วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 393 งานเลี้ยงสำหรับคุณ
ผู้คนที่อยู่ข้างล่างต่างพากันเงียบ เพราะกลัว่าเย่ฉ่าวเฉินจะสังเกตเห็นพวกเขา ยังไงก็ตามพวกเขาก็ล้วนเข้าร่วมการสนทนา ถ้าหากว่าพวกเขาถูกเกลียด และแม้ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเย่ของพวกเขา แต่พฤติกรรมที่เข็มแข็งและเด็ดเดี่ยวของเย่ฉ่าวเฉินจะเป็นที่รู้จักกันดี และไม่แน่อาจจะถูกความมืดมนปกคลุมโดยไม่ทราบสาเหตุ
เมื่อมองไปที่ผู้คนรอบๆเวที เย่ฉ่าวเฉินก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ตอนนี้ก็กลางวันแล้ว และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้พวกเขาออกไปตอนนี้ แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของคนพวกนั้น ในใจก็รู้สึกรังเกียจ จนแทบจะทนไม่ได้ให้พวกเขากลับไปเร็วๆ
……
เย่จิงเหยียนเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย ก่อนหน้านี้เขากังวลเกินไป โทรศัพท์ที่แบตหมดก็ไม่สนใจอะไรมาก จนกระทั่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้คือวันอะไร และเขาก็นึกขึ้นได้ว่าลืมบอกคนในครอบครัว
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในสถานที่จัดงานบ้าง เขารีบวิ่งออกไปโทรศัพท์หาเย่ฉ่าวเฉิน ทันทีที่โทรศัพท์เปิดขึ้น สายที่ไม่ได้รับหลายสายก็เด้งขึ้นมา
เย่ฉ่าวเฉินเอย มู่เวยเวยเอย และหนึ่งในนั้นก็มีหมายเลขที่ไม่คุ้นเคย เป็นเบอร์ต่างประเทศ เขาค่อยๆเหลือบมองมัน และคิดว่าเป็นโทรศัพท์หลอกลวง ก็เลยไม่คิดอะไรมากและลบมันออกไป
เขาโทรกลับหาเย่ฉ่าวเฉิน แต่นานกว่าอีกฝ่ายจะรับสาย ในขณะที่เขากำลังจะวางสาย ก็ได้ยินเสียงที่เย็นชาของเย่ฉ่าวเฉินดังเข้ามา
“แกอยู่ที่ไหน ?”
เย่จิงเหยียนหยุดไปชั่วขณะ “อยู่โรงพยาบาล ”
“โรงพยาบาล ?”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว เขาพูดซ้ำจนมู่เวยเวยได้ยิน “โรงพยาบาล ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น ? อยู่โรงพยาบาลไหน ?”
“คุณอย่าเพิ่งกังวล”เย่ฉ่าวเฉินกอดมู่เวยเวยไว้ในอ้อมแขน และควบคุมการเคลื่อนไหวของเธอ
“พวกเธออยู่โรงพยาบาลอะไร ?”
เย่จิงเหยียนกำลังจะพูดโทรศัพท์ก็ถูกตัดสาย เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงง ในขณะเดียวกันโทรศัพท์ก็สั่นขึ้นอีกครั้ง
เขากวาดสายตามอง ก็เห็นเมล์เข้ามาว่า ถึงเวลาแล้ว ทำไมยังไม่มา ?
เย่จิงเหยียนรู้สึกแปลกใจ จึงโทรออกไปตามเบอร์โทรศัพท์ที่ทิ้งไว้ข้างล่าง และพบว่ามันเป็นเบอร์ต่างประเทศก่อนหน้านี้
“ฮัลโหล ?”
“คุณเย่ ”
เมื่อได้ยินสำเนียงจีนทื่อๆ เย่จิงเหยียนก็ขมวดคิ้ว ในหัวก็คิดไตร่ตรองถึงคนที่รู้จักทั้งหมด และถามออกไปอย่างไม่แน่ใจว่า “หลุยส์ ?”
“ใช่แล้ว”
หลุยส์ไม่รอให้เย่จิงเหยียนพูด รีบเปิดปากพูดมาว่า “อุปกรณ์ทั้งหมดเตรียมพร้อมแล้ว พวกคุณจะมาได้เมื่อไหร่ ?”
“ไป ?”เย่จิงเหยียนคิดถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของต้วนอีเหยา ลุกลงเตียงยังยากเลย นับประสาอะไรกับการนั่งเครื่องบินไปต่างประเทศ
“ผมมีเรื่องทางนี้นิดหน่อย เกรงว่าช่วงนี้จะไปไม่ได้แล้ว”
“แต่ว่าจำเป็นจะต้องดำเนินการผ่าตัด”หลุยส์ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ในห้องทำงานของตัวเอง
เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองดูตื่นตระหนกกว่าคนอื่น จึงรีบนั่งลง หมอใจดี เขายังบอกข้อดีข้อเสียให้กับเย่จิงเหยียน “การผ่าตัดนี้ยิ่งเร็วยิ่งดี ยิ่งใช้เวลารอนานเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงขึ้นเท่านั้น”
แน่นอนว่าเย่จิงเหยียนรู้ว่าเขาพูดถึงอะไร แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่สามารถให้พวกเขาเคลื่อนไหวไปไหนได้
เขาถอนหายใจ “ร่างกายของเธอไม่สามารถขยับไปไหนได้จริงๆ คงต้องให้พวกคุณมาเท่านั้น”
หลุยส์เงียบไปเป็นเวลานาน คำขอร้องแบบนี้เขาว่ามันจะดูเกินไปหน่อย ถ้าไม่ใช่ว่าทั้งสองคนยังรักกันอยู่ เกรงว่าเขาคงจะไม่แม้แต่เตือนสติ
เย่จิงเหยียนเห็นเขาไม่พูดอะไร จึงกระแอมออกมาเบาๆ “เครื่องช่วยฟังหายไปแล้ว ตอนนี้เธอไม่ได้ยินที่ผมพูดแล้ว คุณ…..มานี่หน่อยเถอะนะ”
เดิมทีหลุยส์เป็นคนใจอ่อน ได้ยินเย่จิงเหยียนบอกว่าไม่มีเครื่องช่วยฟังแล้ว ก็รู้ได้ว่าสองสามวันนี้พวกเขาใช้ชีวิตลำบาก
เขาลังเลอยู่นาน “ตกลง อีกสองวันผมจะไป”
หลังจากวางสาย เขาก็มองดูเวลา และรู้ว่าเขาจะต้องรีบหันกลับไปยังห้องผู้ป่วย ในเวลานี้ ต้วนอีเหยาน่าจะตื่นแล้ว นับตั้งแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็ไม่กล้าออกห่างจากห้องผู้ป่วยเกินสิบนาทีเลย
เมื่อเปิดประตู ต้วนอีเหยากำลังจ้องมองไปที่เพดานอย่างว่างเปล่า ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จู่ๆเธอก็ชอบเหม่อลอย
เย่จิงเหยียนเห็นว่าเธอตกอยู่ในภวังค์ เขาจึงไม่รบกวนเธอ และไปนั่งปลอกแอปเปิ้ลข้างๆเธอ
บรรยากาศที่เงียบสงบแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกอึดอัด แต่ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ต้วนอีเหยาก็ไม่ได้ยิน นับประสาอะไรกับตอบเขาล่ะ
ในใจเขาก็ตัดสินใจเงียบๆว่า เขาจะต้องรักษาอาการป่วยของเธอ และทำให้ใบหน้าของเธอกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง
ขณะที่กำลังคิดอยู่ จู่ๆประตูก็เปิดออก เย่จิงเหยียนได้ยินเสียงจึเงยหน้าขึ้น และเห็นคนจำนวนมากยืนอยู่ข้างนอกประตู
สองคนแรกคือเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวย ตอนแรกสีหน้าของมู่เวยเวยเป็นกังวล แต่เมื่อมองเห็นคนที่นอนอยู่เป็นต้วนอีเหยา เธอก็ถอนหายใจในใจตัวเอง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามา และคนข้างหลังก็เดินตามเขาเข้ามา สักพัก ทั้งห้องผู้ป่วยก็เต็มไปด้วยผู้คน แต่ต้วนอีเหยายังคงมองไปที่เพดาน ไมมีความรู้สึกตอบสนองอะไรกลับมา
เย่จิงเหยียนจงใจปิดสายตาของต้วนอีเหยา เขาไม่อยากให้เธอถูกรบกวน และตอบกลับไปเบาๆว่า “เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย”
“อุบัติเหตุอะไร ?”ถึงกับต้องอยู่โรงพยาบาล !
มู่เวยเวยอยากไปดูอาการของต้วนอีเหยา แต่เย่จิงเหยียนก็ไม่ขยับไปไหน
มู่เวยเวยไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า แต่มองไปที่แววตาของเย่จิงเหยียนด้วยความสงสัย
เย่จิงเหยียนอธิบายว่า “อีเหยาได้รับบาดเจ็บ ต้องการพักผ่อน”
น้ำเสียงของเขาไม่หนักแน่น แต่มู่เวยเวยก็ยังคงได้ยินว่าเขาพยายามพูดไล่แขกออกไป อย่างไรก็ตามเธอเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด แค่สายตาของเธอก็เข้าใจแล้ว
เธอจึงหันกลับไปพูดกับเย่ชูวเสวียและมู่ยู่วฉีสองพี่น้องว่า “พวกเธอกลับไปก่อนเถอะ นี่ที่ไม่มีอะไรแล้ว”
“คุณแม่……”เย่ชูวเสวียคร่ำครวญอย่างไม่เต็มใจ เธอก็อยากอยู่ที่นี่ด้วย
แค่ปล่อยให้มู่ยู่วฉีและคนอื่นๆกลับไปก็พอแล้ว ทำไมต้องให้เธอแด้วย หรือว่าไปรับเธอมา ? เธอไม่ใช่คนในครอบครัวนี้เหรอ ?
พูดไป ดวงตาของเย่ชูวเสวียก็เริ่มมีน้ำตาออกมา มู่เวยเวยเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ กลัวว่าเธอจะส่งเสียง รบกวนการพักผ่อนของต้วนอีเหยา จึงรีบหยุดเธออย่างรวดเร็ว
“โอเค เธออยู่ พวกเธอทั้งสองกลับไปก่อนเถอะ”
มู่ยู่วฉีอยากพูดอะไรบางอย่าง เขาเหลือบมองไปที่เย่จิงเหยียน และหันกลับไปพยักหน้าให้มู่เวยเวย และบอกลา “ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับก่อน”
มีคนหายไปจากห้องผู้ป่วยสองคน ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูราบรื่นขึ้นเยอะ เย่จิงเหยียนก้าวถอยหลัง หันกลับไปมองต้วนอีเหยาที่ยังไม่มีปฎิกิริยาตอบสนอง ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
“สรุปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”มู่แวยเวยขมวดคิ้ว ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาจนถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าไม่ได้เสียงดังมาก แต่ก็เคลื่อนไหวกันเยอะอยู่ แต่ต้วนอีเหยาที่นอนอยู่บนเตียงทำไมถึงเงียบไม่ขยับเลยล่ะ ?
เย่จิงเหยียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “พูดออกมาก็ดูซับซ้อนมากเช่นกัน เขาจึงพูดสั้นๆว่า ต้วนอีเหยาไม่ได้ยินเสียงของพวกเรา !”
“ทำไมถึงไม่ได้ยินที่พวกเราพูด ?” มู่เวยเวยตกใจ เธอไม่เข้าใจว่าเพียงชั่วข้ามคืน คนที่ยังดีๆอยู่ ทำไมแม้แต่เสียงก็ไมได้ยินแล้ว !
เย่จิงเหยียนยิ้มอย่างขมขื่น “คุณยังจำวันที่ต้วนอีเหยาจากไปวันนั้นได้ไหม ?”
มู่เวยเวยตกตะลึง เธอจำวันนั้นได้แน่นอน ในเวลานั้นเย่จิงเหยียนนอกจากยังหายใจอยู่ ก็เหลือเพียงเปลือกภายนอก เธอยังสงสัยว่าเขาก็จะหายไปด้วยรึเปล่า
แต่โชคดีที่ได้เจอต้วนจื่ออิ๋ง ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่กล้าคิดว่าเย่จิงเหยียนในตอนนี้จะเปลี่ยนไปเป็นยังไง
“ทำไมจู่ๆถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา?” มู่เวยเวยสลัดความจำนี้ ดึงสติกลับมาแล้วถามกลับไป
พวกเขาไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องหูของต้วนอีเหยาอยู่เหรอ ทำไมจู่ๆถึงเปลี่ยนไปเรื่องนั้น
“จริงๆแล้วในตอนนั้นผมไม่ได้ยินอีเหยา ข่าวที่ว่าเธอตายแล้ว……”
เย่จิงเหยียนชะงักไปชั่วขณะ ในใจก็เจ็บปวด ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เธอจะ………
“ถ้างั้นตกลงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น ?” เธอรู้ว่าต้วนอีเหยาไม่ได้จากไป มิฉะนั้นเธอจะปรากฎตัวต่อหน้าเขาได้อย่างไร
“เธอได้รับบาดเจ็บ เพียงเพื่อจะช่วยสหาย หูของเธอจึงหนวก”
“ถ้างั้นทำไมถึงมาไม่ได้ยินตอนนี้ล่ะ ?”
“ก่อนหน้านี้เธอสวมเครื่องช่วยฟัง พูดคุยได้ตามปกติไม่มีปัญหา แต่เมื่อวาน เธอถูกลักพาตัว และเครื่องช่วยฟังก็ตกอยู่ตรงนั้น……..”
เมื่อพูดถึงเรื่องเมื่อวาน เย่จิงเหยียนก็ไม่สามารถกลั้นความเสียใจไว้ได้ น้ำเสียงที่พูดออกมาก็ราวกับหายใจไม่ออก
มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินมองอย่างอธิบายไม่ถูก ไม่ใช่แค่เครื่องช่วยฟังหาย ซื้อใหม่ก็โอเคแล้วนี่ ทำไมเขากังวลราวกับว่าหาซื้อไม่ได้ยังไงยังนั้น
เย่จิงเหยียนไม่ได้สนใจก็ท่าทางของพวกเขา และยังคงจมอยู่ในความโศกเศร้าของตัวเอง ลูกคนแรกของเขากับอีเหยาก็แท้งไปแบบนี้ด้วย !
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ก็ทนดูต่อไปไม่ได้ “ไม่ใช่แค่เครื่องช่วยฟังหรอ จะต้องใช้เงินเท่าไหร่ ?”
“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา…….”
“หรือว่าเป็นแค่หนึ่งเดียวที่มีในโลก ?”
เย่จิงเหยียนเงยหน้าขึ้น น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขา และพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ลูกของผมไม่อยู่แล้ว”
“คุณพูดว่าอะไรนะ ?”ตอนนี้มู่เวยเวยไม่สงบแล้ว จะบอกว่าเด็กไม่อยู่แล้วก็ไม่อยู่แล้วได้ยังไง ?
“ระหว่างที่ถูกลักพาตัว ก็โดนคนร้ายทำแท้งไปแล้ว”
หลังจากเย่จิงเหยียนพูดประโยคนี้ ก็เหมือนมีก้างติดในลำคอ เขาไม่สามารถกลืนมันลงไปได้ ทำให้เขารู้สึกแย่
“มันเป็นใคร ?”มู่เวยเวยได้ยินเรื่องนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความโกรธ ตระกูลเย่ของพวกเขาไปรุกรานใครไว้ ทำไมถึงกล้าทำแท้งหลานของเธอ
เย่จิงเหยียนก้มศีรษะลงและยิ้มอย่างขมขื่น “มันเป็นความผิดผม เมื่อก่อนผมไม่ได้แก้ไขปัจจัยเรื่องนี้ให้แน่ชัดก่อน ต่อไปผมจะไม่ทำแล้ว……..”
“เป็นใคร” ปัจจัยที่ไม่แน่อน……
ผู้หญิงที่ร่าเริงและมีชีวิตชีวาปรากฎขึ้นในหัวของมู่เวเวย เธอรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว ทำไมถึงคิดว่าเป็นเธอล่ะ ? จื่ออิ๋งไร้เดียงสาขนาดนั้น ดูไม่เหมือนว่าจะเป็นผู้หญิงที่ทำเรื่องแบบนี้
“ต้วนจื่ออิ๋ง”เมื่อเย่จิงเหยียนพูดคำสามคำนี้ออกมา เขาก็ค่อยๆกำมือแน่น ความไร้เดียงสาของเธอ ก็เป็นเพียงสิ่งที่แสแสร้งต่อหน้าเขา !
เมื่อมู่เวยเวยได้ยินชื่อนี้ ตัวเธอก็แข็งทื่อ เหมือนกับความคิดของเธอได้ยังไง แต่ผู้หญิงแบบนั้นจะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ?
“เธอลักพาตัวอีเหยา !”เย่จิงเหยียนชกหมัดเข้าที่กำแพงด้วยความโกรธ ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนแต่งงานสองสามวันพ่อของเธอมาพูดธุรกิจที่นี่ ทำไมเขาถึงโง่ขนาดนี้เรื่องแค่นี้ก็ไม่ใส่ใจ ?
จะมาเสียใจตอนนี้ มันก็สายไปแล้ว !
มู่เวยเวยยังคงไม่เข้าใจ จึงถามเย่จิงเหยียนต่อไปว่า ขอให้พูดเรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างอย่างชัดเจน
“ถ้างั้นตอนนี้เธอยังอยู่ที่สถานีตำรวจเหรอ ?”
หลังจากที่มู่เวยเวยรู้ทุกอย่างแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะถามคำถามที่เธอเป็นกังวลในตอนนี้
เย่จิงเหยียนส่ายหัว “ผมไม่รู้”
เขาไม่รู้จริงๆ ตั้งแต่ต้วนอีเหยาเข้าโรงพยาบาล เขาก็ไม่เคยถามถึงเรื่องอื่นเลย และเขาก็ยังไม่มีกระจิตกระใจที่จะไปถาม
“เห้อ…….”มู่เวยเวยถอนหายใจ ที่แท้อารมณ์ของลูกชายตัวเองก็แปรปรวนมากเช่นกัน ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาเลย
ต้วนจื่ออิ๋งก็เพระว่ารัก ถึงทำเรื่องเลว ด้วยเหตุผลแล้วเธอก็ไม่ผิด แต่วิธีนี้มันรุนแรงเกินไป ไม่เพียงแต่ทำร้ายเย่จิงเหยียน แต่มันยังทำร้ายตัวเธอเองด้วย
“แล้วตอนนี้ร่างกายของต้วนอีเหยาเป็นยังไงบ้าง ? ”สูญเสียลูกไปแล้ว ไม่มีทางฟื้นตัวได้ภายในวันเดียว มู่เวยเวยยกเลิกงานแต่งงาน ตอนที่ได้ยินข่าวลือของคนข้างล่าง เดิมทีเธอตั้งใจจะถามด้วยความโกรธ แต่ตอนนี้ทั้งหมดกลับกลายเป็นรู้สึกทุกข์ใจ
เย่จิงเหยียนไม่ได้ตอบ เธอหันไปมองต้วนอีเหยาที่นอนอยู่บนเตียง บาดแผลของเธอถูกเย็บแล้ว แต่ตัวเธอซีดขาวราวกับกระดาษ รูม่านตาขยายใหญ่ ไม่มีทางที่จะโฟกัสได้ มองดูเธอราวกับเป็นหุ่นเชิดที่ไร้ชีวิต
มู่เวยเวยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี หันไปมองเย่ฉ่าวเฉิน ร่างกายเธอก็รู้สึกอ่อนแอลงเล็กน้อย
เย่ชูวเสวียอยู่ข้างหลังพวกเขา แต่เธอก็จำทุกประโยคได้หมด หลังจากที่ได้ยินมันตัวเธอก็ตกใจและพูดอะไรไม่ออก
พล็อตแบบนี้เหมือนกับละครโทรทัศน์ ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่ในตระกูลที่ร่ำรวย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่ชายคนโตของเธอมันช่างน่าทึ่งจริง !
“อืม…….”
ต้วนอีเหยาที่อยู่บนเตียงขมวดคิ้วส่งเสียงออกมา เย่จิงเหยียนรีบไปที่ข้างเตียงและถามว่า “อีเหยา คุณเป็นยังไงบ้าง ?”
ต้วนอีเหยาหันศีรษะที่ว่างเปล่าและจ้องมองไปที่เย่จิงเหยียนไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไร
แต่สีหน้าดูเจ็บปวดมาก นอนนานเกินไป เธอเจ็บไปทั้งตัว อยากจะขยับ แต่แผลอยู่ที่หน้าท้องของเธอ จึงทำให้ขยับตัวไม่ได้
ขณะที่ไม่ขยับตัวก็เจ็บมากแล้ว และตอนนี้เหงื่อก็ไหลออกมากจนหนาว
เย่จิงเหยียนมองตาเธอและเดาความหมายของเธอ เขารีบเอื้อมมือไปหยิบหมอนนุ่มๆมาวางไว้ที่ตัวเธอ
“ตอนนี้ดีขึ้นบ้างรึยัง ?”เย่จิงเหยยีนค่อยๆเช็ดผมตรงใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน และเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากออก
มู่เวยเวยที่อยู่ข้างหลัง เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเย่จิงเหยียน และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า ลูกชายของเธอในที่สุดก็โตแล้ว !
เธอไม่อยากอยู่รบกวนโลกของพวกเขาทั้งสองคนอีกต่อไป หันไปผายมือให้กับเย่าวเฉินและเย่ชูวเสวีย และตัวเองก็เดินออกไปก่อน
“คุณแม่ ทำไมพวกเราต้องออกมาก่อนล่ะ ?” เย่ชูวเสวียเดินตามหลังมู่เวยเวยอย่างไม่เต็มใจ เธอยังอยากอยู่ดูพี่อีเหยาให้มากกว่านี้ !
มู่เวยเวยเอื้อมมือมาจับที่หน้าผากเธอ “เด็กน้อยคนนี้นี่ ทำไมยังไม่รู้จักขยิบตาอีก ?”
“อะไรนะ ?”สีหน้าของเย่ชูวเสวียดูว่างเปล่า
เมื่อมู่เวยเวยเห็นว่าเตือนขนาดนี้แล้วเธอก็ยังไม่เข้าใจ ก็ส่ายหัว หันไปมองเย่ฉ่าวเฉิน ก็มองอีกฝ่ายอย่างทำอะไรไม่ถูก
เธอพูดตีกับตัวเองอยู่ภายในใจ ดูเหมือนว่าเธอจะเข้มงวดเกินไปแล้ว น่าจะควรแนะนำแฟนให้เธอได้แล้ว !
ในขณะเดียวกันโทรศัพท์ของเย่ชูวเสวียก็ดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา บนหน้าจอก็ปรากฎคำสามคำหนานกงเจา
เธอเหลือบมองไปที่เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยที่เดินอยู่ข้างหน้าอย่างระวัง และกดรับโทรศัพท์ “มีอะไร ?”
“ชูวเสวีย คุณ…….คืนนี้คุณว่างไหม? ”หนานกงเจาที่อยู่ในสาย พูดอย่างอ้ำอึ้ง
แม้ว่าเย่ชูวเสวียจะไม่เห็นเขา แต่ก็ยังจินตนาการถึงท่าทางที่ระมัดระวังของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
เธออดไม่ได้ที่จะแกล้งเขา จึงตอบกลับไปอย่างเคร่งขรึมว่า “ไม่ว่าง”
“ห๊ะ ?ไม่ว่างเหรอ……..”