วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 403 ผมชอบแค่คุณ
มีเพียงแค่ทางนี้เขาถึงจะรู้สึกว่าได้ลงโทษตัวเอง เย่ชูวเสวี่ยถึงจะยอมให้อภัยเขา รอให้เธอฟื้นขึ้นมา เธอจะได้ไม่รู้สึกเสียใจ
การกระทำทั้งหมดของเขาอยู่ในสายตาของมู่เวยเวย เธอรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะตบครั้งนั้น เรื่องทุกอย่างคงไม่เป็นอย่างนี้
เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้มู่เวยเวยก็จับมือของเขา และลูบเบาๆบนหลังมือ “ไม่ใช่ความผิดของคุณ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น”
เย่ฉ่าวเฉินพยายามฝืนยิ้มออกมา แต่สายตาของเขายังจับจ้องไปที่เย่ชูวเสวี่ยเสมอ
ยาชาของเธอได้หมดฤทธิ์ไปแล้ว แต่ทำไมเธอยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก มู่เวยเวยนั่งเรียกเธอข้างเตียงสักพัก ก็ไม่เห็นวี่แววว่าเย่ชูวเสวี่ยจะฟื้นขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เสียงของมู่เวยเวยสั่นเล็กน้อย เธอไม่กล้าคิด กลัวว่าเย่ชูวเสวี่ยจะเกิดอะไรไม่คาดคิดขึ้น
เย่จิงเหยียนยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้ตลอด เมื่อเห็นมู่เวยเวยอารมณ์อ่อนไหว เขาจึงเปิดปากพูดว่า “ผมจะไปตามหมอมา แม่อย่าพึ่งกังวล”
เย่จิงเหยียนจึงเดินออกไปข้างนอกทันที โดยไม่รอให้ทั้งสองคนตอบ และเขาก็บังเอิญเจอกับหนานกงเจาที่กำลังจะเดินเข้าไปข้างในพอดี
เขาหยุดเดินพร้อมขมวดคิ้ว “มาได้ยังไง”
“ชูวเสวี่ย เธอ….. เป็นยังไงบ้าง” หนานกงเจาถามอย่างกังวลใจ เขากลัวว่าจะได้รับข่าวร้าย จึงมองไปที่สายตาของเย่จิงเหยียนอย่างประหม่า
เย่จิงเหยียนมองหนานกงเจานิ่ง “ชูวเสวี่ยไม่เป็นอะไรแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดยืนยันของเขา หนานกงเจาก็สบายใจขึ้น เขายื่นหน้าเข้าไปมองทางเตียงคนไข้หลายครั้ง แต่ก็ไม่เห็นเงาคนป่วย
“นายกลับไปก่อนเถอะ” เย่จิงเหยียนถอนหายใจ เขาผ่านเรื่องอย่างนี้มาก่อน เขาจึงเข้าใจดี
แต่อีกฝั่งหนึ่งคือมู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉิน เขาจึงเข้าไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเกิดการทะเลาะกันรุนแรงขึ้นอีก
หนานกงเจายิ้มอย่างขมขื่น “ช่างเถอะ นี่คงเป็นโชคชะตาของฉัน แต่….”
“ฉันมีเรื่องอยากขอร้องนาย หวังว่านายจะตอบตกลง”
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว “ว่ามาสิ”
“ถ้าเย่ชูวเสวี่ยฟื้นขึ้นมา หวังว่านายจะโทรมาบอกฉัน…..”
ประโยคหลังเขาไม่ได้พูดต่อ แต่เย่จิงเหยียนก็เข้าใจ เขาพยักหน้า “นายกลับไปก่อนเถอะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันจะบอกนายเอง”
หนานกงเจาปากกระตุก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป หลังลังเลอยู่นานเขาก็พูดแค่เพียงว่า “ขอบใจ”
เขามองไปที่ประตูห้องคนไข้อีกพักนึง แล้วหันหลังเดินจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก ถ้าอุบัติเหตุครั้งนี้เหมือนในละคร เย่ชูวเสวี่ยสูญเสียความทรงจำ งั้นมันก็คงเป็นชะตากรรม พวกเขาคงไม่มีทางได้อยู่ด้วยกัน
แต่ถึงแม้เธอจะยืนอยู่ตรงหน้าเขาโดยไม่เป็นอะไรเลย นี่ก็เป็นชะตากรรมเช่นกัน
…..
หนานกงเจากลับมาที่อพาร์ทเม้นต์เล็กๆของเขา เมื่อเห็นประตูมีรอยแง้มเปิดอยู่ เขาก็มีลางสังหรณ์ขึ้นมา จึงรีบเดินไปทันทีพร้อมดันประตูเข้าไป….
สิ่งที่เห็นในสายตาก็คือ ในห้องนั่งเล่นมีผู้ชายกับผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ผู้ชายวัยกลางคน มีพุงเล็กน้อย ใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ ทำให้สามารถมองออกได้ว่าสมัยหนุ่มๆหล่อไม่ใช่น้อย ผู้หญิงแต่งตัวอย่างพิถีพิถันและสวยงาม
นี่คือพ่อกับหลินลั่วเสวี่ยไม่ใช่หรอ
เขาปิดประตูที่เปิดอยู่ “ทำไมถึงมากันได้”
หนานกงเฮ่าเห็นท่าทางโกรธๆของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเช่นกัน “ลูกชั่ว ยังไม่รีบเข้ามาอีก”
“เข้าไปหรอ ผมเข้าไปแน่นอน แต่พวกคุณควรจะออกไปไม่ใช่หรอ”
หนานกงเฮ่าได้ยินเขาพูดอย่างนั้นก็โกรธจนกระทืบเท้า “ให้พวกเราออกไปหรอ แกพูดภาษาอะไรอยู่”
“ภาษาคน” หนานกงเจาพูดพลางถอดรองเท้าไปด้วย “ที่นี่เป็นที่อยู่ของผม แต่พวกคุณกลับเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ควรออกไปรึไง”
“ที่อยู่ของแกหรอ”
หนานกงเฮ่าพูดเสียงเย็น “ของของแกพวกนั้นไม่ใช่ของฉันรึไง”
หนานกงเจาที่กำลังถอดรองเท้าอยู่ชะงักไปทันที เขาใส่รองเท้ากลับไปอีกครั้งโดยไม่พูดจา เตรียมจะเดินออกไป หนานกงเฮ่าเห็นการกระทำของเขาก็รีบลุกขึ้น ยื่นมือไปกำข้อมือเขาไว้
“แกจะไปไหน”
“ที่ของคุณผมคืนให้”
หนานกงเจาพูดจบก็เหลือบมองหนานกงเฮ่าหนึ่งครั้ง และบิดมือออก แต่คิดไม่ถึงว่าหนานกงเฮ่าจะใช้แรงทั้งหมดของเขา ทำให้เขาไม่สามารถบิดมือออกมาได้ แถมยังโดนกำแน่นขึ้นไปอีก
“คุณมีเรื่องอะไรกันแน่” หนานกงเจาพูดอย่างไม่อดทน ตั้งแต่เจอเขา เขาก็พยายามข่มความโกรธของตัวเองตลอด ตอนนี้เขาพยายามที่สุดแล้ว ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาก็ไม่การันตีว่าเขาจะสามารถข่มความโกรธของตัวเองได้
“ฉันทนเห็นแกหลงเย่ชูวเสวี่ยต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เธอมีอะไรดีกันแน่ ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งไม่ใช่หรอ ลั่วเสวี่ยแย่กว่าเธอตรงไหน”
หนานกงเจาหันกลับไปมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “พ่อถามผมว่ามีอะไรดี งั้นตอนนั้นมู่เวยเวยล่ะมีอะไรดี”
“แก…” หนานกงเฮ่าชี้หน้าเขาอย่างพูดไม่ออก เขาหายใจรุนแรงสุดท้ายก็เอามือลง
“แกอายุยังน้อย รอให้โตอีกหน่อยแกก็จะรู้เอง คนที่แกรักสุดท้ายก็จะหายไป ผู้หญิงที่จะอยู่กับแกไปตลอดชีวิต คือคนที่รักแกมากที่สุด”
หนานกงเจายิ้มเยอะ “ในเมื่อไม่ได้ก็ต้องพูดอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าเลือกได้ ใครจะเลือกคนที่รักตัวเองแต่ตัวเองไม่รักกันล่ะ”
หนานกงเฮ่าหันไปมองหลินลั่วเสวี่ยที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างทำอะไรไม่ได้
ถ้าพูดกันตามความจริง เขาไม่ได้รู้สึกขัดแย้งเรื่องของหนานกงเจาและเย่ชูวเสวี่ย และยังแอบสนับสนุนด้วยซ้ำ ชาตินี้เขากับมู่เวยเวยไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้แล้ว
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็หวังว่าจะได้เกี่ยวข้องกับเธอเล็กน้อย ไม่ใช่ไม่มีความสัมพันธ์กันเลยสักนิดอย่างนี้
ถ้าเทียบเรื่องของเขากับมู่เวยเวยแล้ว จริงๆเขาอิจฉาหนานกงเจามาก อิจฉาจนรู้สึกริษยา
ลูกชายของเขานอกจากความซื่อตรงแล้วก็ไม่มีอะไรต่างจากเขาอีก เพราะแม่ของเขาทำให้เขาไม่ได้รับยีนส์หล่อเหลาของเขามาทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังได้รักผู้หญิงที่เขารัก และผู้หญิงคนนั้นก็รักเขาเช่นกัน….
ความรู้สึกอย่างนี้ทำให้เขาอิจฉาจนแทบบ้า
หนานกงเจาเห็นสายตาเขาหลุกหลิก มือก็ผ่อนลงแล้ว ดังนั้นจึงรีบดึงมือออกมาจากมือของเขา นวดมือพลางตะโกนใส่เขาว่า “โดนสาปหรอ”
แม่เขาจะไม่พูดออกมา แต่จริงๆแล้วเขาก็เป็นห่วงหนานกงเฮ่า ไม่อย่างนั้นเขาจะดึงมือออกมาแรงๆก็ได้ แต่เพราะเห็นสายตาที่เหนื่อยล้าของเขา เขาจึงไม่ได้ทำอย่างนั้น
หนานกงเฮ่าดันมือของเขาออกพร้อมพูด “เรื่องของเย่ชูวเสวี่ยปล่อยไปก่อนค่อยพูด แต่ลั่วเสวี่ยวิ่งหาแกไปทั่ว อีกหน่อยเธอก็จะกลับไปแคนาดาแล้ว แกไม่อยู่เป็นเพื่อนเธอหน่อยหรอ”
หนานกงเจาหันไปมองทางห้องนั่งเล่น ก่อนที่ทั้งคู่จะสบสายตากัน เธอรีบนั่งหลังตรงด้วยท่าทางที่สมบูรณ์แบบที่สุด “เธอพูดอะไรพ่อก็เชื่อไปหมด ถ้าบอกว่าเธอขายตัวละเพราะเชื่อไหม”
“แก….”
หนานกงเฮ่าง้างมือขึ้น และหนานกงเจาก็เงยน่ะขึ้นเช่นกัน “ทำไมจะตบผมหรอ เอาสิ”
หึ หนานกงเฮ่าวางมือลงด้วยสีหน้าโกรธ “ฉันรู้ว่าแกไม่ชอบลั่วเสวี่ย แต่แกไม่ควรจะดูถูกผู้หญิงอย่างนี้”
“ทำไมพ่อไม่ไปตรวจสอบดูล่ะ จะได้รู้ว่าผมดูถูกเธอไหม” หนานกงเจาเบะปากด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“แก…”
คำพูดของเขาทำให้หนานกงเฮ่าพูดไม่ออก เขากำลังจะพูดอะไรหนึ่งอย่าง แต่ก็ถูกหนานกงเจาขัดไว้ก่อน “พอแล้ว พ่อไม่ต้องหาข้ออ้างแทนเธอแล้ว เรื่องของเธอถูกแพร่กระจายไปทั่วในหมู่คนหนุ่มสาว”
“หมายความว่ายังไง”
“อย่างที่พูดนั่นแหละ”
หนานกงเจายิ้มเยาะ “เธอเป็นของเล่นของผู้ชายพวกนั้น ขอแค่เป็นผู้ชายเธอก็ผ่านมาหมดแล้ว ถ้าบอกว่าร่านยังดีเกินไปสำหรับเธอเลย”
“พ่อ คนอย่างนี้ยังกล้าแนะนำให้ผมหรอ ไม่กลัวว่าหลานจะเป็นลูกของคนอื่นรึไง”
“เรื่องนี้จะมาพูดเล่นๆไม่ได้นะ” หนานกงเฮ่าเริ่มเคร่งขรึมขึ้นมา และมองหนานกงเจาอย่างสงสัย
“เรื่องนี้ล้อเล่นรึเปล่า พ่อลองไปฟังดูก็ได้ ใครๆก็รู้กันทั้งนั้น”
หนานกงเฮ่าหันไปมองตามสายตาของเขา หลินลั่วเสวี่ยกำลังนั่งอย่างไม่เรียบร้อยอยู่บนโซฟา เมื่อเห็นสายตาของสองพ่อลูกมองไป เธอก็รีบกลับมานั่งอย่างเรียบร้อยทันที
“ตอนนี้เชื่อรึยัง” หนานกงเจาพูดอย่างรังเกียจ คนหน้าไหว้หลังหลอกอย่างนี้ แม้แต่มองเขาก็ไม่อยากมอง อย่าหวังว่าจะได้มาอยู่ด้วยกันเลย
“ลั่วเสวี่ยอาจจะแค่มีหลายบุคลิก รู้จักกันไปแกอาจจะชอบก็ได้”
ที่จริงหนานกงเฮ่าก็รู้สึกเชื่อหนานกงเจาขึ้นมาบ้างแล้ว ตอนที่พูดคำพูดเมื่อกี้ออกมาเขายังไม่อยากจะเชื่อตัวเอง นับประสาอะไรกับลูกของเขาที่รู้ดีอยู่แล้ว
“พ่อ ตอนแรกผมก็คิดว่าพ่อชอบผู้หญิงที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสา ตอนนี้ผมมองผิดไปแล้ว ที่จริงพ่อก็ชอบผู้หญิงร่านอย่างนี้ ถ้าพ่ออยากได้ก็เอาเองเถอะ”
หนานกงเจาพูดจบก็โบกมือพูดว่า “พ่อค่อยๆคุยกับเธอไปแล้วกัน ผมไปก่อนแล้ว”
“แก….” หนานกงเฮ่าเตรียมจะเดินตามไป แต่เมื่อออกมาถึงหน้าประตู ประตูลิฟท์ก็ปิดลงแล้ว เขาเดินกลับไปอย่างทำอะไรไม่ได้
“คุณอา เป็นอะไรไปคะ”
เมื่อเห็นหนานกงเฮ่าเดินกลับมาหน้าบึ้ง หลินลั่วเสวี่ยจึงรีบลุกขึ้นมาจากโซฟา และเดินมาประคองเขาอย่างอ่อนโยน
“ไม่…ไม่เป็นไร” ทันทีที่หนานกงเฮ่าโดนตัวของเธอ ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อขึ้นมาทันที แต่พอผ่านอะไรมามากเขาจึงทำตัวให้สงบลงได้อย่างรวดเร็ว
“ลั่วเสวี่ยตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว หนูก็รู้ถึงความดื้อรั้นของเขา หนูกลับไปก่อนเถอะ อาจะสั่งสอนเขาเอง”
“แต่…” หลินลั่วเสวี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถาม “พี่เขาจะไปไหนหรอคะ”
“เรื่องนี้อาก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าเขาบอกสิแปลก เอาเป็นว่าหนูกลับไปก่อนเถอะ มีอะไรเดี๋ยวอาจะบอกหนูอีกที”
หลินลั่วเสวี่ยลังเลอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกไปเองรึเปล่า ตั้งแต่ที่หนานกงเฮ่ากับหนานกงเจาคุยด้วยกันเสร็จ เขาก็ไม่ได้มีความกระตือรือร้นกับเธอเหมือนเดิม
“งั้น…โอเคค่ะ หนูรอสายจากคุณอานะคะ”
หลินลั่วเสวี่ยปล่อยมือหนานกงเฮ่า ทำให้หนานกงเฮ่ารู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่เมื่อเธอเดินไปถึงหน้าประตู เธอก็หันมามองหนานกงเฮ่าอีกครั้ง ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะขนลุกขึ้นมา
ผู้หญิงร่านราคะแบบนี้ เขาไม่อยากเจอ
……
หลังจากที่หนานกงเจาออกมาจากอพาร์ทเม้นต์ของตัวเอง เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี สุดท้ายก็เข้ามาในร้านขนมของเย่ชูวเสวี่ยอย่างงงๆ ข้างในยังคงตกแต่งเหมือนเดิม เขาแอบมาที่นี่หลายครั้ง และมักจะนั่งบริเวณที่ไม่มีใครมองเห็น เพื่อมองดูเธอทำงานทั้งวัน
ครั้งนี้เขานั่งบริเวณกลางร้าน แต่ก็ไม่เห็นร่างเล็กๆที่มักจะวุ่นวายอยู่บริเวณหน้าเคาน์เตอร์
“คุณคะ ขออนุญาต….. อ้าว คุณอีกแล้วหรอคะ” พนักงานหยิบเมนูมา เมื่อเห็นหนานกงเจาก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
“เอากาแฟบลูเมาท์เทนเหมือนเดิมใช่มั้ยคะ”
หนานกงเจารู้สึกตกตะลึง เขามาบ่อยจนพนักงานจำได้แล้วหรอว่าเขาชอบกินอะไร
พนักงานยิ้มให้เขาอย่างมีเลศนัย จากนั้นก็หันกลับไปทำงานเหมือนเดิม ไม่นานกาแฟก็มาวางอยู่บนโต๊ะของเขา
หนานกงเจาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาดื่มกาแฟภายใต้สายตาของพนักงาน เมื่อเขาดื่มไปได้หนึ่งอึกเขาก็รู้สึกว่ามันไม่ปกติ
“ขอโทษนะ ผมอยากถามหน่อย….”
“คุณอยากถามว่าทำไมกาแฟนี้ถึงรสชาติไม่เหมือนเดิม ใช่ไหมคะ”
“ใช่” หนานกงเจารู้สึกแปลกใจมากขึ้น เขายังไม่ได้ถามออกมา ทำไมพนักงานถึงรู้ความคิดของเขา หรือเธออ่านใจคนออกหรอ
พนักงานอ่านความคิดของเขาออกทันที เธอยิ้มตอบ “เพราะว่าคนทำไม่ใช่คนเดิม รสชาติจึงไม่เหมือนเดิม”
“ไม่ใช่คนเดิมหรอ” หนานกงเจาไม่อยากจะเชื่อ แม้ว่าร้านนี้จะคนเยอะตลอด แต่นอกจากเย่ชูวเสวี่ยแล้ว ก็มีพนักงานเพียงไม่กี่คนเท่านั้น นอกจากเธอจะเป็นใครได้อีก หรือว่า
เมื่อเขาคิดได้ใจของเขาก็สันขึ้นมาอย่างรุนแรง นอกจากพนักงานก็เหลือแค่….
เย่ชูวเสวี่ย
เมื่อนึกถึงชื่อนี้ขึ้นมา เขาก็อดดีใจไม่ได้ แต่แค่แปบเดียว ก็รู้สึกราวกับมีน้ำเย็นๆมาดับความร้อนรุ่นในใจของเขา
ร้านนี้มีคนเยอะขนาดนี้ นอกจากพนักงานก็มีแค่เจ้าของร้าน เธออาจจะทำผ่านๆ คนที่ไม่ได้ดื่มกาแฟบลูเมาท์เทนมานานก็อาจจะไม่รู้ว่ารสชาติแปลกไปเลยก็ได้
“หรอ” หนานกงเจายิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าของร้านลงมือทำด้วยตัวเอง แสดงว่าต้องรักร้านนี้มากสินะ”
“ไม่ใช่ค่ะ” พนักงานรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “เจ้าของร้านทำเครื่องดื่มให้คุณคนเดียว”
“ว่าไงนะ” หนานกงเจาเงยหน้าขึ้น อย่างไม่อยากจะเชื่อ
“คุณต้องชอบเจ้าของร้านแน่ๆ”
พนักงานยิ้มอย่างสงสัย ทำให้หนานกงเจาทำอะไรไม่ถูก จึงก้มหน้าลง และพยักหน้าน้อยๆถาม “คุณรู้ได้ยังไง”
“ใครๆก็ดูออกทั้งนั้นแหละค่ะ มีแค่เจ้าของร้านเท่านั้น….”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็ตั้งใจหยุดไป ทำให้หนานกงเจารีบเร่งถามทันที “ทำไม”
พนักงานเห็นท่าทางเร่งเร้าของเขาก็ยิ้มแซว “ที่จริงเจ้าของร้านเราก็น่าจะชอบคุณเหมือนกัน แต่เธอไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่เห็นคุณมาสายตาของเธอจะเป็นประกาย แต่ก็ไม่รู้เพราะอะไร ถึงจะหน้าบูดบึ้งแต่ก็ทำกาแฟให้คุณทุกครั้งด้วยตัวเอง”
“คุณว่ายังไงนะ” ใบหน้าของหนานกงเจาตกตะลึง ทุกครั้งที่เขาเข้ามาเขามักจะระมัดระวัง เมื่อเห็นเธอเดินมาทางเขาเขาก็มักจะแอบตัวสั่นอย่างกังวลเสมอ แล้วก็ราวกับบังเอิญเธอจะเดินผ่านเขาไปเฉยๆทุกครั้ง