วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 371 เปลี่ยนอดีต
เครื่องบินลงจอด ต้วนอีเหยาเดินออกจากห้องโดยสาร หายใจเข้าลึกๆทีนึง “ฮ่า… ในที่สุดก็ได้หายใจโล่งๆสักที ภายในเครื่องบินปิดสนิทแทบทุกมุม อึดอัดจริงๆ”
ตั้งแต่เกิดเรื่องบนเครื่องบิน อารมณ์ของเขาของเธอก็ดีขึ้นยังไม่รู้ตัว ความเครียดต่างๆที่สะสมไว้ในไม่กี่วันนี้ก็ได้ระบายหมดสิ้น
“เอ๊ะ” ขนาดที่บิดขี้เกียจ ต้วนอีเหยาขมวดคิ้วแล้วจ้องไปข้างหน้า เย่จิงเหยียนเดินเข้ามาข้างกายเธอพอดี แล้วมองตามสายตาเธอเห็นข้างหน้ามีคนกลุ่มใหญ่กำลังตรงเข้ามา
เป็นกลุ่มจำนวนคนมาก ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา ผู้นำกลุ่มนั้นพาทุกคนทำความเคารพต่ออี้เทียนเฉิง
“นายน้อย”
“อืม” อี้เทียนเฉิงจากปกติที่เห็นเป็นคนไม่เอาไหน กลับเป็นคนจริงจังขึ้นมาทันที
“เรื่องในบริษัทเป็นยังไงบ้าง”
ผู้นำกลุ่มนั้นมองไปยังเย่จิงเหยียนกับต้วนอีเหยาด้วยความสงสัย เมื่อหันกลับมามองเห็นอี้เทียนเฉิงใสหัว “ไม่เป็นไร”
“ก็ยังเป็นเหมือนเดิมยังคงเหมือนเดิม ประธานยุ่งจนอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ว่าต้องวงเงินทุนนั้นเป็นปัญหาจริงๆ นายหญิงก็ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย เกรงว่า….เกรงว่าจะอยู่ต่อไปได้ไม่นาน…”
ใบหน้าที่เศร้าหมองของผู้นำกลุ่มนั้น ยามเข้าวัยกลางคนอย่างเขา บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น บวกกับการที่ไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน ขอบตาที่ดำ ดูแล้วอาการน่าเป็นห่วงจริงๆ
“เข้าใจแล้ว พาเรากลับไปบริษัทเถอะ” อี้เทียนเฉิงเมื่อฟังจบข่าวนี้ สีหน้ายิ่งเครียดกว่าเดิมกว่าเดิม
แม้ว่าในใจจะกังวลแค่ไหน แต่ยังคงยิ้มให้กับเย่จิงเหยียนและต้วนอีเหยา “พวกคุณน่าจะไม่ได้พักแล้วล่ะ”
“ไปกันเถอะ” เย่จิงเหยียนไม่ได้พูดมาก เขาจับมือของต้วนอีเหยา แล้วเดินไปตามทางที่มีรถจอดอยู่ข้างๆ
……
“ตุ่มตุ่มๆ”
ห้องทำงานประธานอี้ซื่อกรุ๊ป คุณพ่ออี้กำลังวุ่นวายกับกันดูเอกสาร เสียงเคาะประตู จึงพูดไปลอยๆว่า “เข้ามา”
ลูกบิดประตูขยับ อี้เทียนเฉิงเป็นคนแรกที่เข้ามา “ พ่อ ผมกลับมาแล้ว”
“กลับมาทำไมล่ะ” เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที
“ก็กลับมาเยี่ยมพ่อไง เป็นไงฉันไม่อยู่ ควบคุมไม่ไหวแล้วสิท่า”
อี้เทียนเฉิงกลับมาเป็นคนที่ไร้สาระเหมือนเดิม เขาตรงเข้าไปนั่งอยู่ข้างหน้าคุณพ่ออี้ ชงชาแก้วนึง “เอ้ พวกคุณทำไมยังไม่เข้ามาล่ะ”
คุณพ่ออี้กำลังจะระเบิดอารมณ์ เห็นข้างนอกมีคน จึงควบคุมอารมณ์ไว้ “สองคนนี้คือใคร”
“คือคนที่ลูกเชิญมาให้พ่อไง”
“ไม่เชื่อ”
คุณพ่ออี้ตบบนโต๊ะ ระเบิดอารมณ์ เขาเป็นผู้มีประสบการณ์การทำธุรกิจนานเป็น 10 ปี ยังไม่รู้จะรับมือยังไง นับประสาอะไรกับเด็กหนุ่มสามคนคิดจะช่วยบริษัท
“เรามาก็แค่อยากบอกพ่ออย่างนึง แต่ว่าพ่อจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยนั้นไม่ได้สำคัญอะไร” อี้เทียนปรบมือ 2-3 ครั้ง หยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดเหงื่อบนมือ
ส่งสายตาไปยังที่ที่เย่จิงเหยียนยืนอยู่ เห็นสีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ในใจรู้สึกสงบลง
“ตกลงพวกคุณจะทำอะไร”
คุณพ่ออี้สงบสติอารมณ์ตั้งนาน กว่าจะสงบได้ ห้ามอารมณ์ตัวเองไว้แล้วถาม
อี้เทียนก็ไม่รู้จะทำไง แต่เขารู้ว่าเย่จิงเหยียนยื่นมือช่วย ความสำเร็จของพวกเขาก็จะเกิดผลอย่างมากแน่นอน
“ อยากให้ฉันช่วย ไม่มีปัญหา แต่ว่าจากนี้ต้องฟังฉันเท่านั้น” เย่จิงเหยียนจิบชาทีนึง เหมือนว่ามีแผนในใจเรียบร้อยแล้ว ถึงพูดออกมา
ต้วนอีเหยาที่นั่งอยู่ข้างกายเขา อยากจะหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของเขาที่มั่นใจตัวเองเหลือเกิน แต่เธอไม่อยากทำลายแผนของเขา จึงก้มหน้าคิดอย่างเดียว
“โอเค เชื่อฟังคุณ” คุณพ่ออี้พูดขนาดที่ในใจโกรธเป็นไฟแต่ภายนอกกลับยิ้ม “ไหนคุณลองว่ามาซิ จะให้เราทำอะไร”
“เอาทรัพย์สินทั้งหมดของอี้ซื่อให้ฉัน และต้องให้อำนาจทั้งหมดกับฉัน…”
“ไร้สาระ ทำอย่างนี้กับการที่อี้ซื่อของเราปิดกิจการต่างกันที่ไหน เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคิดอะไรไร้เดียงสาจริงๆ” คุณพ่ออี้ไม่อยากฟังมากกว่านี้ ตัดบทสนทนากับเย่จิงเหยียนทันที
“พวกคุณไปเถอะ ต่อให้อี้ซื่อของเราตกต่ำแค่ไหน ก็จะไม่ทำเรื่องแบบนี้เด็ดขาด”
“พ่อ…”
“หุบปาก”
คุณพ่ออี้มองไปยังอี้เทียนด้วยอาการสั่น พูดอย่างผิดหวังว่า “ลูกทรยศตระกูล พ่อยังไม่ได้พูด ก็พูดออกมาเองแล้ว เรื่องไม่สมควรขณะนี้ยังทำออกมาได้ แล้ววันหลังพ่อจะมอบอี้ซื่อให้นายได้ยังไง”
“ก็แล้วแต่ละกัน ยังไงอี้ซื่อก็ใกล้จะล้มละลายแล้ว พ่อให้ผมแล้วจะทำไงได้ สุดท้ายแล้วก็เป็นผมที่ต้องชดใช้”
อี้เทียนเฉิงเอามือกอดอก จ้องหน้าพ่อยังไม่เกรงกลัว “ผมคิดว่ามอบอี้ซื่อให้กับเขาก็ไม่เห็นจะเป็นไร ยังไงก็จะล้มแหละไม่ล้มแหละ ถ้าสำเร็จ กอบกู้อี้ซื่อกลับมา ถ้าล้มเหลว อย่างมากก็แค่ปิดกิจการ พ่อเองก็จะไม่ต้องมาเหนื่อยอย่างนี้”
“นี่นาย…” คุณพ่ออี้ไม่รู้จะพูดยังไง กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ลูกเนรคุณ ลูกเนรคุณ”
“เอาเถอะน่า พ่อ ไม่ต้องทำเป็นเลย มุกเนี้ยใช้กับแม่เท่านั้น พ่อดูสิแม่ใหม่จะรู้สึกเป็นห่วงพ่อไหม นางอยากจะให้พ่อตายไปด้วยซ้ำ ”
เมื่อคำพูดนี้ออกมาออกจากเขา คุณพ่ออี้ยิ่งไม่รู้จะโต้ตอบยังไง “ไม่ต้องพูดถึงนางชั่วนั่นอีก รอให้ฉันฟื้นตัวก่อน ต้องให้นางเห็นดีแน่”
“ฮ้า ตอนนี้ไม่อยากให้พูดถึง จำได้ตอนแรกเหมือนเป็นแก้วตาดวงใจเลยนี่”
คุณพ่ออี้ข่มอารมณ์ไว้ เอนตัวลงบนเก้าอี้โยก “นี่ลูกตั้งใจจให้พ่อเครียดตายใช่ไหม”
“เอาเถอะน่า ผมมาที่นี่ไม่ใช่มากวนพ่อ พ่อมอบอี้ซื่อไว้ในมือผม ให้ผมเป็นคนดูแล พ่อสบายใจได้”
“ไอ้เด็กเวร พ่อยังไม่รู้เลยสิ่งที่นายคิดคืออะไร บอกไว้อย่างนึง แม้แต่คิดก็อย่าหวัง”
“โธ่… ดูแล้วมีคนที่ไม่อยากได้อี้ซื่อแล้ว ฉันกลับมาครั้งนี้นำเงินทุนกลับมาด้วย ไม่มอบบริษัทให้ฉัน เงินทุนนี้ก็ไม่ควรจะเอาเข้าไปแล้วล่ะ”
อี้เทียนเฉิงตั้งใจพูดให้เสียงดัง เมื่อพูดถึงเงินทุน 2 คำนี้ ยิ่งออกเสียงชัดเป็นพิเศษ
เขากลับมาครั้งนี้มีคนอยู่เบื้องหลัง เขารู้ว่าพ่อคนนี้ไม่คิดจะมอบสิ่งที่ตัวเองทุ่มเทเกือบครึ่งชีวิตมอบให้กับเขาง่ายๆ ฉะนั้นทันทีที่ลงจากเครื่องบินเขาก็ถามหาข่าวคราวของอี้ซื่อทันที
รู้ว่าอี้ซื่อจะดำเนินกิจกรรมต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาถึงมีความมั่นใจว่าจะสำเร็จ หากไม่ใช่เพราะจนตรอก เงินอันน้อยนิดของเขาย่อมไม่อยู่ในสายตาของคุณพ่ออี้
แต่ว่า เมื่อเขาพูดถึงเงินทุน อี้เทียนเฉิงตั้งใจส่งสายตาไปยังพ่อ เห็นว่าเขามีความสนใจ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจ เขารู้รู้แล้วว่าความสำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว
“ฮืม ฉันจะเอาเงินแค่นั้นของนายหรือ” คุณพ่ออี้เชิดหน้า เหมือนไม่ได้สนใจเลยว่าเงินที่เขาพูดถึงนั้นมีเท่าไหร่
“ผมรู้ว่าพ่อตาถึง ถ้างั้นเงิน 10 ล้านของผมก็เก็บไว้แล้วกัน ดูแล้วพ่อน่าจะหาทางออกได้แล้วสิ”
ขณะพูด ก็กวักมือเรียกเย่จิงเหยียนกับต้วนอีเหยาลุกขึ้น “ต้องขอโทษจริงๆ แต่ฉันได้เตรียมโรงแรมให้คุณทั้งสองแล้ว พรุ่งนี้พาพวกคุณไปเที่ยวเล่นใกล้ๆนี้”
เย่จิงเหยียนไม่มีเสียงตอบรับ พยักหน้าให้เขา แล้วจับมือต้วนอีเหยาเตรียมจะไป อี้เทียนเฉิงตามหลังไปติดๆ
“รอก่อน”
เท้าของอี้เทียนเฉิงยังไม่ทันก้าวออกไป ก็ถูกเสียงเรียกของคุณพ่ออี้รั้งไว้ “ไอ้เด็กเวร นายคิดจะทำอะไรกันแน่”
ทั้งที่รู้ว่าเขามีเงินแค่ก้อนนั้น แต่ก็ยังเอามันมาขู่ตัวเอง
“ก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรนี่ ทำตามที่พูดไว้เมื่อกี้ไง”
หันหน้ากลับมา อี้เทียนเฉิงยิ้มอย่างชื่นใจมองไปยังคุณพ่ออี้ “ให้ฉันแล้วทำไมหรอ ของพ่อช้าหรือเร็วก็ต้องเป็นของฉัน ถือว่าเป็นบททดสอบให้ฉัน ให้ฉันได้ฝึกฝนตัวเอง”
“นายคิดอย่างนี้จริงๆหรือ”
“แน่นอน” อี้เทียนเฉิงพยักหน้าอย่างมั่นด้วยใบหน้าที่จริงจัง
“ถ้าเป็นอย่างนี้ พ่อมอบให้นายแล้วกัน”
คุณพ่ออี้ถึงกับไหล่ตก เขาลำบากมาเกือบครึ่งชีวิต เหมือนกับว่าจะเห็นฉากจบของอี้ซื่อแล้ว หลังจากที่พูดประโยคนี้เสร็จ ทั้งตัวดูเหมือนกับแก่ลงเป็น 10 ปี
“พ่อก็ไม่ต้องเศร้าไป ฉันสัญญาว่าจะให้อี้ซื่อที่แข็งแรงมั่นคงกับพ่อแน่นอน” เห็นสีหน้าแบบนั้นของเขา อี้เทียนเฉิงก็เก็บอารมณ์ไม่อยู่ เพราะเขาคือพ่อแท้ๆ แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมดแต่ก็ไม่ถึงกับไม่เข้าใจเลย
……
การทำสัญญาง่ายมาก ก็แค่ให้คุณพ่ออี้เซ็นหนังสือมอบอํานาจ จากนั้นก็แนะนำอี้เทียนเฉิงให้ผู้อาวุโสของบริษัท
ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ก็รู้จักอี้เทียนเฉิง เพราะว่าเขาเป็นถึงลูกของประธาน อย่างน้อยก็รู้ว่ามีคนนี้อยู่ ดังนั้นการทักทายซึ่งกันและกันไม่ได้ยาก
สุดท้าย คุณพ่ออี้ให้เลขานำเอกสารทั้งหมดยัดให้กลับอี้เทียนเฉิง ส่วนตัวเองก็นั่งรถไปยังคฤหาสน์ที่ยังไม่ถูกธนาคารยึดไป
อี้เทียนเฉิงอยู่ที่ห้องทำงานของประธาน สำรวจหลายๆรอบ “คิดไม่ถึงว่าพ่อจะตอบตกลงได้ง่ายขนาดนี้ คิดว่าตัวเองต้องใช้คำพูดมากกว่านี้เสียอีก”
เย่จิงเหยียนนั่งอยู่ที่ข้างๆเขา ช่วยต้วนอีเหยาจัดกระโปรง “อย่าดีใจเร็วเกินไป ตอนนี้ต้องทำอย่างนึง ต้องให้คนนอกข้างนอกรู้ว่าพวกคุณสามารถดูแลกิจการต่อได้”
เห็นเขาพูดเรื่องจริงจังขึ้นมา อี้เทียนเฉิงรีบเข้าไปเข้าใกล้เขา “จะให้ฉันทำอะไร”
“เมื่อกี้ฉันดูข้อมูลของอี้ซื่อแล้ว ค้นพบว่าพวกคุณกำลังมีปัญหาโปรเจคอันหนึ่ง เอาเงินในมือของคุณทั้งหมดลงทุนไป แล้วฉันจะคอยสนับสนุนอีกที ให้ทุกคนเข้าใจว่าพวกคุณสามารถผ่านมันไปได้ ”
“เมื่อถึงเวลาก็อ้างโปรเจคนี้ ในการนำอี้ซื่อออกจากสถานการณ์ที่ย่ำแย่นี้ ประมาณนี้แม่บุญธรรมของนายก็จะอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว…”
เย่จิงเหยียนอธิบายละเอียดมาก อี้เทียนเฉิงเองก็ฟังจนเพลิน เมื่อฟังแผนการทั้งหมด อี้เทียนเฉิงก็อดไม่ไหวที่จะตบมือดีใจ
วิธีการที่ดูเรียบง่าย กลับถูกเย่จิงเหยียนใช้อย่างเห็นผล ตอนนี้เขาถึงยอมทั้งกายและใจ
เมื่อเย่จิงเหยียนพูดจบบิดบิดขี้เกียจทีนึง “แผนก็ได้บอกนายหมดแล้ว เรื่องต่อจากนี้ นายคนเดียวก็เอาอยู่ งั้นฉันขอพาต้วนอีเหยากลับไปพักผ่อนก่อน”
“อย่าเพิ่งสิ ถ้าหากเกิดอะไรไม่คาดคิดขึ้นมา ฉันเองก็ทำอะไรไม่ได้”
“จะมีเรื่องไม่คาดคิดได้ไง จะมีก็แต่ขาดเงินนั่นแหละ”
“เรื่องอย่างนี้ก็ถูกนายมองออก” อี้เทียนปัดจมูกอย่างผิดหวัง นี่ยังเป็นคนอยู่ไหมเนี่ย ถึงขั้นอ่านใจคนได้เลย
“เอาเป็นว่าฉันขอยืมแล้วกัน รอให้กำไรกลับมา ฉันจะคืนให้นาย”
เย่จิงเหยียนกวาดสายตาไปหายังเขา พร้อมกับจับมือของต้วนอีเหยา “ยืมเงินของฉัน ดอกเบี้ยสูงนะ”
พูดจบ ก็เดินจากไป อี้เทียนเฉิงที่ยังมึนงง คิดอยู่ตั้งนานกว่าจะคิดขึ้นมาได้ ตบมือพร้อมกับเต้นโลดดีใจ
ความหมายของเขาคือ ตกลงแล้ว
เสียงข้างในทำให้เลขาที่อยู่หน้าประตูที่กำลังจะเคาะประตูหยุด คิดว่าควรจะขัดจังหวะของนายน้อยหรือเปล่า ก้มตาดูเอกสารบนมือถือ เป็นเอกสารที่รีบด่วนมาก
เขารวบรวมความกล้าทั้งหมด เสียงเคาะเข้าไปขัดความสุขส่วนตัวของอี้เทียนเฉิง
“เข้ามา”
อี้เทียนเฉิงจัดเสื้อผ้าเรียบร้อย แล้วไปนั่งที่เก้าอี้ จากนั้นก็ตั้งใจดูเอกสารฉบับนั้น ทำเหมือนกับว่าเมื่อกี้ที่โลดเต้นอยู่ในห้องนั้นเป็นคนละคนกับเขา
“นาย…ประธาน” เลขาเกือบจะเรียกเขาเหมือนทุกครั้ง แต่จู่ๆคิดมาได้ว่าตอนนี้เขาเป็นประธานบริษัทแล้ว จึงรีบแก้คำ
“อืม ทำไมหรือ” อี้เทียนเฉิงเงยหน้าขึ้นมาจากการดูเอกสาร เลขาถือเอกสารยืนอยู่ข้างหน้าเขา
เลขาคนนี้ก็คือคนที่เป็นคนหัวหน้าของกลุ่มที่ไปรับเขาที่สนามบิน สวมแว่นตากรอบสีทอง ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายความเป็นเลขา
“อันนี้คือรายรับรายจ่ายไม่กี่เดือนที่ผ่านมาของบริษัท เกี่ยวกับการแข่งขันโปรเจค”
เขาเอาเอกสารทั้งหมดวางไว้ข้างหน้าของอี้เทียนเฉิง แล้วขยี้ตาด้วยอาการง่วง ลืมตาเห็นเขากำลังส่อง เอกสารซองสีแดง ถามว่า “ท่านประธาน นั่นคืออะไร”
“ไม่มีอะไร เป็นโปรเจคหนึ่ง” อี้เทียนเฉิงเอาเอกสารที่เขาวางไว้มาข้างหน้าอย่างใจเย็น จากนั้นก็ดูอย่างจริงจัง
เลขารู้สึกสงสัย แต่ว่าเห็นอี้เทียนเฉิงใจจดใจจ่ออยู่ ทำได้แค่เดินออกมาโดยไม่ได้พูดอะไร
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตู อี้เทียนเฉิงเงยหน้าจากเอกสารขึ้นมามอง จากนั้นก็เอาเอกสารที่อยู่ใต้สุด ขึ้นมาดูใหม่อีกรอบ
เย่จิงเหยียนบอกให้เขาว่าห้ามบอกแผนการนี้ให้กับใคร เขาสงสัยว่าข้างในมีไส้ศึก เขาทำได้คือรักษาความลับ แม้ว่าเลขาจะอยู่กับพ่อหลายปี แต่ไม่ได้รับประกันว่าเขาจะไม่ถูกคนอื่นซื้อ
ในสถานการณ์คับขัน การระวังตัวไว้หน่อยก็ดี ตอนนี้เขาแค่อยากทำตามแผน เดินหน้าอย่างราบเรียบ ในระหว่างทางไม่มีอะไรผิดพลาด
……
โรงแรม
ต้วนอีเหยาเดินเข้าไปในโรงแรม ทั้งตัวรู้สึกผ่อนคลายไปหมด “เหนื่อยจริงๆ ไม่คิดว่าการสวมกระโปรง จะถึงขั้นที่ว่าปวดหลังปวดเอวไปหมด”
เขาพูดไปด้วยทุบหลังไปด้วย เย่จิงเหยียนเดินเข้ามาข้างๆเธอแล้วยกมือวางบนไหล่ของเธอ
ใช้วิชาที่เรียนมาในการนวดหลังให้เธอ “แบบนี้สบายขึ้นไหม”
“อืม ออกแรงได้พอดี”
ต้วนอีเหยาหลับตาลง มือที่นวดอยู่บนหลังทำให้เธอรู้สึกสบายเหลือเกิน เหมือนกับว่าจะนอนหลับได้ทุกเมื่อ
“วันนี้รู้สึกเป็นไงบ้าง”
“ก็ดี”
ต้วนอีเหยายังคงหลับตา และตอบโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการคิดเลย เพราะเธอรู้ว่าเขาถามถึงหูของเธอ ถึงแม้ว่าวันนี้เธอจะมีบ้างที่ไม่ได้ยิน ทำให้มีอาการซึมบ้าง
แต่เธอไม่อยากให้เขารู้ เขาจะทำให้เขาเป็นห่วงเปล่าๆ
“ฉันจะต้องดีขึ้นมาทั้งหมด อีเหยา…”
เงียบอยู่ตั้งนาน ในที่สุดเย่จิงเหยียนก็พูดคำนี้ออกมา แต่ว่าเสียงเบามาก เหมือนกับพูดให้กับตัวเอง ต้วนอีเหยาฟังไม่ชัด เธอทำได้แค่พยักหน้าเห็นด้วย
เย่จิงเหยียนยิ้มอย่างไม่เต็มใจ เมื่อถึงเวลา อาจจะโกรธฉัน ไม่สนใจฉัน หรืออาจจะหนีไปจากฉัน…แต่ฉันจะไม่อนุญาตให้เธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยไปตลอดกาล
“เอ่อ คุณว่าจะช่วยอี้เทียนเฉิง ก็แค่พูดกับเขาแค่นั้นหรือ”ต้วนอีเหยาลืมตาขึ้นพร้อมกับถาม
“เขาเข้าใจแน่นอน”
“แล้วเราจะตามมาทำไมล่ะ”ความจริงสามารถบอกวิธีแก้ไขตั้งแต่อยู่ที่เกาะไซปัน ไม่จำเป็นต้องเดินทางลำบากมากับเขา
“มีบางอย่าง ที่เขาทำเองไม่ได้”
เย่จิงเหยียนไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ว่าต้วนอีเหยาพอจะเดาออก ต้องเกี่ยวกับแม่เลี้ยงของอี้เทียนเฉิงแน่นอน ดูแล้วเป็นคนไร้สาระ แต่จริงๆเป็นคนที่เห็นใจคนอื่นมาก
เมื่อก่อนเป็นเพราะว่าแม่เลี้ยงช่วยเขาจากการตีที่รุนแรงของคุณพ่ออี้ เขาจำจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าเรื่องจะดำเนินมาถึงขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่คิดจะโต้ตอบกับนาง
“ฮ้าว..วว.”
ต้วนอีเหยาหาวทีนึง หนังตาเธอจะปิดเองแล้ว
“ง่วงนอนแล้วล่ะ”
เย่จิงเหยียนกดจุดตรงคอของเธอ ตั้งแต่ตั้งท้อง รู้สึกเธอจะนอนมากเป็นพิเศษ ไปที่ไหนก็หลับลึกได้