วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 360 ต้องไปจากเขาให้ได้
ดวงตาของต้วนจื้ออิ๋งเต็มไปด้วยน้ำตา เขาไม่รู้เลยว่าเธอเองก็ชอบเขามาก และแม้จะมีอีกสักกี่คนที่มาชอบเธอ เธอก็ไม่ยอม….
………………………….
ณ ห้องโถงค่ายทหาร ต้วนอีเหยาที่ยืนอยู่ตรงข้ามทหารต้วน ค่อยๆเดินเข้าไปหาเขาอย่างเงียบๆ
“ทำไมไปกะทันหันแบบนี้?” ทหารต้วนถาม
เพิ่งมาถึงแค่สองวันก็ต้องไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาคิดไม่ออกเลยว่ามีเหตุผลอะไรเร่งเด่วนขนาดนั้น
“พ่อไม่ต้องถามอะไรแล้วค่ะ อย่างไรก็ต้องไป” ต้วนอีเหยากล่าวเสียงแข็ง ครั้งนี้เธอไม่ประนีประนอมอีกต่อไปแล้ว
เธออยากเก็บเด็กในท้องไว้ แต่ก็ไม่อยากให้คนที่เธอรักเป็นกังวล
เย่จิงเหยียนเองก็ควรได้อยู่กับคนที่เหมาะสมกับเขามากกว่านี้ ได้มีลูกที่แข็งแรงสมบูรณ์
แต่คงไม่ใช่เด็กที่อยู่ในท้องเธอตอนนี้ เพราะแม้แต่เธอเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าตอนนี้เด็กจะแข็งแรงดีไหม
“เป็นเพราะเย่จิงเหยียนใช่ไหม?” ทหารต้วนมองหน้าเธอก็รู้ว่าลูกกำลังคิดอะไรอยู่
เพราะเขาคิดดูแล้ว ก็คงมีแค่เหตุผลนี้เหตุผลเดียว ตั้งแต่ที่ต้วนอีเหยาได้เจอเด็กหนุ่มนั่น เธอก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อน
“ไม่ใช่เพราะเขา…” ต้วนอีเหยาปฏิเสธทันควัน แต่ยิ่งเธอโกหก ก็ยิ่งทำให้พ่อเขาสงสัยกว่าเดิมเข้าไปอีก
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ต้วนอีเหยาอ้างเหตุผลงราเง่า “ลูกไม่อยากอยู่ที่นี่ บรรยากาศมันดูเคร่งเครียดและอึดอัดเกินไป จริงๆคิดอยากจะไปตั้งนานแล้ว”
“แกพูดอะไร?” ทหารต้วนแปลกใจกับสิ่งที่เธออ้าง เธอไม่เคยพูดแบบนี้ออกมา
“พูดกี่ครั้งมันก็เหมือนเดิม” ต้วนอีหยามองเห็นสายตาเศร้าโศกของผู้เป็นพ่อ
ในใจเธอก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน แต่เพราะยังไงเธอก็ต้องไป จึงจำเป็นต้องพูดแบบนี้
“โอเคๆๆ” ทหารต้วนพูดพร้อมกับขำเยาะ “นี่เป็นความคิดของแก?”
“ในเมื่อแกอยากออกไป ฉันก็จะไม่ขัด”
พ฿ดจบก็หมุนตัวเดินจากไป เหลือเพียงเธอที่ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขขยับ เธอมองตามแผ่นหลังของพ่อเธอ รู้ดีว่าที่เขาทำแบบนี้คือยอมปล่อยให้เธอไปแล้ว และหมายความว่าจะไม่เจอกันอีก
ต้วนอีเหยาได้แต่ข่มความเจ็บปวด และเดินออกไป
เธอจะหยุดไม่ได้ ถึงแม้ตอนนี้พ่อจะกำลังเข้าใจผิดและเสียใจ แต่ยังดีกว่าให้เขารู้ความจริงและทุกข์ใจมากกว่านี้
เธอเดินมาถึงลานฝึก ขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อน ต้วนอีเหยารีบเช็ดน้ำตาและตะโกนออกมาว่า “สวัสดีทุกคน”
ซ่วนวู่ที่กำลังดื่มน้ำอยู่ แทบสำลักเมื่อเห็นหน้าเธอ “ลูก…ลูกพี่ ผมเห็นผีหรือเปล่านี่?”
“ผีบ้านแกซิ” ต้วนอีเหยาเตะไปที่ซ่วนวู่เบาๆ “คนอย่างแกนี่มันกวนจริงๆ พูดดีๆด้วยคงไม่ได้”
“ฮุ้ว..แบบนี้ซิถึงจะใช่ลูกพี่ที่ผมรู้จัก” ซ่วนวู่ยิ้มอย่างกวนๆ
ต้วนอีเหยาส่ายหน้า จากนั้นเห็นทุกคนเริ่มล้อมวงเข้ามา จึงเริ่มพูดว่า “ฉันมาที่นี่มีเรื่องบางอย่าง…”
เธอหยุด มองดูลูกน้องที่รอฟังเธอบอกอย่างตั้งใจ
“ฉันจะไปจากที่นี่แล้ว และไม่ได้เป็นหัวหน้าพวกนายอีกแล้ว ถึงแม้ไม่กี่วันมานี่ พวกนายจะปฏิบัติต่อฉันไม่ได้ดีมาก แต่ก็ถือว่าทุกคนสามัคคีกันดี”
“ฉัน..หวังว่า พวกนายทุกคนจะตั้งใจฝึก เพื่อให้ผู้คนเห็นว่าพวกเราเจ๋งแค่ไหน”
เธอไม่มีอะไรจะพูดต่อ ทุกสายตามองไปที่เธออย่างไม่เข้าใจ
เธอคิดเสมอว่าทำไมฟ้าดินไม่ยุติธรรมกับเธอเอาเสียเลย ทำไมต้องให้เรื่องพวกนี้มาาเกิดขึ้นกับเธอด้วย
ซ่วนวู่ตกใจมาก เธอมาที่นี่ไม่บอกไม่กล่าว และตอนจะไปก็กะทันหันเหลือเกิน นี่มันอะไรกัน?
“ลูกพี่ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ซ่วนวู่ถาม
“ก็แค่อยากพักผ่อนบ้าง จะทำไมหนักหนาหืม?”
“ผมไม่เชื่อ”
ซ่วนวู่จ้องที่ตาเธอ จนเธอต้องหลบตา
“ซ่วนวู่ ฉันไม่จำเป็นต้องโกหกใคร”
“งั้นแล้วทำไมลูกพี่อยู่ๆก็อยากพัก หรือลูกพี่คิดจะไปเข้าร่วมกับทีมอื่นเพื่อเกียรติยศที่เพิ่มขึ้น?”
“นายคิดว่าฉันยอมทิ้งทุกคนเพื่อเกียรติยศอะไรนั่นหรือ?” ต้วนอีเหยายิ้มเยาะ “แบบนั้นฉันยังใช่คนอยู่ไหม? ซ่วนวู่…”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ ลูกพี่ฟังผมก่อน..”
เมื่อเขารู้ว่าต้วนอีเหยาเข้าใจผิด จึงรีบจะอธิบาย แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง
“เอาล่ะ อย่างไรตอนนี้ฉันก็ต้องไปแล้ว นายจะคิดยังไงก็เรื่องของนาย”
ต้วนอีเหยาแกล้งทำเป็นโกรธ และเดินออกจากลานฝึกไป ทิ้งให้ซ่วนวู่เสียใจอยู่ข้างหลังเพียงคนเดียว
อาเทียนที่อยู่ตรงนั้น สายตาดูยุ่งเหยิง และเขาก็ตัดสินใจเดินตามหลังต้วนอีเหยาไปด้วย
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา อย่าเอาแต่เดินตามฉัน” ต้วนอีเหยาหยุดและหันหน้ามาหาเขา
อาเทียนมองที่ต้วนอีเหยา จากนั้นถามว่า “หัวหน้าต้วนครับ ได้ยินว่าจะไปจากที่นี่หรือครับ?”
“อืม ใช่”
“ทำไมครับ? หรือว่าเป็นเพราะ…”
ต้วนอีเหยามองไปที่เขาอย่างสงสัย รอเขาพูดออกมา
“เพราะหู?” อาเทียนทำน้ำเสียงจริงจัง “เป็นเพราะผมเป็นต้นเหตุทำให้หูของหัวหน้าแย่ลงใช่ไหมครับ เลยอยากออกไปจากที่นี่?”
ต้วนอีเหยาหัวเราะลั่น ยอมแพ้ในความมโนของเขาจริงๆ “นี่อาเทียน นายคิดมากเกินไปแล้ว ที่ฉันออกไปจากที่นี่ ไม่เกี่ยวอะไรกับนายเลย”
“จริงหรือครับ?” เขาถามอย่างไม่เชื่อ
“จริงซะยิ่งกว่าจริงอีก”
ต้วนอีเหยาเตรียมจะหันหลังเดินออกไป แต่อาเทียนก็วิ่งมาขวางเธอไว้ “ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ไม่ไปได้ไหมครับ?”
“หือ?”
เป็นอะไรไป ตอนแรกนึกว่าจะแค่มาถาม ตอนนี้กลับกลายเป็นขอร้องไม่ให้ไปแทน
อาเทียนเงียบอยู่พักใหญ่ และพูดขึ้นว่า “ผม…ผมชอบหัวหน้าครับ”
อะไรนะ?
ต้วนอีเหยางงหนักมาก มาไม่นานพระเจ้าก็จัดเตรียมโชคชะตานี้ไว้ให้เธอแล้วหรือ
“ได้ยินไหมครับ?” อาเทียนเห็นว่าเธอไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงถามซ้ำ
ต้วนอีเหยาตั้งสติได้จึงพูดขึ้นว่า
“เอ่อ? อันนั้น…”
เธอพยายามหาคำพูดเพื่อปฏิเสธและถนอมน้ำใจเขามากที่สุด
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องรีบให้คำตอบ หัวหน้าอยู่ที่นี่ค่อยๆคิด ค่อยๆสังเกตผมก็ได้ครับ”
อาเทียนเขินจนไม่กล้าจะมองหน้าเธอ
“เอ่อคือ..ขอโทษนะ” ต้วนอีเหยาพูดออกมา อย่างไรซะเธอก็ต้องไปจากที่นี่ ปฏิเสธเขาซะตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ต้องให้ความหวัง ต่อไปจะได้ไม่ยุ่งยาก
และถึงแม้เธอจะไม่ไปจากที่นี่ เธอก็ยังคงปฏิเสธเขาอยู่ดี เพราะเธอไม่ได้รักเขา
อาเทียนกำมือแน่น ถามว่า “ทำไม…..ไม่ลองคิดสักนิดเลยล่ะครับ?”
“เพราะฉันไม่ได้รักนาย…”
“แต่พวกเราเพิ่งรู้จักกันแค่สองวันเอง”
ต้วนอีเหยายิ้มเบาๆ “นายเองก็ใช้เวลาแค่สองวันแล้วรู้สึกชอบฉันไม่ใช่หรือ? นี่ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าความรักไม่ได้มีเวลาเป็นตัวกำหนด”
เพราะถ้ารู้สึกใช่ เจอแค่นาทีเดียวก็รัก แต่ถ้าไม่ใช่ ให้ตายอย่างไรก็ไม่รัก
อาเทียนพูดอะไรไม่ออก เหมือนจะไม่อยากเห็นด้วยแต่สิ่งที่เธอพูด แต่คิดๆแล้วมันก็จริง เขามองที่เธอและถามต่อว่า
“หัวหน้ามีคนที่ชอบแล้วใช่ไหมครับ?”
“อืม” ต้วนอีเหยาตอบทันที
เธอมีคนที่ชอบแล้ว และไม่มีใครมาแทนที่ได้ด้วย
อาเทียนยอมแพ้ เธอพูดขนาดนั้นแล้ว จะให้เขาจะทำอะไรได้อีก
ตอนแรกต้วนอีเหยาไม่อยากทำร้ายจิตใจเขา แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะความรัก ถ้าไม่สุขก็ต้องทุกข์ มันเป็นเรื่องธรรมดา
…………………………
บนถนนในค่ายทหาร เย่จิงเหยียนขับรถอยู่ด้วยความเร็ว เขาเพ่งแต่ทางที่อยู่ข้างหน้า จึงไม่ทันสังเกตรถแท็กซี่ที่ขับสวนกับเขาไป
ต้วนอีเหยาที่อยู่ในรถ มองเห็นหน้าตารีบร้อนของเย่จิงเหยียน จึงบอกกับคนขับว่า “โชเฟอร์ ขับเร็วหน่อย!”
“สาวน้อย นี่มันเขตทหารนะ เขาจำกัดความเร็ว หรือว่า….” โชเฟอร์มองผ่านกระจกหลัง “หนีทหารหรือ”
“ไม่ใช่ซะหน่อย…”
ต้วนอีเหยาไม่รู้จะอธิบายอย่างไร จึงตอบว่า “เอาหน่า ขับเร็วกว่านี้หน่อยก็ได้”
ถ้าเย่จิงเหยียนเข้าไปแล้วไม่เห็นเธอ เขาต้องตามออกมาทันแน่ๆ
“รู้แล้วๆ ผ่านทางข้างหน้าไป ก็เร่งความเร็วได้แล้ว” โชเฟอร์กล่าว
ผ่านไปสิบนาที โชเฟอร์ทนไม่ไหวต้องเอ่ยถามกับเธอว่า “สาวน้อย นี่ตกลงจะไปที่ไหนหรือ? ขับมาตั้งนานแล้วยังหาที่ที่คุณบอกไม่ได้เลย”
“ฉัน เอ่อ…”
ต้ว้นอีเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งคอนโดและร้านดอกไม้ เธอจะกลับไปไม่ได้อีก จึงบอกเขาว่า “ไปส่งฉันที่สนามบิน”
โชเฟอร์รู้สึกสงสัย ว่าทำไมเธอถึงรีบร้อนขนาดนี้ หรือเธอจะทำอะไรผิดที่ค่ายทหารมาหรือเปล่า?
แต่เขาก็เป็นแค่ประชากรตัวเล็ก จะยุ่งให้มากเรื่องก็คงจะไม่ได้ ที่ทำได้คืออยยากจะรีบพาเธอไปส่งที่หมาย และแยกกันไป
ต้วนอีเหยาไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรรู้ รู้แต่ว่าเขาเร่งความเร็วของรถขึ้นมากกว่าเมื่อครู่
ไม่นาน รถก็เดินทางมาถึง โชเฟอร์ถอนหายใจเล็กน้อย “ถึงแล้ว”
ต้วนอีเหยาไม่เข้าใจเขาจะถอนหายใจทำไม คนที่ต้องถอนใจควรเป็นเธอไม่ใช่หรือไง? เมื่อกี้บอกให้เร็วก็ไม่เร็ว แต่พออยู่ๆก็ขับเร็วมาก
เธอลังเลอยู่ในสนามบินอยุ่ครึ่งวัน จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินไปที่เมืองเอช ไปในที่ที่ทุกคนเป็นคนแปลกหน้า ไปลืมทุกๆอย่าง และเปิดหูเปิดตาเริ่มสิ่งใหม่ๆ
ขณะที่นั่งรออยู่ในเกท เธอกำลังนั่งคิดอะไรเยอะแยะ อยู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น และปลายสายคือฮัวเสี่ยวกุ้ย
ต้วนอีเหยานึกขึ้นได้ ตอนที่จะออกมา เธอยังไม่ได้บอกเสี่ยวกุ้ยสักคำ จึงรู้สึกผิดขึ้นมา
“ฮัลโหล เสี่ยวกุ้ย”
“เจ้านายไปไหนหรือคะ? ผู้ชายที่อยู่กับคุณวันนั้น ตามหาคุณไปทั่วเลย”
ต้วนอีเหยาตกใจ “เขาอยุ่ข้างๆเธอหรือ?”
“เปล่าค่ะ ตอนนี้เขาน่าจะกำลังขับรถไปที่คอนโดค่ะ เขาบอกว่าโทรหาคุณไม่ติด ฉันเลยลองโทรดูค่ะ”
ต้วนอีเหยายิ้มแห้ง จะติดได้อย่างไร ในเมื่อเธอบล็อครายชื่อเขาไปแล้ว
“ไอหยา ตกลงคุณไปไหนหรือคะ? ช่วงนี้ไม่ได้เจอคุณเลย”
ฮัวเสี่ยวกุ้ยไม่ได้ยินเสียงตอบกลับของต้วนอีเหยา จึงบ่นๆให้เธอฟังว่า “คุณรู้ไหมคะ ช่วงไม่กี่วันมานี้ คนมาซื้อดอกไม้เยอะมาก เยอะจนฉันไม่มีเวลาทำอะไรเลย”
ต้วนอีเหยาได้แต่ฟังอย่างเงียบๆ เธอไม่รู้จะบอกว่าอะไรดี ร้านนี้เธอเป็นคนเปิด แต่ตอนนี้กำลังจะโยนให้เสี่ยวกุ้ย แล้วเธอจะเริ่มเอ่ยปากอย่างไร?
“เจ้านายคะ?! เจ้านายคะ?! ”
“เอ่อ?” ต้วนอีเหยาดึงสติกลับมา “เสี่ยวกุ้ย เธอฟังดีๆนะ ฉันมีเรื่องที่ทำให้ต้องไปจากที่นี่นิดหน่อย แต่ไปที่ไหนฉันคงบอกเธอไม่ได้ ร้านดอกไม้นี้ ถ้าเธอดูแลไม่ไหว ก็ขายหรือปิดมันก้ได้ จากนี้ไปเธอจัดการเองได้เลย”
“ไปจากที่นี่?”
เสี่ยวกุ้ยถามด้วยความตกใจ “เจ้านายทำไมต้องไปจากที่นี่?”
“ไม่มีทำไม แต่จำไว้ อย่าบอกเขาคนนั้นว่าติดต่อฉันได้”
“ทำ….”
“ไม่มีทำไม!”
“อ่อ…” เสี่ยวกุ้ยตอบตะกุกตะกัก เจ้านายเธอเปลี่ยนไป ทำไมดุขนาดนี้ล่ะ?
ต้วนอีเหยารู้ว่าเธอกำลังคิดมั่วซั่ว จึงรีบพูดขึ้นว่า “อย่าคิดมาก มันเป็นธุระส่วนตัวจริงๆ ถ้าเธอยากเปิดร้านนี้ต่อ ฉันก็ให้เธอแล้วกัน”
“ให้ฉัน?” เสี่ยวกุ้ยตกใจ ที่ตั้งร้านตอนนี้ราคาไม่ใช่ถูกๆเลย แต่นี่เธอไม่ต้องลงทุนอะไรก็ได้มันมาครอง?
“อืม ฉันรู้ว่าเธอชอบดอกไม้ ร้านนี้ฉันให้เธอ ถือว่าไม่ได้เสียเปล่า”
“เจ้านายอย่าพูดแบบนี้ ถ้าคุณมีธุระฉันสามารถดูแลแทนก่อนได้ รอคุณกลับมาร้านนี้ก็คืนกลับให้คุณ….” เสี่ยวกุ้ยรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี
เจ้านายต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ!
ต้วนอีเหยาคุยกับเธออีกสองประโยค ก็วางสายไป
ประกาศจากสนามบินแจ้งให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องดังขึ้น ต้วนอีเหยากำตั๋วเครื่องบินแน่น และเดินไปหน้าประตูทางเข้า
เธอลังเลอยู่สักพักก่อนที่จะตัดสินใจปิดโทรศัพท์ พอดีก่อนที่หน้าจอจะดับ มีสายโทรเข้ามาพอดี แต่เธอไม่ได้ดูและไม่สนใจว่าใครเป็นคนโทรมา
ในเมื่อเธอตัดสินใจที่จะไปแล้ว ก็ตัดความสัมพันธ์กับคนที่นี่ไปเลยแล้วกัน
…………………………………
ต้วนอีเหยากดออดหน้าประตูคอนโดของเธออยู่พักใหญ่ แต่ไม่มีใครมาเปิด เขาทรุดลงกับพื้นอย่างหมดหวัง
ไฟหน้าจอมือถือของเขายังคงสว่างอยู่ และข้อความที่ปรากฎอยู่ก็ทำให้เขาปวดใจมาก
เป็นข้อความสุดท้ายที่ต้วนอีเหยาส่งให้เขาตอนที่เธอออกจากค่ายทหาร หลังจากนั้นเขาก็โทรหาเธอไม่ติดอีกเลย
ข้อความเขียนว่า : จิงเหยียน ฉันเพิ่งไม่สามารถให้อภัยนายทั้งหมดได้ ยิ่งอยู่ด้วยกันเราทั้งสองยิ่งมีแต่ความทุกข์ทรมาน เพราะฉะนั้นคงจะดีกว่าถ้าฉันจะจากไป
เขาไม่เข้าใจเลยว่าเขาทำอะไรผิด เธอถึงได้ทิ้งเขาไปแบบนี้
คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ในหัวมีแต่คำว่าทำไมทำไมๆๆ เขากดโทรหาเธออีกกี่ครั้ง ก็ได้ยินแต่เสียงปลายสายบอกว่าติดต่อไม่ได้ ให้โทรใหม่อีกครั้ง
ทุกอย่างเปลี่ยนไปเร็วมาก เมื่อเช้าเขายังรู้สึกอยู่เลยว่าความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ตอนนี้ เขากลับมานั่งเสียใจอยู่ที่พื้นอย่างหมดหวัง
เขาไม่ใจเหตุผล แต่แบบนี้ทำให้เขาเหมือนตายทั้งเป็นตลอดชีวิต
………..
ณ ร้านดอกไม้ ไป๋จิ่นอี้มองหน้าฮัวเสี่ยวกุ้ย และบอกเธอว่า “โทรไม่ติด”
“เป็นไปได้อย่างไร เมื่อกี้เจ้านายยังรับสาย…” เสี่ยวกุ้ยตกใจเล็กน้อย หลังจากหลุดปากพูดออกมา
ไป๋จิ่นอี้ กดดันและถามเธอว่า “เธอพูดว่าอะไรบ้าง?”
ถึงแม้เวลาปกติไป๋จิ่นอี้จะเป็นคนสนุกสนานเฮฮา แต่เวลาเธอเอาจริงขึ้นมา ก็ทำให้คนหวาดกลัวได้เหมือนกัน
ฮัวเสี่ยวกุ้ยตอบตะกุกตะกัก “ไม่..ไม่มีอะไร”
“เสี่ยวกุ้ย…”
ฮัวเสี่ยวกุ้ยกดดันมาก นึกคำที่เจ้านายสั่งเธอไว้ได้ว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับคุณชายที่ขับรถหรูคนนั้น แต่ไม่ได้สั่งให้ห้ามบอกไป๋จิ่นอี้นี่นา…
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอรวบรวมความกล้าและพูดอย่างรัวว่า “เจ้านายบอกจะไปจากที่นี่สักระยะหนึ่ง ให้ฉันเป็นคนดูแลร้านดอกไม้นี้แทน?”
“ไป? ไปไหน? นานเท่าไหร่?”
ฮัวเสี่ยวกุ้ยส่ายหัว “เจ้านายไม่ได้บอกไว้”
ไป๋จิ่นอี้งงยิ่งกว่าเดิม คิดจะไปก็ไปไม่มีเหตุผลแบบนี้ นี่ไม่ใช่นิสัยของต้วนอีเหยาเลย
“อะแห่ม..” ฮัวเสี่ยวกู้ยเห็นเขากำลังครุ่นคิด จึงกระแอมเบาๆ
“เอ่อ..” ไป๋จิ่นอี้ดึงสติกลับมา “ต่อไปถ้าติดต่อกับอีเหยาได้ ให้บอกฉันด้วย”
“หืม?”
ฮัวเสี่ยวกุ้ยไม่อยากจะเชื่อว่าไป๋จิ่นอี้จะพูดคำพวกนี้ออกมา ปกติแล้วเขามันจะรักษาภาพพจน์ คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะเห็นเขาในอีกมุม
“เอ่อ..คือ ไป๋..” เธอกะอึกกะอัก ไม่รู้จะเรียกเขาว่าอะไรดี
“เรียกชื่อฉันเลยก็ได้”
“เอ่อคือ..ไป๋จิ่นอี้ เจ้านายคงไม่โทรหาฉันอีกแล้วล่ะ”
“ทำไม?”
ฮัวเสี่ยวกุ้ยนึกย้อนถึงเสียงของต้วนอีเหยาตอนที่คุยกับเธอ และตอบว่า “ถึงแม้เธอจะไม่ได้บอก แต่ฉันรู้ว่าเจ้านายกำลังเศร้าเสียใจมาก เพราะฉะนั้นแล้วในช่วงนี้ เธอน่าจะไม่ติดต่อมา”
“เสียใจ?” ไป๋จิ่นอี้ทวนคำ “ทำไมต้องเสียใจ หรือว่าเย่จิงเหยียนทำอะไรเธอ?”
“คงใช่มั้ง เพราะฉันเห็นเขาร้อนรนตามหาเจ้านายอยู่ ตอนนี้น่าจะอยู่ที่หน้าคอนโดเธอ”
ไป๋จิ่นอี้ได้ยินดังนั้น ก็รีบบึ่งรถไปหาเขา เพื่อถามให้เคลียร์ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
คอนโดของต้วนอีเหยา เขาเคยไปส่งเธอตลอด แต่จุดประสงค์ครั้งนี้ต่างกัน ตรงที่เขาไม่ได้ไปหาเธอ แต่ต้องการไปเคลียร์กับเย่จิงเหยียน
เมื่อเขาจอดรถเสร็จ และรีบขึ้นลิฟตืไปที่ห้องของต้วนอีเหยา จากนั้นเห็นเย่จิงเหยียนนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่พื้นหน้าห้องเธอ
ในมือเขาถือบุหรี่อยู่ รอบๆตัวเต็มไปด้วยควัน
ไป๋จิ่นอี้เดินไปได้แค่ครึ่งทางก็ต้องหยุด เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาเลย ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน เย่จิงเหยียนจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
เย่จิงเหยียนได้ยินเสียงคนเดิน จึงเงยหน้าขึ้นมามอง เพ่งมองอยู่พักหนึ่ง ถึงได้รู้ว่าใคร “แกมาทำอะไรที่นี่?”
“แล้วทำไมฉันจะมาไม่ได้?” ไป๋จิ่นอี้ตอบกลับ “แกทำให้อีเหยาไปจากที่นี่ จะไม่อธิบายอะไรหน่อยหรือ?”
“เย่จิงเหยียนยิ้มเยาะ “ทำไมฉันต้องอธิบาย และถึงแม้ฉันจะทำไรผิดจริง นั่นมันก็เป็นเรื่องของฉันกับอีเหยาแค่สองคน”
“หรอ?” ไป๋จิ่นอี้เดินปรี่เข้าไปและกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมา จากนั้นต่อยเข้าไปที่หน้าเขาหนึ่งหมัดหนักๆ
เย่จิงเหยียนเจ็บมาก เขาเอามือลูบหน้า นี่เขาโดนผู้ชายกระจอกแบบเขาต่อยหน้าหรือ..
“ถ้าฉันรู้ว่าแกมันเลวขนาดนี้ ฉันคงไม่หลีกให้หรอก!” ไป๋จิ่นอี้พูดด้วยความโกรธเคือง โกรธจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ตอนนี้เขาดูเหมือนเด็กคนหนึ่งที่เสียคนรักไป ไม่เหมือนอาจารย์มหาวิทยาลัยเลยสักนิด
เย่จิงเหยียนเช็ดเลือดที่มุมปาก “เหอะ หลีกทาง? ตอนนี้เหมือนแกจะยังไม่เข้าใจนะ ว่าคนที่อีเหยารักคือใคร”
ประโยคนี้จี้จุดของไป๋จิ่นอี้เต็มๆ เขาอึ้งไปชั่วขณะ จริงๆแล้วเขาก็ไม่เคยถามเธอด้วยซ้ำว่ายตกลงแล้วเธอรักใคร ได้แต่บีบบังคับเธอ…
ไป๋จิ่นอี้หมดแรงและยืนหลังพิงกำแพง มองดูเย่จิงเหยียนที่พ่นควันออกมา และเขาก็ตกอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันนี้
เขาหลับตาลง ครั้งแรกที่ทำให้เขารู้สึกว่านิโคตินช่วยทำให้เขาผ่อนคลายขึ้น
“รับไป” เย่จิงเหยียนเห็นท่าทางเขา จึงหยิบบุหรี่ยื่นให้เขาหนึ่งมวน
ไป๋จิ่นอี้รับบุหรี่มา และเพ่งมองอยุ่สักพักหนึ่ง จากนั้นเย่จิงเหยียนก็ยื่นไฟแช็กให้เขา และบอกว่า “ใช้ไอ้นี่จุดมัน”
ไป๋จิ่นอี้อายุขนาดนี้แล้ว เขารู้ว่ามันจุดอย่างไร นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสูบบุหรี่ สูบเข้าไปทีแรก เขาก็สำลักควันอยู่พักหนึ่ง