วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 386 ไม่มีอะไรสำคัญเท่าคุณ
“ไม่ใช่ๆ ฉันจะชดใช้แน่นอนๆ เพียงแค่รถคันนี้… ”
“รถคันหนึ่งสำคัญกว่าชีวิตคนหรือไง”?
ทันทีที่เสียงของชายคนนั้นพูดจบ หญิงชราที่นั่งอยู่บนพื้นก็เริ่มส่งเสียงครวญครางอย่างแผ่วเบา เธอนอนอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรงและดูเหมือนจะหายใจลำบาก
“แม่ แม่เป็นอะไรไป!” ชายคนนั้นคุกเข่าลงบนพื้นทันทีและสำรวจร่างของหญิงชราอย่างวิตกกังวล
เย่ชูวเสวียถูกพวกเขารั้งอยู่ข้างนอก เธอทำได้เพียงเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของพวกเขาอย่างเป็นห่วงและกังวล “ตอนนี้คุณต้องไปโรงพยาบาล! ถ้าพวกคุณไม่มีเงิน ก็ … ก็ใช้รถของฉันไปก่อน”
เย่ชูวเสวียถือกุญแจรถไว้และกำลังจะยื่นให้กับชายคนนั้น แต่เพียงครู่เดียวชายคนนั้นก็หยิบไปทันที
เธอมองดูชายคนนั้นเดินเข้าไปในรถอย่างไม่เต็มใจและพูดว่า “ระวังหน่อยนะ อย่าให้เสียหาย ฉันยังต้องเอาคืน!”
เหมือนกับว่าชายคนนั้นจะไม่ได้ยิน เขาเปิดประตูรถอย่างหยาบคายและทำเหมือนกับว่าลืม
“เดี๋ยวก่อน!”มีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน มือใหญ่ของเขาดึงชายคนนั้นออกมาจากประตูรถ
เย่ชูวเสวียที่เป็นคนฟังได้ยินเสียงนั้นก็รู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย เมื่อหันหน้ามามองพร้อมกับคนอื่นๆ ก็เห็นแค่ว่าหนานกงเจากำลังดึงชายคนนั้นไว้และมองมาที่เธอด้วยรอยยิ้ม
“ชูวเสวีย ฉันมาแล้ว!”
“นายมาได้ยังไง?” เย่ชูวเสวียประหลาดใจ ทำไมไปไหนก็เจอเขาทุกที่ แต่ในที่สุดวันนี้เขาก็มาถูกเวลา เธอหายใจเข้าออกลึกๆ ยังไงก็ปกป้องรถไว้ได้
“ชูวเสวีย เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอเอากุญแจรถให้คนนี้?”
การปรากฏตัวของหนานกงเจาทำให้เย่ชูวเสวียโล่งใจ เธอลังเลอยู่พักหนึ่งและพูดว่า “เมื่อกี้ฉันมองเห็นไม่ชัดเลยไปชนคนเข้า”
“ชนใคร?” หนานกงเจามองไปรอบๆ ดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว จึงชี้หญิงชราที่นั่งอยู่บนพื้น “ชนเธอ?”
“ใช่” เย่ชูวเสวียทำอะไรไม่ถูก นี้มันชัดเจนมากไม่ใช่เหรอ เขามองไม่เห็นหรือไง?
“แล้วคุณเอาให้รถเขาทำไม?”
เย่ชูวเสวียไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรเพื่อให้เขาเข้าใจได้บ้าง เธอจึงทำได้เพียงแค่เม้มริมฝีปากและถามว่า “เอ่อ … หนานกงเจา นายมีเงินไหม?”
“ทำไมเหรอ?” หนานกงเจาผงะ “คุณจะซื้ออะไรเหรอ?”
“ฉันชนคนก็ต้องชดใช้เงินสิ!” เย่ชูวเสวียหมดคำพูด หมดหนทางกับเขาคนนี้แล้วจริงๆ ในเวลาแบบนี้ยังคิดถึงเรื่องซื้อของได้
“อ้อ จะเอาเท่าไหร่?” หนานกงเจาเกาหัว ส่วนคนที่อยู่ในมือของเขาฉวยโอกาสนี้ค่อยๆแอบออกมาจากฝ่ามือของเขา
“กลับมา!” หนานกงเจาหันกลับไปแล้วลากเขากลับมาจากนั้นก็หยิบกุญแจจากมือของเขา “คืนกุญแจรถมา”
หลังจากการกระทำทั้งหมดเสร็จสิ้น เขาก็รีบวิ่งไปหาเย่ชูวเสวียเพื่อขอเครดิต “เย่ชูวเสวีย กุญแจรถของคุณ”
เย่ชูวเสวียรับกุญแจรถมาและไม่ได้พูดอะไร คนรอบข้างต่างรู้สึกไม่พอใจนานแล้วและชี้ไปที่พวกเขา
เมื่อคนแรกๆที่มาก่อนเห็นว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้องแล้วจึงรีบตะโกนว่า “ชนคนแล้วไม่ชดใช้ ยังจะทำร้ายคนอีก!”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนรอบๆตัวต่างตื่นตระหนกขึ้นมาและตำหนิหนานกงเจา แม้แต่เย่ชูวเสวียที่อยู่ด้านข้างก็ไม่สามารถทนได้
พวกเขาทั้งสองถูกเบียดเข้าหากัน เย่ชูวเสวียเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมา เธอพูดไปที่หูของหนานกงเจาขณะที่ยืนอยู่และพูดว่า “นายไม่มายังดีกว่า ฉันเกือบจะแก้ปัญหานี้ได้แล้ว แต่พอตอนนี้กลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้”
หลังจากที่หนานกงเจาได้ยินเขาก็รู้สึกน้อยใจ “ชูวเสวีย ผมไม่ได้ตั้งใจ”
เขาตะโกนเสียงดังว่า “พวกคุณหยุดตะโกนได้แล้ว จะเอาเท่าไหร่ พูดมาตรงๆเลยดีกว่า”
เมื่อมีคนได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เพียงแค่ดูก็เห็นถึงท่าทางที่ร่ำรวยของเขา ทันใดนั้นทุกคนก็หยุดพูดทันทีและหันไปมองลูกชายของหญิงชราคนนั้น
จู่ๆก็พูดประโยคนี้ขึ้นมา ชายคนนั้นไม่รู้ว่าจะพูดเลขอะไรถึงจะสมเหตุสมผล ผ่านมาสักพักแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดออกมา
“คุณก็แค่พูดออกมา ถ้าไม่พูดเราจะได้กลับ”ในขณะที่พูด หนานกงเจาก็จับมือเย่ชูวเสวียขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ
“เดี๋ยวก่อน!” ชายคนนั้นเห็นว่าพวกเขากำลังจะไปและรีบหยุดพวกเขาไว้
“แม่ของผมเป็นแบบนี้ก็ควรชดใช้ห้าแสนหยวน”
เขาไม่ทันได้คิดเรื่องนี้ก็โพล่งออกมา ผู้คนในที่เกิดเหตุอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆด้วยความอึ้ง สำหรับข้อเรียกร้องที่สูงแบบนี้ของเขา เขาไม่ได้คาดหวังมันเลย
แต่หนานกงเจาโบกมือใหญ่ “อ้อ … มันก็แค่ห้าแสนหยวนไม่ใช่หรอ ทำไมพวกคุณถึงตกลงกันนานขนาดนี้”
หนานกงเจาหยิบบัตรออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้ชายคนนั้น “ในนี้อย่างน้อยก็มีหนึ่งล้าน รหัสผ่านคือตัวเลขหกหลักสุดท้ายของบัตร”
ชายคนนั้นรับบัตรมาโดยแทบไม่อยากจะเชื่อ จู่ๆเขาก็ให้เพิ่มอีกครึ่งหนึ่ง ในโลกใบนี้จะมีเรื่องดีๆแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง!
“ผมจะเชื่อได้อย่างไรว่ามีเงินมากมายขนาดนี้อยู่ในบัตรใบนี้?”
หนานกงเจาชี้ไปที่ตู้เอทีเอ็มที่มุมถนนฝั่งตรงข้าม “คุณไปเช็คดูตรงนั่นก็พอ เราจะรอคุณอยู่ตรงนี้ มีคนจ้องเราเยอะขนาดนี้ยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก”
ชายคนนั้นเห็นเขาพูดอย่างฉะฉาน เขาทั้งเชื่อทั้งสงสัยพร้อมกับเดินผ่านฝูงชนไป ผู้คนต่างตั้งตารอดูว่าตกลงมีเงินอยู่ในบัตรเท่าไหร่กันแน่และพวกเขาก็หลีกทางให้พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
หนานกงเจาไม่ได้ให้ความสนใจกับพวกเขามากนัก ในสายตาเขามีเพียงเย่ชูวเสวียเท่านั้น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล จึงรีบปลอบเธออย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องห่วง ข้างในมีพอแน่นอน!”
“ใครเป็นห่วงเรื่องนี้กัน!” เย่ชูวเสวียเหลือบมองเขาเหยียดๆ เขาต้องการเพียงห้าแสนแต่นายให้เขาไปหนึ่งล้าน พูดง่ายๆก็คือแบบอย่างของคนโง่ที่ต้องเสียเงินฟรีๆ!
“แล้วคุณกังวลอะไร?” หนานกงเจางง ตอนนี้ทุกอย่างคลี่คลายแล้ว เธอก็ควรจะมีความสุขไม่ใช่เหรอ?
“เป็นห่วงกับผีนายนะสิ!” เย่ชูวเสวียขี้เกียจสนใจเขา ก็เลยหันหน้าไปทางอื่นและไม่อยากคุยกับเขาอีก
ผ่านไปไม่นาน ชายคนนั้นก็วิ่งกลับมาพร้อมกับบัตรในมือ เขาดูตื่นเต้นแต่ก็พยายามยับยั้งมันไว้อย่างเต็มที่
ก่อนที่จะมาถึงตรงหน้าหนานกงเจา เขาก็โค้งคำนับขอบคุณ “ขอบคุณครับเจ้านาย!”
“เป็นยังไงบ้าง?” ผู้คนจำนวนมากพากันรุมล้อมเขาทันที ทุกคนต่างอยากรู้ว่าแท้จริงแล้วในนั้นมีเงินหนึ่งล้านหยวนไหม แต่ว่าลักษณะท่าทางของชายคนนั้นน่าจะใช่
แปดเก้าไม่พ้นสิบ
ชายคนนั้นรู้สึกตื่นเต้นและพยักหน้า“ มีเงินล้านอยู่ในนั้นจริงๆ!”
“ดูผิดรึเปล่า?มองชัดเจนแล้วหรอ? ” มีคนถามขึ้น
ชายคนนั้นส่ายหัว “เป็นไปไม่ได้ ผมนับหลายครั้งแล้ว มีเลขศูนย์หกตัวจริงๆ!”
ผู้คนรอบข้างต่างพากันปั่นป่วน หนานกงเจาแอบดึงเย่ชูวเสวียออกไปอย่างลับๆ
“นายทำอะไร?” เย่ชูวเสวียอยากดึงข้อมือของเธอออกอย่างหงุดหงิด
หนางกงเจารีบเอื้อมมือไปปิดปากของเย่ชูวเสวียไว้และพูดใส่ข้างหูของเธอว่า “เบาๆหน่อย ไปที่รถก่อน!”
เย่ชูวเสวียถึงกับผงะ เพียงแต่รู้สึกว่าหัวใจของเธอสั่นคลอนด้วยลมหายใจที่เขาพ่นออกมาและในพริบตาก็มาถึงรถของเธอ
“เอากุญแจรถให้ผม!” หนานกงเจายื่นมือออกและเขย่าไปมาตรงหน้าเย่ชูวเสวีย ทำให้เธอกลับมามีสติอีกครั้ง
“อ่ะ!” เย่ชูวเสวียจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า “ตกลงนายกำลังจะทำอะไร?”
“จะไม่ทันแล้ว!” เย่ชูวเสวียไม่ได้ยื่นกุญแจให้เขา ดังนั้นหนานกงเจาจึงต้องลงมือคว้ามันโดยตรงแล้วกดที่ปุ่มของกุญแจและประตูรถก็ถูกล็อค
“หนานกงเจา! นายทำอะไร!”เย่ชูวเสวียจ้องไปที่หนานกงเจาอย่างโกรธเคือง “นายควรอธิบายให้ฉันฟัง!”
“คุณดู” หนานกงเจาไม่ได้อธิบายเพียงแค่ชี้นิ้วออกไปนอกหน้าต่าง
เย่ชูวเสวียมองตามทิศทางที่เขาชี้และมองออกไปด้วยความสงสัย ข้างนอกยุ่งเหยิงไปหมดโดยมีคนหลายร้อยคนหันหน้าเข้าหากัน
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที พวกเขาก็เริ่มจู่โจมใส่กันพูดไปด้วยด่าไปด้วย อีกฝั่งของหน้าต่างทำให้เย่ชูวเสวียได้ยินไม่ชัดเจนมากนัก
เธอกำลังจะลดหน้าต่างรถและถูกหนานกงเจาบังไว้
หนานกงเจายิ้มให้เธอและอธิบายว่า “คนที่อยู่ข้างนอกนั้นกำลังแย่งบัตรใบนั้นอยู่ คุณห้ามเปิดหน้าต่างมิฉะนั้นคุณจะได้รับบาดเจ็บ”
“ทำไมพวกเขาต้องแย่งกัน?” เย่ชูวเสวียไม่เข้าใจ
“เงินก้อนโตขนาดนี้พวกเขาจะไม่อิจฉาได้อย่างไรและเมื่อกี้ผมเห็นมีหลายคนในกลุ่มและผู้ชายคนนั้นมองหน้ากัน พวกเขาต้องเป็นคนกลุ่มเดียวกันและพวกเขาทั้งหมดต่างต้องการกอบโกยเงินล้านนี้”
“ห้ะ?จะเป็นไปได้ไง?” เย่ชูวเสวียรู้สึกคาดไม่ถึง ถ้าพวกเขารู้จักกันแล้วทำไมถึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกันล่ะ?
“ไม่เพียงแค่นั้น แต่ที่สรุปได้คือหญิงชราคนนั้นไม่ได้ถูกคุณชน ผมเห็นว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย”
“จะเป็นไปได้ยังไง!” เย่ชูวเสวียรับไม่ได้ที่เขาไม่เชื่อคนอื่นแบบนี้ “หญิงชราคนนั้นน่าสงสารมาก เธอน่าจะได้รับบาดเจ็บภายใน!”
หนานกงเจามองเธอที่กำลังโกรธและรีบยกมือขึ้น “ผมก็แค่เดา คุณอย่าโกรธผมสิ”
ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นก็มีคนโผล่ออกมาจากฝูงชน “โอ้ย เจ็บจะตายอยู่แล้ว พวกนายจะเหยียบฉันให้ตายเลยหรือไง เงินมากมายขนาดนี้แบ่งๆกันก็โอเคแล้วนิ!”
คนที่ออกมาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหญิงชราที่เอาแต่พูดว่าเย่ชูวเสวียชนเธอ ตอนนี้เธอแข็งแรงมีชีวิตวีวาและกำลังหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บที่กระทำขึ้นโดยคนอื่นๆ
เย่ชูวเสวียขยี้ตาและมองไปที่เธออย่างไม่น่าเชื่อ “เป็นไปไม่ได้ เธอ … เธอทำได้ยังไง?”
หนานกงเจาส่ายหัวและถอนหายใจ“ คุณไม่ได้ออกไปไหนมาไหนคนเดียวบ่อยๆเลยไม่รู้ถึงความบ้าคลั่งของพวกนักต้มตุ๋น วิธีแบบนี้แค่ดูผมก็รู้แล้ว”
“แล้วทำไมนายไม่บอกตั้งแต่แรก!” เย่ชูวเสวียโกรธ “แถมยังให้เงินล้านพวกเขาไปฟรีๆ! นายนี้มันน่ารังเกียจชะมัด!”
“นั้นเป็นเพราะผมกลัวคุณจะบาดเจ็บไม่ใช่หรือไง?” หนานกงเจาพึมพำและไม่กล้าพูดเสียงดังเกินไป
นอกจากนี้เขาเองก็ไม่ได้แคร์เงินนั้น สิ่งที่เขาแคร์มีแค่เธอเท่านั้น!
ในไม่ช้าเขาก็ยิ้มและพูดกับเย่ชูวเสวียว่า “ไม่ต้องกังวลหรอกชูวเสวีย ตอนผมขึ้นรถเงินหนึ่งล้านนั้นผมให้คนโอนออกไปแล้ว พอตกอยู่ในมือพวกเขาก็ไม่มีเงินอยู่ในนั้นแล้ว!”
หลังจากพูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้น เหมือนเขาทำอะไรบางอย่างที่ยอดเยี่ยมลงไป เย่ชูวเสวียมองเขาด้วยสีหน้าเหยียดๆและไม่สนใจเขาอีก
แต่ฝั่งนั่น …
“โอ้ย อย่าตีฉัน แทนที่พวกนายจะแย่งเงินล้านนี้ ทำไมนายไม่หาคนเมื่อกี้แล้วขอเงินมากกว่านี้หน่อย!”
“ใช่ๆ แล้วคนๆนั้นล่ะ!”
“ ใช่ เขาต้องยังมีเงินเหลือแน่ๆ!”
นอกรถที่กำลังโจมตีกันเหมือนไฟที่กำลังมอดไหม้ ความสนใจกำลังจะเปลี่ยนมาที่พวกเขา หนานกงเจาแอบส่งเสียงฉิบหายแล้ว จากนั้นก็รีบปีนขึ้นไปบนตำแหน่งคนขับ “ชูวเสวีย คาดเข็มขัดนิรภัย!”
หลังจากพูดจบก็สตาร์ทรถ ผู้คนเห็นว่ารถสตาร์ทขึ้นจึงรีบแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว รอให้พวกเขาตอบสนองรถก็ขับออกไปไกลแล้ว
…
ต้วนอีเหยาสวมชุดแต่งงานที่เพิ่งทำขึ้นมาใหม่และเดินออกจากห้องลอง
เดิมทีเย่จิงเหยียนกำลังคุยกับดีไซน์เนอร์ เมื่อได้ยินเสียงของการเคลื่อนไหว เขาก็หันศีรษะไปทันทีและเห็นต้วนอีเหยาก้มศีรษะลงด้วยความอึดอัด ชุดแต่งงานสีขาวทั้งตัว เผยให้เห็นผิวขาวของเธอ
“เป็นยังไงบ้าง?” เมื่อต้วนอีเหยาเห็นว่าเขาเอาแต่เงียบจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายถาม
“สวยมาก”
เย่จิงเหยียนเดินเข้ามาทีละก้าวและในที่สุดก็จับมือเธอไว้ “อีเหยา คุณสวยมากจริงๆ!”
ต้วนอีเหยาเป็นคนที่คอยควบคุมตัวเองอยู่แล้วพอโดนเขาชมขึ้นมาเธอก็รู้สึกเขินมากจนไม่สามารถควบคุมได้
“มันก็แค่ … ” เย่จิงเหยียนเหลือบมองรองเท้าส้นสูงที่เท้าของเธอและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ต้วนอีเหยาได้เห็นถึงความลังเลของเขาเช่นกัน “มีอะไรเหรอ?”
“คุณใส่ส้นสูงไม่ได้!”
ทันใดนั้นต้วนอีเหยาก็นึกขึ้นได้ว่ารองเท้าส้นสูงไม่ดีต่อทารกในครรภ์ ทำไมเธอถึงลืมมันไปได้ล่ะ!
เธอกำลังจะนั่งลงเพื่อถอดรองเท้าส้นสูงออก ดีไซน์เนอร์รีบเข้ามาและหยุดเธอว่า “ด้านหลังชุดแต่งงานนี้ยาวมาก คุณถอดรองเท้าส้นสูงไม่ได้!”
“นี้ … ” คนหนึ่งบอกใส่ไม่ได้ คนหนึ่งบอกถอดไม่ได้ จะให้เธอทำยังไง?
เมื่อเย่จิงเหยียนฟังดีไซน์เนอร์พูดจบก็ยังยืนกรานว่า “เรายังใส่รองเท้าแบบอื่นได้ ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ทำชุดแต่งงานใหม่อีกชุด”
“แต่วันงานใกล้เข้ามาแล้ว ไม่มีเวลาแล้วนะ … ”
ดีไซน์เนอร์ส่ายหัวอยู่ข้างๆ “ถ้าเวลาเร่งด่วน ฉันกลัวว่าจะรับไม่ได้และไม่สามารถทำกระโปรงที่สมบูรณ์แบบออกมาได้ พอทำออกมาก็จะดูไม่มีความหมายอะไร”
“มันต้องมีวิธีอื่นแน่ แต่ไม่ว่ายังไงก็ใส่รองเท้าส้นสูงไม่ได้” เย่จิงเหยียนยังคงไม่ประนีประนอม ตราบใดที่มันเป็นอันตรายต่อสุขภาพของต้วนอีเหยา เขาก็จะไม่มีการละเว้น
ต้วนอีเหยาถอดรองเท้าส้นสูงออกอย่างหมดหนทาง “ยังไงกระโปรงก็ยาวพอ ใส่รองเท้าอะไรก็มองไม่เห็นหรอก”
แต่ดีไซน์เนอร์ยังคงไม่ยอม “ไม่ได้ กระโปรงที่ฉันออกแบบจะต้องคู่กับสิ่งที่ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นฉันยอมให้มันอยู่ในตู้เสื้อผ้าตลอดไป”
ต้วนอีเหยามองไปที่เย่จิงเหยียนอย่างหมดหนทาง แบบนี้ก็ไม่ได้ แบบนั้นก็ไม่ได้ เธอก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ
เดิมที่คิดว่าแค่ลองเสื้อผ้าเฉยๆ แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นแบบนี้และมีความคิดที่ไม่สอดคล้องกันขึ้นมา
ต้วนอีเหยาสะกิดแขนของเย่จิงเหยียน “หรือไม่ก็ … แค่ตอบตกลงเธอไปก่อน!”
ยังไงก็เอาเสื้อผ้าไปก่อน พอถึงเวลาพวกเขาจะจับคู่กับอะไรก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขา แต่เย่จิงเหยียนกลับไม่เข้าใจและส่ายหัวอย่างดื้อดึง“ ไม่ได้”
“ต้องขอโทษด้วย สำหรับชุดแต่งงานนี้ฉันไม่ขาย” ดีไซน์เนอร์โค้งคำนับให้พวกเขาขณะที่กำลังพูด
ต้วนอีเหยารู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยและถูมือไปมา “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปเปลี่ยน”
“เดี๋ยวก่อน!” เย่จิงเหยียนนั่งลงบนโซฟาอย่างสงบแต่ดวงตาอันเฉียบคมนั้นต้วนอีเหยามองออกว่าเขาโกรธขึ้นมาจริงๆแล้ว!
“ผมเอาชุดนี้ คุณอยากได้เท่าไหร่?”
“นี้ไม่ใช่สิ่งที่เงินจะแก้ปัญหาได้ นี้เป็นหลักการของฉัน” ดีไซน์เนอร์เผยใบหน้าโกรธออกมา แต่ทักษะของการเรียนรู้ในหลายปีที่ผ่านมาบอกเธอว่าโกรธไม่ได้
เย่จิงเหยียนหัวเราะเยาะ “คุณพูดมาตรงๆเลยว่าต้องการเท่าไหร่”
“ฉันคิดว่าคุณเข้าใจผิดแล้ว กระโปรงตัวนี้ฉันขายให้คุณไม่ได้!”
ต้วนอีเหยาที่ยืนอยู่ตรงกลางรู้สึกอึดอัดมาก “ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกัน”
แบบนี้ที่อยู่ระหว่างทั้งสองเธอดูเหมือนจะเป็นลูกแกะที่กำลังจะถูกเชือด แม้ว่าการเจรจาจะพูดเกี่ยวกับกระโปรงที่อยู่บนร่างกายของเธอ แต่เธอก็มักจะรู้สึก …
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ไม่ว่าเย่จิงเหยียนจะจ้องเธออย่างบีบบังคับ เธอก็ยังคงรีบเข้าไปในห้องแต่งตัว ก้มศีรษะลงแล้วมองไปที่รองเท้าส้นสูงที่เท้าจากนั้นก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นี้มันความผิดของรองเท้าทั้งนั้น!
หลังจากนั้นไม่นาน ต้วนอีเหยาก็เดินออกมาพร้อมกับกระโปรง ดีไซน์เนอร์รออยู่ข้างนอกประตูแล้วเธอก็ยื่นให้ “รบกวนคุณแล้ว”
เดิมทีดีไซน์เนอร์มีใบหน้าที่ดูแย่มาก แต่เมื่อเห็นท่าทีของต้วนอีเหยาที่ดีขนาดนี้ เธอก็ไม่คิดหยุมหยิม
ต้วนอีเหยากำลังจะไปหาเย่จิงเหยียน พอหันหน้าไปก็เห็นเขายืนอยู่ข้างๆตัวเอง “เราไปกันเถอะ”
แต่เย่จิงเหยียนไม่ไป เขามองไปที่ดีไซน์เนอร์และถามว่า “คุณกะจะไม่ให้พวกเราจริงๆ”
“ขอโทษด้วยนะคะคุณผู้ชาย ฉันมีสิทธิ์รับผิดชอบการออกแบบของตัวเอง!” ดีไซน์เนอร์ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนดูต้อยต่ำ