วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 406 ยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเธอ
หนานกงเจาอยากเดินไปลูบหัวเธอ แต่มู่เวยเวยที่ยืนอยู่ข้างๆเย่ชูวเสวี่ยยืนบังอยู่ เขาจึงต้องหยุดการกระทำที่จะเดินไปข้างหน้า
“คุณป้าสบายใจได้ ราคาเท่าไหร่ผมก็ยอมจ่าย ขอแค่ให้เย่ชูวเสวี่ยโอเค”
เมื่อมู่เวยเวยได้ฟังคำพูดของเขา เธอก็ไม่ได้เกลียดเขามากขนาดนั้นแล้ว เธอพยักหน้าอย่างอ่อนโยน “ถ้า…ฉันบอกว่าให้นายตัดความสัมพันธ์กับพ่อของนายล่ะ”
“แม่…” เย่ชูวเสวี่ยพูดเสียงดังขึ้นมา ขออย่างนี้ใครจะไปทำได้ ถ้าหนานกงเจาทิ้งพ่อของตัวเองเพื่อเธอจริงๆ เธอจะมีความสุขได้ยังไง
แต่หนานกงเจาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขายืนข้างเตียงผู้ป่วยครุ่นคิด ถึงแม้ว่าเวลาจะไม่ได้เดินไปช้า แต่เย่ชูวเสวี่ยก็รู้สึกราวกับเวลาผ่านไปหลายปีแล้ว เธอบีบฝ่ามือของเธอจนซึมเหงื่อและเจ็บไปหมด
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดหนานกงเจาก็กระแอมพูดออกมา “ขอโทษครับ ถ้าจำเป็นต้องเลือกหนึ่งทาง ผมเลิกไม่ได้จริงๆ แต่ว่าคุณป้าครับ ทำไมต้องเอาความแค้นของพวกคุณมาลงกับพวกเราด้วย ผมไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ทำไมไม่ให้โอกาสผมสักครั้ง”
มู่เวยเวยยิ้มออกมา เรื่องนี้เป็นความแค้นระหว่างสองตระกูล ไม่ว่าใครถ้าอยู่ในตระกูลหนานกงและตระกูลเย่ ก็หลบหลีกไม่ได้ทั้งนั้น”
ถ้าเป็นอย่างนั้น หนานกงเจามองเย่ชูวเสวี่ยด้วยความรู้สึกปวดใจ ในที่สุดเขาก็ก้มหน้าลง ราวกับผ่านการต่อสู้อย่างเจ็บปวดมา “ผมเลือกไม่ได้จริงๆ ผมไม่มีทางเลือกได้”
ให้เขาไปจากเย่ชูวเสวี่ย ใจของเขาก็คงสลาย แต่ถ้าให้เขาตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับหนานกงเฮ่า เขาก็ทำไม่ลง แม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะไม่ได้อบอุ่นมากนัก แต่อย่างน้อยก็ยังมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด
“จริงหรอ” มู่เวยเวยมองไปที่หนานกงเจาด้วยสายตาอ่านไม่ออก
“คุณป้า ผม…”
ทันใดนั้นมู่เวยเวยก็เปลี่ยนสีหน้า และรีบพยักหน้าพูด “ไม่เลว ต่างจากหนานกงเฮ่าอยู่”
หนานกงเฮ่าคลั่งรักอย่างเดียว แต่หนานกงเจามีความคิดอ่าน แม้ว่าเขาจะดูเหมือนคนโง่ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องจริงจัง เขาก็สามารถสงบสติอารมณ์ได้
ถ้าเมื่อกี้เขาลังเลอยู่นานมาก และสุดท้ายตอบรับคำขอของเธอ เธอก็คงสงสัยในความดีของเขา
ตอนนี้เขาบอกว่าเขาเลือกไม่ได้ อย่างนี้ถึงจะเป็นคนที่น่าไว้ใจ
นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ เขาไม่ลืมบุญคุณ ดังนั้นมู่เวยเวยจึงเริ่มมองเขาในแง่ดีขึ้น
“โอเค ฉันจะไม่ทำให้นายลำบากใจแล้ว เรื่องนี้ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกัน แต่ว่า….”
เมื่อพูดถึงตรงนี้มู่เวยเวยก็หยุดไปครู่หนึ่ง นายก็รู้ว่าเราสองตระกูลมีความคับแค้นใจต่อกัน ฉันยอมรับนาย แต่ว่าไม่ยอมรับพ่อของนาย หวังว่าเรื่องนี้น่าจะเข้าใจ
“ฉันว่าพ่อของนายก็คงคิดเหมือนเราเหมือนกัน”
หนานกงเจาขมวดคิ้ว เรื่องนี้เขาเคยคิดมาก่อนแล้ว แต่เขากับเย่ชูวเสวี่ยเพิ่งจะสารภาพใจกัน จึงยังไม่ได้มีความคิดที่จะแต่งงานอยู่ด้วยกัน ดังนั้นเขาจึงมองข้ามเรื่องนี้อยู่เสมอ
“คุณป้า ชูวเสวี่ยคบกับผมไม่ใช่คบกับพ่อของผม ที่ผมสามารถยืนยันกับคุณป้าได้ก็คือ ถ้าชูวเสวี่ยแต่งงานกับผม เธอก็จะอยู่กับผมแค่สองคน จะไม่ยอมให้เธอต้องถูกกดขี่”
หนานกงเจาพูดอย่างซื่อตรง เย่ชูวเสวี่ยฟังแล้วก็อดอายขึ้นมาไม่ได้ “ใครบอกจะแต่งงานกับคุณกัน หน้าไม่อาย”
“ใครคบกับฉัน ก็เป็นว่าที่เจ้าสาวนั่นแหละ” หนานกงเจาเงยหน้าขึ้นมองเย่ชูวเสวี่ยด้วยสีหน้าดีใจ สายตาอย่างนั้นทำให้เย่ชูวเสวี่ยโกรธขึ้นมาทันที
นิสัยของเธอก็คือไม่ชอบพ่ายแพ้ ดังนั้นเธอจึงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ “ใครบอกว่าคบกับนายแล้วจะได้เป็นว่าที่เจ้าสาวนายกัน ถ้าฉันไม่พอใจฉันก็จะเลิกกับนาย”
“เธอไม่พอใจตรงไหน”
“ฉัน…” เย่ชูวเสวี่ยพูดไม่ออก ที่จริงเธอแค่จะพูดด้วยความหยิ่งผยองเท่านั้น ถ้าให้เธอบอกเหตุผลมาจริงๆเธอก็คิดไม่ออก
“เฮ้อ… เอาเป็นว่าเรื่องอื่นเอาไว้ค่อยว่ากันเถอะ”
หนานกงเจายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เธอหมายความว่า เธออยากแต่งงานกับฉันเร็วๆหรอ”
นาย เย่ชูวเสวี่ยไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว เธอกัดฟันด้วยความโกรธๆ ทำไมวันนี้เธอเถียงเขาไม่ออกเลยซักคำนะ
มู่เวยเวยส่ายหน้าแล้วแอบเดินถอยหลังออกมา ทั้งสองคนแกล้งหยอกล้อกัน เธอยืนอยู่ตรงกลางก็เป็นแค่อากาศธาตุ
เย่ฉ่าวเฉินเอาน้ำเข้ามา และเขาก็เห็นมู่เวยเวยกับหนานกงเจาสลับที่กัน มู่เวยเวยยืนอยู่บริเวณใกล้ๆประตู และหนานกงเจาก็ไม่รู้ไปยืนอยู่ข้างเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อมู่เวยเวยเห็นเขาเปิดประตูเข้ามา ก็ส่งสัญญาณให้เขาเงียบ และชี้ไปที่เด็กสองคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่ยิ้มๆ
แค่ครู่เดียวเย่ฉ่าวเฉินก็เข้าใจ เขาวางกระติกน้ำลง และดึงมือมู่เวยเวยออกไปจากห้องเงียบๆ
หนานกงเจารู้ตั้งนานแล้วว่าพวกเขาออกไป แต่เย่ชูวเสวี่ยกำลังสนุกอยู่กับการโต้เถียงกับเขา จึงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ
ถ้านายพูดอีกฉันจะไม่สนใจนายแล้ว เย่ชูวเสวี่ยเถียงไม่ออกจึงใช้ประโยคนี้มาข่มหนานกงเจา
เธอเคยเห็นในอินเตอร์เน็ต เขาบอกว่าคนที่สามารถใช้คำว่าไม่สนใจแล้วขู่คนอื่นได้ ต้องขู่กับคนที่ไม่สามารถไปจากคุณได้เท่านั้น
เธอเลยอยากใช้ประโยคนี้สักครั้ง ดังนั้นจึงพูดออกไปโดยไม่ได้คิด
หนานกงเจาผงะไปชั่วขณะและถามว่า “เธอพูดจริงหรอ”
“จริงซะยิ่งกว่าจริง”
หนานกงเจาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดยอมเธอ “ผมผิดไปแล้ว ยกโทษให้ผมเถอะ”
“หึ รู้รึยังว่าฉันเจ๋งขนาดไหน” แม้เย่ชูวเสวี่ยจะพูดออกมาด้วยความจองหอง แต่ในใจเธอรู้สึกดีใจมาก เธอรู้สึกราวกับตัวเองตกอยู่ในบ่อน้ำผึ้ง
หนานกงเจารู้ว่าโดนเธอหลอกอีกแล้ว จึงได้ส่ายหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้ ในด้านความรัก ใครรักมากกว่าก็มักจะอ่อนแอกว่าเสมอ
เขากลัวการสูญเสียมากกว่าเธอ ดังนั้นเขาจึงเสียเปรียบอยู่เสมอ แต่เขาก็ไม่สนใจ การดูแลผู้หญิงที่รักเขาเต็มใจมาโดยตลอด
เมื่อเย่ชูวเสวี่ยเห็นว่าเขาไม่พูดไปนานมาก ใบหน้าก็ไม่แสดงอะไรออกมา เธอจึงไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ทำไมนายไม่พูด”
“ฉันจะพูดอะไรได้อีก” หนานกงเจาพูดหน่ายๆ
“นายเบื่อฉันแล้วใช่มั้ย”
“เปล่า” เขาหมดคำจะพูดมากกว่าเดิม จิตใจของผู้หญิงเปลี่ยนไปได้เร็วจริงๆ เขาแค่ไม่ทันได้ตอบไปแปบเดียว เธอก็คิดเป็นอื่นแล้ว
มู่เวยเวยกับเย่ฉ่าวเฉินแอบฟังทั้งสองคนทะเลาะกันอยู่ข้างนอก แล้วคิดถึงตอนตัวเองเด็กๆขึ้นมา จึงสบตากันแล้วยิ้ม
ที่จริงไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ชอบหนานกงเจา แต่เพราะคนที่บ้านของเขา ทำให้พวกเขายอมรับได้ลำบากมาก
เขาทำเรื่องไว้มากมาย และทุกเรื่องก็ให้อภัยไม่ได้ ในเมื่อเขาเป็นลูกชายของผู้ชายคนนั้นก็ต้องได้รับผลกระทบเช่นกัน
หลังจากเย่ชูวเสวี่ยฟื้นขึ้นมา บรรยากาศในตระกูลเย่ก็สบายขึ้นมามาก เมื่อหนานกงเจามาหาเขาก็เลือกจะปิดตาข้างหนึ่ง ขอเพียงแค่ไม่ทำอะไรเกินเลย พวกเขาก็จะไม่เข้าไปยุ่ง
เย่จิงเหยียนกับต้วนอีเหยาก็มาหาหลายครั้ง เมื่อพูดกับเย่ชูวเสวี่ยได้สองสามประโยคก็ถูกหนานกงเจาพูดขัด
ทั้งคู่จีบกันไปมา จนเย่จิงเหยียนทนดูต่อไปไม่ได้จึงจูงมือต้วนอีเหยาออกไปจากห้องอย่างไม่ลังเล หลังจากนั้นก็ไม่มาหาอีกเลย
ต้วนอีเหยานอนอยู่บนเตียงคนไข้ บรรยากาศต่างเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ เธอจึงหันไปพูดกับเย่จิงเหยียน “พวกเราออกจากโรงพยาบาลกันเถอะ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
เย่จิงเหยียนหยุดการกระทำในมือลง “โอเคเดี๋ยวผมจะไปดำเนินการให้”
ต้วนอีเหยาพยักหน้า เธอมองลูกโป่งที่ผ่านหน้าไปแล้วก้มหน้าลง บนพื้นมีเด็กคนหนึ่งกำลังวิ่งตามลูกโป่งอยู่ สองแขนเล็กๆยื่นมือไปกลางอากาศ แต่ก็ทำได้แค่มองลูกโป่งค่อยๆลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ข้างหลังของเขามีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เธอเดินเข้ามากอดเด็กน้อยพร้อมปลอบเสียงอ่อนโยน
“ดูอะไรอยู่” หลังจากที่เย่จิงเหยียนเก็บของเสร็จแล้ว เขาก็หันไปมองต้วนอีเหยาที่กำลังให้ความสนใจกับนอกหน้าต่างอยู่ เขาจึงเดินไปมองด้วย
“ไม่มีอะไร” ต้วนอีเหยารีบหันหน้ากลับมา เพื่อจะบังสายตาของเย่จิงเหยียน แต่มันก็สายเกินไปแล้ว เขาเห็นเด็กคนนั้นกำลังอ้อนแม่ของเขาอยู่
เขาเงียบไปทันที จากนั้นครู่หนึ่งเขาก็พูดว่า “อีเหยา คุณยังโกรธผมอยู่ใช่ไหม”
ต้วนอีเหยาไม่รู้จะตอบยังไงดี เธอรู้ว่าเย่จิงเหยียนไม่ผิด แต่เธอก็อดที่จะโทษเขาไม่ได้อย่างไม่มีเหตุผล อาจจะเป็นเพราะว่านอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีใครยอมเธออย่างไม่มีเงื่อนไขอย่างนี้
“บางทีฉันก็ดีใจนะที่ลูกคนนี้จากไป”
เย่จิงเหยียนก้มหน้ายิ้มอย่างข่มขืน เขาไม่อยากให้ต้วนอีเหยาเห็นความอ่อนแอของเขา “คุณจำเป็นต้องผ่าตัดสายตา ถ้าเขายังอยู่ในท้องของคุณ เขาต้องได้รับผลกระทบแน่…”
ต้วนจื่ออิ๋งตั้งใจทำให้เด็กหลุดออกไป ขณะนั้นเขาทั้งเสียใจและสบายใจ ในที่สุดความผิดนี้เขาก็ไม่ต้องแบกรับไว้ เขาสามารถหาที่ระบายความโกรธลงไปได้ แทนการสูญเสียต้วนอีเหยาไป
ต้วนอีเหยาจับรอยแผลที่ท้อง เธอปวดใจจนชาไปหมด จนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดก่อนหน้านี้แล้ว มีเพียงแค่ความรู้สึกเย็นชา
เธอรู้ความคิดในใจของเย่จิงเหยียนดี ตั้งแต่เห็นหลุยส์ปรากฏตัวในวันนั้นเธอ ก็เข้าใจการตัดสินใจของเขาทันที แต่เพราะว่าตอนนั้นลูกได้จากไปแล้ว เธอจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ
ถ้าพูดอย่างนี้ เธอก็เป็นคนเห็นแก่ตัวเหมือนกันใช่มั้ย ถ้าเธอยังรู้สึกผิดอยู่บ้าง เธอก็ควรจะล้มเลิกการรักษา เพื่อเป็นการลงโทษตัวเอง
แต่เธอก็ไม่ได้ทำ
ถ้าลูกยังอยู่ไม่ว่ายังไงเธอก็จะไม่ยอมเข้ารับการผ่าตัด
แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นเธอมีสิทธิ์อะไรไปโทษเย่จิงเหยียน เธอก็ไม่ได้ให้ความรักของแม่แกลูกเหมือนกัน ทุกคนต่างเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น ทำไมเธอยังทำเป็นคนมีศีลธรรม และตัดสินคนอื่นอยู่ได้
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่ต้องพูดถึงแล้ว” ต้วนอีเหยาหลับตา และเอาหน้าซุกลงไปบนหมอนเพื่อให้น้ำตาซึมเข้าไปในปุยฝ้าย
เย่จิงเหยียนก็ไม่คิดที่จะเปิดเผยการกระทำของเธอ บางครั้งเธอก็ไม่อยากให้เขาเห็นความอ่อนแอของเธอเหมือนกัน เขาก็จะยอมทำตามโดยไม่พูดอะไร
“ผมไปดำเนินการก่อน เดี๋ยวเก็บของแล้วออกไปกันเลย”
ต้วนอีเหยาพยักหน้าลงบนหมอน เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้มีเสียงออกมา ถ้าเธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน เธอก็คงไม่รู้ว่าการเป็นแม่นั้นมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน
…..
เย่จิงเหยียนดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ระหว่างออกจากโรงพยาบาลเขาก็บังเอิญเจอกับมู่ยู่วฉีและเสี่ยวอวี้หลินถือกระเช้ามาเยี่ยมผู้ป่วยทั้งสอง
“อ้าว จะออกจากโรงพยาบาลแล้วหรอ นี่ผมตั้งใจเอากระเช้านี้มาให้นะ” มู่ยู่ฉีตบไหล่เย่จิงเหยียน เมื่อเห็นสายตาพิฆาตของเขา เขาก็รีบเก็บมือไปทันที
เย่จิงเหยียนเหลือบตามองเขา “จะให้พวกเราอยู่โรงพยาบาลไปตลอดเลยรึไง”
“ผมยอมแล้ว อย่าหมายหัวผม” มู่ยู่วฉี รีบยกมือขึ้น “ผมก็แค่พูดไปอย่างนั้น พี่อย่าเข้าใจผมผิด”
“ถ้าไม่ได้คิดอย่างนั้นก็ดี” เย่จิงเหยียนยิ้มออกมาบางๆ ทำให้มู่ยู่วฉี อดขนลุกไม่ได้
เขารีบดึงเซียวอวี้หลินขึ้นมา “รีบไปเถอะ รีบไปเถอะ ถ้าอยู่ต่อไปพวกเราโดนเขาฆ่าแน่”
เสี่ยวอวี้หลินก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน เขาจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วบอกลาเย่จิงเหยียน จากนั้นก็รีบเข้าไปในห้องของเย่ชูวเสวี่ย
“มีอะไรน่ากลัวหรอ” เมื่อต้วนอีเหยาได้ยินคำพูดของมู่ยู่วฉี เธอก็มองเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง
“ไม่มีอะไร” เย่จิงเหยียนดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เพื่อปกปิดสายตาของเขา
ต้วนอีเหยายังอยากดูอีก แต่ก็โดนเย่จิงเหยียนกอดไว้แน่นมาก “อย่าดิ้นคุณเพิ่งจะหายดี เดี๋ยวมันกระทบกระเทือน”
“อ่อ” ต้วนอีเหยาตอบรับเสียงเบา
ทั้งสองคนเพิ่งจะขึ้นรถ ก็ได้รับสายจากตำรวจ
“สวัสดีครับ นี่ใช่คุณเย่ไหม”
“ใช่ครับ” เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว และเอาโทรศัพท์ออกมาเปิดลำโพง
“คืออย่างนี้นะครับ คดีของคุณล่าช้ามาหลายเดือนแล้ว และคนร้ายก็ได้รับการประกันตัวออกไปแล้ว คุณจะให้ดำเนินการต่อไหมครับ”
เย่จิงเหยียนมองไปที่ต้วนอีเหยา และตอบอย่างไม่ลังเลเลย “ต้องการครับ”
“งั้นเดี๋ยวคุณมาลงบันทึกไว้หน่อยนะครับ แล้วค่อยเจอกันอีกทีวันขึ้นศาล”
เย่จิงเหยียนตอบรับและวางสายไป เขาเงยหน้าขึ้นมองต้วนอีเหยาที่กำลังเหม่อลอยอยู่ “เป็นอะไรไป”
เขายื่นมือมาลูบหัวของเธอ ต้วนอีเหยาจึงส่ายหน้า “ฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้ตั้งใจทำให้เด็กตาย ถ้าเราจะบังคับให้เธอต้องเป็นคนรับผิดชอบ มัน….” ไร้จริยธรรม
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว “ผมไม่ได้แจ้งความเธอเพราะเรื่องนี้ ผมแจ้งความเรื่องลักพาตัวและตั้งใจทำร้ายร่างกาย”
เมื่อเห็นต้วนอีเหยาสงสัย เขาจึงอธิบายอย่างละเอียด “มีคนสารภาพแล้ว ผู้ชายพวกนั้นไม่พอใจกับข้อเสนอจึงตั้งใจจะลากคุณไป จนทำให้แท้งลูก”
ไม่อย่างนั้น เพราะข้อหานี้ ต้วนจื่ออิ๋งจะได้รับการประกันตัวออกมาได้ยังไง
“งั้น คุณ….”
“ผมแค่สั่งสอนเธอ ให้เธอเข้าใจ อย่าคิดจะมาทำร้ายคุณอีก ไม่อย่างนั้นผมจะให้เธอชดใช้”
ระหว่างที่พูดประโยคนี้ สายตาของเย่จิงเหยียนก็มองตรงไปข้างหน้า เขาไม่อยากให้ต้วนอีเหยาเห็นความดุร้ายของเขา เขาจะให้เธอเห็นแต่ด้านสวยงามเท่านั้น
ที่จริงแล้วต้วนอีเหยาก็ไม่ได้สังเกตุเห็นสีหน้าของเขา แต่รังสีจากตัวของเขาทำให้เธอรู้สึกไม่สบาย ถึงแม้เธอจะเป็นทหารมาหลายปี แต่เธอก็ยังอ่อนไหวกับเรื่องอย่างนี้มาก
เย่จิงเหยียนไม่ได้พูดมากไปกว่านั้น ไม่ว่ายังไงต้วนจื่ออิ๋งก็ต้องได้รับความทรมาน ไม่อย่างนั้นใครจะรับประกันว่าภายภาคหน้าเธอจะไม่สร้างเรื่องอะไรอีก