วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 370 ลองดูตัวนี้
ต้วนอีเหยาแตะจมูกแล้วมองไปที่เย่จิงเหยียนยิ้มๆ เมื่อเห็นเขาไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา เธอก็อดไม่ได้ที่จะดึงแขนเสื้อของเขา
“หืม เป็นอะไร” เย่จิงเหยียนเหมือนเพิ่งได้สติ เขามองต้วนอีเหยาด้วยรอยยิ้ม
“ฉันหิว แล้วเริ่มกินข้าวได้รึยัง”
“ได้สิ” เย่จิงเหยียนยื่นมือออกมาลูบหัวของเธอ เรื่องนี้ไม่ต้องถามเขาก็ได้ หิวแล้วก็กินเลย
ต้วนอีเหยาหยิบตะเกียบข้างๆขึ้นมา เมื่อเรียกพวกเขาแล้วพวกเขายังไม่ยอมลงมือทานอาหารเธอก็เริ่มรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย แต่จะวางตะเกียบลงก็ไม่ทันแล้ว
เธอข่มความอายใช้ตะเกียบคีบอาหารชิ้นที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด
“อื้ม” เมื่อส่งอาหารเข้าปาก ตาของต้วนอีเหยาก็เป็นประกายทันที อาหารที่นี่ไม่ทำให้เธอผิดหวังจริงๆ
“ชอบก็ดี ชอบก็ดี” อี้เทียนเฉิงยิ้มออกมาอย่างดีใจ และแอบขยิบตาให้คนที่อยู่หน้าประตู
บริกรที่รออยู่รู้หน้าที่รีบเดินออกไปเงียบๆทันที เหลือไว้เพียงแค่คนที่เข้ามาคนแรกสุด
ต้วนอีเหยามัวแต่สนใจรสอาหารที่อยู่ตรงหน้า จึงไม่ได้สังเกตุเห็นเรื่องพวกนี้เลย และเย่จิงเหยียนก็มัวแต่สนใจต้วนอีเหยา เรื่องอื่นเขาจึงไม่ได้สนใจมองมากนัก
“พี่สะใภ้ชอบก็ดีแล้ว เพราะเป็นอาหารเช้า ดังนั้นผมเลยเตรียมแบบรสไม่จัดมาก หวังว่าพี่จะไม่รังเกียจ”
“ไม่ๆๆ” ต้วนอีเหยาโบกมือ “มันดีมากแล้ว”
ถ้าอย่างนี้เขาว่ารสเบา งั้นปกติที่เธอกินซาลาเปา หมั่นโถจะเรียกว่าอะไรล่ะ
อี้เทียนเฉิงยิ้มและมองไปที่เย่จิงเหยียน “พี่ใหญ่กินสิ”
เย่จิงเหยียนเหลือบไปมองเขานิดหนึ่ง และค่อยๆหยิบตะเกียบขึ้นมาชิมอาหารที่ต้วนอีเหยากินไปเมื่อกี้
“เป็นยังไงบ้าง”
อี้เทียนเฉิงและต้วนอีเหยามองเขาอย่างคาดหวัง
เพราะไม่อยากให้ต้วนอีเหยาผิดหวัง เขาจึงพยักหน้าเล็กน้อย “ก็ดี”
คำชมนี้ทำให้อี้เทียนเฉิงอดรู้สึกภูมิใจไม่ได้ ราวกับได้รับคำชมจากคนหลายร้อยล้านคน
กว่าจะได้รับคำชมจากเย่จิงเหยียนไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้เมื่อก่อนเขาจะมากินข้าวที่นี่บ่อยๆ แต่เขาก็ไม่เคยบอกว่าอร่อยมาก่อน พวกเขาจึงคิดว่าเป็นแค่เพราะความเคยชิน ไม่อยากเปลี่ยนร้านอาหาร แต่ในที่สุดวันนี้ก็ได้ยินเขาชมออกมา
…..
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เย่จิงเหยียนกับอี้เทียนเฉิงก็คุยกันว่าจะกลับไปดูที่บ้านตระกูลอี้หน่อย ต้วนอีเหยาจึงลุกขึ้นตาม
แต่เธอไม่ทันได้สังเกตสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้า เมื่อเธอยืนขึ้นเสื้อของเธอจึงไปปัดโดนของบนโต๊ะตกลงมาข้างๆเท้าจนหมด และเสื้อผ้าก็เลอะเช่นกัน
“เป็นอะไร” เย่จิงเหยียนได้ยินเสียงจึงหันไปมองเมื่อเห็นเธอยืนอยู่กับที่หน้าบึ้ง เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ทำไมไม่ระวัง คุณอย่าขยับ”
บนพื้นมีเศษแก้วแตกกระจัดกระจายไปหมด เขาเดินเข้าไปกอดต้วนอีเหยาพลางบอก “แกไปเตรียมเครื่องบินก่อน ฉันจะพาต้วนอีเหยาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
พูดจบเขาก็ไม่รอให้อี้เทียนเฉิงตอบ รีบอุ้มต้วนอีเหยาเดินผ่านเขาไปทางร้านเสื้อผ้าที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที
“จิงเหยียน ปล่อยฉันลง”
สายตาแปลกๆระหว่างทางทำให้ต้วนอีเหยาเดี๋ยวรู้สึกอึดอัด เธอจึงดิ้นเพื่อให้หลุดออกจากแขนของเย่จิงเหยียน แต่ก็กลัวจะตกลงมาดังนั้นเธอจึงขยับเบาๆเท่านั้น
“อย่าขยับ” เย่จิงเหยียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา เธอไม่กลัวจริงๆสินะ ถ้าเธอยังดิ้นอย่างนี้ต่อไป เขาอาจจะอุ้มไม่ไหวก็ได้
เมื่อเธอได้ยินเสียงของเขา เธอก็อดไม่ได้ที่จะเกร็งตัวขึ้นมา ไม่กล้าที่จะขยับอีก “ถึงรึยัง อีกไกลแค่ไหน”
“จะถึงแล้ว” เย่จิงเหยียนตอบกลับอย่างไม่พอใจ
ผู้หญิงคนนี้ต้องอยากออกไปจากอ้อมแขนเขามากขนาดไหนกัน เพิ่งเดินมาได้นิดเดียวก็ถามเรื่องนี้ไม่ต่ำกว่าสิบรอบแล้ว
“อ้อ….”
หลังจากตอบอย่างนั้นเสร็จ เธอก็ไม่ถามอีกแล้ว เย่จิงเหยียนอุ้มเธอมาไกลมาก ในที่สุดก็หยุดลงที่ร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง
“ยินดีต้อนรับ” พนักงานใช้ภาษาอังกฤษและภาษาจีนพูดพร้อมกัน
“ไปเลือกชุดที่ตัวเองชอบเปลี่ยนซะ” เย่จิงเหยียน ลากต้วนอีเหยาเข้าไป จากนั้นก็หาเก้าอี้นั่งรอ
“ค่ะ” ต้วนอีเหยาอึดอัดเล็กน้อย เธอเลือกเสื้อยืดกางเกงยีนส์และเข้าไปลองในห้องลองชุด
เย่จิงเหยียนหยิบนิตยสารข้างๆขึ้นมาอ่าน จากนั้นไม่นานห้องลองชุดก็เปิดออก พร้อมกับต้วนอีเหยาที่เดินออกมาจากข้างใน
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างคาดหวัง แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่เธอใส่ เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำไมใส่ชุดนี้”
“มีอะไรไม่ถูกหรอ” เธอหมุนตัวหน้ากระจก หนึ่งรอบ นี่ก็เป็นสไตล์ที่เธอใส่อยู่ปกติไม่ใช่หรอ
“อืม ไม่สวย” เย่จิงเหยียนวางนิตยสารลง และพูดอย่างจริงจัง
“แต่ฉัน…. รู้สึกว่าสวยมากเลยนะ”
เธอลูบเสื้อผ้าตัวเองเบาๆด้วยความไม่เข้าใจ พนักงานที่อยู่ข้างข้างสายตาดีมาก เธอจึงรีบหยิบกระโปรงอีกตัวหนึ่งขึ้นมา
“คุณผู้หญิงลองดูตัวนี้มั้ยคะ”
“ชุดเดรสหรอคะ” ต้วนอีเหยาตกใจ “ไม่ๆๆ ฉันใส่กระโปรงไม่เหมาะค่ะ”
ตั้งแต่เล็กเธอเป็นทหารมาโดยตลอด เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์จึงทำให้เธอเดินได้สะดวกกว่า ถ้าเธอใส่ชุดกระโปรงกลัวว่าแม้แต่จะเดินก็เดินไม่ได้
“ใช่ค่ะ ชุดเดรสตัวนี้ฮิตมากเลยนะคะในปีนี้ มีคนชอบเยอะมาก คุณผู้หญิงรูปร่างสวย ใส่แล้วต้องสวยมากแน่แน่ๆค่ะ”
พนักงานพยายามโปรโมทชุดของตัวเองอย่างเต็มที่ เย่จิงเหยียนเท้าคางสังเกตชุดตัวนั้นอย่างละเอียด ชุดนั้นเป็นชุดสีขาวแขนกุด กระโปรงพองเล็กน้อย
“เอาไปลองสิ” เย่จิงเหยียน กล่าวอย่างครุ่นคิด
ชุดนี้อยู่ในขอบเขตที่เขารับได้
“โอเค” ในเมื่อเย่จิงเหยียนพูด เธอก็ไม่อยากเสียเวลา ดังนั้นจึงหยิบชุด และเดินเข้าไปในห้องลอง
เย่จิงเหยียนนั่งอยู่บนโซฟา ยังคงนั่งอ่านนิตยสารอย่างอดทน และครั้งนี้ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าใช้เวลาค่อนข้างนาน
เขาดูนาฬิกาแล้วดูนาฬิกาอีก เวลาผ่านไปสิบนาทีแล้ว ต้วนอีเหยายังไม่ยอมออกมาจากห้องลองชุด ตามปกติแล้ว ใส่กระโปรงใช้เวลาน้อยกว่าใส่กางเกงมาก
พนักงานเห็นว่าเขารอไม่ไหวแล้ว จึงเดินไปหน้าห้องลองชุดและเคาะประตู “คุณผู้หญิงมีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ”
“ไม่…ไม่มีค่ะ” ต้วนอีเหยา ตอบกลับมาจากข้างใน
“ถ้าไม่มีปัญหาก็ออกมาเถอะ” เย่จิงเหยียนไม่รู้ว่าเดินมาอยู่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อไหร่
ต้วนอีเหยาเงียบอยู่ข้างในอีกพักใหญ่ จากนั้นก็ได้ยินเสียง “แกรก” พร้อมกับเธอที่ออกมาจากประตูช้าๆ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอใส่กระโปรง แต่เมื่อเธอต้องยืนต่อหน้าเย่จิงเหยียน ก็ยังรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
ครั้งก่อนในงานแต่งงานของเขา ไป๋จิ่นอิ๋ง เลือกชุดที่โป๊กว่านี้ให้เธอ เธอก็สามารถใส่ได้ แต่เมื่อต้องคิดว่าเย่จิงเหยียนยืนอยู่ตรงหน้า เธอก็รู้สึกเขินเล็กน้อย
เขารู้จักเธอดีเกินไป ใส่ชุดอย่างนี้จึงทำให้เธออดเขินขึ้นมาไม่ได้
เย่จิงเหยียนมองตามรอยแยกของประตู ก่อนจะเห็นต้วนอีเหยาค่อยๆปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเขา เธอใส่ชุดสีขาว ใบหน้านิ่งสงบราวกับนางฟ้า
“เป็นยังไงบ้าง” เธอเห็นเขาเงียบไปนาน จึงถามออกมาอย่างประหม่า
“สวย”
เย่จิงเหยียนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะควบคุมอารมณ์ของเขา แต่สายตาของเขาก็ช่างทรยศ
พนักงานก็ตกตะลึงเช่นกัน เมื่อกี้ที่เธอบอกว่าเหมาะสมกับเธอ เธอแค่พูดไปตามน้ำเท่านั้น เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์จะทำให้เห็นรูปร่างของเธอได้ยังไง แต่เพื่อให้เป็นไปตามที่เย่จิงเหยียนต้องการ เธอจึงต้องพูดออกไปอย่างนั้น
แต่….
เมื่อเธอใส่ชุดนี้ เธอเหมือนกับนางแบบไม่มีผิด เธอมีสัดส่วนที่สวยงาม ชุดนี้ราวกับถูกตัดมาเพื่อเธอ
“ฉัน…. ฉันกลับไปเปลี่ยนดีกว่า” เธอประหม่ามากจึงพูดออกไปตามที่ใจคิด
แต่เย่จิงเหยียนก็จับมือของเธอไว้ เพื่อไม่ให้เธอกลับไปเปลี่ยนได้ “ชุดนั้นของคุณสกปรกแล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก”
พูดจบก็ลากเธอไปตรงเคาน์เตอร์จ่ายตังค์ “เท่าไหร่”
“สามพันห้าร้อยค่ะ”
พนักงานหยิบกรรไกรเล็กๆเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ จากนั้นก็มายืนอยู่ข้างหลังต้วนอีเหยา พร้อมถาม “คุณผู้หญิง ดิฉันตัดป้ายให้นะคะ”
“อุ้ย ไม่…”
ต้วนอีเหยา ยังอึ้งกับราคานั้น เธอรีบโบกมือ แต่เย่จิงเหยียนก็ขัดคำพูดของเธอซะก่อน “อืม ตัดเถอะ”
“จิงเหยียน”
ต้วนอีเหยาไม่รู้จะพูดยังไงดี ก็แค่ชุดเดรสธรรมดา แต่ต้องจ่ายแพงขนาดนั้น เธอจะรับไหวได้ยังไง
“อย่าดื้อ” เย่จิงเหยียน เอาผมทัดหูให้เธอ จากนั้นก็ยื่นแบล็คการ์ดไปให้พนักงาน
เมื่อพนักงานเห็นแบล็คการ์ดก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย เธอมองเย่จิงเหยียนอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มคิดเงิน
…..
หลังออกจากร้าน ต้วนอีเหยาก็เดินตามหลังเย่จิงเหยียนช้าๆ “จิงเหยียน ฉันใส่อย่างนี้เดินไม่ค่อยสะดวก”
“ดีเลย คุณจะได้ไม่ดีด” เย่จิงเหยียนยิ้มบางๆ
ทำให้ต้วนอีเหยาอดไม่ได้ที่จะชกเขาเบาๆ ที่แท้เขาก็ไม่ชอบที่เธอทำตัวแมน บอกกันตั้งแต่แรกก็จบแล้ว
“ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบนะ” เย่จิงเหยียนราวกับได้ยินเสียงคิดของเธอ จึงรีบอธิบาย
“แต่ผมแค่คิดว่าคุณสวยขนาดนี้ ไม่ควรจะใส่กางเกงกับเสื้อที่ปกปิดความงามของคุณไว้ คุณน่าจะใส่ชุดที่มีสีสันสักหน่อย อีเหยาเชื่อผมเถอะ ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง ผมก็ยังชอบคุณเหมือนเดิม”
ต้วนอีเหยาเห็นว่าเขาสารภาพอย่างจริงจัง ก็อดไม่ได้ที่จะเขินขึ้นมา “ทำไมอยู่ดีดีก็พูดขึ้นมา”
“แค่อยากบอกกับคุณ เติมเต็มในสิ่งที่ผมไม่ได้พูดเมื่อก่อน”
ต้วนอีเหยาใจเต้นตึกๆ เธอรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป ทำไมรู้สึกเหมือนการบอกลาเลย
ทั้งคู่คุยกันไปพลางเดินไป ไม่นานก็ถึงสนามบินส่วนตัวของอี้เทียนเฉิง ซึ่งมีเครื่องบินจอดอยู่ลำหนึ่ง และจากบันไดของเครื่องบินไกลๆ ก็เห็นอี้เทียนเฉิงกวักมือเรียกอยู่
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปใกล้ อี้เทียนเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “คิดว่าจะไม่มาแล้วซะอีก”
เย่จิงเหยียนเหลือบมองเขา “บอกว่าจะมาก็มาสิ”
แต่ตอนนี้สายตาของอี้เทียนเฉิงกำลังถูกต้วนอีเหยาดึงดูดอยู่ “ว้าว พี่สะใภ้ พี่สวยจริงๆ”
“ขอบใจ” ต้วนอีเหยาก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ไม่กล้ามองตาเขา
“จะไปก็รีบไป” เย่จิงเหยียนมายืนบังหน้าต้วนอีเหยาอย่างไม่พอใจ พูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธ
“ก็แค่ดูเอง” อี้เทียนเฉิงเบะปาก จากนั้นก็ยิ้มให้ต้วนอีเหยา “ใช่มั้ยครับ พี่สะใภ้”
ต้วนอีเหยาขำเบาๆ “อืม…”
“แกไม่อยากให้ฉันช่วยแล้วใช่มั้ย” เย่จิงเหยียนโกรธมาก ดึงต้วนอีเหยาเดินจากไปทันที
“อย่าๆ ผมผิดไปแล้ว พี่เย่ผมผิดไปแล้ว อย่าพึ่งโกรธ”
อี้เทียนเฉิงรีบเดินขึ้นไปขวางเย่จิงเหยียน และพาพวกเขาไปขึ้นเครื่องบินอย่างขยันขันแข็ง และไม่กล้ามองไปที่ต้วนอีเหยาอีก
ทั้งสามคนเดินขึ้นไปบนเครื่องบิน เย่จิงเหยียนเลือกที่นั่งสบายๆ ให้ต้วนอีเหยานั่งข้างๆตัวเอง จากนั้นก็ถอดเสื้อสูทออกวางลงคลุมลงบนร่างสวยงามของเธอ
ตอนนี้เขาแอบคิดเหมือนเธอด้วยเช่นกัน จากนี้เค้าจะไม่ให้เธอใส่กระโปรงอีก ไม่อย่างนั้นเค้าคงหยุดหึงเธอไม่ได้
การกระทำของเขา อีเทียนเฉิงสังเกตอยู่ตลอด เมื่อเห็นว่าต้วนอีเหยาเป็นคนสำคัญของเขาที่สุด เขาจึงเริ่มจริงจังขึ้น
เล่นได้แต่ต้องพอเหมาะพอควร ไม่อย่างนั้นถ้าเย่จิงเหยียนโกรธขึ้นมา นอกจากจะไม่ช่วยเขาแล้ว ยังอาจจะช่วยซ้ำเติมเขาอีกแรงก็ได้
ต้วนอีเหยาไม่รู้เลยว่าแค่ไม่กี่นาทีพวกเขาสองคนก็คิดวิธีรับมือได้แล้ว เพราะเธอมัวแต่สนใจกระโปรงสั้นๆของตัวเอง อยู่เมื่อนั่งลงเธอก็ไม่กล้าขยับตัวมากนัก เพราะรู้สึกไม่ชิน
ในขณะที่เธอขยับตัวครั้งที่เจ็ด เย่จิงเหยียนก็ถามออกมาอย่างทนไม่ไหว “เป็นอะไร”
“ไม่มีอะไร”
ต้วนอีเหยาปฏิเสธทันที แต่การกระทำของเธอก็ทำให้เย่จิงเหยียนดูออก
“ถอดเสื้อผ้าออกมา” เย่จิงเหยียนจ้องไปที่อี้เทียนเฉิง
ตอนแรกอี้เทียนเฉิงพักสายตาอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดของเขาก็งงไปชั่วขณะ “ห๊ะ… ไม่ดีมั้ง”
สายตาของเค้าแปลกๆ ก็แค่ให้ช่วยเองไม่ใช่หรอ ทำไมต้องทำให้เขาขายหน้าต่อหน้าคนรักของเขาด้วย
“อย่าพูดมาก ถอดเสื้อผ้าออกมา”
อี้เทียนเฉิงมองเขาอย่างตะลึง “รอหน่อยไม่ได้หรอ” ตอนนี้เขายังไม่พร้อม
“จะถอดไม่ถอด” เย่จิงเหยียนหรี่ตาอย่างอันตราย
“ถอดๆ ถอดเดี๋ยวนี้แหละ”
อี้เทียนเฉิงเม้มปาก รีบถอดเสื้อคลุมออก จากนั้นก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว “ทำอะไร”
“ก็ให้ผมถอดเสื้อผ้าไม่ใช่หรอ” อี้เทียนเฉิงเอามือจับกระดุมเสื้อ มองเขาด้วยความงง
“ฉันให้แกถอดเสื้อคลุม”
“ห๊ะ”
อี้เทียนเฉิงงงเข้าไปใหญ่ “ถอดเสื้อคลุมทำไม”
“พูดมาก เอาเสื้อคลุมมา”
เย่จิงเหยียนยื่นมือมาอย่างหน่ายๆ จากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมไปคลุมขาให้ต้วนอีเหยา “เสร็จแล้ว นอนหลับได้แล้ว”
อี้เทียนเฉิงเพิ่งจะเข้าใจ จึงชี้ไปที่เย่จิงเหยียนมือสั่นๆ “เย่จิงเหยียน พี่….”
เสียเวลาเขาจริงๆ เขาอุตส่าห์ทำใจตั้งนาน คิดไม่ถึงว่าที่แท้จะหมายความว่าอย่างนี้ ช่างน่าโมโหจริงๆ
เย่จิงเหยียนไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าตัวเองทำผิดอะไร เขายังคงนั่งนิ่ง ในขณะที่ต้วนอีเหยาที่อยู่ข้างๆเริ่มหัวเราะจนน้ำตาไหล
“ทำยังไงดี อยู่กับพวกคุณนอกจากฉันจะต้องรักษาความเป็นผู้หญิง แล้วยังต้องจับตาดูผู้ชายด้วย ถ้าเกิดวันหนึ่งฉันไม่ได้ดูดีๆขึ้นมา แล้วสบโอกาส ฉัน…”
“ฉัน….ไม่ไหวแล้ว….ฮ่าๆๆๆ”
ต้วนอีเหยาพูดได้ครึ่งหนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา จนทั้งเครื่องบินเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเธอ