วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 351 การรวมตัวของครอบครัว
“คุณใส่อันนี้ดูดีมาก”
ต้วนอีเหยาปล่อยมือเธออย่างขมขื่น และฝืนยิ้มออกมา “ขอบคุณ จิ่นอี้”
“ไม่ต้องขอบคุณฉัน”แววตาของไป๋จิ่นอี้เต็มไปด้วยอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูก เขามองลึงลงไปในตาของต้วนอีเหยา ก้มศีรษะลงเพื่อปกปิดไม่ให้เห็น “พวกเราไปทานข้าวเถอะ”
ต้วนอีเหยาพยักหน้าอย่างเงียบๆ เธอรู้ว่าเขาผิดหวัง สิ่งที่คนสารภาพรักหวังมากที่สุดก็คือคำตอบของคนรัก แต่เธอไม่สามารถตอบรับได้ คนที่เธอรักอยู่กับคนอื่น ท้ายที่สุดแล้วไม่ใช่ผู้ชายที่อ่อนโยนตรงหน้า
รถของไป๋จิ่นอี้โดนชน และตรงที่ร้านดอกไม้ก็เรียกรถแท็กซี่ยากมาก พวกเขาจึงทำได้เพียงนั่งอยู่บนรถ
ตั้งแต่ที่ต้วนอีเหยาบอกขอบคุณ ทั้งสองก็อยู่ในบรรยากาศที่อึดอัดแบบนี้มาตลอด ต้วนอีเหยารู้สึกเบื่อจึงหยิบนิตยสารขึ้นมาจากหน้ารถ ทันใดนั้นก็มีนามบัตรหล่นลงมาจากนิตยสาร
บนหัวเข่าของเธอมีนามบัตรสีดำที่คุ้นตาอยู่ ดวงตาของต้วนอีเหยาหรี่ลง เธอหยิบมันขึ้นมาด้วยมือที่สั่น จากนั้นคำสามคำก็ปรากฎขึ้นมา “เย่จิงเหยียน ”
เขา…..รู้จักกับไป๋จิ่นอี้ !
“จิ่นอี้…….”เธอได้ยินเสียงตัวเองเรียกชื่อไป๋จิ่นอี้ด้วยเสียงสั่นเครือ
“มีอะไรเหรอ ?” ไป๋จิ่นอี้หันกลับมาด้วยความสงสัย ทั้งสองยังไม่พูดอะไร เขาคิดว่าอีกเดี๋ยวไปทานข้าวก็จะรักษาท่าทางไว้แบบนี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะพูดกับเขาก่อน ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ต้วนอีเหยายื่นนามบัตรไปตรงหน้าเขาและถามว่า “คนนี้…..เป็นใครเหรอ ?”
ไป๋จิ่นอี้กำลังขับรถอย่างตั้งใจ จู่ๆก็มีนามบัตรปรากฎขึ้นตรงหน้าเขา เขามองดู ในหัวก็นึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับนามบัตรนี้
“อ่อ อันนี้เหรอ……”
เขาจำได้ว่าเมื่อกี้มีรถมาชนตัวเอง นามบัตรนี้เป็นสิ่งที่ชายสุดหล่อนั้นยื่นให้กับเขา ในตอนนั้นเขาไม่ได้รับ เขาเลยสอดเข้าไปในอะไรสักอย่างแบบลวกๆ
“ผมก็ไม่รู้จัก น่าจะเป็นคนรวยคนหนึ่งแหล่ะ” เพราะว่าเขาขับรถโรลส์รอยซ์รุ่นลิมิเต็ดอิเดชั่น ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องรถแต่ก็ยังพอรู้จัก
ต้วนอีเหยาคลายนิ้วออก นามบัตรก็ตกลงไป ไป๋จิ่นอี้เห็นเธอสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงถามว่า “ทำไม คุณรู้จักเขาเหรอ ?”
ต้วนอีเหยาเก็บสีหน้าที่สิ้นหวังของเธอ และส่ายหัวว่า “ไม่รู้จัก”
ไม่รู้ว่าทำไม ในตอนที่เธอตัดสินใจจะลืมเขา เขาก็มักมาปรากฎตัวต่อหน้าเธออยู่ตลอด สองสามวันนี้ เรื่องเล็กๆน้อยๆมักจะเกี่ยวข้องกับเขาตลอด มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆเหรอ ?
เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็ไปสบตากับไป๋จิ่นอี้ เธอหลบสายตาเขาและอธิบายว่า “ฉัน……ฉันแค่คิดว่านามบัตรนี้มันดูพิเศษและน่าสนใจดี”
“เป็นแบบนี้นี่เอง”
ไป๋จิ่นอี้หันกลับไปมองทางม้าลายฝั่งตรงข้าม แววตาแสดงความผิดหวัง เธอยังไม่อยากมองหน้าเขาตรงๆ…….
……
ณ บ้านต้วน
เย่จินเหยียนรับเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยมา เดิมทีจะตรงไปที่โรงแรม แต่แม่ต้วนยืนกรานให้พวกเขาไปทานอาหารเย็นที่บ้านต้วน
เย่จิงเหยียนไม่มีทางเลือกจึงฟังความคิดเห็นของทั้งสาม เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่มีความคิดเห็นอะไร จึงขับรถตรงไปที่ชั้นล่างของบ้านต้วน
“บ้านคู่หมั้น !”
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินก้าวเข้าประตู ก็มองเห็นคนมาต้อนรับเขา เขาหันไปข้างๆ เอื้อมมือไปอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ”
พ่อต้วนถึงกับผงะ จากนั้นยื่นมือไปจับ และพูดกลับไปว่า “สวัสดีครับ”
หลังจากการพบกันที่น่าอึดอัด เย่จิงเหยียนและทั้งสี่คนก็เข้าไปที่ห้องรับแขก ต้วนจื่ออิ๋งที่กำลังอยู่ในครัวได้ยินเสียง ก็รีบวิ่งออกมาและพูดว่า “พี่จิงเหยียน พี่กลับมาแล้ว !”
เย่จิงเหยียนอยากจะถอยหลัง แต่เมื่อคิดถึงคนในห้องนั่งเล่นแล้ว ก็ยืนอยู่ตรงนั้นปล่อยให้เธอกอด
พ่อต้วนหัวเราะอย่างมีความสุข “พวกคุณอย่าแปลกใจเลย จื่ออิ๋งของพวกเราก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เล็กแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว มู่เวยเวยที่อยู่ข้างๆจับมือเขาไว้แน่น และยิ้มพูดว่า “เด็กผู้หญิง ตรงไปตรงมาและไร้เดียงสาแบบนี้ถึงน่ารักที่สุด”
คำพูดนี้ทำให้ใบหน้าของพ่อต้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และพูดกับมู่เวยเวยมากมาย เย่ฉ่าวเฉินอดไม่ได้ที่จะคว้าเอวของมู่เวยเวยมา เพื่อประกาศความเป็นเจ้าของ
รอยยิ้มของพ่อต้วนยังตรึงอยู่บนใบหน้า มู่เวยเวยจึงรีบอธิบายว่า “เขาก็เป็นแบบนี้ ยึดติดมาก คุณอย่าใส่ใจเลย เขาไม่ได้มีความหมายอื่นหรอก”
“เป็นแบบนี้นี่เอง ความสัมพันธ์ของบ้านพวกคุณดีมาก” พ่อต้วนเคอะเขินเอามือถูจมูก นั่งอยู่บนโซฟาและรู้สึกถึงสายตาที่กดดันของเย่ฉ่าวเฉิน
เย่ฉ่าวเฉินก้มไปที่หูของมู่เวยเวยในขณะที่ไม่มีใครเห็น “อย่าหลงใหลชายอื่นให้มันมาก”
หูของมู่เวยเวยแดง มือทั้งสองของเธอผลักคนที่กอดเธออยู่ออก และด่าในใจว่า “เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย”
ได้ยินไปถึงหูของเย่จิงเหยียน เขาอดไม่ได้ที่จะขนลุกไปทั่วร่างกาย นานขนาดนี้แล้ว ไม่คิดเลยว่าพ่อแม่ยังจะรู้สึกขนลุกขนาดนี้
“พี่จิงเหยียนคุณเป็นอะไรไปแล้ว ? ทำไมถึงตัวสั่น ?”
ต้วนจื่ออิ๋งที่กอดเย่จิงเหยียนรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป จึงถามออกไปเสียงดังไปทั่วห้องรับแขก
เดิมทีทุกคนกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อได้ยินต้วนจื่ออิ๋งร้องอุทาน ทุกคนก็หันมาสบตาเย่จิงเหยียน
“ผมไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”เย่จิงเหยียนยิ้ม แต่ก็แอบคร่ำครวญ เขาเพียงนั่งฟังความหึงหวงของพ่อแม่ แต่ก็พูดอะไรออกมาไม่ได้
แต่ต้วนจื่ออิ๋งไม่เข้าใจเขา จึงมองไปข้างล่าง “เห็นได้ชัดว่าเมื่อกี้คุณตัวสั่น คุณไม่สบายตรงไหนก็พูดมาสิ !”
เมื่อเห็นดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินมองตัวเองเฉียบคมขึ้นเรื่อยๆ ศีรษะของเย่จิงเหยียนก็เหงื่อออก “ผมสบายดี อาจจะเป็นเพราะอากาศเย็นเกินไป เขาไม่ตอบสนองอะไร”
แม้ข้อโต้แย้งนี้จะไม่ค่อยสมเหตุผล แต่ก็ทำให้เย่ฉ่าวเฉินเบนสายตาไปหามู่เวยเวยอย่างอ่อนโยน
เย่จิงเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดก็ซ่อนมันไปได้
ในเวลานี้อาหารใกล้จะพร้อมแล้ว เสียงของแม่ต้วนดังมา ทุกคนเลยลุกขึ้นไปนั่งที่โต๊ะอาหาร
.“พี่จิงเหยียน…..”
ต้วนจื่ออิ๋งคีบซี่โครงหมูไว้ชิ้นหนึ่งและกำลังจะใส่ในถ้วยของเย่จิงเหยียน แต่ก็ถูกเขาจ้องมอง เมื่อคิดได้ว่าพ่อแม่ของเย่จิงเหยียนก็อยู่ที่โต๊ะอาหาร จึงรีบดึงตะเกียบกลับไป
เมื่อเย่ชูวเสวียเห็น เธอก็กลอกตาไปมาและพูดว่า “พี่ชาย ฉันอยากินซี่โครงหมู แต่มันอยู่ไกลเกินไป ฉันคีบไม่ได้ !”
เย่จิงเหยียนมองเธอ ไม่พูดอะไรและคีบให้เธอชิ้นหนึ่ง เย่ชูวเสวียก้มหน้าทานไปสักพัก ก็เงยหน้าขึ้น “ฉันอยากกินมะเขือยาว”
“มะเขือเทศผัดไข่”
“ตีนหมู”
……
โต๊ะเต็มไปด้วยเสียงของเย่ชูวเสวียที่สั่งเย่จิงเหยียน ทางด้านเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยล้วนชินกันแล้ว แต่หน้าของพ่อต้วนกลับมืดมนลง
นี่คือไม่เห็นด้วย ? ลูกสาวของเขายังไม่ทันได้แต่ง ก็เจอเข้ากับน้องสะใภ้ที่ยุ่งยากขนาดนี้ งั้นต่อไปจะเป็นยังไง ? ท้ายที่สุดก็คือคนที่อยู่ด้วยไปตลอดชีวิต เขาจะต้องเช็คแทนเธอให้ดี
เมื่อคิดอย่างนี้ พ่อต้วนก็วางตะเกียบลง และมองดูเย่ชูวเสวียอย่างเงียบๆ แต่ยังไงก็ตาม เย่ชูวเสวียไม่ทันได้สังเกต ยังคงพูดพล่อยๆต่อไป
พ่อต้วนทนไม่ได้ยกมือปิดปากประแอม ความเคลื่อนไหวบนโต๊ะหยุดลง ต้วนจื่ออิ๋งหายใจไม่ออก เมื่อครู่ทำอะไรไม่ได้ แต่เมื่อมีพ่อสนับสนุนแล้ว เธอก็เบิกตาโพลงจ้องมองไปที่เย่ชูวเสวีย
เธอไม่คาดคิดเลยว่าเย่ชูวเสวียเดิมทีที่ดีกับเธอทำไมวันนี้จู่ๆถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้
เย่จิงเหยียนก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศบนโต๊ะแปลกๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าผิดปกติตรงไหน ตั้งแต่เล็กจนโตเขาถูกสอนให้ดูแลน้องสาวให้ดี เขารู้สึกชินกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว จึงไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติ
พ่อต้วนมองไปที่เย่ฉ่าวเฉิน ก็เห็นเขาท่าทางเย็นชาไม่แยแส แต่เมื่อมองไปที่มู่เวยเวย แววตาของเขาก็ผ่อนคลายลง และในใจก็ไม่รู้สึกโกรธ
แต่เมื่อคิดได้ว่าลูกสาวตัวเองชอบเย่จิงเหยียนมาก เขาจึงทำได้เพียงระงับความโกรธและถามด้วยน้ำเสียงที่พอใจว่า “จิงเหยียน คุณติดสินใจเรื่องที่อยู่ให้พวกเรารึยัง ?”
เย่จิงเหยียนไม่คืดว่าเขาจะถามคำถามแบบนี้ เขาตกตะลึง “จองไว้แล้ว เป็นโรงแรมที่ผมพักอยู่”
พ่อต้วนคร่ำครวญ “จะพักอยู่ที่โรงแรมได้ยังไง พวกเรามีคอนโดอยู่ในเมือง ให้คนมาทำความสะอาด แล้วพักอยู่ชั่วคราวที่นั่น ?”
“ไม่ล่ะ”
เย่จิงเหยียนกำลังจะพูด แต่ก็ถูกเย่ฉ่าวเฉินขัดจังหวะ “เมื่อก่อนผมซื้อคฤหาสน์ไว้ที่รอบนอก ได้ใช้ประโยชน์ตอนนี้พอดีเลย”
พ่อต้วนตกตะลึง เวลาผ่านไปสักพักก่อนเขาจะยิ้มอย่างฝืดเคือง
อย่างไรก็ตามทำธุรกิจมาตั้งนาน คอนโดและรถก็มีครบหมดแล้ว และคอนโดในเมืองก็ไม่ถูกเลย
ว่าแต่ ตระกูลเย่ร่ำรวยขนาดนี้เลยเหรอ ? ถึงขนาดมีคฤหาสน์ ?
มู่เวยเวยเห็นว่าบรรยากาศครึ้มๆจะรีบพูดขึ้นมาว่า “ถ้าเทียบไปเรื่องนี้เล็กน้อย พวกเราควรจะปรึกษากันว่าจะเลือกวันไหนดีไหม ?”
หัวข้อนี้ดึงดูดแม่ต้วนที่ตลอดเวลาไม่ได้พูดอะไร เธอพูดเบาๆว่า “วันที่ฉันดูมาสองสามครั้งแล้ว แต่ตัวเลขที่ดีที่สุดคือต้นเดือนหน้าเท่านั้น”
“ต้นเดือนหน้า ?”มู่เวยเวยอุทาน “นั่นมันเร็วเกินไปรึเปล่า ?”
แม่ต้วนส่ายหัว “ถ้าหากว่าเริ่มเตรียมตั้งแต่ตอนนี้ ก็ไม่เร็วไปหรอก”
มู่เวยเวยหันไปมองลูกชาย นี่เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตเขา เธอไม่อยากบังคับเขาเกินไป
เดิมทีเย่จิงเหยียนก็เออออไปกับการแต่งงาน เขาจึงไม่ค่อยกระตือรือร้นกับเรื่องแบบนี้ แต่ต้วนจื่ออิ๋งที่อยู่ข้างเขาดูกระตือรือร้น เมื่อเห็นมู่เวยเวยมองมาที่เธอ เธอก็คิดว่าคงกำลังขอความคิดเห็นจากเธอ
จึงรีบเงยหน้าขึ้นและส่ายหัว แต่แบบนี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่พอ จึงเปิดปากพูดว่า “ฉันกับพี่จิงเหยียนไม่ขัดข้อง !”
มู่เวยเวยขมวดคิ้ว เด็กผู้หญิงคนนี้เสนอหน้ามากเกินไปแล้ว เธอถามลูกชายตัวเอง ทำไมถึงกลายเป็นเธอ ยังไม่ทันแต่งงานก็….
มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินมองตากัน และเห็นความไม่พอใจจากดวงตาของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะเอ่ยปากพูด จึงทำได้เพียงยิ้มยอมรับไป
เมื่อทั้งสองบ้านแยกจากกัน ต้วนจื่ออิ๋งก็ดึงชายเสื้อของเย่จิงเหยียนไว้อย่างไม่เต็มใจ จนกระทั่งไปส่งเขาถึงประตูลิฟต์ ถึงค่อยๆคลายชายเสื้อเขาออก
เมื่อกลับถึงรถ มู่เวยเวยก็ถามเย่ชูวเสวียที่ฮัมเพลงป๊อปว่า “ทำไมวันนี้เธอเรื่องเยอะจัง ? ฉันจำได้ว่าเธอไม่ชอบทานตีนหมู ”
เสียงของเย่ชูวเสวียหยุดลงชั่วขณะ และหันหน้าไปประจบ “แหะแหะ…..คุณแม่ คุณก็เห็นเหรอ พ่อของต้วนจื่อิ๋งเป็นแบบนั้น มันทนไม่ได้จริงๆ!”
“ใครบอกให้เธอพูดเกี่ยวกับผู้อาวุโสกว่าแบบนั้น ?” มู่เวยเวยขมวดคิ้วและถามด้วยเสียงทุ้ม
เธอไม่เคยพูดแบบนี้กับเย่ชูวเสวียมาก่อน ในเวลานี้ เย่ชูวเสวียยิ้มไม่ออกแล้ว เธอแตะจมูกและกลับไปที่นั่งข้างคนขับ น้ำตาเอ่อล้นที่มุมตาของเธอ
มู่เวยเวยก็ตระหนักได้ว่าตัวเองพูดหนักไปหน่อย จึงอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เย่จิงเหยียนที่กำลังขับรถอยู่ แต่ความสนใจเขากลับไปอยู่ที่เย่ชูวเสวีย เมื่อเห็นว่าเธอจะร้องไห้ ก็อดไม่ได้ถอนหายใจ และยื่นกระดาษทิชชู่ให้กับเธอ
“เอาออกไป ฉันไม่ได้ร้องไห้ !”เย่ชูวเสวียพลักทิชชู่ที่อยู่ข้างหน้าออก และในตอนที่เขาไม่ทันได้สังเกตน้ำตาก็ไหลลงมา
เย่ฉ่าวเฉินที่กำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ค่อยๆลืมตาขึ้นมา ขมวดคิ้วและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว ?”
เขามองไปรอบๆก่อนจะหยุดสายตาลงที่เย่จิงเหยียน เย่จิงเหยียนที่กำลังขับรถ ทันใดนั้นก็รู้สึกหนาวๆร้อนๆอยู่ข้างหลัง จึงรีบปฎิเสธว่า “ไม่ใช่ผม !”
“พอได้แล้ว คุณไม่ต้องมองเขาแล้ว เป็นฉันเอง……”มู่เวยเวยที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างรถพูดขึ้นมาเงียบๆ
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะเบาๆ และโอบเธอไว้ในอ้อมแขน “เมื่อครู่ตอนที่ทานข้าวเห็นว่าคุณไม่พอใจครอบครัวนั้น แล้วตอนนี้โกรธอะไรอีก ?”
“ฉันไม่พอใจแล้วจะทำอะไรได้ ? ลูกชายคุณพอใจหนิ !”
น้ำเสียงของมู่เวยเวยระคายเคืองเล็กน้อย เธอมองไปที่เย่จิงเหยียนในขณะที่พูด “ตกลงคุณชอบเธอตรงไหนกัน ?”
เย่จิงเหยียนส่ายหัว “ผมก็ไม่รู้…….”
“พูดไร้สาระ พี่ชายเห็นได้ชัดว่าคุณยังจำพี่อีเหยาได้ !”
เย่จิงเหยียนหัวเราะอย่างเยือกเย็น “เธอรู้จักฉันขนาดนั้นเลย ?”
เย่ชูวเสวียพูดอะไรไม่ออก แต่ก็เหมือนมีบางอย่างติดอยู่ภายในใจ เบื่อ พูดไม่ได้ว่ามันอึดอัด แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจ
เสียงหัวเราะที่เยือกเย็นของเขานั้นทำให้ทุกคนเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เขายังจำต้วนอีเหยาได้ และลึกๆภายในใจเขา…..ยังรักเธออยู่ !
มู่เวยเวยถอนหายใจ ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่เขาเลือก งั้นก็ให้ความร่วมมือกับเขา หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้น เขายังต้องแต่งงาน ที่จริงจะต้องขอบคุณพระเจ้าด้วยซ้ำ !
ทั้งสี่คนเงียบ หลังจากผ่านไปยี่สิบนาที พวกเขาก็มาถึงคฤหาสน์ เย่ชูวเสวียลงรถก่อน เลือกไปที่ห้อง เข้าไปและปิดล็อคประตู
ต่อไปก็คือการพูดคุยเรื่องแต่งงาน เธอช่วยอะไรไม่ได้ และไม่อยากช่วยด้วย
……
ไป๋จิ่นอี้ใช้ผ้าขนหนูเช็ดปาก เขากวาดสายตามองต้วนอีเหยาตั้งแต่ศีรษะลงมา ขนตาเรียวยาวกระพริบเป็นระยะ และหัวใจของเขาก็เต้นขึ้น
“ทำไมคุณถึงมองฉันตลอดเวลา ?”ต้วนอีเหยาเอามือแตะจมูกอย่างไม่สบายใจ และทันทีที่สบตากับเขา เธอก็ถอยห่างทันที
ไป๋จิ่นอี้หมกมุ่นอยู่กับแสงสว่างของดวงตาเธอ แต่ก็ยังข่มใจตัวเองยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ดูเหมือนว่าสองสามวันนี้คุณนอนไม่พอ ไม่เพียงแต่ใต้ตาคล้ำ ยังผอมลงอีกด้วย”
มือเธอหยุดลง จับตา ต้วนอีเหยามึงงงเล็กน้อย “จริงเหรอ ?”
สองสามวันนี้เธอมีความสุขมาก ทุกวันทานแต่ของอร่อย แต่เมื่อถึงตอนกลางคืน…….
เธอมักจะคิดถึงคนๆนั้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อคิดว่าเขามองคนอื่นอย่างอ่อนโยน ดีกับคนอื่น หัวใจเธอก็รู้สึกปวดร้าว
“ผมจะพาคุณไปที่ๆหนึ่ง”
“เอ๊ะ ?”’
ต้วนอีเหยายังไม่ทันตอบสนองใดๆ มือเธอก็ถูกจับไว้ “พวกเราจะไปที่ไหนกัน ?”
ไป๋จิ่นอี้หันศีรษะมา ยิ้มอย่างมีเลศนัย “เมื่อถึงแล้ว คุณก็รู้เอง!”
“แต่ฉันยังไม่ได้จัดดอกไม้เลย”
“เดี๋ยวเสี่ยวกุ้ยก็ช่วย”
พวกเขาเดินไปประมาณสิบนาที ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่
คิดกลับไปถึงตอนที่เพิ่งเข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นมองประตูใหญ่ “นี่เป็นโรงเรียนที่คุณทำงาน”
ไป๋จิ่นอี้มองดูป้ายชื่อที่แขวนอยู่บนต้นไม้อย่างละเอียด เมื่อได้ยินเธอถามก็หันศีรษะกลับไปเบ้ปาก “ว่ากันว่าต้นไม้นี้สามารถขอคนแต่งงานได้ ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยเชื่อ แต่ผมก็ยังอยากจะพาคุณมาดู”
ต้วนอีเหยาถึงกับผงะ เมื่อมองไปที่ต้นไม้อีกครั้งสายตาเธอก็เปลี่ยนไป กิ่งไม้อยู่ต่ำมาก เธอเขย่งปลายเท้าก็เอื้อมถึงแล้ว ด้านบนแขวนป้ายผ้าอยู่เยอะมากแล้วก็มีหลากหลายลวดลาย แต่ทุกป้ายชื่อล้วนมีชื่อของคนสองคนอยู่
“ของแบบนี้ได้ผลจริงเหรอ ?” ต้วนอีเหยาอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง การแต่งงานของพวกเขาขึ้นอยู่กับพระเจ้าจริงเหรอ ?
ไป๋จิ่นอี้ปรบฝุ่นบนมือ หูก็ได้ยินสิ่งที่เธอสงสัย จึงตอบไปว่า “ไม่มีใครรู้ แต่ทุกคนก็เลือกที่จะเชื่อ เพราะว่าพวกเขารักคนข้างกายมากไง……”
ไม่ทันตั้งตัวก็ได้ยินคำสารภาพรักของไป๋จิ่งอี้ ต้วนอีเหยารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “คุณเป็นคุณครูของโรงเรียนนี้ ทำไมดูเหมือนยามเฝ้าประตูจะจำคุณไม่ได้”
“ผมเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นาน คนส่วนใหญ่รู้จักพ่อของผม”ไป๋จิ่นอี้ไม่สนใจที่เธอเปลี่ยนเรื่อง แต่กลับอธิบายให้เธอฟังอย่างละเอียด
ต้วนอีเหยาพยักหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ จนถึงตอนนี้ต่อหน้าเขาเธอก็ยังไม่สามารถปล่อยมันไปได้
ไป๋จิ่นอี้มองเธออย่างอ่อนโยน และหยิบไม้ท้อออกมาจากกระเป่ากางเกง “ผมไปถามเกี่ยวกับวิธีของพรมา ทำไมพวกเราไม่มาลองขอพรกันล่ะ?”
“เอาสิ !”ต้วนอีเหยาแสร้งพยักหน้าอย่างมีความสุข และมองไปที่ไม้ท้อด้วยความสนใจ
“จงขอพรอย่างจริงใจ คุณหลับตาลง และในใจก็คิดถึงคนที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน”
ต้วนอีเหยาหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง และคิดถึงชื่อของไป๋จิ่นอี้ เมื่อได้ยินคำว่า “อยู่ด้วยกันไปตลอด” ภาพในหัวของเธอก็เปลี่ยนเป็นเงาของเย่จิงเหยียน
ในช่วงเวลาอย่างนี้ฉันจะคิดถึงเขาได้ยังไง แต่เมื่อคิดขึ้นมา สมองของเธอก็ควบคุมไม่ได้ ใบหน้าของเขา รอยยิ้มของเขา ล้วนเป็นสิ่งที่ตราตรึงอยู่ภายในใจของเธอ
เธอตกใจ รีบลืมตาขึ้นมา และแอบมองไปที่ไป๋จิ่นอี้ และเห็นเขาหลับตาอย่างระมัดระวัง
ไม่กี่วินาทีต่อมา ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้นมา สบตาเข้ากับต้วนอีเหยา เขาก็สะดุ้งเล็กน้อยและก็ยิ้มให้กับเธอ
ต้วนอีเหยารีบหลบสายตา “ฉัน……พวกเราแขวนป้ายกันก่อนเถอะ”
“ใช่แล้ว ยังไม่ได้สลักชื่อเลย !”
ไป๋จิ่นอี้หันป้ายไปทางเธอ “ผมสลักเรียบร้อยแล้ว”
ต้วนอีเหยาเห็นชื่อของสองคนสลักไว้บนนั้น ก็มีความรู้สึกบีบคั้นขึ้นภายในใจ
“ผมกลัวว่าคุณจะไม่ยอมมา เลยสลักไว้ล่วงหน้า คุณไม่มา ผมเอามันมาแขวนก็โอเคแล้ว”
“แบบนี้นี่เอง……”ต้วนอีเหยายิ้มอย่างเขินอาย ที่แท้เขาสังเกตเห็นความแปลกของเธอมานานแล้ว แต่เก็บไว้ในใจตลอดไม่พูดออกมา
“อาจารย์ไป๋ !”
ต้วนอีเหยาที่ไม่รู้ควรจะทำยังไงดี จากนั้นก็มีเสียงทักทายของผู้หญิงดังมาจากด้านหลัง เสียงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในพริบตาเธอก็มายืนตรงหน้าทั้งสองคนแล้ว
“อาจารย์ไป๋ ทำไมสองสามวันนี้คุณถึงไม่เข้าสอนในคลาส ? ป่วยเหรอ ?” ผู้หญิงคนนั้นไม่สนใจต้วนอีเหยา และจ้องไปที่ไป๋จิ่นอี้อย่างกระตือรือร้น
เมื่อเห็นเขาถือป้ายอยู่ในมือ ก็รู้สึกแปลกใจ “อาจารย์ไป๋คุณจะแขวนป้ายบนต้นไม้ ด้านบนเขียนอะไรไว้เหรอ ?”
แขวนป้ายต้นไม้นี้ก็คือเรื่องแต่งงาน ดังนั้นนักเรียนทุกคนในโรงเรียนนี้ล้วนรู้ดี ดังนั้นที่เธอถามแบบนี้ ก็เพราะว่าอยากดูชื่อที่อยู่บนป้าย
ไป๋จิ่นอี้หลีกเลี่ยงการสัมผัสของเธอ และยิ้มอย่างอ่อนโยน “สองสามวันนี้มีเรื่องด่วนบางอย่างที่ต้องจัดการ”
“มีเรื่องด่วนอะไรเหรอ ?”
ไป๋จิ่นอี้เงยหน้าขึ้นมองต้วนอีเหยา ผู้หญิงคนนั้นก็หันตามสายตาของเขาไป ทันทีที่เห็นต้วนอีเหยา สายตาก็ดูสนใจ
“อาจารย์ไป๋ เธอเป็นใครเหรอ ?”
“เธอเป็นแฟนของฉัน”ไป๋จิ่นอี้จับมืองของต้วนอีเหยา
“อะไรนะ ?”ผู้หญิงคนนั้นดูจะไม่เชื่อ “อาจารย์ไป๋มีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
ไป๋จิ่นอี้จ้องไปที่ต้วนอีเหยาสักพัก และส่งสัญญาณให้เธอแสดง ต้วนอีเหยากระแอม ในสนามรบเธอไม่เคยกลัว แต่ในเรื่องของผู้หญิง เธอยังไม่เก่ง
“อืม……ฉันอยู่กับอาจารย์ไป๋ของพวกเธอมาสามสี่วันแล้ว เขาตามตื้อฉันจนฉันก็เริ่มเก็บมาคิดบ้างแล้ว”
“เธอ…….”
ผู้หญิงคนนั้นโกรธจนพูดอะไรไม่ออก เธอมองไปที่ไป๋จิ่นอี้อย่างขมขื่น “อาจารย์ไป๋ สองสามวันก่อนที่คุณตามฉันทุกวันๆมันหมายความว่ายังไง ?”
คิ้วของต้วนอีเหยากระตุก และมองไปที่ไป๋จิ่นอี้ด้วยสายตาเดียวกัน ที่แท้เขาก็ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วย
มือถูกจับแน่นขึ้น ไป๋จิ่นอี้อธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “นักเรียนเสี่ยวเฟิง หมายความว่ายังไงสองสามวันก่อน ?”
“น่าจะตอนเปิดเรียนได้ไม่นาน…….”
“ถ้างั้นก็ใช่แล้ว” สีหน้าของไป๋จิ่นอี้เปลี่ยนเล็กน้อย “เทอมที่แล้วเธอสอบตกหลายวิชา ผมตามหาเธอทุกวันก็เพราะว่าผมจะไม่ให้คุณโดดเรียน”
เสี่ยวเฟิงไม่คิดว่าไป๋จิ่นอี้จะอธิบายแบบนี้ ความกระตือรือร้นทั้งหมดหายไป เหลือเพียงน้ำตาเล็กน้อย ก็ไหลลงมา
ไป๋จิ่นอี้ไม่เคยโกรธจนทำให้ผู้หญิงร้องไห้ ซึ่งมันทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก เขามองไปที่ต้วนอีเหยาราวกับขอความช่วยเหลือ แต่เห็นต้วนอีเหยากางมือออกและเธอก็ดูทำอะไรไม่ถูก
“เอ่อ……นักเรียนเสี่ยวเฟิง……?”
เสี่ยวเฟิงไม่สนใจเขา เช็ดน้ำตาด้วยตัวเอง ไป๋จิ่นอี้และต้วนอีเหยาก็ไปไหนไม่ได้
ต้วนอีเหยาแอบตีที่แขนไป๋จิ่นอี้และกระซิบถามว่า “ทำยังไงดี ?”
ไป๋จิ่นอี้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้เธอ และแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “นักเรียนเสี่ยวเฟิง เกิดอะไรขึ้น ?”
“อาจารย์ไป๋ ฉันชอบคุณ !”เสี่ยวเฟิงหยิบผ้าเช็ดหน้า เช็ดน้ำตา เงยหน้าขึ้นสารภาพรักกับเขา
คำพูดนี้ทำให้มือของไป๋จิ่นอี้ชะงัก เขาหันไปขอความช่วยเหลือต้วนอีเหยา เขาไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อนจริงๆ
หลังจากคิดเรื่องนี้ เขาก็พูดอย่างจริงจังว่า “นักเรียนเสี่ยวเฟิง บางทีผมอาจจะทำให้คุณเข้าใจผิด ผมกับคุณมีแค่มิตรภาพระหว่างครูและนักเรียนเท่านั้น ไม่อยากให้คุณเข้าใจผิด แบบนี้ทั้งคุณ ทั้งผม……”
ด้วยเหตุนี้จึงหันไปมองต้วนอีเหยา สำหรับเธอด้วย ,มันจะดีสำหรับทุกคน!
เสี่ยวเฟิงเงยหน้าขึ้นมองทั้งน้ำตา มองไปที่ต้วนอีเหยา เมื่อเห็นว่าเธอไม่แสดงอาการใดๆ ก็ร้องไห้และเดินออกไปจากสถานที่ที่ทำให้เธอเศร้าแห่งนี้
เธอไม่ชอบต้วนอีเหยา ไม่ใช่เพราะว่าเธอแย่งไป๋จิ่นอี้ไป มันไม่มีเหตุผล แต่เธอรู้สึกว่าต้วนอีเหยาไม่ได้ชอบไป๋จิ่นอี้……
รอจนกว่าเงาของเสี่ยวเฟิงจะหายไป ไป๋จิ่งอี้ถึงหันกลับมา ต้วนอีเหยาที่อยู่ข้างๆเขาตลอด รอจนเขาหันกลับมามองตัวเอง ก็ล้อว่า “ทำไม ? ทนไม่ได้เหรอ ?”
“อีเหยา คุณก็รู้ดีว่า……..”
ต้วนอี้เหยายิ้มอย่างซุกซนเมื่อเห็นเขาโกรธ “โอเคๆ ล้อเล่นก็เท่านั้นเอง”
เธอเหลือบมองริบบิ้นแดงในมือเขา “ไม่ต้องแขวนแล้ว ฉันจะไปแล้ว”
ไป๋จิ่นอี้เพิ่งตระหนักได้ว่าในมือยังมีของอยู่ เขาเดินรอบๆต้นไม้ และพบว่ามีกิ่งไม้ที่อยู่สูงกว่าอันอื่นเล็กน้อย
แม้ว่าด้านบนนั้นจะมีอยู่สองสามอัน แต่ก็ไม่แน่นเท่าข้างล่าง ด้วยความสูงของเขาเอื้อมไปก็ถึงพอดี
ต้วนอีเหยากอดอก มองเขาที่พยายามแขวนป้ายไว้ที่สูงสุด ในใจก็ราวกับว่ารู้สึกอึดอัดมากเป็นพิเศษ
ปรากฎว่าทุกคนล้วนหวงแหนคนรักของตัวเอง……..
“เสร็จแล้ว !”
ไป๋จิ่นอี้หันศีรษะไป แสงแดดส่องกระทบใบหน้าของเขาผ่านกิ่งไม้ อบอุ่น ราวกับว่าเขาเดินออกมาจากการ์ตูนยังไงยังงั้น