วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 361 จะต้องแย่งเขากลับมาให้ได้
“เหอะ ไม่คิดว่าเราสองคนจะมีวันนี้ นั่งสูบบุหรี่ด้วยกันอย่างสงบ” เย่จิงเหยียนหัวเราะที่มุมปากกับตัวเอง ในที่สุดเขาก็รู้ว่าผู้หญิงคนหนึ่งมีความสามารถมากขนาดไหน
“ทำไมเธอถึงจากไปอย่างกะทันกัน ?” ไป๋จิ่นอี้ยังคงครุ่นคิด
“เธอก็เป็นแบบนี้ ไม่พูดอะไร หนีไปเองคนเดียว…….”
ควันลอยคลุ้ง ใบหน้าของไป๋จิ่นอี้กับเย่จิงเหยียนถูกซ่อนไว้อยู่ข้างในทั้ง ความเศร้า หมดหนทาง โดยปิดกลั้นไว้ทั้งหมด
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว หลังจากแน่ใจว่าไม่มีคน ไป๋จิ่นอี้ก็ลุกขึ้น “การรอแบบนี้ไม่ใช่คำตอบ ผมจะไปแจ้งความ ถ้าเกิดว่าเธอเจออันตรายอะไรเข้าล่ะ ?”
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้เขาก็ไม่อยากที่จะรอแล้ว เขาเหลือบมองไปที่เย่จิงเหยียนถอนหายใจและเดินเข้าไปในลิฟต์ทั้งอย่างนี้
เย่จิงเหยียนยังคงนั่งอยู่ที่พื้น ไม่รู้ว่าตาของเขาโดนควันรึเปล่า หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้น ในดวงตาของเขามีน้ำตาระเรื่อ
เขาใช้มือปิดตาของตัวเอง และสำลักควันในลำคอ
เมื่อเจอเธออีกครั้ง เขาคิดว่าเป็นของขวัญจากพระเจ้า แต่ไม่คิดเลยว่า จะมีการโจมตีที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง
เป็นไปได้ไหมว่าเขาอ่อนแอ จนทำให้อีเหยารู้สึกว่าเขาอ่อนแอ จนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่อยากเชื่อในตัวเอง !
……
เมื่อต้วนอีเหยาลงจากเครื่องบิน ความร้อนจากดวงอาทิตย์แผดเผาจ้าจากเหนือศีรษะเธอ เธอใช้มือบังหน้า และมองทิวทัศน์รอบๆ
รอบทิศเต็มไปด้วยต้นมะพร้าว ใต้ต้นมีคนหาบเร่ขายมะพร้าวอยู่ ต้วนอีเหยาแตะไปที่กระเป๋าและหยิบของทุกอย่างออกมา มีเพียงกระเป๋าใส่เศษเงินเพียงเล็กน้อยไม่กี่ใบ
“คุณป้า มะพร้าวลูกหนึ่งเท่าไหร่คะ ?” ต้วนอีเหยาหน้าเศร้าหมองเดินไปหาคุณป้าที่ดูท่าทางใจดี
คุณป้าคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา เห็นท่าทางลำบากใจของเธอก็เข้าใจได้ทันที “มะพร้าวของที่บ้านเอง คุณจะให้เท่าไหร่ก็ได้”
ต้วนอีเหยานับเงินในฝ่ามือของเธอ ทั้งหมดมีแค่ห้าหยวน เธอจึงส่งเงินทั้งหมดให้กับคุณป้าที่ขายมะพร้าว “ฉันให้ทั้งหมดนี้แลกกับมะพร้าวลูกหนึ่งได้ไหม ?”
เมื่อเห็นท่าทางที่ลำบากใจของเธอ คุณป้าก็รีบโบกมือ “ไม่ต้องไม่ต้อง นี่มันเยอะเกินไป มะพร้าวลูกหนึ่งของฉันแค่สามหยวนเอง”
ต้วนอีเหยาถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอเดินไปหยิบบัตรธนาคารออกมา ดูเหมือนว่ารอบๆจะไม่มีที่ถอนเงิน ดังนั้นเธอจึงยังต้องกระหายน้ำต่อไป !
“มา อันนี้ให้คุณ ” คุณป้าเลือกอันที่ใหญ่ที่สุดขึ้นมาชั่ง
ไปหาฟางมามัด จากนั้นก็ส่งให้เธอ
ต้วนอีเหยารู้สึกยินดี “คุณป้า ไม่ต้องใหญ่ขนาดนี้ก็ได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไร หญิงสาว กระเป๋าตังถูกขโมยใช่ไหม ?”คุณป้าคนขายมะพร้าวยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
ต้วนอีเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยังไงก็ไม่มีธุระอะไรอยู่แล้ว จึงอยู่คุยกับป้าคนขายมะพร้าว
คุณป้าบอกกับเธอว่า ถึงแม้สถานที่นี่จะเป็นที่ท่องเที่ยว แต่ก็มีสถานที่บางแห่งก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดขนาดนั้น
เมื่อรู้ว่าต้วนอีเหยาตั้งใจจะอยู่ที่นี่ยาวๆ เธอก็กระตือรือร้นขึ้นมา “ถ้าคุณยังหาที่พักไม่ได้ ถ้าไม่รังเกียจพักอยู่ที่บ้านฉันก่อนก็ได้”
“เอ๊ะ ?”ต้วนอีเหยาไม่ตอบสนองไปครู่หนึ่ง เธอยังไม่ทันให้คำตอบ คุณป้าก็ดึงมือของเธอไปจับด้วยท่าทางที่ดูสนิทสนมกับเธอ
เมื่อเดินตามคุณป้าเข้าไปในซอยแคบๆ ต้วนอีเหยาก็เม้มปาก เธอเดินตามคนแปลกหน้ามาอย่างนี้
ถ้าเกิดว่าถูกเอาไปขาย…….
ต้วนอีเหยายิ้มส่ายหัว เธอคงลุ่มหลงจากการข่มเหงแล้วจริงๆ คนที่ทำดีกับเธอกลับคิดว่าเป็นคนไม่ดี
“หญิงสาว บ้านของฉันลำบากหน่อย คุณก็พักอยู่ที่นี่เถอะ” คุณป้าหยุดอยู่ที่ประตูเหล็ก หันกลับมายิ้มให้เธออย่างเขินอาย
คุณป้าเห็นว่าเธอแต่งตัวดี ดูไม่เหมือนเด็กไม่มีเงิน จึงกลัวว่าเธอจะไม่คุ้นเคยกับการอยู่ที่นี่
ต้วนอีเหยาส่ายหัว “ไม่หรอกค่ะ ฉันคิดว่าดีเลยทีเดียว !”
เมื่อก่อนตอนที่ไปกับกองทัพเธอไม่เคยพักอาศัยมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นที่แห่งนี้ถึงแม้ว่าจะห่างไกล แต่ก็สะอาดเป็นระเบียบ
เธอตั้งใจที่จะอยู่ในระยะยาว ด้วนเงินในธนาคารก็สามารถอยู่ได้สองสามปี แต่ถ้าเด็กเกิดมาแล้ว จะทำยังไง ? และเธอก็มีแนวโน้มอย่างมากที่จะหูหนวก แล้วที่ไหนเขาจะรับคนพิการเข้าทำงานกัน ?
ต้วนอีเหยาเดินตามคุณป้าเข้ามาในบ้าน ซึ่งเป็นบ้านไร่ที่ปูกระเบื้องไว้ที่ลานกว้างข้างหน้า แววตาต้วนอีเหยาเป็นประกาย “นี่มันเยี่ยมมาก”
เมื่อคุณป้าได้ยินเธอพูดเกี่ยวกับบ้านของตัวเอง ก็ยิ่งรู้สึกดีกับต้วนอีเหยาขึ้นไปอีก “หญิงสาว คุณพักอยู่ห้องนี้นะ”
“ขอบคุณค่ะคุณป้า”ต้วนอีเหยาเดินตามคุณป้า ด้วยความพอใจมากกับบ้านที่ตัวเองกำลังจะเข้าไปอยู่
เธอเดินดูรอบๆ พบว่านอกจากคุณป้าแล้ว ก็ไม่เจอใครเลย ต้วนอีเหยาอดไม่ได้ที่จะสงสัย “คุณป้า ที่นี่มีคุณแค่คนเดียวเหรอ ?”
“ตาแก่ของฉันเสียชีวิตไปนานแล้ว ลูกชายก็ออกไปเที่ยวเตร่ไม่กลับมาหลาปีแล้ว ดังนั้นที่นี่จึงมีแค่ฉันคนเดียว……”เมื่อคุณป้าพูดถึงเรื่องนี้ก็อดไม่ได้ที่จะก้มหัว
“หญิงชราอาศัยอยู่ที่นี่คนเดียวก็รู้สึกเหงา ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าคุณจะอยู่นาน เลยให้คุณมาพักอาศัยอยู่ด้วยกัน”
เมื่อต้วนอีเหยาได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็รู้ได้ว่าเธอถามคำถามผิดไป “คุณป้า…..ขอโษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไรไม่เป็นไร ล้วนเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ไม่พูดแล้วช่างเถอะ”คุณป้ากลับมาหน้าตายิ้มแย้ม
ต้วนอีเหยาไม่อยากพูดแทงใจเธออีก ระหว่างทั้งสองจึงเงียบลง สักพักคุณป้าเดินไปประตูและพูดว่า “คุณเก็บของทำความสะอาดก่อน อีกเดี๋ยวพวกเราค่อยออกไปซื้อของใช้จำเป็น”
ต้วนอีเหยาส่งเสียงตอบรับ คุณป้าก็ปิดประตูไป ปล่อยให้ต้วนอีเหยาที่ยืนอยู่ในห้องนี้เริ่มมึนงง
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเธอยังอยู่ที่นครปักกิ่ง แต่ตอนนี้เธอมาอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลจากเขาหลายพันไมล์
ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง กำลังหาเธออยู่ หรือว่าเขาจะยอมแพ้หลังจากได้ยินที่เธอพูด……
ส่วนลึกของต้วนอีเหยาที่ไม่เห็นค่าในตัวเอง เป็นเพราะเธอเลือกที่จะจากมา แต่ทำไมเธอยังหวังว่าเขาจะจำเธอได้ ไม่ใช่ตัวเองเหรอที่บอกให้เขาลืม และไปตามหาความสุขของตัวเอง ?
แต่ในใจเธอก็ยังมีความเห็นแก่ตัว เธอหวังว่าเขาจะมีความสุข แต่ก็อย่าลืมเธอ !
ต้วนอีเหยาทำความสะอาดกระจกรอบหนึ่ง และเปิดประตูเดินออกไป คุณป้าอยู่ที่ลานบ้าน กำลังตรวจมะพร้าวอันไหนดีไม่ดี
“คุณป้า คุณแยกแยะระหว่างอันดีกับไม่ดีออกได้ยังไง ?” ต้วนอีเหยาโน้มตัวลงไปนั่งข้างๆคุณป้า
คุณป้าอธิบายให้เธอฟังอย่างรวดเร็ว “แท้จริงนั้นมะพร้าวง่ายกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ ดูว่าตรงไหนมีรูแมลง หยิบออกมาก็โอเคแล้ว”
“แต่รู้สึกว่าอันนี้ของพวกคุณมันทำเงินได้ไม่เท่าไหร่เลย !”อันละแค่สามหยวน เดาว่ายังไม่คุ้มทุนเลย
“ก็ยังโอเค ในฤดูท่องเที่ยวคนจะมาซื้อเยอะ ราคาก็จะสูงขึ้นอีกหน่อย ตอนนี้แค่หนึ่งคนก็ประมาณเจ็ดแปดหยวนแล้ว”
“เจ็ดแปดหยวน !”ต้วนอีเหยาพูดซ้ำอีกรอบ ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงเอาเธอแค่สามหยวนล่ะ ?
คุณป้ารู้สึกว่าตัวเองอะไรพูดผิดไป จึงรีบเอามือปิดปาก “อันนั้น……หญิงสาว…..”
“คุณป้า ขอบคุณมากค่ะ!”ต้วนอีเหยากอดเธอจากข้างหลัง ในเมืองที่ไม่รู้จักนี้ ยังมีคนปฎิบัติต่อเธอด้วยความอ่อนโยน ยังเป็นคนแปลกหน้าแบบนี้ด้วย เธอรู้สึกซาบซึ้งมาก
ในใจรู้สึกซาบซึ้ง ที่มุมตามีน้ำตาระเรื่อ
คุณป้าขยับตัว และยื่นมือไปลูบหัวต้วนอีเหยาเบาๆ “หญิงสาวอ่า ในเมื่อคุณอยู่ที่นี่แล้ว ฉันก็ถือว่าคุณเป็นลูกสาวของฉัน ฉันไม่ทำให้คุณบาดเจ็บหรอก”
ต้วนอีเหยารู้สึกซาบซึ้งภายในใจ เธอขยับตัวพิงไหล่ของคุณป้าและพยักหน้า ราวกับว่ามีกระดูกอยู่ในลำคอ คำพูดหลังจากนั้นจะพูดยังไงก็พูดไม่ออก
……
เย่จิงเหยียนกลับมาบ้าน ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นควัน ในครั้งนี้สมาชิกในบ้านไม่ได้นั่งอยู่บนโซฟารอเขา เย่ชูวเสวียกินอมยิ้มจ้องมองเขาเปลี่ยนรองเท้า
“คนอื่นล่ะ ?” เย่จิงเหยียนกุมขมับของเขาอย่างเหนื่อยล้า น้ำเสียงแหบแห้ง
เย่ชูวเสวียหยิบอมยิ้มออกมา “พ่อแม่ไปกันแล้ว บอกว่ารออยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรสนุก บอกให้คุณจัดการงานให้เสร็จแล้วกลับบ้านเร็วๆ”
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว “ทำไมเธอยังไม่ไป ?”
“กว่าฉันจะมานครปักกิ่งได้ แน่นอนว่าต้องใช้เวลาสองสามวันนี้เที่ยวให้คุ้มค่าสิ”
เย่จิงเหยียนไม่สนใจเธอ และเดินตรงไปที่ห้องนอน ทั้งตัวเขามีแต่กลิ่นควัน ตอนนี้เขาจึงอยากรีบอาบน้ำให้เร็วที่สุด
เย่ชูวเสวียยื่นมือออกมาและมองไปที่เย่จิงเหยียน “พี่ชาย เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ?”
“ไม่มีอะไร เธอกลับไปพักที่ห้องตัวเองป่ะ” เย่จิงเหยียนไม่อยากพูดไปมากกว่านี้จึงเดินผ่านเธอไป แต่เขาประเมินความดื้อรั้นของเย่ชูวเสวียต่ำไป เมื่อเขาเดินไปก้าวหนึ่ง เย่ชูวเสวียก็เดินตามเขา
ในที่สุด เย่จิงเหยียนก็ยอมแพ้ หยุดอยู่ที่เธอและถามว่า “สรุปแล้วเธอจะทำอะไร ?”
“พี่ชาย คุณต้องมีเรื่องอะไรปิดบังฉันแน่เลย !”
“ปิดบังเธอแล้วจะทำไม ?”เย่จิงเหยียนเอียงศีรษะสีหน้าแสดงความไม่แยแสออกมา
เย่ชูวเสวียกระทืบเท้าและตะคอก “พี่ชาย คุณเปลี่ยนไป !”
“ฉันเป็นอะไร ?”
“คุณ…..”เย่ชูวเสวียไม่มีอะไรจะพูด เธอก็แค่เดา ไม่รู้ว่าสรุปแล้วเขามีเรื่องอะไร
แต่กลิ่นควันบนตัวของเขาแรงขนาดนี้ ต่อให้เป็นคนโง่ก็เดาได้ว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เย่จิงเหยียนควบคุมเธอด้วยมือเดียว
เมื่อสติเธอกลับมา ก็มองไม่เห็นเงาของเย่จิงเหยียนแล้ว “เฮ้ พี่ชาย! พี่ !ไอ้บ้านี่ !”
เย่จิงเหยียนทำเป็นหูหนวกกับสิ่งที่เธอพูด และเดินเข้าห้องตัวเองไป “ปัง”เสียงปิดประตูดังขึ้น
ในห้องนั้นว่างเปล่า ยกเว้นเย่ชูวเสวียที่คร่ำครวญอยู่ที่ห้องนั่งเล่นก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก เย่จิงเหยียนไม่ได้เปิดไฟ เขาเดินคลำไปที่เตียง และจุดบุหรี่มวนหนึ่ง
ไม่นาน เย่ชูวเสวียที่ด่าอยู่ข้างนอกก็เหมือนจะเหนื่อยแล้ว สภาพแวดล้อมรอบๆจึงเงียบลง เย่จิงเหยียนจ้องมองไปที่โทรศัพท์และควันก็หายไป เหลือเพียงสมองที่ว่างเปล่า
เช้าวันรุ่งขึ้น เย่จิงเหยียนเปิดประตูห้องออกมา เย่ชูวเสวียก็กระโดดมาตรงหน้าเขา
“เธอจะทำอะไร ?” เย่จิงเหยียนถอยไปก้าวหนึ่ง และรักษาระยะห่างกับเธอไว้
เย่ชูวเสวียยิ้มและกระโดดไปข้างหน้าเย่จิงเหยียน “พี่ชาย มู่ยู่วฉีเจอบ้านพักต่างอากาศที่ดูดีมาก คุณว่างก็ว่างแล้ว ถ้างั้นไปส่งฉันเป็นยังไง”
“ไปส่งเธอก็ได้ แต่อย่าเอาฉันไปด้วย”
เย่จิงเหยียนเดินไปรอบๆ เขาเดินไปที่ตู้กดน้ำและดื่มน้ำจนหมดแก้ว เมื่อคืนเขาสูบบุหรี่เยอะเกินไป เลยคอแห้งเกินไปที่จะพูด
เย่ชูวเสวียเดินตามเขา “พี่ชาย คุณดูสภาพคุณตอนนี้สิ โทรมเหมือนลุงมาก ไปพักผ่อนกับพวกเราน่าจะดีกว่านะ !”
เย่จิงเหยียนเลิกคิ้ว “รีสอร์ทนั้นแพงมาก ?”
“ก็ประมาณ……”
เย่ชูวเสวียไม่จำเป็นต้องพูดทุกอย่าง เขารู้อยู่แล้ว ที่ผ่านมาพวกเขาจะไปไหน ก็จะบอกเขาเสมอ เขาไม่ไป พวกเขาก็จะไม่พูดอะไรอีก
วันนี้ขอร้องขนาดนี้ จะต้องมีเหตุผลอะไรแน่ ไม่ใช่เรื่องเงินไม่พอก็ต้องเรื่องพ่อแม่ไม่อนุญาติ ตอนนี้พ่อแม่ก็ไปแล้ว ถ้างั้นไม่ต้องสงสัยเลย มีแค่เรื่องเงินเท่านั้น !
“พี่ชาย……..”
เย่จิงเหยียนกลับเข้าไปหยิบเช็คในห้องหนังสือและส่งให้เย่ชูวเสวีย “เธอเขียนเอาเองเลย”
เมื่อเย่ชูวเสวียหยิบมันขึ้นมา เขาก็พูดย้ำอีกครั้งว่า “อย่ามากเกินไป”
“ขอบคุณค่ะพี่ชาย”เย่ชูวเสวียหยิบเช็คแล้วกระโดดโลดเต้น เมื่อเห็นว่าเย่จิงเหยียนมองตัวเองด้วยสายตาแปลกๆ จึงรีบมาประจบ “พี่ชาย คุณก็ไปด้วยกันกับพวกเราสิ !”
ถึงแม้ว่าความปราถนาของเธอที่จะให้เขาไปมีไม่มากแล้ว แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะควบคุมขีดจำกัดในเช็คเท่าไหร่ดี มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็กลัวไม่พอ
แน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดคือเธอต้องได้รับความไว้วางใจจากคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจก็ตาม แต่เมื่อวานตอนที่พี่ชายกลับมา ดูแย่มาก จะต้องทะเลาะกับพี่อีเหยามาแน่นอน เธอก็อยากใช้โอกาศนี้ให้พี่ชายไปพักผ่อน
เย่จิงเหยียนมองตรงไปที่เธอ “เธออยากให้ฉันไปขนาดนั้นเลยเหรอ ?”
“อืมอืม”เย่ชูวเสวียพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“เธออย่าเสียใจละกัน” เย่จิงเหยียนหยิบแก้วน้ำอีกใบและเดินจากไป โดยทิ้งเย่ชูวเสวียที่ไม่เข้าใจไว้
เขาเดินไปที่ประตูและหยุดลง “ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอเรียกมู่ยู่วฉีมารับพวกเราที่นี่ !”
“ตกลง !”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถของมู่ยู่วฉีก็มาจอดที่ประตูคฤหาสน์ เย่ชูวเสวียไปที่นั่งข้างหลังก่อน
เย่จิงเหยียนพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเขาเล็กน้อย และเห็นหญิงสาวน่าตาดีนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ จากสนทนากับมู่ยู่วฉีก็รู้ได้ว่านี่เป็นดาราที่เขากำลังตามจีบอยู่
เขาก็ไม่ถามอะไรมาก และเปิดประตูหลังรถ และเข้าไปนั่ง ยังไม่ทันที่จะได้ปิดประตู ก็มีมือหนึ่งจับแขนของเขาไว้
“พี่จิงเหยียน……..”
เย่จิงเหยียนหันกลับไป เจอต้วนจื่ออิ๋งกำลังยิ้มให้ตัวเอง เขามองข้ามเธอไปหาเย่ชูวเสวีย
เย่ชูวเสวียรีบโบกมือปฎิเสธอย่างเร็ว และชี้ไปที่มู่ยู่วฉีที่กำลังขับรถอย่างจริงจัง และพูดเงียบๆว่า “ไม่ใช่ฉัน เขาเป็นคนจัดการทั้งหมด”
มู่ยู่วฉีรู้สึกเย็นวาบที่ศีรษะ เขามองผ่านกระจกหลัง เจอเย่จิงเหยียนกำลังมองเขาอย่างเย็นชา เขาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
เขาพยายามยับยั้งไม่ให้ตัวเองมองข้างหลัง และพูดหัวเราะกับดาราน้อยข้างๆ แต่ก็เหลือบมองกระจกหลังในบางครั้ง และเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกใจ
ไม่ง่ายเลยว่าเขาจะมาถึงที่หมาย มู่ยู่วฉีรีบปลดเข็มขัดนิรภัยและรีบลงจากรถ เพียงเพื่อจะหลบสายตาของเย่จิงเหยียนเพียงชั่วครู่
ทั้งห้าคนลงจากรถ เย่จิงเหยียนก็เดินออกห่างจากต้วนจื่ออิ๋ง และเดินไปข้างๆมู่ยู่วฉี “แกมากับฉันหน่อย”
มู่ยู่วฉีรู้ว่าตัวเองหนีไปไม่ไหนไม่ได้ จึงเดินตามเย่จิงเหยียนอย่างเชื่อฟัง เมื่อเห็นอย่างนี้ต้วนจื่ออิ๋งก็อยากจะตามไป แต่ก็ต้องตกใจกับสายตาของมู่ยู่วฉีจึงหยุดฝีเท้าลง
พี่ใหญ่ คุณหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ ? มู่ยู่วฉีเกาหัว แสร้งโง่ เขาตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าเย่จิงเหยยียนจะพูดอะไร เขาก็จะไม่ยอมรับ ยังไงก็ตามเขาก็จะแถ
เย่จิงเหยียนมองไปที่เขาเป็นเวลานานจนเขารู้สึกอึดอัดจนทนไม่ได้พูดมาว่า “ฉันเรียกแกยังไม่รู้อีกเหรอว่าเรื่องอะไร ?”
“ฉัน…..ฉันไม่รู้”
จริงเหรอ ? เย่จิงเหยียนยังคงมองเขาด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“อันนั้น…….”
เมื่อมู่ยู่วฉีเห็นแววตาของเขา เขาก็ถอยกลับในใจทันที เขารู้อารมณ์ของเย่จิงเหยียน เมื่อเขายืนยันแล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะพูดยังไง เขาก็จะไม่เชื่อง่ายๆ
“พี่ใหญ่ มันไม่ใช่ความผิดของผมจริงๆ เธอจะมาให้ได้ ! ผมก็ให้เธอลงรถไปไม่ได้”
“อ่อ ? ถ้างั้นเธอจะรู้แผนของแกได้ยังไง ?”
เย่จิงเหยียนไม่ได้ตั้งใจถามออกไป แต่มันทำให้มู่ยู่วฉีพูดอะไรไม่ออก แน่นอนว่าเธอไม่รู้ หรือว่าเย่ชูวเสวียพลั้งปากอออกไป……
แม้ว่าเย่ชูวเสวียจะทรยศเขา แต่เขาก็ไม่สามารถใจแคบและทรยศต่อเธอได้
ความเงียบของเขาเย่จิงเหยียนถือว่าเป็นอาชญากรรม เย่จิงเหยียนหันศีระษะและจากไป ปล่อยให้มู่ยู่วฉีร้องไห้กับสายลม
หูที่ลอยไปตามสายลมคือคำเตือนของเย่จิงเหยียน จัดการให้เธออยู่ห่างจากฉันหน่อย ไม่อย่างนั้นแกต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในครั้งนี้ทั้งหมด
พระเจ้ารู้ว่าเขาแค่มาเที่ยวไม่กี่วัน จึงไม่ได้เอาเงินมาจากปักกิ่งมากนัก แถมยังเตรียมจัดงานแต่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ยังเหลืออีกไม่กี่วันแล้ว จึงมองไปที่เย่จิงเหยียนผู้มีเงินคนนี้ แต่มันใช่เรื่องง่ายที่จะให้เขาแยกต้วนจื่ออิ๋งออกจากเย่จิงเหยียน…..
ดาราน้อยคนนั้นเห็นมู่ยู่วฉียืนนิ่งไม่ขยับ เลยอดไม่ได้ที่จะเดินไปดึงชายเสื้อเขา “ทุกคนไปกันหมดแล้ว ทำไมคุณยังไม่ไปอีก ?”
มู่ยู่วฉีไม่ได้สนใจเธอ และยังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ดาราน้อยเขย่าตัวเขาอีกครั้ง เขาถึงมีสติกลับมาจากความคิด “เอ๊ะ ? มีอะไรเหรอ ?”
พวกเขาไปหมดแล้ว !ดาราเด็กชี้ไปที่ด้านหลังของเย่จิงเหยียนและกลุ่มของเขา อย่างทำอะไรไม่ถูก
เย่ชูวเสวียกระโดดไปรอบๆเย่จิงเหยียน เมื่อเห็นมู่ยู่วฉีคันไม้คันมือ เธอก็โล่งใจ สามารถเล่นได้อีกครั้ง ไม่มีแรงกดดันจากเย่จิงเหยียน แต่เขากำลังทุกข์ทรมาน…….
“คุณเป็นอะไร ? ”ดาราน้อยจับแขนของเขาและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
มู่ยู่วฉีปกปิดความเศร้าและยิ้มให้กับเธอ “ไม่มีอะไร น่าจะไม่ได้กินข้าวเช้า หิวแล้ว”
“ใครบอกให้คุณไม่กิน”ดาราน้อยไม่ทันสังเกต แถมยังพูดพล่อยๆใส่เขา
ทั้งห้าคนพูดคุยหัวเราะเข้าไปในรีสอร์ท จะพูดว่าที่นี่เป็นวิลล่าบนภูเขา พูดว่าเป็นจุดชมวิวจะยังดีกว่า
โรงแรมแห่งนี้สร้างขึ้นริมทะเล ล้อมรอบด้วยภูเขาและทะเล ที่นี่ได้รับการตกแต่งให้มีกลิ่นอายสไตล์ยุโรป โรงแรมแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นโรงแรมรีสอร์ทธรรมดา อีกส่วนหนึ่งเป็นคฤหาสน์ส่วนตัว
กลุ่มของพวกเขามีห้าคน ในเมื่อจองโรงแรมก็คือจองแบบคฤหาสน์ส่วนตัว มีคนรับใช้สิบกว่าคนมาเตรียมพร้อมให้กับพวกเขาก่อน
“ยินดีต้อนรับสู่จู้ซิง ฉันป็นผู้ดูแลที่นี่ เชิญพวกคุณข้างในค่ะ” ผู้ดูแลมาทักทายพวกกเขาก่อน และโค้งคำนับเก้าสิบองศา
เย่จิงเหยียน เย่ชูวเสวียและมู่ยู่วฉีเคยเห็นฉากที่ใหญ่แบบนี้ ถึงแม้ว่าที่นี่จะดูแปลกใหม่ แต่สำหรับพวกเขาแล้ว ก็ไม่ได้แปลกใจมากนัก
อีกด้านต้วนจื่ออิ๋งกับดาราน้อยที่อยู่ข้างๆดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อย ดาราน้อยรีบจับแขนของมู่ยู่วฉี สงบสติอารมณ์และเดินเข้าไป
เหลือเพียงต้วนจื่ออิ๋งที่รู้สึกอาย แต่ก็ยังรีบเดินตามพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว เธออยากจับเย่จิงเหยียนแต่เขาก็หลีกเลี่ยงเธอตลอดเหมือนกับเธอเป็นงูแมงป่อง เธอกลัวว่าเขาจะปฎิเสธเธอที่นี่อย่างไร้ความปราณี ถ้างั้นมันทำให้เธอเสียหน้าจริงๆ
คฤหาสน์มีเพียงสี่ห้อง ชั้นหนึ่งสองห้อง ชั้นสองสองห้อง
“ฉันจะเอาชั้นสองติดลิฟต์”
“ฉันจะเอาชั้นหนึ่งติดประตู”
เย่ชูวเสวียและมู่ยู่วฉีรีบเลือกห้องที่ตัวเองต้องการ เย่ชูวเสวียเลือกชั้นสองก็เพื่อจะดูทะเล และมู่ยู่วฉีก็เพราะว่าคืนนี้มีเดทกับดาราน้อย จะได้กลับมาสะดวก
ยังเหลืออีกสองห้อง เย่จิงเหยียนพูดออกมาอย่างช้าๆ “ชั้นสองอีกห้องฉันอยู่”
“ฉันจะพักกับพี่จิงเหยียน !”
หลังจากสิ้นเสียงของเขา ต้วนจื่ออิ๋งก็รีบพูดขึ้นมา
ในห้องโถง เมื่อครู่ยังพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา แต่เมื่อได้ยินเธอพูด ก็เงียบลงในทันที
เย่ชูวเสวียกับมู่ยู่วฉีสีหน้าเต็มไปด้วยเส้นดำ ทำไมเธอถึงไม่รู้จักไหวพริบในการมองตาคนกันนะ ?
ในเมื่อมู่ยู่วฉีเลือกห้องแล้ว ดาราน้อยที่อยู่ข้างๆเขายังไม่ได้เลือก เธอจึงเลือกที่จะอยู่กับเขา เธอทำไมไม่ฉลาดหน่อย เลือกห้องที่อยู่ชั้นหนึ่งอีกห้อง !
ตอนนี้ก็โอเคแล้ว ทำให้ทุกคนลำบากใจ ในขณะนี้ คนที่ลำบากที่สุดคือมู่ยู่วฉี เขาถูกเตือนมา ถ้ายังไม่จัดการเรื่องนี้ เกรงว่าเขาจะตายอย่างอนาถแน่
“เหอะเหอะ…..อันนี้ ซีเย่วพักอยู่กับผม ”มู่ยู่วฉีรีบมาบอกปัดเศษ คำสามคำหลังนั้น เพื่อให้เสียงเขาพูดเสียงต่ำ เขาแทบจะไม่ขยับปากด้วยซ้ำ
แต่ดูเหมือนว่าต้วนจื่ออิ๋งจะไม่ได้ยิน แววตามีเพียงเย่จิงเหยียนเท่านั้น
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว มองไปที่ต้วนจื่ออิ๋งเบาๆ ซึ่งมันทำให้มู่ยู่วฉียิ่งเครียดมากขึ้น
เขาปิดปากและกระแอมสองครั้ง “อะแฮ่ม ! ชั้นหนึ่งยังเหลือห้องว่าง ต้วนจื่ออิ๋งคุณไปพักเถอะ อย่าเบียดกับพี่ใหญ่เลย”
“ฉันไม่อึดอัด”
ตอนนี้มู่ยู่วฉีไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ไม่ได้ถามว่าคุณจะอึดอัดไหม แต่พี่ใหญ่ผมอึดอัด !
“คุณหมายความว่า…….”
“ถ้างั้นคุณพักชั้นล่าง หรือไม่ผมก็ไป” เย่จิงเหยียนฟังคำพูดของมู่ยู่วฉี ถึงแม้ว่าเสียงจะไม่ผันผวน แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ทุกคนที่นั่งอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะหดตัวเล็กลง
“พี่จิงเหยียน…….”ต้วนจื่ออิ๋งไม่คาดคิดว่าเขาจะไม่ปล่อยให้เธอทำตามใจต่อหน้าผู้คน ในเวลานี้เธอก็ไม่รู้จะทำยังไงดี
เธอยอมรับว่าเธอจงใจ เมื่อก่อนเธอไม่เคยทำเรื่องแบบนี้ แต่เย่จิงเหยียนยังคงปิดตาข้างหนึ่ง ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะเกินไปหน่อย แต่เขาสามารถรอให้ทุกคนเข้าห้องไปก่อนค่อยพูดออกมาก็ได้
ตราบใดที่เขาพูดกับเธอด้วยความอ่อนโยน เธอจะต้องเห็นด้วยกับเขาแน่……
แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงกลายเป็นแบบนี้ ? ทั้งหมดเป็นเพราะการปรากฎตัวของต้วนอีเหยา ?
เขารักเธอมากขนาดนั้น ทำไมไม่พาเธอมาพักร้อนด้วยเลยล่ะ
เย่จิงเหยียนเห็นว่าเธอไม่พูดนานแล้ว เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วและเดินไปทางประตูของคฤหาสน์ ต้วนจื่ออิ๋งรีบดึงแขนเสื้อของเขาอย่างรวดเร็ว “พี่จิงเหยียน คุณอย่าไปเลย ฉันพักชั้นล่างก็ได้”
การพูดแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกเสียหน้ามาก แต่ก็ไม่มีอะไรมาเทียบกับเย่จิงเหยียนได้แล้ว
เย่จิงเหยียนหันกลับมา มอเธออย่างซับซ้อน ค่อยๆดึงแขนเสื้อออกจากมือเธอ และเดินตรงขึ้นไปชั้นบน
เหลือเพียงสี่คนมองหน้ากัน เย่ชูวเสวียก็ทนไม่ได้อีกต่อไป จึงวิ่งกระโดดไปที่ห้องของตัวเอง
มู่ยู่วฉีมองไปที่ต้วนจื่ออิ๋งอย่างลึกซึ้ง และอดไม่ได้ที่จะให้คำแนะนำกับเธอ “ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ต้วนอีเหยากลับมาแล้ว คุณก็ควรหยุดสะกดรอยได้แล้ว”
พูดจบ เขาก็พาดาราน้อยเข้าห้องตัวเองไป เหลือเพียงต้วนจื่ออิ๋งยืนอยู่ห้องโถง เธอกำหมัดแน่น เล็บอันแหลมคมแทงทะลุฝ่ามือออกมา ทำให้มีเลือดออก
ต้วนอีเหยา ต้วนอีเหยา !เธออยู่ในคำพูดของทุกคน เธอมีดีอะไรกัน !
คนรับใช้ในห้องโถงกำลังยุ่งกับงานของตัวเอง พวกเขาได้เห็นละครฉากนี้ แต่ก็ยังไม่ไหวติงอะไร เป็นเพราะประสบการณ์ทำงานบอกพวกเขาว่า ถ้าให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆมากเกินไป จะส่งผลเสียกับงานของพวกเขาเท่านั้น
ต้วนจื่ออิ๋มองไปชั้นบนที่ประตูห้องของเย่จิงเหยียน ยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก และก็ตัดสินใจอย่างเงียบๆ
เธอจะต้องแย่งพี่จิงเหยียนจากมือของต้วนอีเหยามาให้ได้ !