันไม่รับผิดชอบในเรื่องการส่งนะ”
“ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวฉันจะให้ผู้ช่วยมารับ ”หนานกงเจามองเห็นว่าเธอดูเศร้า จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณเป็นอะไร ? ไม่มีความสุขเหรอ ?”
เย่ชูวเสวียกลอกตาไปมา “เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย ?”
“ยังไงก็ว่างอยู่แล้ว คุณก็พูดกับผมป่ะ บางทีผมอาจจะช่วยได้” หนานกงเจาคิดบวกมาที่สุด กว่าเขาจะมาได้ครั้งหนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย จะไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้
เย่ชูวเสวียเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “เรื่องนี้ ใครก็ช่วยไม่ได้”
“ถ้าคุณไม่พูดออกมาจะรู้ได้ยังไงว่าผมช่วยไม่ได้ ?”
ในเวลานี้เย่ชูวเสวียรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เจ้ามอนสเตอร์น้อยทั้งสองไปยุโรปอีกแล้ว และตอนนี้ก็ส่งผู้ฟังมาคนหนึ่งแล้ว เธอรู้สึกอดกลั้นไว้ไม่ไหวแล้ว หลังจากคิดสองสามวินาทีก็พูดขึ้นว่า “เรื่องนี้คุณห้ามไปบอกใครเด็ดขาดนะ”
หนานกงเจารู้สึกประหลาดใจและรีบพยักหน้าอย่างแรง “ผมสาบานเลยว่าจะไม่พูดกับใครเด็ดขาด”
เย่ชูวเสวียถอนหายใจยาวก่อนจะพูด “เฮ้ คุณยังจำเรื่องอื้อฉาวของพี่ชายฉันที่ออกมาครั้งก่อนได้ไหม ?”
“แน่นอนสิ ตอนนั้นเขายังจัดงานแถลงข่าวอยู่เลย”
“เขาชอบพี่สาวคนนั้นมาก ชอบมากว่ายี่สิบปีแล้ว ฉันก็ชอบเธอมาก……”เมื่อพูดถึงตรงนี้ตาของเย่ชูวเสวียก็แดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จมูกหายใจไม่ออกและพูดต่อว่า “สองวันก่อนมีข่าวว่าหายไป……พี่สาวคนนั้นเธอ…….”
น้ำตาของเย่ชูวเสวียไหลลงมาอย่างควบคุมไม่อยู่ หนานกงเจาเห็นเธอร้องไห้ ในใจก็บีบแน่น รีบหยิบทิชชู่มาเช็ดน้ำตาให้เธอเบาๆและพูดว่า “อย่าเศร้าเลย ค่อยๆพูด”
เย่ชูวเสวียหยิบทิชชู่จากมือของเขา สะอื้นสองสามครั้งและพูดต่อว่า “ในตอนที่พี่สาวคนนั้นกำลังปฎิบัติภารกิจ…..เธอเสียสละ……”
เย่ชูวเสวียก้มศีรษะลงร้องไห้อย่างเงียบๆ หนานกงเจาคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ เขาทรุดตัวลงนั่งข้างๆเธอด้วยท่าทางงุนงงและกระซิบปลอบเธอว่า “อย่าร้องๆ เป็นความผิดผมเอง ผมไม่ควรถามคุณ อย่าร้องเลย ฮะ ?”
เย่ชูวเสวียสงบลงชั่วขณะแล้วพูดว่า “พี่ชายได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วเขายังไม่ยิ้มเลย แล้วในช่วงนี้เขาก็เริ่มนอนไม่หลับอีกแล้ว ทุกวันต้องพึ่งยานอนหลับถึงได้นอนนอนสองสามชั่วโมง”
“ไม่แปลกใจเลย”หนานกงเจานึกขึ้นได้
เย่ชูวเสวียรู้สึกแปลกใจ “ไม่แปลกใจอะไรเหรอ ?”
“อ่อ ผมได้ยินเพื่อนพูด ตอนนี้พี่ชายคุณแทบเป็นพระแล้ว ไม่เข้าใกล้ผู้หญิงเลย ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุนี้เอง”
“ชื่อเสียงกระจายเร็วขนาดนี้เลย ?”
“นั่นไม่ใช่เหรอ ได้ยินมาว่าลูกสาวที่ร่ำรวยในเมือง ถ้าไม่ถูกเขาทำให้ตกใจจนร้องไห้ ก็ถูกเขาด่ากระเด็นเลย…….”
เย่ชูวเสวียถอนหายใจ “จบแล้วจบแล้ว ฉันว่าต่อไปนี้เขาคงหาภรรยาไม่ได้จริงๆแล้วล่ะ เฮ้อ คุณมีวิธีอะไรบ้างไหม ที่จะทำให้เขาไม่เศร้าขนาดนี้ ?”
หนานกงเจาเอ่ยปาก “ดื่มเหล้าจนเมา เมาแล้วถึงจะหาย…..”
“ไม่มีทาง”เย่ชูวเสวียปฎิเสธข้อเสนอนี้ ครั้งที่แล้วที่เกิดเรื่องก็เป็นเพราะเขาเมาอยู่ที่ร้านเหล้า ตั้งแต่นั้นมาเขาก็สาบานว่าจะไม่ไปดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าอีก
“ถ้างั้นก็ไปเที่ยว ไปเที่ยวดูภูเขาแม่น้ำ”
เย่ชูวเสวียส่ายหัว “ฉันก็พูดไปหลายครั้งแล้ว แต่เขาไม่สนใจเลย”
หนานกงเจาลำบากใจหลังจากเขาครุ่นคิดอยู่นานก็พูดว่า “หรือไม่ ก็ให้เขาไปพบจิตแพทย์ ผมคิดว่าเขาหดหู่เกินไปและไม่สามารถแสดงอารมณ์ออกมาได้ เมื่อพบกับจิตแพทย์ เขาอาจจะพูดคุยบางเล็กน้อย”
“ช่างมันเถอะ ฉันรู้จักพี่ชายของฉันดี ถ้าตัวเขาเองไม่อยากพูด ใครก็ง้างปากเขาไม่ได้”
“ถ้างั้นจะยังมีวิธีใดอีก ?”หนานกงเจาขมวดคิ้วคิดอย่างหนัก เขาอยากช่วยเย่ชูวเสวียแก้ไขปัญหานี้จริงๆ
ทั้งสองกำลังใช้สมาธิ จู่ๆก็มีเสียงทุ้มดังขึ้นมา “ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่ ?”
ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมอง เย่จิงเหยียนมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา เย่ชูวเสวียเพิ่งตระหนักได้ว่าหนานกงเจาอยู่ใกล้เธอเกินไป จึงกระโดดออกมาและพูดว่า “เขามาซื้อเค้ก ตอนนี้กำลังทำอยู่ ดังนั้นจึงมารออยู่ที่นี่”
เย่จิงเหยียนดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องของน้องสาว เขาพูดเบาๆว่า “เอาเค้กชิ้นเล็กมาชิ้นหนึ่ง”
คิ้วที่สวยงามของเย่ชูวเสวียขมวดติดกัน “คุณยังไม่ได้กินข้าวเหรอ ?”
“ยังไม่ค่อยหิว”
“ก็พูดแบบนี้ทุกครั้ง ถึงแม้ว่าไม่หิวก็ต้องทานหน่อย จะนับเค้กให้ครบทุกวันได้อย่างไร ?” เย่ชูวเสวียบ่นอย่างทุกข์ใจ และหยิบเค้กที่มีผลไม้เยอะสุดออกมาให้เขาจากตู้กระจก
เย่จิงเหยียนใช้ช้อนตักคำใหญ่เข้าปากไปเคี้ยวแล้วพูดว่า “เธอทำขนมรสเผ็ดตั้งแต่เมื่อไหร่ ”
เย่ชูวเสวียไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร “ในเมื่อมันเป็นของหวาน จะมีรสเผ็ดได้ยังไง แบบนั้นมันจะรสชาติแย่ขนาดไหนกัน”
เย่จิงเหยียนทานอีกรอบ โดยไม่ตอบเธอ
อีเหยาเป็นคนทานอาหารรสจัด ยังจำตอนเดทครั้งแรกได้ ผู้ชายคนนั้นโดนคัดออกก็เพราะว่าไม่ทานเผ็ด ที่จริงเขาเป็นคนที่ทานเผ็ดได้ ถึงแม้ว่ามู่เวยเวยแม่ของเขาจะไม่ชอบทานเผ็ดเลยก็ตาม
หลังจากทานเค้กเสร็จ เขาก็วางกล่องลงบนโต๊ะ มองไปที่หนานกงเจาแบบเงียบๆ และหันมาพูดกับน้องสาววา “เธอก็รู้หูของพ่อแม่ดี ดังนั้นจงใช้เวลาให้คุ้มค่าซะ”
เย่ชูวเสวียเอามือแตะศีรษะอย่างเขินอายและชี้แจงว่า “พี่ชาย ฉันกับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันจริงๆ ”
“ฉันก็แค่เตือนเธอ ไปล่ะ ”เย่จิงเหยียนพูดจบก็ออกจากร้านไป ทิ้งให้เย่ชูวเสวียมึนงงอยู่ในร้าน
พี่ชายหมายความว่าอะไร ? ใช้เวลาให้คุ้มค่าอะไร ? เธอกับผู้ชายคนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกันจริงๆ
“จบแล้ว พี่ชายฉันคงจะไม่ไปบอกพ่อแม่ฉันหรอกนะ” เย่ชูวเสวียพูดอย่างไร้เดียงสา
เธอไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน แต่กลัวแม่จะโกรธ
“เขาไม่ทำหรอก” หนานกงเจาพูดอย่างมั่นใจ
“คุณรู้ได้ยังไง ?”
“ผมดูออกน่ะสิ”
สมองของเย่ชูวเสวียรู้สึกสับสนเล็กน้อย เธอดึงเขาขึ้นมาและผลักออกไปว่า “คุณมาฉันก็เดือดร้อนเลย คุณรีบออกไปเลยนะรีบออกไป”
หนานกงเจาพูดว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ “พวกเราก็ไม่ได้ทำอะไรเลยหนิ”
“คุณยังอยากจะทำอะไรอีก ? พวกเราไม่สามารถอยู่ในเฟรมเดียวกันได้” เฟรมเดียวกันมันผิด เย่ชูวเสวียโบกมือให้เขาอย่างขยะแขยง “รีบไปรีบไปเถอะ”
“เค้กของผม…….”หนานกงเจาพยายามที่จะอยู่ต่ออีกหน่อย
“อีกเดี๋ยวก็ให้ผู้ช่วยคุณมารับ คุณอย่ามาที่นี่อีก ถ้าเกิดว่าพี่ชายฉันเจออีกครั้ง ฉันตายแน่นอน”
หนานกงเจาขึ้นรถไปอย่างช่วยไม่ได้ รถคันนี้เป็นรถเปิดประทุนที่ทันสมัย เขาพูดว่า “ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจก็โทรหาผม ผมเป็นถังขยะให้คุณได้ทุกที่ทุกเวลา”
เย่ชูวเสวียส่งเขาอย่างกระวนกระวาย โดยพูดออกไปอย่างไม่รู้ตัวว่า “เข้าใจแล้ว” จากนั้นก็หันกลับเข้าร้านขนมหวานไป
วันนี้แปลกจริงๆ ทำไมเธอถึงบอกเรื่องส่วนตัวของครอบครัวกับเขา ?
ณ นครปักกิ่ง
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า ต้วนอีเหยาจำดอกไม้ที่ร้านได้หลากหลายชนิดและภาษาของดอกไม้แต่ละดอกด้วย ยังได้เรียนรู้วิธีการจัดดอกไม้จากเสี่ยวกุ้ย แต่ส่วนใหญ่เธอจะเป็นคนเก็บเงิน
ฮัวเสี่ยวกุ้ยรู้สึกประหลาดใจ ก่อนที่จะเปลี่ยนเจ้าของร้านดอกไม้นี้ กิจการไปแบบเรื่อยๆ ทุกวันจะมีคนมาซื้อดอกไม้แค่สี่ห้าคน ธุรกิจจะดีขึ้นก็ในช่วงเทศกาลเท่านั้น
ไม่คิดเลยว่าตั้งแต่เปลี่ยนเจ้านาย ธุรกิจก็เริ่มเติบโตขึ้น แทบจะทุกวันที่ขายได้มากกว่าสิบมัด และคนที่มาซื้อก็ดูเป็นคนที่มีฐานะอะไรแบบนั้น
ในตอนนที่ต้วนอีเหยาทำบัญชีสุดท้ายของเดือน ก็พบว่ามีรายได้มากกว่าสามหมื่นหยวนต่อเดือน เมื่อหักต้นทุนแล้วก็ยังมีประมาณสองหมื่นกว่าหยวน
โดยปกติแล้วเงินเดือนของเธอมักจะเป็นบัตรธนาคาร ดังนั้นเธอจึงไม่คิดอะไรกับเงินมากมายขนาดนี้ แต่สองหมื่นหยวนก็นับว่ามากอยู่
หาเงินได้อารมณ์ก็ดีมาก ต้วนอีเหยาได้เพิ่มเงินเดือนของเสี่ยวกุ้ยขึ้นอีกหนึ่งพันหยวน เพราะว่าเธอรู้สึกว่าเสี่ยวกุ้ยลำบากมากจริงๆ ต้องช่วยย้ายดอกไม้ ต้องรับผิดชอบห่อ และยังต้องตกแต่งกิ่งไม้อีก เธอทำงานเกือบทุกอย่างในร้านนี้ ให้เพิ่มอีกหนึ่งพันหยวนก็สมควรแล้ว
เมื่อเห็นเงินเพิ่มอีกหนึ่งพันหยวน แววตาของเสี่ยวกุ้ยเป็นประกาย“ พี่อีเหยา คุณเพิ่มเงินเดือนให้ฉันเหรอ ?”
“ให้รางวัลคุณ คุณทำงานได้ดีมาก หวังว่าจะต้องตั้งใจทำงานต่อไปนะ”
ฮัวเสี่ยวกุ้ยส่งเสียงดีใจ “โอ้เย้ ! พี่อีเหยาคุณใจดีมาก ฉันโชคดีจริงๆเลย เจอเจ้านายที่ดีขนาดนี้”
“ไปกันเถอะ วันนี้เงินเดือนออก ฉันเลี้ยงข้าวคุณ อยากกินอะไรก็เอาเลย” ต้วนอีเหยาพูดอย่างกล้าหาญ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เด็กคนนี้ช่วยเธอไว้เยอะมาก ในตอนที่เธอได้ยินไม่ชัดว่าลูกค้าพูดอะไร เธอก็เข้ามาช่วยด้วยความกระตือรือร้น
ฮัวเสี่ยวกุ้ยเดินย่ำเท้าอย่างมีความสุข “กินหม้อไฟจีนดีไหม ? มีร้านหม้อไฟจีนที่อร่อยอยู่ใกล้ๆนี้”
“ได้แน่นอนสิ ฉันชอบกินเผ็ดที่สุดเลย เก็บของแล้วไปกัน”
“โอเค !”
พอตกเย็น ทั้งสองเก็บร้านเตรียมไปทานข้าว จู่ๆชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้าร้านมา
“สวัสดีครับ ผมต้องการซื้อดอกไม้” เสียงของเขาชัดเจนมาก
ต้วนอีเหยาก้มศีรษะอยู่จึงไม่ได้ยิน เสี่ยวกุ้ยรีบวิ่งไปยิ้มและพูดว่า “คุณผู้ชาย พวกเราปิดร้านแล้ว คุณค่อยมาซื้อใหม่วันพรุ่งนี้ได้ไหมคะ ?”
ในตอนนี้ ต้วนอีเหยาถึงรู้ว่ามีคนมา จึงเงยหน้าขึ้นมองลูกค้า
ชายคนนี้อายุประมาณสามสิบปี สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากางเกงยีนต์สีขาว และสวมร้องเท้าลำลอง เขาดูหล่อเหลาโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นคนรูปหล่อที่ดูมีความภาคภูมิและมีสไตล์ที่ยอดเยี่ยม แน่นอนว่าต้วนอีเหยาเห็นคนหล่อมามาก จึงไม่ได้อะไรกับเขา
ชายคนนั้นมองไปที่ต้วนอีเหยา สายตาเขาดูประหลาดใจ เขาพูดอย่างเขินอายว่า “ช่วยผมหน่อยได้ไหม ? วันนี้วันเกิดแม่ผม ”
เสี่ยวกุ้ยมองไปที่เจ้านายของเธอ ต้วนอีเหยาพยักหน้าให้เธอ จากนั้นก็ทำบัญชีต่อ ผมของเธอยาวขึ้นเล็กน้อย ผมสีดำเงาพอที่จะปกปิดเครื่องช่วยฟังที่หูซ้ายของเธอ
“แล้วคุณอยากให้ดอกไม้อะไรกับคุณแม่ล่ะ ? ”เสี่ยวกุ้ยถามเขา
“ดอกคาร์เนชั่นสีชมพูละกัน”ชายคนนั้นพูด
“คุณต้องการเท่าไหร่ ?”
“เอาคุณว่าละกัน”เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้นัก
เสี่ยวกุ้ยพูดอย่างมืออาชีพ “ถ้างั้นก็ดอกคาร์เนชั่นสีชมพูยี่สิบดอก พวกเราจะแถมดอกลิลลี่ให้อีกสองดอกเป็นยังไงบ้าง ?”
“ตกลง”
“กรุณารอสักครู่”
เสี่ยวกุ้ยห่อดอกไม้ด้วยความชำนาญ ชายคนนี้มองดูรอบๆร้าน และพบภาพวาดสีน้ำมันที่ทำจากกลีบดอกไม้บนผนัง ที่มีลักษณะเฉพาะมาก เขาจึงหันไปถามต้วนอีเหยาว่า “ภาพวาดนี้ขายไหม ?”
แน่นอนว่าต้วนอีเหยาไม่ได้ยิน เสี่ยวกุ้ยจึงพูดไปว่า “อันนั้นไม่ขาย นั่นเป็นสิ่งที่เจ้านายของพวกเราทำขึ้นมายามว่าง”
ชายคนนั้นเหลือบมองไปที่ต้วนอีเหยา ผมเสียที่อ่อนนุ่มของเธอปิดใบหน้า ยาวลงไปถึงคาง เขาแปลกใจเล็กน้อย ทำไมเธอถึงไม่ตอบคำถามของเขาล่ะ ?
ดอกไม้ห่อเสร็จอย่างรวดเร็ว เสี่ยวกุ้ยเอาดอกไม้ส่งให้เขา ชายคนนั้นเดินไปที่เคาน์เตอร์และถามว่า “เท่าไหร่ ?”
ต้วนอีเหยาสังเกตว่ามีใครบางคนกำลังเดินเข้ามา เงยหน้าดูก็พบว่าเป็นลูกค้าที่มาซื้อดอกไม้ เธอมองเขาอย่างเหม่อลอยอยู่สักพัก ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร
เสี่ยวกุ้ยค่อยๆดึงชายเสื้อของเธอ รอเธอหันมาและพูดว่า “เขาจะจ่ายเงิน”
“อ่อ ขอโทษค่ะ เมื่อครู่ได้ยินไม่ชัด”ในที่สุดต้วนอีเหยากเปิดปากพูด เธอเหลือบมองดอกไม้ในมือและพูดว่า “สองร้อยหยวนค่ะ
ชายคนนี้คิดว่าเธอพูดไม่ได้ แต่เมื่อเธอพูดถึงรู้ว่าเสียงของเธอดีมาก และดวงตาก็สวยมาก ดำและบริสุทธิ์ราวกับธารน้ำ
เขาหยิบกระเป๋าตังออกมายื่นเงินให้เธอสองร้อยหยวน “ขอบคุณครับ ลาก่อน”
ต้วนอีเหยายิ้มให้เขาอย่างสุภาพ ยังไม่รอให้เขาออกร้านก็พูดกับเสี่ยวกุ้ยว่า “ไปกินข้าวกันเถอะ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว”
“รับทราบเจ้านาย ฉันก็หิวจะตายอยู่แล้ว”
มุมปากของชายคนนั้นยิ้มขึ้น เขาไม่เคยเจอเจ้านายที่ใจดีขนาดนี้มาก่อน และยังเป็นเหมือนเพื่อนที่ดีกับพนักงาน
เมื่อมาถึงร้านหม้อไฟที่เสี่ยวกุ้ยพูดถึง ต้วนอีเหยาก็แทบทนไม่ไหวที่จะสั่งเนื้อและผักจานใหญ่ เสี่ยวกุ้ยก็แทบน้ำลายไหลแล้ว
รสชาติหม้อไฟเป็นรสดั้งเดิม หญิงสาวทั้งสองมีความสุขมาก เสี่ยวกุ้ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้านาย คุณสวยขนาดนี้ คงจะมีคนตามจีบคุณมากสินะ”
แววตาของต้วนอีเหยามืดมนลง และถามอย่างไม่รู้ตัวว่า “ฉันสวยเหรอ ?”
“แน่นอนว่าสวยสิ และก็สวยที่สุดตั้งแต่ฉันเคยเจอมา” เสี่ยวกุ้ยจุ่มผ้าขี้ริ้วลงในไปหม้อครึ่งนาทีจากนั้นเอาขึ้นมาและพูดต่อว่า “คุณไม่สังเกตเหรอ ? ลูกค้าคนสุดท้ายที่มาซื้อดอกไม้เอาแต่มองคุณ”
ต้วนอีเหยายิ้มอย่างเฉยเมย คิดถึงสาวสวยและพูดว่า “ถ้าคุณยังไม่เคยเจอสิ่งที่สวยงามอย่างแท้จริง ก็ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้”
“เอ๊ะ ? ยังสวยกว่าดาราอีกเหรอ ?”เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวหลินไม่เชื่อ
“สวยกว่าดาราทั้งหมดที่ฉันเคยเห็นอีก” ต้วนอีเหยาพูดตามจริง
หลังจากเสี่ยวกุ้ยกินผ้าขี้ริ้วเสร็จก็หยิบกุ้งใส่ลงไปในหม้อและพูดว่า “ทำไมพวกเราถึงพูดสาวสวยได้ล่ะ เจ้านายคุณยังไม่บอกเลยว่า มีผู้ชายตามจีบคุณเยอะใช่ไหม”
“มีอยู่คนหนึ่ง แต่เลิกไปแล้ว” ต้วนอีเหยาพูดอย่างเรียบง่าย
“ทำไมล่ะ ?”
“ไม่เหมาะสมกัน”
ในตอนกลางคืน ต้วนอีเหยาก็อยากจะส่งข้อความให้กับเขา แต่เมื่อคิดอีกครั้ง เวลาก็ผ่านมานานแล้ว ก็ไม่มีโทรศัพท์หรือข้อความจากเย่จิงเหยียนเลย เธอก็ไม่มีหน้าไปส่งข้อความให้เขา
และตอนนี้เธอก็กลายเป็นแบบนี้ กลัวว่าโทรศัพท์ไปแล้วเธอก็ไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร……
แต่ยิ่งลากนานเท่าไหร่ ความคิดที่เธออยากจะติดต่อเขาก็เบาลง แค่บางครั้งจำขึ้นมาได้ว่า ชายคนนั้นที่เมือง A ครั้งหนึ่งเคยชอบเธอ
ที่จริงแล้ว ในโลกนี้ไม่ว่าใคร การมีชีวิตรอดโดยไม่มีใครให้ได้ ก็เป็นสัญชาติญาณของคนที่จะอยู่รอด
ไม่กี่วันต่อมาในตอนกลางวัน ก็มีลูกค้าคนหนึ่งเข้าร้านดอกไม้มา
“สวัสดีครับ ฉันอยากซื้อดอกไม้สักกระถางเพื่อเอาไว้ในบ้าน”
ในเวลานี้ เสี่ยวหลินออกไปซื้ออาหารกลางวัน ต้วนอีเหยากำลังนอนอยู่บนเบาะตากแอร์ เพราะอากาศข้างนอกร้อนเกินไป
ชายคนนั้นอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นเธอนอนหลับสนิท เธอก็ไม่กลัวว่าจะมีโจรเข้ามา ดังนั้นเขาจึงพูดเสียงดังขึ้นว่า “สวัสดีครับ ผมจะซื้อดอกไม้”