วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 407 ไม่เคยชอบคุณเลย
“บ้ากาม”
“ใช่ผมเป็นคนบ้ากาม”
หนานกงเจารีบยอมรับความผิด แต่เย่ชูวเสวี่ยได้ยินเขาพูดอย่างนี้ก็ยิ่งโกรธ “สารเลว”
พูดจบเธอก็จะออกไป แต่ว่าหนานกงเจาก็ไม่ปล่อยให้เธอไปง่ายๆขนาดนั้น เขาจับข้อมือเธอไว้พร้อมดึงเธอกลับมาอยู่ในอ้อมกอดตัวเองเหมือนเดิม
“ชูวเสวี่ย ขอร้องเธออย่าไปอีกเลยได้ไหม”
เย่ชูวเสวี่ยกลับไม่ฟัง เธอพยายามบิดตัวออก “ปล่อยฉันนะ ถ้าไม่ปล่อยฉันจะเรียกคนแล้ว”
“ผมไม่ปล่อย ผมปล่อยคุณไปไม่ได้อีกแล้ว” หนานกงเจาพูดในสิ่งที่ใจต้องการด้วยความเมา
“ผมรู้ว่าคุณชอบเหยียนซิว และผมก็รู้ว่าคุณจะปฏิเสธผม แต่ผมก็อดชอบคุณไม่ได้จริงๆนะ ชูวเสวี่ย….ผมชอบคุณมาก”
เมื่อเย่ชูวเสวี่ยโดนสารภาพรักก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา แต่เมื่อนึกถึงผู้หญิงข้างกายเขาเมื่อตะกี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหึง “เมื่อกี้นายยังอยู่กับผู้หญิงอยู่เลย”
“ผมไม่ได้ชอบเธอ เธอมาเกาะแกะผม ผม….ผม…ชอบแค่คุณ”
“จริงหรอ”
“อืม” หนานกงเจาพยักหน้ายืนยัน เขาก้มลงจูบปากเย่ชูวเสวี่ยอีกครั้งดวงตาพร่ามัว
เย่ชูวเสวี่ยไม่ได้ขัดขืนอีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะต้องการขนาดไหน เธอก็จะไม่ขัด
เมื่อจูบจนเธอแทบหายใจไม่ออกแล้ว เขาจึงถอยออกมาเงยหน้ามองเธอด้วยสายตาลุ่มหลง
“อะแฮ่ม…”
มู่ยูว่ฉีปิดปากกระแอมออกมาหนึ่งครั้ง เขารออยู่ในห้องน้ำนานแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าจะแค่กอดกัน แต่ยิ่งนานไปยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เขารออยู่ในห้องน้ำต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงจำใจต้องออกมาเตือน
เมื่อได้ยินเสียงกระแอมทั้งสองคนก็ผละออกจากกันทันทีด้วยความตกใจ
“ทำไมมาอยู่ที่นี่ ตกใจหมดเลย” เย่ชูวเสวี่ยลูบอกพร้อมบ่น
มู่ยูว่ฉีกรอกตามองเธอ “ ฉันก็แค่จะมาเตือนพวกเธอ เพราะว่ากลัวพวกเธอจะถลำลึกลงไปก็เท่านั้นเอง”
“นาย….” เย่ชูวเสวี่ยพูดไม่ออก เธอชี้ไปที่มู่ยูว่ฉีนานมาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา สุดท้ายก็วางมือลง
มู่ยูว่ฉียักไหล่อย่างไม่สนใจ “ทำต่อไปเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว”
พูดจบก็มองไปที่เย่ชูวเสวี่ยและหนานกงเจา จากนั้นก็ชกไปที่หนานกงเจาหนึ่งครั้งเบาๆ และรีบเดินจากไป
เมื่อเขาเดินจากไปหนานกงเจากับเย่ชูวเสวี่ยก็ตกอยู่ในความเงียบ ทั้งสองคนมองตากันโดยไม่พูดอะไรด้วยความเขินอาย
“คือฉันกลับก่อนนะ แม่ฉันน่าจะตามหาฉันแล้ว” เย่ชูวเสวี่ยชี้มือไป และรีบหันหลังเดินไปตามทางที่มู่ยูว่ฉีเดินไป
“เดี๋ยวก่อน” หนานกงเจาเอื้อมมือไปหยุดเธอไว้
เย่ชูวเสวี่ยรีบหยุดและหันไปมอง “มีอะไรอีกไหม”
“ไม่มี เมื่อกี้…”
“ทำไม”
“เมื่อกี้ฉันเมา อย่าใส่ใจเลยนะ” เขารู้ว่าในใจเธอไม่มีเขา ที่พูดอย่างนี้ก็เพื่อจะไว้หน้าตัวเองก็เท่านั้น
“หนานกงเจา” เย่ชูวเสวี่ยโกรธมาก ที่แท้ในสายตาเขาเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงง่ายๆ พูดกันไม่กี่คำก็สามารถให้เขาจูบได้
“หลังจากฉันออกไปจากที่นี่แล้ว เราไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
เย่ชูวเสวี่ยบิดมือ และหมุนตัวเดินจากไป หนานกงเจาอยากยื่นมือไปรั้งเธออีกครั้ง แต่เขาก็เมามากแล้ว ไม่มีข้อแก้ตัวแล้วจริงๆ
“ให้ฉันพูดหน่อยเถอะ” ในที่สุดมู่ยูว่ฉีก็ทนมองไม่ได้อีกต่อไป เขาเดินออกมาจากมุมผนัง “พวกนายอย่าลังเลอีกต่อไปเลยได้ไหม เห็นๆอยู่ว่าต่างคนต่างชอบกัน แล้วจะทะเลาะกันทำไม”
เขาทนมองต่อไปไม่ได้แล้ว มีอะไรเข้าใจผิดกัน แม้แต่จะอธิบายก็ไม่มี แต่ดันตัดสินอีกฝ่ายไปแล้ว มันช่าง….
“นายว่าไงนะ” หนานกงเจามองไปที่มู่ยูว่ฉีอย่างไม่เชื่อ “นายบอกว่า ชูวเสวี่ยก็ชอบฉันหรอ”
“ไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใครได้อีก” มู่ยูว่ฉีหมดคำจะพูดโง่จริงๆ
หนานกงเจาได้ยินอย่างนั้นก็รีบตามไปจับมือเธอไว้ “ชูวเสวี่ยผมผิดไปแล้ว อย่าพึ่งไป”
ตอนแรกเย่ชูวเสวี่ยจมอยู่กับความเศร้า แต่ตอนนี้เมื่อหนานกงเจามาจับมือเธอไว้ ความรู้สึกในใจของเธอก็พังทลายออกมาทันที น้ำตาของเธอเริ่มไหลลงมาอย่างทนไม่ไหว
“ขอโทษ” หนานกงเจาใจอ่อนขึ้นมา เขากอดเย่ชูวเสวี่ยและขอโทษอย่างอ่อนโยน
เย่ชูวเสวี่ยยืนน้ำตาไหลไม่พูดอะไรออกมา เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่สามารถอดทนได้เลยสักนิด ทันทีที่เขาจับมือเธอ น้ำตาของเธอก็พังทลายลงมาทันที
“คุณมันเลว” หลังจากกั้นไว้นาน สุดท้ายเธอก็พ่นคำด่าอย่างเจ็บปวดออกมา
“ผมผิดไปแล้ว ต่อไปนี้ผมจะไม่ตะโกนใส่คุณอีกแล้ว” หนานกงเจาเอื้อมมือไปลูบหัวเย่ชูวเสวี่ยด้วยความรู้สึกสงสารและรู้สึกผิด
“พวกเธอ….” ระหว่างที่หลินลั่วเสวี่ยกำลังเดินผ่านมาก็เห็นทั้งสองคนกอดกันอยู่จึงพูดไม่ออก
“พวกเธอสองคน….” เสียงของหลินลั่วเสวี่ยดังขึ้น ดึงดูดสายตาของผู้คนรอบข้างทันที
พวกเขาสงสัยมากว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นหนานกงเจากับเย่ชูวเสวี่ยกอดกันก็งงทันที
เย่ชูวเสวี่ยคบกับเหยียนซิวไม่ใช่หรอ ทำไมอยู่ดีๆก็มาอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเจา
เมื่อเห็นสิ่งที่น่าสนใจ ทุกคนก็อยากพูดคุยกันเสียงดัง แต่ก็ไม่กล้าพูดเพราะว่ากลัวเย่ฉ่าวเฉินจะออกมาเห็นและโกรธจนไม่ทำธุรกิจร่วมกันอีก
“เกิดอะไรขึ้น” เย่ฉ่าวเฉินเห็นเสียงจอแจจึงเดินออกมาจากห้อง แม้เสียงคุยจะดังมาก แต่เขาก็ไม่ได้ยินสาระสำคัญ
เมื่อเย่ชูวเสวี่ยได้ยินเสียงเย่ฉ่าวเฉิน ก็รีบข่มความรู้สึกในใจ และดันหนานกงเจาออก พร้อมกับเดินออกไปคนเดียว
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีใครจะพูดไหม”
ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ สายตาของเย่ฉ่าวเฉินน่ากลัวขึ้น เย่ชูวเสวี่ยที่กำลังจะเดินมาจึงเดินถอยหลังกลับไปทันที
“ก่อเรื่องอะไรอีก” เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองเย่ชูวเสวี่ย แค่เธอเดินถอยหลังเขาก็รู้ทันทีว่าเธอกำลังปกปิดอะไรอยู่
เย่ชูวเสวี่ยส่งยิ้มหวาน “ไม่มี….ไม่มีเรื่องอะไรค่ะ”
“หรอ” เย่ฉ่าวเฉินยังคงไม่ปล่อยเธอไป เขาเดินเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ
หนานกงเจาทนยืนมองไม่ได้อีกต่อไป เขารู้สึกว่าเขาหลบอยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างนี้น่าเกลียดมาก จึงปรากฏตัวออกมา “ไม่ได้เกี่ยวกับเธอครับ”
“ทำอะไร” เย่ชูวเสวี่ยจองเขาเขม็ง แค่อยู่เงียบๆเขาก็จะรอดแล้ว ทำไมถึงเผยตัวออกมาตอนนี้
เย่ฉ่าวเฉินส่งยิ้มเย็น “ไม่เกี่ยวกับเธองั้นเกี่ยวกับแกหรอ”
หนานกงเจายืนนิ่ง ด้วยท่าทางไม่กลัวอะไรเลย แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา
เย่ฉ่าวเฉินมองเย่ชูวเสวี่ย และรู้ว่าลูกสาวตัวเองไม่มีทางพูดออกมาแน่ ดังนั้นจึงหันสายตาไปมองมู่ยูว่ฉี
“พูดมา”
มู่ยูว่ฉีถอยหลังไปอย่างประหม่า เหงื่อเย็นๆไหลออกมาเต็มหน้าผาก เขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไง ถ้าไม่พูดก็ไม่ได้ ถ้าพูดชาตินี้เขากับหนานกงเจาและเย่ชูวเสวี่ยคงต้องตัดสัมพันธ์กัน
“คิดนานเกินไปแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองเขา ความอดทนของเขามีขีดจำกัด โดยเฉพาะภายใต้ขี้ปากคนอย่างนี้แล้ว เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
มู่ยูว่ฉียิ้มออกมาอย่างอึดอัด “คุณลุงผม…”
“เข้าเรื่อง!” เย่ฉ่าวเฉินขี้เกียจฟังเขาพูดอ้อมค้อม จึงจ้องเขาด้วยสายตาดุดัน
ในที่สุดมู่ยูว่ฉีก็ทนกับสายตาของเขาไม่ไหว “ผมจะพูดแค่ประโยคเดียวเท่านั้น ถ้าคุณลุงไม่เข้าใจผมก็ช่วยไม่ได้แล้ว”
“พูด”
“พวกเขา…เอ่อ…เหมือนที่คุณลุงคิดนั่นแหละ”
มู่ยูว่ฉีพูดจบก็เงยหน้าขึ้นไปมองเย่ฉ่าวเฉินนิดหนึ่ง ถึงเขาไม่พูดแต่จากสายตาก็สามารถดูออกว่าเขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว
“คือ….ผมมีธุระ งั้นผมไปก่อนแล้ว” มู่ยูว่ฉีรู้สึกเสียว สันหลังวาบจากสายตาของหนานกงเจาและเย่ชูวเสวี่ย เขาจึงรีบออกไปจากห้องโถง
เย่ชูวเสวี่ยรีบตามออกไป แต่ก็ถูกเย่ฉ่าวเฉินดึงไว้ก่อน “จะไปไหน ชี้แจงเรื่องของตัวเองให้เสร็จก่อนค่อยไป”
“พ่อฟังหนูอธิบายนะ” เย่ชูวเสวี่ยรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นอ้อนๆ
“อืม ฟังอยู่” เย่ฉ่าวเฉินจองไปที่เย่ชูวเสวี่ย เขาอยากรู้ว่าเธอจะพูดยังไง
“หนู”
เย่ชูวเสวี่ยคิดนานมาก แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะพูดยังไงดี เธอจึงหันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากหนานกงเจา
หนานกงเจาเข้าใจในทันที เขารีบเดินขึ้นไป “พวกเราคบกันแล้ว คุณลุงทำตามที่เห็นสมควรเถอะครับ”
เปรี้ยงๆๆ
หัวของเย่ชูวเสวี่ยราวกับมีเสียงฟ้าร้องขึ้นมา ตอนแรกเธอต้องการให้หนานกงเจาช่วย แต่คิดไม่ถึงว่าไอ้คิวของเขาจะยิ่งช่วยยิ่งแย่
“อะไรนะ”
มู่เวยเวยที่กำลังเดินมาจากบันได เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ตกใจจนพูดไม่ออก และผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
เมื่อกี้เธอเพิ่งเป็นผู้หญิงข้างกายเขา แต่แค่แปบเดียวก็ไปเป็นผู้หญิงของคนอื่นแล้ว แถมยังเปิดตัวต่อหน้าทุกคนด้วย
“ฉันไม่ยอมรับ” มู่เวยเวยรีบวิ่งลงมาจากบันไดยืนอยู่ข้างเย่ฉ่าวเฉิน
เธอชี้ไปที่หนานกงเจา “นายอย่าคิดจะเอาลูกสาวฉันไป”
หนานกงเจากำลังจะอธิบาย แต่ก็ถูกเย่ชูวเสวี่ยพูดก่อน “แม่ไม่ต้องยุ่งกับพวกเราอีกต่อไปแล้ว”
ท่านใดนั้นทุกคนก็ต่างกระซิบกระซาบกันไปต่างๆนานา ที่พูดมากที่สุดก็คือเรื่องของเย่ชูวเสวี่ยที่ทำเรื่องงามหน้า คบผู้ชายสองคนในเวลาเดียวกัน
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินเสียงวิจารณ์เหล่านั้นก็ยิ่งโมโหมากขึ้น เขายื่นมือไปตบหน้าเย่ชูวเสวี่ย “ฉันเตือนแกไว้เลย ห้ามไปยุ่งกับมันอีก”
เย่ชูวเสวี่ยจับหน้าตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ “พ่อ….พ่อตบหนู”
ตั้งแต่เล็กจนโตพ่อใช้มือนี้ปกป้องเธอมาโดยตลอด ไม่เคยมีสักครั้งที่จะตบอย่างนี้ ใบหน้าของเธอบวมแดงขึ้นมาทำให้เธอรู้สึกตัว ยังไม่ทันที่เย่ฉ่าวเฉินจะได้พูดอะไร เธอก็วิ่งออกไปจากงานทันที
เย่ฉ่าวเฉินยืนจ้องมือตัวเองนิ่ง เขาไม่รู้ว่าเขาเพิ่งทำอะไรลงไป
เย่ชูวเสวี่ยออกมาแล้วก็ไม่รู้จะไปทางไหน ข้างหน้ารถขับมาเต็มไปหมด เธอเช็ดน้ำตาและวิ่งออกไปกลางถนน
“ชูวเสวี่ย” หนานกงเจาเห็นเธอวิ่งออกมา เขาจึงวิ่งตามมา ก่อนจะทันเห็นเธอยืนตรงหน้าไฟแดง และกระโจนเข้าไปหน้ารถ เขาจึงรีบร้องออกมาอย่างตกใจ
เธอยืนอยู่กลางถนนหันหน้ากลับไปยิ้มให้เขา ก่อนจะได้ยินเสียงแหลมดังขึ้นมาในหู และรอยยิ้มก็ค่อยๆหายไป
มู่เวยเวยทีวิ่งตามเย่ชูวเสวี่ยมาเบิกตากว้าง เมื่อเห็นเย่ชูวเสวี่ยเลือดไหลออกมา เธอก็รู้สึกว่าโลกใบนี้ถล่มลงมาทันที คิดถึงแต่เพียงรอยยิ้มสุดท้ายของเย่ชูวเสวี่ยเมื่อก่อนหน้านี้
หนานกงเจารีบวิ่งเข้าไปช่วยพลางเรียกชื่อเธอไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะ และคำพูดที่เธอพูดกับเขาอีกแล้วว่า “ฉันโกหกคุณ”
ไฟห้องฉุกเฉินสว่างขึ้น มู่เวยเวยยืนอยู่หน้าประตูน้ำตาไหลริน ข้างๆเธอมีเย่ฉ่าวเฉินยืนอยู่โดยไม่แสดงสีหน้าใดใด เขายืนนิ่งมือสั่น เมื่อกี้เขาใช้มือนี้ตบเย่ชูวเสวี่ย
ถ้าเรื่องนี้ทำให้พวกเขาต้องพลัดพรากจากกันไป ชาตินี้เขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ทุกคนต่างยืนนิ่งเงียบ ไม่มีใครทะเลาะกัน เรื่องนี้ไม่สามารถระบุได้ว่าใครถูกใครผิด สิ่งที่พวกเขาคาดหวังเพียงอย่างเดียวก็คือ ขอให้เย่ชูวเสวี่ยออกมาจากห้องฉุกเฉินอย่างปลอดภัย
เวลาค่อยๆผ่านไปเรื่อยๆจนคนที่อยู่ข้างนอกเริ่มค่อยๆหมดความอดทน
หนานกงเจายืนพิงผนังตลอด ในช่วงเวลานั้นเขาคิดหลายอย่างมาก ครั้งแรกที่เขาเจอเย่ชูวเสวี่ย จนกระทั่งเมื่อกี้ที่เธออยู่ในอ้อมแขนของเขา
เขารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาช่างยากลำบากจริงๆ เมื่อกี้ยังยอมรับใจของตัวเองอยู่เลย ทำไมแค่แปบเดียวก็เปลี่ยนเป็นอย่างนี้
ก่อนหน้านี้เขายังเห็นใจเย่จิงเหยียนและต้วนอีเหยาอยู่ แต่ตอนนี้เขาเหลือเพียงแค่รอยยิ้มขมขื่น หรือความรักเป็นอย่างนี้เองหรอ ต้องผ่านเรื่องราวมากมายถึงจะค่อยมีความสุข
เย่ฉ่าวเฉินกอดมู่เวยเวยรออยู่นอกประตู หลังจากเย่จิงเหยียนได้รับข่าว เขาก็รีบออกมาจากห้องคนไข้ของต้วนอีเหยาทันที
เมื่อเห็นอารมณ์หดหู่ของมู่เวยเวย เย่ฉ่าวเฉินก็คงไม่มีอารมณ์อธิบายแน่ๆ ส่วนหนานกงเจาที่อยู่ข้างๆก็สติหลุดไปนานแล้ว เขาจึงทำได้แค่รออยู่หน้าประตู
เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นมา ทุกคนก็ต่างพุ่งเข้าไปหน้าประตู เย่ชูวเสวี่ยนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยใบหน้าซีดเซียว ราวกับไม่ใช่เย่ชูวเสวี่ยคนเดิม
หนานกงเจารีบเดินตรงเข้าไป แต่ก็ถูกเย่ฉ่าวเฉิน และคนอื่นๆกันเขาไว้ข้างนอก เขาเรียกอยู่นานมากแต่ก็ไม่มีใครสนใจ สุดท้ายเขาจึงได้แต่มองเตียงคนไข้ค่อยๆไกลออกไป
“หมออาการของผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้าง” ตอนแรกหนานกงเจาก็ถอดใจแล้ว แต่เมื่อหันมาเห็นหมอยังไม่จากไป เขาจึงถาม
สีหน้าของหมอเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เขาไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว เพราะช่วงนี้มีการผ่าตัดสำคัญเยอะมาก เขาทำงานมาหลายสิบชั่วโมงแล้ว และทุกครั้งก็มักจะถูกญาติถามต่างๆกัน จนเขารู้สึกมึนงงไปหมด
“คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว อาการอื่นๆต้องรอฟื้นขึ้นมาถึงจะวินิจฉัยได้”
พูดจบเขาก็นวดขมับตัวเอง และเดินไปทางห้องทำงานของตัวเอง
เมื่อหนานกงเจาได้ยินว่าเย่ชูวเสวี่ยพ้นขีดอันตรายแล้ว ความอึดอัดในใจของเขาก็คลายลง ตอนนี้เขารู้สึกขอบคุณพระเจ้ามาก
ภายในห้องผู้ป่วยเย่ชูวเสวี่ยยังคงนอนนิ่งสงบ มู่เวยเวยนั่งอยู่ข้างเตียงเรียกเธอบ่อยมาก แต่เธอก็ไม่ได้ตอบสนองกลับมา นั่นทำให้มู่เวยเวยรู้สึกเป็นห่วงมาก
“จะทำยังไงดี” มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นไปมองเย่ฉ่าวเฉิน ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
เย่ฉ่าวเฉินยืนอยู่ตลอด ไม่นั่งเลยมาหลายชั่วโมงราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้สึกเมื่อยขา