วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 369 อยากให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป
“วิธีไหน” ตอนแรกอี้เทียนเฉิงมีท่าทีอ่อนแรง แต่เมื่อได้ยินว่ามีวิธีเขาก็รีบลุกขึ้นมาทันที
“หาช่องโหว่”
เมื่อได้ยินวิธี อี้เทียนเฉิงก็ยิ้มอย่างขมขื่น “พูดเหมือนกับง่ายนักแหละ”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดถึงวิธีนี้ แต่ในความเป็นจริงเรื่องนี้ยากมาก แม่เลี้ยงของเขาไม่ใช่คนโง่ ไม่มีทางทิ้งร่องรอยให้พวกเขาหาเจอแน่
“ไม่ต้องเป็นของจริงก็ได้ ในเมื่อเธอเอาเงินไป พวกเราก็แค่ต้องสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมา”
“พี่จะบอกว่า…” อี้เทียนเฉิงตาโต “พวกเราทำขึ้นมาเองหรอ ไม่ได้มั้ง”
เย่จิงเหยียนพยักหน้าให้เขา
ใช่สิ
ทำไมเขาถึงไม่คิดถึงวิธีนี้ ในเมื่อเอาเงินไปผู้หญิงคนนั้นต้องอยู่ไม่สุข เพียงแค่เขาวางกับดัก ผู้หญิงคนนั้นก็จะพาตัวเองมาติดกับเอง
ต้วนอีเหยานั่งฟังไปด้วยพลางๆ ดีที่ขณะที่เย่จิงเหยียนพูด มือเขาก็ไม่หยุด ทำให้ปากเธอไม่ว่าง
เมื่ออาหารพร่องไปพอสมควรแล้ว เย่จิงเหยียนก็เอาทิชชู่เปียกเช็ดมือ และถามเธอเสียงอ่อนโยน “อิ่มรึยัง”
ต้วนอีเหยาพยักหน้าเขินๆ อาหารบนโต๊ะเธอกินคนเดียวเกือบทั้งหมดจะไม่ให้อิ่มได้ยังไง
“งั้นพวกเราไปกันเถอะ”
เย่จิงเหยียนลุกขึ้นยืนจูงมือต้วนอีเหยา
“เดี๋ยวก่อน” อี้เทียนเฉิงมายืนขวางหน้าเย่จิงเหยียน “คุณควรจะช่วยไม่ใช่หรอ”
“ช่วยคิดแผนแล้วไง ปัญหาต่อจากนี้ก็แก้เองแล้วกัน”
“อย่าสิ” อี้เทียนเฉิงคร่ำครวญ เขาจัดการคนเดียวไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นยังไม่ทันเริ่ม เขาก็แพ้แล้ว
“ฉันมาพักผ่อนนะ ไม่ได้มาเพื่อช่วยแก้ปัยหาง่อยๆนี่” พูดจบเย่จิงเหยียนก็เดินจูงมือต้วนอีเหยาออกไปโดยไม่หันกลับมาอีก
ต้วนอีเหยาหันไปมองอีกครั้งอย่างกังวล อี้เทียนเฉิงรีบทำท่าหมดอาลัยตายอยากทันที
“เขาดูน่าสงสารมากนะคะ” ต้วนอีเหยาเห็นท่าทางอย่างนั้นของเขาก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมา
อี้เทียนเฉิงได้ยินก้รีบพยักหน้าเห็นด้วยรัวๆ จนมึนหัวแล้วจึงหยุดทำ
“จิงเหยียน…”
“อะไร” เย่จิงเหยียนหยุดเดินอย่างหงุดหงิด ประโยคเมื่อกี้ที่เธอพูดเขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ครั้งนี้เธอเรียกชื่อเขา จึงจำต้องขานกลับ
ถ้าเธอเรียกเขาตอนปกติ เขาจะดีใจมาก แต่นี่เธอกลับเรียกเขาเพื่อผู้ชายคนอื่น จึงทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ
“พวกเราช่วยเขาเถอะ”
“คุณอยากให้ผมช่วยเขาจริงๆหรอ”
“อืมๆ” ต้วนอีเหยาพยักหน้า เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานของพวกเขาเธอจึงไม่เข้าใจ แต่ถ้าเป็นเรื่องออกแรงเธอคงช่วยเองไปแล้ว แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใช้สมอง จึงต้องเป็นหน้าที่ของเย่จิงเหยียน
“งั้นวันพักผ่อนของเราก็เสียไปน่ะสิ”
“วันพักของเรามีอีกเยอะแยะ แต่เรื่องในบ้านเราจะปล่อยไว้นานไปไม่ได้นะ”
เย่จิงเหยียนเงียบไปนานมาก สุดท้ายก็ถอนหายใจพูด “โอเค”
“ขอบคุณครับพี่สะใภ้”
อี้เทียนเฉิงเห็นว่าเย่จิงเหยียนตอบตอกลงก็ดีใจกระโดดโหยงเหยง ซึ่งขัดกับชุดประจำชาติของเขามาก
“ไม่เป็นไรค่ะ” ต้วนอีเหยาตอบกลับอย่างเกรงใจ
……
ทั้งคู่พูดคุยกันจน เย่จิงเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆต้องข่มอารมณ์โกรธและพูดว่า “คนที่บอกจะช่วยแกคือฉัน”
“อ้อ ขอบคุณมากครับพี่”
อี้เทียนเฉิงกลับเชื่อฟังอย่างเดิม เขารู้ว่าช่วงเวลานี้ไม่ควรทำให้เย่จิงเหยียนโกรธ ถ้าเขาโกรธขึ้นมาแล้วกลับคำจะทำยังไงล่ะ
“ไปกันเถอะ” เย่จิงเหยียนมองเานิดหน่อยและพาต้วนอีเหยาเดินไป
“เห้ยๆๆ” อี้เทียนเฉิงรีบวิ่งมาขวางเขาไว้ “บอกว่าจะช่วยผมแล้วไม่ใช่หรอ ทำไมยังจะไปอีก”
“จะเริ่มตอนนี้เลยหรอ”
“ยิ่งเร็วยิ่งดีใช่มั้ยล่ะ”
เย่จิงเหยียนหน้านิ่ง “ตอนนี้ฉันยังคิดวิธีดีๆไม่ออก”
อี้เทียนเฉิงถาม “งั้นจะเริ่มตอนไหนล่ะ”
“หลังวันนี้ค่อยว่ากัน”
เขาเดินผ่านอี้เทียนเฉิงไปอย่างรวดเร็ว
คิดไม่ออกอะไรล่ะ อี้เทียนเฉิงกระทืบเท้า
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาคิดออกตั้งนานแล้วจะพูดความคิดของตัวเองออกมาได้ยังไง มีอะไรก็แค่บอกกันมาตรงๆ ไม่เห็นจำเป็นต้องหาข้ออ้างเลย
ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้เขาไม่คุยเล่นกับต้วนอีเหยาก็ดี ดูตอนนี้สิ ต้องทนร้อนรนไปอีกหลายวัน
….
“พวกเราจะไปไหน” ต้วนอีเหยาเดินตามหลังเย่จิงเหยียนด้วยความงงงวย เมื่อกี้ตอบตกลงแล้วไม่ใช่หรอ ทำไมอยู่ดีๆก็จะไม่ช่วยแล้ว
“พาคุณไปเดินเล่นริมทะเล”
เย่จิงเหยียนเห็นเธอเหม่อลอย ก็หยุดเดิน และหันมามองหน้าเธอ “ตอนนี้ห้ามคิดถึงคนอื่น มองผมเท่านั้น”
“อ้อ….”
เธอตอบอย่างเกินจริง ทำให้เย่จิงเหยียนไม่พอใจมาก ทั้งคู่ยืนจ้องตากันอยู่กลางทาง
“ติ๊ดๆ”
รถขับมาจากไกลๆ ทำให้ต้วนอีเหยาได้สติรีบดึงเขาเข้าข้างทางทันที
“คุณทำอะไร รู้มั้ยว่ามันอันตราย” ต้วนอีเหยาโกรธมาก เธอปล่อยมือเย่จิงเหยียนโกรธๆ
“คุณจะคิดถึงคนอื่นอีกมั้ย”
ประโยคเดียวทำให้ต้วนอีเหยาหน่ายใจทันที “ฉันไม่ได้คิดถึงคนอื่น”
“ไม่ได้คิดก็ดี”
เย่จิงเหยียนลูบหัวเธอเบาๆ และแอบยิ้มอย่างขมขื่น
หลังจากนี้หนึ่งเดือนเขาจะพาเธอไปผ่าตัด ถึงตอนนั้นไม่ว่าการผ่าตัดจะสำเร็จมั้ย เธอก็จะโทษแต่ตัวเอง ไม่รู้ว่าต้องใช้พลังงานสักแค่ไหนถึงจะทำให้เธอมีแรงใจขึ้นมาได้
ตอนนี้เขาอยากใช้เวลาอยู่กับเธอให้นานที่สุด ใช้เวลาหนึ่งเดือนนี้ด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่อยากทะเลาะ ไม่อยากให้มีเรื่องทุกข์ใจใดๆ
ต้วนอีเหยาแกล้งไม่เข้าใจความคิดของเขา และพยักหน้าลง
ท่าทางกวนๆของเธอไม่ได้ทำให้เย่จิงเหยียนไม่พอใจ ทั้งคู่กลับมาคืนดีกัน และเดินไปบนหาดด้วยกัน
ดวงอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีทองส่องไปทั่ว จนแม้แต่ร่างของต้วนอีเหยาก็เป็นสีทองเช่นกัน
คนมาหยุดพักผ่อนเยอะมาก พวกเขามาเดินเบบ่นริมหาดข้างๆโรงแรม เมื่อเดินผ่านเขตมา ก็เห็นคนข้างนอกต่างเรียกลูกค้าให้ไปซื้อบาร์บีคิว
ต้วนอีเหยาเดินจนเหนื่อย ลุกในท้องก็เตะท้องเธอเบาๆเช่นกัน
“พวกเรานั่งหน่อยเถอะ” เย่จิงเหยียนดูอาการเธอออก จึงนั่งบนหาดทรายที่สูงขึ้นมานิดหน่อย
ทั้งคู่นั่งข้างๆกัน น้ำทะเลพัดขึ้นมากระทบขาของทั้งคู่ สายตาของต้วนอีเหยาเต็มไปด้วยความงุนงง “เมื่อเช้าเรายังอยู่โรงพยาบาลกันอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับมาอยู่ที่นี่….”
ประโยคหลังเธอไม่ได้พูดออกมา แต่เย่จิงเหยียนก็รู้ว่าเธอคิดอะไร เขาโอบไหล่เธอไว้ “ตอนนี้เหมือนจริงรึยัง”
ต้วนอีเหยาวบลงบนไหล่เขาแล้วพยักหน้า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขอแค่มีอ้อมกอดและไหล่ของเขา เะอก้รู้สึกอบอุ่นมาก
คลื่นพัดมาเป็นระรอกๆ ต้วนอีเหยาโดนลมพัดจนรู้สึกหนาว จึงซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเย่จิงเหยียนมากขึ้น
“เป็นอะไร” เย่จิงเหยียนเห็นเธอขยับตัวจึงถาม
“ลมพัด หนาวนิดหน่อย”
เย่จิงเหยียดถอดเสื้อสูทของเขาออกมาห่มให้เธอ “กลับกันเถอะ”
เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา และพยักหน้าพูด “อืม…”
ที่จริงเธออยากอยู่กับเขาให้นานอีกหน่อย แต่เธอจะเป้นไข้ไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องพยักหน้ายินยอม
เมื่อกลับมาถึงโรงแรม ต้วนอีเหยาก็อ่อนเพลียแล้ว แต่เย่จิงเหยียนยังดึกระตือรือร้นอยู่ “อีเหยาคุณง่วงแล้วหรอ”
“อืม…”
ต้วนอีเหยาขยี้ตา และพูดตามที่ใจคิด
เธอหันหน้าไป เมื่อเห้นเย่จิงเหยียนอึกอัก จึงถามอย่างเกรงใจ “ทำไม มีอะไรหรอ”
“ผมเตรียมเซอร์ไพร์สไว้ให้คุณ แต่ถ้าคุณง่วงก็นอนก่อนเถอะ”
เย่จิงเหยียนก้มหน้าลง ข่มความผิดหวังในสายตา
ต้วนอีเหยารู้ว่าตัวเองทำผิดแล้ว จึงพยายามปลุกตัวเองให้สดชื่น “เซอร์ไพร์สอะไร ชักอยากรู้แล้วสิ”
น้ำเสียงของเธอดูฝืนๆ เย่จิงเหยียนรู้สึกเสียใจ แต่ก็ยังไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา “ไม่มีอะไร คุณพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ก็ได้”
ต้วนอีเหยาไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำพลาดไป เธอพยักหน้าพูด “โอเค งั้นไว้บอกพรุ่งนี้นะ”
เธอหาวออกมา และไปนอนบนเตียงใหญ่ในห้อง
เย่จิงเหยียนยืนอยู่ข้างหลังเธอ สีหน้าค่อยๆเปลี่ยนจากสงบนิ่งเป็นสิ้นหวัง
เขาแหวนออกมา เป็นแหวนที่เขาตั้งใจเลือกเองเป็นอย่างดี
เขาเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว ขอแค่ต้วนอีเหยาไม่ไป แหวนวงนี้ก็จะไปอยู่บนนิ้วของเธอ
แต่ตอนนี้…
เย่จิงเหยียนส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น เธอรู้ตัวไว้อยู่แล้วรึเปล่าถึงไม่ยอมให้โอกาสเขาเลย
แหวนแทนใจมีแค่วงนี้ เหมือนกับความรักของเขาก็มีแค่หนึ่งเดียว ต้องมีสักวันที่เขาจะได้สวมแหวนให้เธอ
ต้วนอีเหยานอนบนเตียง แล้วค่อยๆถอนหายใจออกมา ไม่ใช่ว่าเธอไม่เห็นสายตาของคนที่อยู่ข้างหลัง แต่เธอไม่รู้จะตอบเขายังไงดี จึงได้แต่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง และไม่หันกลับไป
เย่จิงเหยียนที่ยืนห่างออกไปไม่กี่เมตรก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งต้วนอีเหยาหลับไปเขาถึงค่อยๆถอนหายใจออกมา
แหวนวงนี้คงได้แต่อยู่กับเขาไปก่อน แต่เรื่องยากในตอนนี้ก็คือ จะส่งมันกลับไปยังไง
….
วันถัดไป อี้ทียนเฉิงมารอหน้าโรงแรมตั้งแต่เช้าตู่ เมือเห็นต้วนอีเหยากับเย่จิงเหยียนเดินออกมา เขาก็รีบตรงเข้าไปหาทันที
“วู้ว ในที่สุดก็ออกมาสักที ผมรอจนรากจะงอกแล้ว”
เย่จิงเหยียนมองผ่านเขาไปราวกับมองไม่เห็น จากนั้นก้หันไปถามต้วนอีเหยา “อาหารเช้าอยากกินอะไร”
“อาหารเช้าหรอ ผมเตรียมไว้ให้แล้ว” อี้เทียนเฉิงรีบบอก
แต่เย่จิงเหยียนก็ยังคงไม่สนใจเขาเหมือนเดิม เขาเอาแต่จ้องต้วนอีเหยา จนกระทั่งเธอยิ้มออกมาอย่างอึดอัด “อะไรก็ได้”
“งั้นก็กินอาหารของที่นี่”
ต้วนอีเหยาพยักหน้า มาที่นี่ก็แปลว่ากินของท้องถิ่นของที่นี่ แน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นก็มาเสียเที่ยวสิ
“เห้….อาหารเช้าของที่นี่ผมก็เตรียมให้แล้วนะ”
อี้เทียนเฉิงพูดหว่านล้อมต้วนอีเหยา เพราะเขารู้ว่าอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่เธอ
แต่เขาไม่รู้ถึงความสามารถในการฟังของต้วนอีเหยาซะแล้ว ระหว่างทางเธอก็ไม่เอ่ยปากอะไรออกมาทั้งนั้น จนกระทั่งเธอเห็นร้านอาหารและกำลังจะเดินเข้า เขาจึงรีบดึงข้อมือของอีเหยาไว้ทันที
“พี่สะใภ้ เห็นแก่อาหารเช้าที่ผมเตรียมไว้ให้เถอะนะ ไปกินกันตรงนู้นได้มั้ย”
เย่จิงเหยียนเหลือบตามองเขานิดหน่อย ก่อนจะทันเห็นเขาจับมือต้วนอีเหยาพอดี จึงรีบดึงมือเขาออกโกรธๆ “ไปไกลๆ อย่ามารุ่มร่าม”
“อุ้ยย”
อี้เทียนเฉิงดึงมือกลับ จากนั้นก็รีบร้องออกมาจนดึงดูดสายตาของคนอื่นไปทั่ว
ต้วนอีเหยาเห็นเขาน่าสงสารจึงพูดให้ “จิงเหยียน เราไปกินข้าวกับเขาตรงนู้นเถอะ”
เขาตื่นมารอหน้าประตูตั้งแต่เช้า ไหนจะเดินมาหาด้วยสีหน้าดีใจ แต่สิ่งที่เขาได้รับคือสายตาที่เย็นชา มันน่าสงสารเกินไป
“จะไปหรอ” ไปน่ะไปได้ แต่นั่นจะหมายความว่าวันหยุดของพวกเขาได้หมดลงแล้ว
“อืม” ต้วนอีเหยาพยักหน้า เธอรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ที่ไหนที่มีเขาก็ถือว่าเป้นวันหยุดทั้งนั้น
เย่จิงเหยียนจ้องอี้เทียนเฉิงอย่างโกรธเคือง “ไปกันเถอะ”
“คร้าบบ” อี้เทียนเฉิงผายมืออย่างกระตือรือร้น “เชิญทางนี้เลยครับ”
เย่จิงเหยียนสบถออกมาอย่างหงุดหงิด จากนั้นก็ให้ต้วนอีเหยาเดินนำไปข้างหน้า เด็กคนนี้มีปัญหาเมื่อไหร่ไม่มี ดันมามีในวันหยุดอันหาได้ยากอย่างนี้ มันทำให้การขอแต่งงานของเขาคลาดเคลื่อนไปหมด
ทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดเรื่องนี้อยู่ เพียงแค่รู้ว่าเขาบอกจะช่วยก็ดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง
เมื่อถึงร้านอาหาร ชั้นหนึ่งคนนั่งจนเต็มร้านแล้ว เย่จิงเหยียนจึงขมวดคิ้วถาม “จะให้พวกเรานั่งอัดอยู่นี่หรอ”
“ไม่ๆ พวกเขาจะดีไปกว่าพวกพี่ได้ยังไง ผมปิดชั้นสองไว้ให้แล้ว พวกพี่จะได้กินข้าวกันอย่างสงบ”
อี้เทียนเฉิงส่งสายตาให้พนักงานแล้วนำทั้งคู่ขึ้นไปชั้นสอง
ต้วนอีเหยาใช้โอกาสนี้สังเกตการตกแต่งของร้าน ยิ่งมองเธอก็ยิ่งทึ่ง คนคนนี้แปลกจริงๆ
มีผลงานแกะสลักมากมาย ไหนจะรูปวาดต่างๆ ต้วนอีเหยาชื่นชม
พวกเขาเลือกนั่งบริเวณข้างหน้าต่าง เมื่อมองออกไปข้างนอกก็เห็นท้องฟ้ากว้างไกล ทำให้รู้สึกสบายใจมาก
“อะแอ่ม คือ…พวกเรา….” อี้เทียนเฉิงอยากหาอะไรมาพูดทำลายความเงียบ แต่ต้วนอีเหยากับเย่จิงเหยียนไม่ได้คิดอย่างนั้น ทั้งคู่ต่างอยู่ในโลกของตัวเอง
จนเมื่อพูดจบ อี้เทียนเฉิงก็ได้แต่เกาหัวอย่างอึดอัด “แหะๆ ถือซะว่าผมไม่ได้พูดก็แล้วกัน”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูทำลายบรรยากาศอึดอัด อี้เทียนเฉิงกระแอมออกมา “เข้ามา”
พนักงานค่อยๆเรียงตัวกันเข้ามา ทุกคนใส่ชุดจีนโบราณถืออาหารมาเสริฟ
เมื่อจัดโต๊ะเสร็จก็ยืนเรียงกัน แล้วพูดว่า “ทานให้อร่อยค่ะ”
การกระทำเหล่านี้ทำให้ต้วนอีเหยาตะลึง “ทำไม…ทำไมเปลี่ยนไป”
ก่อนหน้านี้ที่มา ไม่ใช่อย่างนี้นี่นา ตอนนี้ก้เสริฟอาหารปกติ แต่อยู่ดีๆวันนี้ก็เปลี่ยนเป็นแบบนี้ ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้ย้อนยุคมาจริงๆ
“นี่เป็นการจัดเตรียมพิเศษครับ” อี้เทียนเฉิงพูดบอก เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องพูดออกไป เพราะมันจะได้แสดงออกว่าเขาพยายามเอาใจทั้งคู่จริงๆ