วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 411 แหวนแต่งงาน
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เจ้าของร้านก็กุลีกุจอกลับเข้ามา และได้พบกับทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟา จึงได้ดึงตัวพนักงานเข้ามากระซิบถาม “พวกเขารู้ได้ยังไงว่าร้านเรามีดาวประกายฟ้า?”
พนักงานคนนั้นมองไปทางเย่จิงเหยียนและต้วนอีเหยา “ทันทีที่พวกเขาเข้ามาก็บอกว่ากำลังมองหาแหวนแต่งงาน แต่เมื่อดูแหวนทั้งหมดแล้วก็ยังไม่พอใจ ดิฉันจึงคิดว่ายังไงเสียดาวประกายฟ้าก็เตรียมที่จะขายอยู่แล้ว เลยลองเสนอให้พวกเขาดูก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร อีกอย่างต่อให้พวกเขาจะชอบก็อาจจะซื้อไม่ไหวก็เป็นได้ แต่ใครจะไปคิดว่าพวกเขากลับอยากจะลองมันเสียให้ได้……”
“เธอนี่มัน……” เจ้านายไม่รู้จะว่าอะไรเธอดี ได้แต่เอื้อมมือไปมะเหงกที่หน้าผากเธอ
พนักงานถูกผลักอย่างแรง แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร สุดท้ายเจ้าของร้านก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกไปต้อนรับลูกค้า
เขาโค้งตัวอย่างมีมารยาทพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “คุณผู้ชายครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ผมรับใช้ครับ?”
เย่จิงเหยียนเงยหน้ามองชายตรงหน้าที่มีอายุประมาณสี่สิบปี รูปร่างปานกลาง เพียงแต่หน้าท้องของเขาดูจะอวบอิ่มสักเล็กน้อย
หลังจากกวาดตามองทุกอย่างแล้ว เย่จิงเหยียนก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก “คุณเป็นเจ้าของร้านนี้สินะครับ?”
“ใช่ครับ คุณผู้ชาย” เจ้าของร้านยังคงยิ้ม
“พวกเราต้องการจะลองสวมดาวประกายฟ้า”
เย่จิงเหยียนไม่อ้อมค้อม พูดความต้องการของตัวเองออกไปอย่างตรงไปตรงมา แต่เจ้าของร้านกลับลังเล
“คือมัน……” เขายิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “คุณผู้ชายครับ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากจะขายมันนะครับ แต่ดาวประกายฟ้านี้มีมูลค่าสูงมาก และพวกเรากําลังอยู่ในขั้นตอนประเมินราคาอยู่……”
“คุณต้องการเท่าไหร่? เปิดราคามาได้เลย” เย่จิงเหยียนที่ยังนั่งไขว่ห้างอยู่อย่างเดิมก็ขัดจังหวะการพูดของเจ้าของร้านขึ้นมาด้วยท่าทางโอหัง
เจ้าของร้านนิ่งอึ้งไปสักครู่ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ
ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “สำหรับเรื่องของราคานั้น……เรายังไม่ได้คำนวณออกมาอย่างชัดเจนครับ……”
“แปดสิบล้านพอไหม?” เย่จิงเหยียนไม่อยากจะต่อรองกับเขาอีก จึงเอ่ยปากพูดตัวเลขออกมาตรง ๆ
เจ้าของร้านที่กำลังจะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อพอได้ยินคําพูดของเย่จิงเหยียนแล้ว เขาก็รีบกลืนคําพูดเหล่านั้นลงไปทันที
แปดสิบล้าน?
เขาได้ยินไม่ผิดใช่ไหม? แม้ว่าเพชรเม็ดนี้จะเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ข้อเสียคือมันมีขนาดไม่ใหญ่นัก ราคาแปดสิบล้านก็ดูเหมือนว่าจะมากเกินไปสำหรับแหวนวงนี้!
“เอ่อคือ……คุณผู้ชายครับ เชิญพวกคุณตามผมมา”
จะบอกว่าไม่หวั่นไหวก็คงจะเป็นเรื่องโกหก แม้ว่าเขาจะใช้เงินไปเยอะรวมทั้งอาศัยเส้นสายมากมายกว่าจะได้มันมาอยู่ในมือ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเงินแล้วจะให้ใจแข็งไม่หวั่นไหวอยู่ได้อย่างไร?
เย่จิงเหยียนไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย เขารู้อยู่แล้วว่าหากพูดตัวเลขนี้ออกไป ต่อให้เจ้าของร้านจะยืนกรานเพียงใดก็ต้องเกิดความหวั่นไหวอย่างแน่นอน
พวกเขากลับเข้าไปที่ร้าน และเจ้าของร้านก็ได้หยิบเอากุญแจออกมา หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ประตูกระจกก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นดาวประกายฟ้าที่ส่องแสงเป็นประกายมากยิ่งขึ้น
ต้วนอีเหยาได้แต่กลั้นหายใจ ในตอนที่เย่จิงเหยียนนำแหวนมาสวมบนนิ้วของเธอนั้น เธอก็รู้สึกเย็นวาบที่นิ้ว และแล้วแหวนก็ถูกสวมอยู่บนนิ้วของเธอ
ไม่ใหญ่และไม่เล็กเกินไป มันกำลังพอดีกับนิ้วของต้วนอีเหยา ต้วนอีเหยาดึงนิ้วของเธอกลับมา ภายใต้แสงไฟ ประกายของเพชรทําให้เธอรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
ด้วยสถานการณ์นี้ ดูเหมือนเธอจะตกกับในลูกไม้ของเย่จิงเหยียนไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าเธอเป็นภรรยาของเขาไปแล้ว
เมื่อนึกถึงคําว่า “ภรรยา” ใบหน้าของต้วนอีเหยาก็ร้าวผ่าวขึ้นมาราวกับลุกโชนด้วยไฟ เธอไม่ได้รู้สึกละอายใจ แต่กลับแอบกำหนดคำนี้ไว้ในใจอย่างเงียบ ๆ
เธอรีบเก็บสีหน้าอาการ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นว่าเย่จิงเหยียนกําลังมองเธออยู่ด้วยความสนใจ เธอจึงรีบแตะไปที่ใบหน้าของตัวเอง “หน้าฉันมีอะไรผิดปกติเหรอคะ?”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร เธอก็ก้มลงเตรียมจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปใบหน้าตัวเอง แต่เย่จิงเหยียนกลับคว้าข้อมือของเธอไว้ จ้องเขม็งไปที่เธอ “ไม่มีอะไร แค่คิดว่าภรรยาของผมช่างสวยจริง ๆ”
“คุณ……” ต้วนอีเหยารู้สึกตัวขึ้นมา ใบหน้าของเธอก็ยิ่งร้อนผ่าวขึ้นไปอีก ทําไมเขาถึงกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายได้
แต่เย่จิงเหยียนกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองจะผิดอะไร เขาดึงมือของเธอมา บนนิ้วเรียวบางนั้นถูกสวมด้วยแหวนเปล่งประกายระยิบระยับ
เย่จิงเหยียนพยักหน้า “นี่ไม่เลวเลย ผมเอา”
“อะไรนะ?” ต้วนอีเหยารีบถอนมือกลับเพื่อจะถอดแหวนออกมา แปดสิบล้าน! เอาไปทำอะไรได้ตั้งมากมาย? แต่นี่เพื่อแหวนวงเดียว?
เย่จิงเหยียนมองออกถึงการแสดงออกของเธอ เขากุมมือเธอไว้ เมื่อเห็นว่าเธอยังคงดิ้นรนอยู่ เขาก็จูบมือเธอเบา ๆ
“เมื่อสวมสิ่งนี้แล้ว คุณก็เป็นของผมแล้ว ห้ามถอดมันออกเด็ดขาด!”
ต้วนอีเหยาตัวสั่น ความอบอุ่นบนนิ้วทําให้เธอตะลึงงัน จากนั้นเย่จิงเหยียนก็ดึงมือพาเธอเดินไปทางเคาน์เตอร์คิดเงิน
“คุณผู้ชายคะ ยอดทั้งหมดคือ แปดสิบเอ็ดล้านห้าแสนหยวน ไม่ทราบว่าจะรูดการ์ดหรือว่า……?”
เย่จิงเหยียนหยิบการ์ดสีดำใบหนึ่งออกมาและส่งให้กับพนักงาน “รูดการ์ด”
พนักงานรับการ์ดมาด้วยความตกใจ อย่างไรก็ตามเธอก็เคยเห็นมันมาก่อน จากนั้นก็ทำการรูดการ์ด เมื่อเห็นตัวเลขที่ปรากฎบนเครื่อง ต้วนอีเหยาก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที
จนกระทั่งเดินออกจากร้านแล้วเธอก็ยังรู้สึกใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เย่จิงเหยียนที่เดินนําหน้าอยู่ เห็นเธอเดินตามหลังมาอย่างเชื่องช้า จึงหันกลับมาดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขา
“เงินหมดแล้วยังหาใหม่ได้ แต่ถ้าไม่มีแหวนแล้วเราจะแต่งงานกันได้ยังไง? เด็กโง่!” มือใหญ่ของเย่จิงเหยียนลูบหัวต้วนอีเหยาพร้อมกับยิ้มอย่างเอ็นดู
“มันไม่ใช่แค่หลักร้อยหลักพัน แต่เป็นหลักหลายสิบล้านนะ!” ต้วนอีเหยารู้สึกหดหู่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้
เย่จิงเหยียนยิ้ม “คุณนี่มันยัยโลภ สายตามีแต่เรื่องของเงินทองเสียแล้ว!”
“แล้วไม่ใช่หรือไง! เงินทั้งนั้นและไม่มีอะไรอื่น!” ต้วนอีเหยาบ่นกระปอดกระแปดไปตลอดทาง แต่เย่จิงเหยียนกลับไม่มีทีท่าว่าจะหงุดหงิดเลย
จากนั้นเขาก็พาต้วนอีเหยาไปเข้าอีกหลายร้าน จนหิ้วถุงใบใหญ่ใบน้อยไว้เต็มมือไปหมด ต้วนอีเหยาเองก็พยายามหุบปากของเธอไว้ ว่ากันว่าผู้หญิงใช้เงินดุจสายน้ำ แต่เวลาที่ผู้ชายใช้เงินนั้นบ้ากว่าผู้หญิงเป็นร้อยเท่า!
เย่จิงเหยียนที่เดินมาตลอดทางก็สังเกตเห็นว่าต้วนอีเหยาดูผิดปกติไป จึงหยุดเดิน “ปวดขาหรือเปล่า?”
ต้วนอีเหยาส่ายหน้า
“ถ้างั้นก็หิวแล้ว?”
ต้วนอีเหยาก็ยังคงส่ายหน้าอีกตามเคย
“ถ้าอย่างนั้นก็คือยังช้อปปิ้งไม่พอ? พวกเรากลับเข้าไปช้อปปิ้งต่อกันเถอะ!”
ในที่สุดต้วนอีเหยาก็ทนไม่ไหว “คุณไม่รู้จริง ๆ หรือแกล้งโง่กันคะ ฉันเป็นอะไรคุณต้องอยู่แล้ว!”
“ก็ได้!” เย่จิงเหยียนรู้สึกขบขันเมื่อเห็นเธอโมโห “ว่ากันว่าการใช้เงินทําให้คนมีความสุข ทําไมคุณถึงไม่รู้สึกเพลิดเพลินไปกับมันล่ะ?”
เพลิดเพลิน? ใช้จ่ายเล็กน้อยทำให้ผ่อนคลาย แต่ใช้จ่ายมากไปทำให้เจ็บตัว!
เมื่อได้ยินตัวเลขเหล่านั้น แทนที่จะเพลิดเพลินก็กลายเป็นความเจ็บปวด
“เอาล่ะ เอาล่ะ ดูคุณสิ ต่อไปยังมีโอกาสให้ใช้จ่ายอีกมาก ตอนนี้คุณก็เริ่มไม่สบายใจซะแล้ว แล้วต่อไปจะทํายังไง?”
เย่จิงเหยียนมีสีหน้าจนใจ เขาปลอบใจต้วนอีเหยาอยู่พักใหญ่กว่าจะทำให้เธอรู้สึกเบาใจลงได้
“ช้อปปิ้งมานานขนาดนี้ คงจะหิวแย่ พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ!” เย่จิงเหยียนยัดสิ่งของที่ซื้อมาทั้งหมดเข้าไปในรถ จากนั้นก็จูงต้วนอีเหยากลับเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
“ตกลงกันก่อน ครั้งนี้ ห้าม……”
“ได้ ได้ ได้!” เย่จิงเหยียนรีบตอบตกลงเพื่อหยุดคำพูดของเธอไว้
อันที่จริง การกินข้าวสักมื้อมันไม่ได้ใช้เงินมากสักเท่าไหร่ ต้วนอีเหยาอยู่ในกองทัพมาเป็นเวลานาน เธอนั้นพอจะคุ้นเคยกับตัวเลขจำนวนมาก แต่สำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวันแล้วเธอแทบไม่รู้เรื่องเลย
เมื่อเลยเวลาอาหารไป คนที่ต่อแถวอยู่หน้าร้านอาหารก็น้อยลง เย่จิงเหยียนได้เลือกร้านที่ดูบรรยากาศดีร้านหนึ่ง
ต้วนอีเหยานั่งอยู่ในร้านด้วยความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก สถานที่แห่งนี้เงียบสงบเกินไป และไม่มีคนพลุกพล่าน แม้แต่บริกรก็ยืนอยู่ห่าง ๆ
การตกแต่งภายในร้านดูเรียบง่าย แต่ต้วนอีเหยารู้ดีว่ายิ่งเรียบง่าย คุณภาพของร้านอาหารก็ยิ่งสูง เพราะคนที่มาที่นี่ล้วนเป็นคนที่ดูดีมีระดับ พูดคุยกันด้วยเสียงต่ำเบา ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะแสร้งทำได้
ต้วนอีเหยาพลิกดูเมนูอาหารในมือไปมา ไม่มีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษ เธอจึงส่งเมนูให้กับเย่จิงเหยียน
ความจริงเธอก็ไม่รู้วิธีสั่งอาหาร อีกทั้งเมนูยังเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แม้ว่าตัวเองไม่ใช่คนไม่รู้หนังสือ แต่สำหรับชื่อเฉพาะของอาหารเธอก็ไม่ค่อยจะสันทัดนัก
เย่จิงเหยียนก็สุภาพเช่นกัน เขาหยิบเมนูขึ้นมาแล้วเริ่มสั่งอาหารเป็นชุด ๆ บริกรพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อเย่จิงเหยียนหยุดสั่งบริกรก็ถือ iPad เดินเข้าครัวไป
“คุณมาบ่อยล่ะสิ?” ต้วนอีเหยาเบื่อและถามขึ้นมาในขณะที่นั่งอยู่ในที่นั่งของเธอ
เขาสั่งอาหารโดยแทบจะไม่ได้ดูเมนูด้วยซ้ำ แสดงว่าเขาคงคุ้นเคยกับมันอย่างดี
เย่จิงเหยียนจิบชาอึกหนึ่งเพื่อให้ชุ่มคอ “เมื่อก่อนเคยมาอยู่หลายครั้ง ขนมหวานของที่นี่อร่อย ผมอยากพาคุณมาที่นี่มาโดยตลอด แต่ก็พลาดโอกาสเสมอ ในที่สุดวันนี้ก็มีโอกาสได้มาเสียที”
ต้วนอีเหยาเบ้ปาก เธอคิดว่าเขาได้ตัดสินใจเลือกที่นี่อย่างกระทันหัน ที่ไหนได้เธอไม่คิดเลยว่าเขาจะไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่มันก็เป็นเรื่องไม่ค่อยบ่อยนักที่จะได้ยินคําชมจากปากของเขา ทำให้ต้วนอีเหยาจึงเริ่มตั้งตารอคอยขนมหวานหลังอาหาร
เนื่องจากมีคนน้อย อาหารจึงถูกเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว และทุกจานดูหรูหราละเมียดละไม ทำให้น้ำย่อยในกระเพาะของต้วนอีเหยาเริ่มทำงาน
“เริ่มกันเลยไหม?” ต้วนอีเหยาถาม อันที่จริงเธอก็ไม่ได้รอให้เย่จิงเหยียนตอบ แต่กลับถือตะเกียบขึ้นมาและคีบไปที่อาหารที่ชอบ
หลังจากเอาอาหารเข้าปากและเคี้ยวไปสักพัก ตาของเธอก็สว่างขึ้น “อึ้ม อร่อยมาก!”
“ถ้างั้นก็กินเยอะ ๆ นะ!” เย่จิงเหยียนคีบอาหารให้เธออย่างปลื้มปิติ จนอาหารในชามของเธอกองสูงเป็นภูเขา
ต้วนอีเหยารีบบอกให้เขาหยุด “พอแล้วค่ะ พอแล้วค่ะ”
เย่จิงเหยียนก็ไม่ดื้อรั้น เขาวางตะเกียบลงอย่างเชื่อฟัง และดูเธอกินอย่างเอร็ดอร่อย
ต้วนอีเหยากินอย่างเอร็ดอร่อยในตอนแรก แต่กินไปกินมาก็เริ่มรู้สึกไม่สนุก เพราะถูกเขามองจนขนลุก
เธอวางตะเกียบลง “ทําไมคุณไม่กินล่ะคะ?”
“ผมไม่หิว” เย่จิงเหยียนเอื้อมมือไปเช็ดเมล็ดข้าวออกจากปากของเธอ จากนั้นก็นั่งลงที่เดิม
เมื่อต้วนอีเหยาถูกเขาสัมผัส ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นคุณก็อย่าเอาแต่จ้องฉัน ทำอย่างนั้นใครจะไปกินลงกัน!”
“โอเค ผมจะไม่มองคุณ” เย่จิงเหยียนตบปากรับคำพลางหยิบตะเกียบขึ้นมา จากนั้นก็ค่อย ๆ คีบเนื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมาและเริ่มเคี้ยวช้า ๆ
ต้วนอีเหยาคิดไม่ถึงว่าเขาจะเชื่อฟังได้ขนาดนี้ จึงรู้สึกยังไม่ค่อยชิน หลังจากมองเขาอยู่พักหนึ่ง เธอก็เริ่มกลับมากินข้าวอีกครั้ง
……
เย่ชูวเสวียนอนอยู่บนเตียงคนไข้ เธอจ้องมองเพดานจนมันจะทะลุเป็นรูอยู่แล้ว
นอกจากลุกไปเข้าห้องน้ำแล้ว เธอก็ไม่เคยลุกออกจากเตียงนี้เลย พระเจ้ารู้ดี
เธอพยายามทนมาเป็นเวลานาน จนหลายวันก่อนก็เริ่มเบื่อหน่ายทนไม่ไหวอีกต่อไป ตอนนี้ทำได้เพียงพลิกตัวไปมาบ่อย ๆ
“ชูวเสวีย มา กินผลไม้สักหน่อยเถอะ” หนานกงเจาหยิบกล้วยขึ้นมาลูกหนึ่งแล้วปอกเปลือกให้เธอ
เย่ชูวเสวียโบกมือให้เขา “ฉันไม่กิน คุณอยากกินก็กินเองสิ!”
หนานกงเจามองไปที่มือของเธอ แล้วเอ่ยปากอย่างจนปัญญา “กล้วยช่วยย่อยอาหาร คุณได้แต่นอนอยู่บนเตียงมาตลอด แล้วอาหารที่กินเข้าไปจะถูกเผาผลาญออกไปได้อย่างไร?”
“คุณก็รู้ว่าฉันได้นอนอยู่อย่างเดียว!” เย่ชูวเสวียยิ้มเยาะ “ขาของฉันก็ไม่สะดวก ถ้ากินมากไปต้องเข้าห้องน้ำคุณจะช่วยไปแทนฉันงั้นเหรอ?”
“เอ่อ……” หนานกงเจานึกถึงฉากที่น่าอึดอัดใจนั้น ก็ลังเลเล็กน้อย
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ คุณกินเองเถอะค่ะ” เย่ชูวเสวียเบือนหน้าไปอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่อยากมองหน้าเขา บางครั้งเขาก็เหมือนกับหมู!
หนานกงเจาไม่รู้ว่าตัวเองทําอะไรให้เธอไม่พอใจอีก เขาลูบจมูกตัวเอง และกัดกล้วยกินไปคําหนึ่ง
“คุณนี่……” เมื่อได้ยินเสียงกัด เย่ชูวเสวียก็หันกลับไปมอง ก็เห็นว่าเขากินมันจริง ๆ ทําไมถึงได้เป็นคนที่ทำให้น่าโมโหได้ขนาดนี้!
“ผม ทำไมเหรอ?” หนานกงเจากัดต่ออีกคําด้วยสีหน้างุนงง ไม่ใช่เธอที่บอกให้เขากินหรอกเหรอ
เย่ชูวเสวียโมโห “นี่คุณไม่มีหัวจิตหัวใจจริง ๆ หรือแกล้งไม่มีกันแน่?”
“ผม……” หนานกงเจาไม่รู้ว่าจะโต้ตอบกลับอย่างไร จะบอกว่าตัวเองมีหัวจิตหัวใจก็คงไม่ได้ ถ้าบอกว่าตัวเองไม่มีหัวจิตหัวใจ ก็ดูเหมือนจะโอ้อวดตัวเอง
ชูวเสวียเป็นคนฉลาด ชอบโยนคำถามยาก ๆ แบบนี้มา “อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คุณว่าอย่างไรก็อย่างนั้น!”
“คุณ…… คุณนี่มันน่าโมโหจริง ๆ !”
“เป็นไปได้อย่างไร! ชูวเสวีย คุณอย่าพูดเหลวไหลนะ!” หนานกงเจามองเย่ชูวเสวียด้วยสีหน้าจริงจัง
ท่าทีเช่นนี้ของเขายิ่งทําให้เย่ชูวเสวียโกรธมาก ภาวนาขอให้พระเจ้าจัดการกับผู้ชายคนนี้เสียเถอะ!
“ช่างเถอะ ฉันอยากออกไปข้างนอก” เย่ชูวเสวียฉวยโอกาสตอนที่มู่เวยเวยกับเย่ฉ่าวเฉินไม่อยู่ ล่อลวงหนานกงเจา
หนานกงเจากลับเด็ดเดี่ยวมากในเรื่องนี้ “ไม่ได้!”
“ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว ฉันอยากกินอาหารของร้านหวังจี้!” เย่ชูวเสวียยังคงโอดครวญต่อไป ถ้าไม่สำเร็จจริง ๆ เธอยังสามารถแกล้งบีบน้ำตาออกมาได้อีก
หนานกงเจารู้สึกลําบากใจ “ถ้างั้นผมจะไปซื้อกลับมาให้คุณก็แล้วกัน คุณอยากกินอะไรล่ะ?”
“ไม่ได้ อาหารของร้านนี้ห่อกลับมากินก็ไม่อร่อยแล้ว!” เย่ชูวเสวียยังคงไม่ยอมประนีประนอม อันที่จริงร้านอาหารที่เธอบอกนี้มีจุดเด่นอยู่ที่อาหารจานร้อน ต้องกินร้อน ๆ ตอนทำเสร็จใหม่ ๆ ที่ร้านเท่านั้น จึงจะอร่อย
หนานกงเจามีความลังเลเล็กน้อย หลายวันมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ชูวเสวียพูดออกมาว่าอยากกินอะไร แต่กลับไม่สามารถตอบสนองเธอได้……
เย่ชูวเสวียเห็นว่าน่าจะพอมีโอกาส ก็รีบแกล้งบีบน้ำตาออกมาเล็กน้อย “ฉันหิวจังเลย……”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็กินนี่ไปก่อนดีไหม? รอคุณออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ ผมค่อยพาคุณไปกิน”
“ไม่ ฉันอยากกินตอนนี้ ผ่านเวลานี้ไป หลังจากนี้ฉันก็ไม่อยากกินแล้ว” เมื่อเห็นน้ำตาของเย่ชูวเสวียไหลออกมามากขึ้น หนานกงเจาก็รู้สึกปวดใจ
“เอาล่ะ เอาล่ะ คุณอย่าร้องไห้เลยนะ ผมจะพาคุณไปก็แล้วกัน!”
“จริงเหรอคะ?” เย่ชูวเสวียที่วินาทีก่อนยังเศร้าโศกอยู่ก็รีบลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที “สุภาพบุรุษพูดคําไหนคำนั้น คุณจะกลับคําไม่ได้นะคะ!”
เมื่อหนานกงเจาเห็นเธอตื่นเต้นดีใจขนาดนี้ ก็รู้ตัวว่าถูกหลอกเข้าให้อีกแล้ว เขาทั้งจนปัญญาทั้งขบขัน “คุณนี่มัน……”
เย่ชูวเสวียแลบลิ้นใส่เขา “พวกเราไปกันเถอะ นี่ยังไม่ถึงเวลาอาหาร คนน่าจะยังไม่เยอะ”
ที่จริงเธอแค่อยากจะออกจากโรงพยาบาลเร็ว ๆ ไม่อย่างนั้นถ้ามู่เวยเวยกับเย่ฉ่าวเฉินกลับมา เธอก็ไม่สามารถออกไปได้แล้ว
หนานกงเจามองดูเธอที่เมื่อได้ยินคำว่ากินก็กลับร่าเริงขึ้นมา ก็เริ่มรู้สึกมีความอยากอาหารขึ้นมาบ้างแล้ว “คุณอย่าเพิ่งอย่าขยับ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยไปเถอะ”
“โอ๊ย จะเปลี่ยนเสื้อผ้าอะไรกันอีก เท้าฉันเป็นแบบนี้แล้ว หรือคุณจะมาช่วยฉันถอดกางเกง?”
“เรื่องนี้มัน……” หนานกงเจารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ถ้าอย่างนั้นรอให้คุณน้ากลับมาช่วยคุณเปลี่ยนดีไหม?”
“เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว ช่างเถอะ ไม่ไปแล้ว ปล่อยให้ฉันหิวตายก็แล้วกัน” เมื่อเย่ชูวเสวียได้ยินเขาพูดถึงมู่เวยเวยก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ทําแบบนี้มู่เวยเวยก็จะรู้จุดประสงค์ของเธอ และจะไม่ปล่อยให้เธอออกจากโรงพยาบาลแน่