วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 410 ฉันยังไม่กล้ารังแกผู้หญิงของตัวเองเลย
- Home
- วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ
- บทที่ 410 ฉันยังไม่กล้ารังแกผู้หญิงของตัวเองเลย
“เฮ้ เฮ้ คุณทําอะไรน่ะ? ออกไปเลยนะ ร้านนี้ไม่ใช่ที่ที่คนอย่างคุณควรมา!” พนักงานคนหนึ่งรีบวิ่งออกมาหยุดต้วนอีเหยาไว้ เพราะกลัวว่าเธอจะแตะต้องเสื้อผ้าในร้าน
“ฉันก็แค่ดูเท่านั้นเอง” ต้วนอีเหยาพยายามอธิบายอย่างกระอักกระอ่วน
แต่คำพูดนี้กลับไม่มีผลต่อพนักงาน เธอทำงานในร้านนี้มานาน พบเห็นคนเช่นนี้มาก็ไม่น้อย ดังนั้นเธอจึงพูดตรง ๆ เช่นนี้ต่อต้วนอีเหยา
“พอได้แล้ว คุณรีบออกไปเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คุณจะเข้ามาได้!”
ต้วนอีเหยาถูกผลักไปที่ประตู พอดีกับที่เย่จิงเหยียนกำลังวางสายโทรศัพท์ เขารีบคว้าแขนของต้วนอีเหยาไว้เพื่อไม่ให้เธอสะดุดล้ม
“เกิดอะไรขึ้น? อีเหยา ทำไมคุณถึงออกมาซะล่ะ?”
“คือว่า……” ต้วนอีเหยารู้สึกอายที่จะบอกว่าเธอถูกขับออกมา เธอยืนอยู่ที่หน้าประตู และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“ทําไมไม่พูดล่ะครับ?”
เย่จิงเหยียนกวาดสายตามองคนในร้าน และถามคนที่อยู่ใกล้เขาที่สุด “คุณช่วยบอกหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ”
“ดิฉัน……ดิฉัน……” พนักงานถูกเย่จิงเหยียนกดดัน จนพูดอะไรไม่ออก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
เขาพูดเสียงดังขึ้น จนทำให้พนักงานถึงกับตัวสั่นและกลืนน้ำลาย
ในที่สุดก็ยอมเปิดปากพูด “ต้องขออภัยคุณเย่ด้วยค่ะ พวกเรามีตาหามีแววไม่ ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงท่านนี้เป็นผู้หญิงของคุณ ……”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เย่จิงเหยียนก็พอจะเข้าใจเรื่องราวแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการที่ต้วนอีเหยาแต่งตัวแบบนี้ คงจะถูกพนักงานในร้านรังเกียจและขับออกมา
เย่จิงเหยียนกุมมือต้วนอีเหยาไว้แล้วตบเบา ๆ “ไม่ต้องกลัวนะ”
ต้วนอีเหยาเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้เขา จากนั้นจึงเดินตามเย่จิงเหยียนเข้าไปในร้านเสื้อผ้า คราวนี้เธอได้รับการปฏิบัติแตกต่างจากครั้งที่แล้วอย่างสิ้นเชิง พนักงานทุกคนต่างต้อนรับเธอด้วยรอยยิ้ม และให้บริการด้วยความระมัดระวัง
“ชุดนี้ ชุดนี้ แล้วก็พวกนั้น เอามาลองทั้งหมด” เย่จิงเหยียนโบกมือเลือกเสื้อผ้าในร้านไปมากกว่าครึ่ง
ต้วนอีเหยารู้สึกทำอะไรไม่ถูก “ไม่ต้องมากขนาดนี้หรอก!” แค่เธอต้องลองเสื้อทั้งหมดนี่ก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมูลค่าของเสื้อผ้าพวกนี้ ดีไม่ดีเย่จิงเหยียนอาจจะเหมาทั้งหมด แล้วจะทำยังไงดีล่ะ?
เย่จิงเหยียนไม่รู้ว่าในใจเธอกําลังคิดอะไรอยู่ เขาพยักหน้า “ลองทั้งหมดนี่เลย!”
ต้วนอีเหยาไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่เดินตามพนักงานเข้าไป จากนั้นก็เป็นการเข้าออกห้องลองเสื้อครั้งแล้วครั้งเล่า
เย่จิงเหยียนนั่งอยู่บนโซฟา และทุกครั้งที่ต้วนอีเหยาออกมา เขาจะวางหนังสือพิมพ์ลงและตั้งใจมองดูเธอ พยักหน้าบ้างส่ายหน้าบ้าง
“ฟู่……”
ในที่สุดเธอก็ลองเสื้อผ้าทั้งหมดจนครบแล้ว ต้วนอีเหยานั่งลงข้างเย่จิงเหยียน และถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“เป็นยังไงบ้างคะ?” ต้วนอีเหยาหลับตาลง ปล่อยเย่จิงเหยียนนวดหลังให้เธอ
เย่จิงเหยียนลูบไหล่เธอพลางพูดว่า “คุณคิดว่าไงล่ะ?”
ต้วนอีเหยาหันกลับไปมอง “ที่จริงแล้วฉันรู้สึกเฉย ๆ ฉันไม่เหมาะที่จะใส่ชุดแบบนี้!”
เย่จิงเหยียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ผมกลับคิดว่าเสื้อผ้าพวกนี้ก็ใช้ได้นะ คุณใส่แล้วดูดีมีรสนิยมไปอีกแบบ”
“ไม่ใช่มั้งคะ?” ต้วนอีเหยากลอกตา คงเป็นเพราะเงินเยอะจนไม่มีที่จะใช้ เสื้อผ้าเหล่านี้ดูเหมือนเสื้อผ้าที่เหล่าคนดังใส่เดินบนแคทวอล์ก แล้วเธอจะใส่ไปเดินเล่นได้ยังไงกัน?
ดูเหมือนว่าเย่จิงเหยียนก็จะคิดแบบนี้เช่นกัน “ในเมื่อเป็นแบรนด์ดัง ก็คงมีการใส่เสื้อผ้ามาชนกันบ้าง ผมจะไม่ยอมให้คุณใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกับคนอื่น”
“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะค่ะ” ต้วนอีเหยาลุกขึ้น
เธอหันกลับมาและยื่นมือให้เขา พยายามจะดึงเขาให้ลุกขึ้น
เย่จิงเหยียนก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขากุมมือของเธอไว้ แต่พนักงานยังคงถือเสื้อผ้าตามหลังมาติด ๆ
เมื่อเดินมาถึงเคาน์เตอร์ เย่จิงเหยียนก็หยุดลง “ช่วยห่อเสื้อผ้าทั้งหมดเมื่อครู่ด้วย!”
“อ๋า? ได้ค่ะ!” พนักงานนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งได้สบเข้ากับตาของเย่จิงเหยียนถึงได้สติคืนมา
เมื่อเข้าใจถึงสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินแล้ว ก็รีบเรียกคนอื่น ๆ ให้มาจัดการแพคของด้วยความดีใจ
เย่จิงเหยียนหยิบการ์ดใบหนึ่งออกมารูดบนเครื่องรูดบัตร ต้วนอีเหยาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็แอบนับจำนวน มีตัวเลขถึงหกหลัก!
“ส่งของไปที่คฤหาสน์ผมนะ” เย่จิงเหยียนพูดทิ้งท้ายไว้ แล้วจูงมือต้วนอีเหยาเตรียมจะออกไป
ต้วนอีเหยาหันกลับไปมองถุงใบใหญ่เหล่านั้น เธอรู้สึกงงงวยเล็กน้อย “ทั้งที่พวกเราไม่ชอบมัน ทําไมคุณยังซื้ออีกล่ะคะ? แปลกจริง ๆ !”
เย่จิงเหยียนที่เดินมาได้ครึ่งทางก็หยุดลง และลูบผมของเธอ “เมื่อกี้ตอนที่เข้าไปพวกเธอพากันมารังแกคุณซะขนาดนั้น ผมก็ต้องทวงคืนความยุติธรรมกลับมาให้คุณสิ! จะปล่อยให้พวกเธอมารังแกภรรยาของผมไม่ได้!”
“อา……เพียงแค่ต้องการระบายอารมณ์ คุณถึงกับใช้เงินมากขนาดนี้เลยเหรอ? ช่างไม่คุ้มค่าซะเหลือเกิน!” ต้วนอีเหยามองไปที่เย่จิงเหยียนอย่างไม่ค่อยพอใจ ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกขบขันหรือรู้สึกซาบซึ้งใจดี
เย่จิงเหยียนดึงต้วนอีเหยาเข้ามาโอบไว้แล้วเป่าลมเบา ๆ บนหน้าผากของเธอ “ไม่มีอะไรที่ไม่คุ้มค่า ผู้หญิงของผมจะให้คนอื่นมารังแกได้อย่างไร? แม้แต่ตัวผมเองยังไม่กล้าที่จะรังแกเลย!”
ต้วนอีเหยาหน้าแดงด้วยความเขินอาย เธอใช้มือทุบหน้าอกเขาเบา ๆ “เราอยู่ในที่สาธารณะนะคะ มีคนมากมายกําลังมองอยู่! คุณหัดยับยั้งตัวเองหน่อยค่ะ!”
แต่เย่จิงเหยียนไม่สนใจ กลับโอบต้วนอีเหยากระชับแน่นขึ้นไปอีก จนท้ายที่สุดต้วนอีเหยาก็หายใจไม่ออกเขาถึงได้คลายมือออก
“คุณอยากทําอะไรกันแน่……” ต้วนอีเหยาหันกลับมามองเย่จิงเหยียนด้วยสายตาโมโหหวังคิดบัญชี แต่เมื่อเห็นสายตาตื่นตระหนกของเขา ก็อดรู้สึกใจอ่อนไม่ได้
เมื่อคิดไปคิดมา ต้วนอีเหยาก็กลับมากอดเย่จิ่งหยียนเอาไว้อีก “ขอโทษค่ะ แล้วก็……ขอบคุณที่ช่วยฉันระบายความโกรธนี้!”
“เด็กโง่!” เย่จิงเหยียนกอดต้วนอีเหยากลับ เขาไม่ได้โกรธเพราะท่าทีเมื่อครู่ของเธอ แต่โกรธที่เธอไม่รู้จักป้องกันตัวเอง
หรือบางทีมันอาจจะเป็นผลมาจากหน้าที่การงานของเธอ ทุกครั้งเธอจะยอมให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ แต่กลับปกป้องคนอื่นไว้อย่างสุดกำลัง
บนถนนที่พลุกพล่าน ต้วนอีเหยาและเย่จิงเหยียนกอดกันกลมราวกับเวลาถูกหยุดไว้ ในสายตาของพวกเขามีแต่เพียงกัลและกันเท่านั้น
แต่ก็โรแมนติกอยู่ได้ไม่นานนัก เย่จิ่งเหยียนก็เปลี่ยนจากกอดเป็นจูงมือ พาต้วนอีเหยาเบียดออกมาจากฝูงชน ทั้งสองคนเดินไปถึงไหนก็เป็นที่สะดุดตาของผู้คน เพราะการกอดเมื่อสักครู่ทําให้หลายคนหยุดดู จนทําให้การจราจรถึงกับติดขัด
หลังจากที่ต้วนอีเหยาและเย่จิงเหยียนออกมาแล้ว แต่ก็ยังพบว่ามีบางคนได้เดินตามพวกเขามา ราวกับจะติดตามไปทุกที่ที่พวกเขาไป ทําให้ต้วนอีเหยาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุก
ไม่แปลกใจเลยที่พวกดาราจะไม่ชอบคนมากมาย ในที่สุดเธอก็ถือว่าได้สัมผัสประสบการณ์
“ตอนนี้เราจะไปไหนกันคะ?” ต้วนอีเหยานั่งอยู่ในร้านกาแฟ จิบน้ำผลไม้ มองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างเบื่อหน่าย
เย่จิงเหยียนยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม “ไปดูแหวนแต่งงานกัน”
“อะไรนะคะ?” ต้วนอีเหยาประหลาดใจ ทั้งที่กำลังเตรียมจะแต่งงานแล้ว แต่ยังไม่มีแหวนแต่งงานอย่างนั้นเหรอ?
แล้วยังจะแต่งงานกันไปทำไม ดูท่าแล้วตัวเขาเองก็ไม่ได้ให้ความสําคัญกับงานแต่งนี้มากสักเท่าไหร่เลย
เมื่อเย่จิงเหยียนเห็นสีหน้าของเธอเปลี่ยนไป ก็อดยิ้มไม่ได้ “แม้ว่าผมจะเตรียมแหวนแต่งงานไว้แล้ว แต่ยังไม่ทันมีเวลาเอาให้คุณดูก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเสียก่อน ในเมื่อตอนนี้เราก็อยู่กันที่นี่แล้ว พวกเราก็ไปดูด้วยกัน แล้วเลือกแบบที่คุณชอบ”
ต้วนอีเหยาแลบลิ้นออกมา รู้สึกละอายใจที่เธอคิดเล็กคิดน้อยไปเอง “ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันเลยเถอะค่ะ!”
เธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่พูดประโยคนี้ออกมา เพราะมันทำให้เธอดูเหมือนร้อนรนอยากจะได้มากเหลือเกิน มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเธอแค่ต้องการทำลายความอึดอัดใจเมื่อครู่
เย่จิงเหยียนยกมุมปากขึ้น เขาโอบเอวต้วนอีเหยาไว้และเดินออกไปข้างนอก
เมื่อเข้าไปในร้านขายจิวเวลรี่ ภายในดูงดงามยิ่งกว่า อัญมณีทั้งหมดส่องประกายระยิบระยับอยู่ในตู้โชว์ ทําให้ต้วนอีเหยาอดไม่ได้ที่จะเข้าไปมองใกล้ ๆ
นี่คงเป็นธรรมชาติของผู้หญิง แม้ว่าจะไม่ชอบ แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไปในร้าน เธอก็ถูกดึงดูดโดยสิ่งที่อยู่ภายในนั้น
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?” เมื่อพนักงานหน้าเคาน์เตอร์เห็นว่าเย่จิงเหยียนแต่งตัวดูไม่ธรรมดา ชุดที่เขาใส่ดูก็รู้ว่าเป็นชุดสั่งตัดพิเศษ จึงกุลีกุจอเข้ามาแนะนําสินค้าให้พวกเขา
“ไม่ทราบว่าพวกท่านสนใจอะไรคะ? ตรงนี้คือสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ของทางร้านเราค่ะ!”
พนักงานไม่แน่ใจว่าพวกเขาต้องการสร้อยคอหรือแหวนหรืออย่างอื่น เพราะพวกเขาหยุดดูสินค้าอย่างตั้งใจในทุกจุด เธอจึงทำได้เพียงพยายามแนะนำสินค้าให้พวกเขาอย่างดีที่สุด
“ชิ้นนี้เป็นยังไง?” เย่จิงเหยียนชี้ไปที่สร้อยคอเส้นหนึ่งแล้วหันไปถามต้วนอีเหยา
ต้วนอีเหยามองอย่างงุนงง ไม่ได้บอกว่าจะมาดูแหวนแต่งงานกันหรอกเหรอ เขาทําไมถึงได้เลือกสร้อยคออีก?
“ก็ใช้ได้ค่ะ” เดิมทีต้วนอีเหยาก็ไม่ได้ชื่นชอบเครื่องประดับพวกนี้มากอยู่แล้ว เธอเพียงรู้สึกว่าอัญมณีที่ฝังอยู่ในนั้นส่องแสงเปล่งประกาย ดูสะอาดบริสุทธิ์ภายใต้แสงไฟ
“เอาออกมาลองสักหน่อยเถอะ” ในที่สุดเย่จิงเหยียนก็นึกได้ว่ายังมีพนักงานคอยเดินตามอยู่ข้าง ๆ
พนักงานไม่กล้าที่จะบริการล่าช้า เธอใส่ถุงมือและค่อย ๆ หยิบสร้อยออกมาอย่างระมัดระวัง และยื่นให้เย่จิงเหยียนที่รออยู่
“นี่……” เย่จิงเหยียนถือสร้อยคอและไม่รู้ว่าควรจะทําอย่างไรต่อดี
ต้วนอีเหยาทนดูไม่ได้จริง ๆ เธอหันหลังให้เขา “ไหน ๆ ก็เอาออกมาแล้ว คุณจะถือมันไว้เพื่ออะไร? ใส่ให้ฉันเถอะค่ะ”
เย่จิงเหยียนรู้สึกว่าตัวเองถูกดูหมิ่น แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าควรใส่มันให้กับเธอ แต่ประเด็นคือเขาใส่ไม่เป็นไง!
เมื่อพนักงานสังเกตเห็นความประหม่าของเย่จิงเหยียน ก็คิดจะเข้าไปช่วย แต่กลับถูกเย่จิงเหยียนหยุดไว้ก่อน
พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตต่อจากนี้ร่วมกันไปตลอดชีวิต เรื่องแบบนี้ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องเรียนรู้อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นในยามที่มีเพียงพวกเขาสองคน เขาจะร้องขอความช่วยเหลือจากใครได้?
ที่สร้อยคอมีตะขอเล็ก ๆ อยู่ เขาค่อย ๆ ปลดมันออก มันก็หลุดออกกลายเป็นเส้นยาว เขาเอื้อมมือมาโอบรอบคอเธอไว้อย่างระมัดระวัง และติดตะขอให้เธอ แต่ด้วยความที่เป็นมือใหม่ เย่จิงเหยียนพยายามอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังติดไม่สำเร็จ
ต้วนอีเหยาที่หันหลังให้เขาอยู่ไม่ทราบสถานการณ์ เธอรู้สึกว่าเวลาผ่านไปนานแล้วก็ยังไม่เสร็จสักที จึงอดที่จะสงสัยไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
เมื่อได้ยินเธอถาม เย่จิงเหยียนก็เกาหัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “อีกแป๊บเดียว ผมใกล้จะติดได้แล้ว”
ต้วนอีเหยาถึงได้รู้ว่าที่แท้เย่จิงเหยียนก็ทําเรื่องแบบนี้ไม่เป็น คิดไปคิดมาก็จริง แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายที่มักมีผู้หญิงรายล้อม แต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับเรื่องแบบนี้ และนี่ก็เป็นครั้งแรก มันก็คงจะไม่ชินมือนัก
ต้วนอีเหยารออย่างอดทน ไม่กี่นาทีต่อมา เย่จิงเหยียนก็ลูบเหงื่อบนหน้าผาก “เสร็จซะที!”
“โอ้ พระเจ้า คุณผู้หญิง คุณใส่แล้วดูดีมากเลยค่ะ!”
เมื่อต้วนอีเหยาหันกลับมา พนักงานก็แสดงความประหลาดใจ แต่การแสดงออกของเธอไม่ได้เกินจริง เธอแค่ชื่นชมเมื่อเห็นสิ่งที่เธอชอบเท่านั้น
ต้วนอีเหยาถูกเธอมองจนรู้สึกประหม่า จึงหันไปถามเย่จิงเหยียน “จริงเหรอคะ? มันดูดีขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
เย่จิงเหยียนจ้องที่คอของเธออยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า “สวยมาก!”
เดิมทีคอของเธอก็เรียวงามเป็นระหงอยู่แล้ว ประกอบกับผิวที่ขาวผ่อง เมื่อถูกประดับด้วยสร้อยคอ ก็ยิ่งทำให้ผู้ที่มองเห็นไม่สามารถละสายตาไปได้
เมื่อเย่จิงเหยียนพูดออกมาตรง ๆ ว่าสวย ต้วนอีเหยาก็ยิ่งรู้สึกเขินอายมากยิ่งขึ้น เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้น เธอรู้สึกเขินอายทำตัวไม่ถูก
“เอาชิ้นนี้ก็แล้วกัน!” เย่จิงเหยียนโอบต้วนอีเหยาเอาไว้ เพื่อให้เธอไม่ต้องรู้สึกเก้อเขินมากเกินไป
เมื่อพนักงานได้ยินดังนั้น ดวงตาก็โตเป็นประกาย “คุณผู้ชายต้องการให้ห่อหรือจะใส่ไปเลยดีคะ?”
“ใส่เลยก็แล้วกันเนอะ!” เย่จิงเหยียนหันไปถามต้วนอี
เหยา เหมือนจะเป็นคำถาม แต่ที่จริงเขาได้ตัดสินใจไปแล้ว
“เดี๋ยวก่อน” ต้วนอีเหยาหยุดเย่จิงเหยียนไว้ แล้วกระซิบถามที่ข้างหูเขา “เอ่อ……เรามาที่นี่เพื่อซื้อแหวนแต่งงานไม่ใช่เหรอคะ? แล้วทำไมคุณถึงซื้อสิ่งนี้?”
เย่จิงเหยียนอดไม่ได้ที่จะดีดหน้าผากของเธอ “ยัยเด็กโง่ ชอบอะไรก็ซื้อ เราไม่ได้ขัดสนเงินเพียงแค่นี้นี่”
“แต่ว่า……” ถึงจะพูดแบบนี้ก็เถอะ มีเงินก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ยังไงก็ได้ นี่มันค่อนข้างจะ……ฟุ่มเฟือยเกินไป!
“ไม่ต้องแต่ว่า วันนี้คุณตามผมมาก็พอแล้ว”
ต้วนอีเหยาพยักหน้า โอกาสที่จะได้ออกมาเดินเล่นเช่นนี้ไม่ได้มีง่าย ๆ เธอเองก็ไม่อยากทําให้ทั้งสองคนไม่มีความสุขเพราะความคิดที่ต่างกันเหล่านี้ อีกอย่างเธอก็ชอบสร้อยคอเส้นนี้อยู่ไม่น้อย
“คุณผู้ชายคะ พวกท่านยังต้องการดูแหวนอยู่หรือเปล่าคะ ทางร้านเรามีสินค้าที่เป็นดาวประกายฟ้ามาใหม่ยังไม่ได้เปิดขายอย่างเป็นทางการ……” พนักงานพูดแนะนำขึ้นมาเมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง
สาเหตุที่ยังไม่ได้ขาย เนื่องจากมันมีราคาสูงเกินไป เจ้านายของพวกเขาต้องคิดเรื่องราคาให้ดี ไม่เช่นนั้นก็คงต้องเก็บไว้ให้ตัวเอง
แต่เธอรู้สึกว่าเพชรเม็ดนั้นช่างงดงามยิ่งนัก ถ้าจะต้องเก็บไว้ให้เจ้านายอ้วนของเธอ ก็สู้ขายมันให้กับสองท่านนี้ดีกว่า อย่างน้อยมันก็ดูเจริญตาเจริญใจ เหมือนอยู่กับคนที่ถูกต้อง
หลังจากได้ฟังคำแนะนำของเธอ เย่จิงเหยียนก็เกิดความสนใจขึ้นมา “อยู่ที่ไหน พาพวกเราไปดูหน่อย”
พนักงานผายมือและนำพวกเขาไปยังห้องเล็ก ๆ ที่แยกออกมา ภายในมีเคาน์เตอร์อยู่ตรงกลาง ยังไม่ทันที่จะได้เข้าใกล้ แหวนที่อยู่ภายในตู้ก็เปล่งประกายระยิบระยับสว่างไสวออกมา
เย่จิงเหยียนเองก็ถูกดึงดูดด้วยเช่นกิน เพชรน้ำงามบริสุทธิ์เช่นนี้หาได้ยากนัก นอกจากแหวนแต่งงานในมือของมู่เวยเวยแล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นที่ไหนอีกเลย
แม้ว่าต้วนอีเหยาจะไม่มีความรู้ในเรื่องนี้นัก แต่เธอก็สามารถมองเห็นความแตกต่างได้ด้วยตาเปล่า และเมื่อยิ่งเข้ามาดูใกล้ ๆ ก็ยิ่งดูสวยงามมากขึ้น
“ลองดูสิ”
เย่จิงเหยียนก้าวถอยหลังไปนิดหนึ่ง รอให้พนักงานเอากุญแจมาเปิด แต่รออยู่สักพักไม่เห็นเธอทำอะไรสักที
เมื่อหันไปมอง ก็เห็นว่าพนักงานกำลังยืนถูมือไปมาดูหนักใจ “ต้องขออภัยด้วยค่ะคุณผู้ชาย กุญแจของตู้นี้ไม่ได้อยู่กับดิฉัน ถ้าท่านชอบ ดิฉันจะรีบติดต่อเจ้านายของเราเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!”
เย่จิงเหยียนขมวดคิ้ว แต่ก็ยังไม่อยากพลาดกับเพชรเม็ดงามนี้ไป “ถ้างั้นคุณก็รีบไปโทรศัพท์เถอะ”
พนักงานตอบรับ และรีบเดินออกไปที่เคาน์เตอร์ กดโทรศัพท์หาเจ้านาย พูดเพียงไม่กี่คําก็วางสายไป
“คุณผู้ชายคะ เจ้านายของเรากำลังมา ขอได้โปรดอดทนรอสักครู่นะคะ”
เย่จิงเหยียนโบกมือและนั่งลงบนโซฟาที่ใช้ต้อนรับแขกกับต้วนอีเหยา