วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 416 ก็แค่ล้อเล่น
หนานกงเจาไม่เข้าใจ “ทําไมคุณถึงเอาแต่อยากออกไปข้างนอกตลอดเลย?”
“ฉัน……” เย่ชูวเสวียถูกเขาถามจนพูดไม่ออก เธอก็ไม่รู้เช่นกันว่าทําไมเธอถึงคิดแต่จะหนี แต่การถูกควบคุมไว้แบบนี้ ทําให้เธอรู้สึกหงุดหงิดมาก
“คุณไม่จำเป็นต้องยุ่ง ถ้าคุณไม่ตกลง ฉันคิดหาวิธีเองก็ได้”
เย่ชูวเสวียหัวเราะอย่างเย็นชา จากนั้นก็กลับไปนั่งลงบนโซฟา โดยที่หนานกงเจาไม่ทันตั้งตัว
“ชูวเสวีย คุณเป็นอะไรไปอีก?”
เขารู้สึกจนใจมาก ราวกับเพียงแค่เขาพูดอะไรขึ้นมา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด ถ้ามันเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความคิดของเธอ เธอก็จะโกรธโดยไม่มีเหตุผล ทั้งยังโมโหรุนแรงเสียด้วย
“ฉัน……” เย่ชูวเสวียก็คิดทบทวนกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่? ต่อหน้าผู้อื่น เธอจะไม่ทำตามอำเภอใจ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหนานกงเจาก็เหมือนจะเอาแต่ใจมากเกินไป การคบหากันของทั้งสองคนนั้นเหมือนเธอจะเอาแต่ใจตัวเองอยู่ฝ่ายเดียว เธอ…… กลายเป็นไม่เหมือนตัวเองเลย
เมื่อหนานกงเจาเห็นเธอไม่พูดอะไร ก็นึกว่าตัวเองไปสกิดโดนต่อมอะไรของเธอเข้าอีกแล้ว เขากล่าวขอโทษเธออย่างระมัดระวัง “ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ คุณอย่าโกรธไปเลยนะ!”
“เอาเถอะ เอาเถอะ คุณไม่ต้องพูดแล้ว!” เย่ชูวเสวียนั่งกอดหมอนอยู่บนโซฟาอย่างหงุดหงิด
หนานกงเจาพยายามจะเข้าไปขอโทษอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกเย่ชูวเสวียตะเพิดกลับ จนท้ายที่สุดหนานกงเจาก็มีอารมณ์ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน “คุณโมโหเรื่องอะไรอีก? ประหลาดคนจริง……”
“ฉันก็แค่ไม่อยากเห็นหน้าคุณ!” เมื่อเย่ชูวเสวียได้ยินคําว่า ‘ประหลาดคน’ เธอก็ยิ่งโมโหมากขึ้น และพูดออกไปโดยไม่คิด
หนานกงเจาโกรธจนหัวเราะออกมา “อย่างนี้นี่เอง คุณก็แค่บอกมาแล้วผมก็จะไป!”
หลังจากพูดจบแล้วเขาก็หมุนตัวและเดินก้าวเท้ายาวจากไป เมื่อประตูถูกปิดลง เย่ชูวเสวียก็นั่งอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น เธอนอนขดตัวเป็นก้อนกลม รู้สึกเจ็บแปลบในใจ
ทําไมตาทึ่มนี่ถึงได้โง่ขนาดนี้? บอกให้เขาไปเขาก็ไปโดยไม่ลังเล เขาไม่เข้าใจอารมณ์ของผู้หญิงเลยหรือไง?
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นเท่านั้น และคิดไปว่าหากหนานกงเจาไม่มาหาเธออีก ทั้งสองคนก็จะลงเอยแบบนี้เหรอ?
แต่……ถ้าจะให้เธอเป็นฝ่ายไปหาเขา เธอก็ไม่อยากเสียหน้า โอ้ย โอ้ย จะให้เธอทำยังไงดีเนี่ย?
เมื่อมู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินกลับมาถึง ก็พบว่าเย่ชูวเสวียนอนขดตัวหลับอยู่บนโซฟา พวกเขารู้สึกประหลาดใจ เพราะด้วยนิสัยของเธอแล้ว เธอไม่ใช่คนที่จะยอมอยู่นิ่งอย่างสงบสุขแบบนี้แน่นอน
เมื่อมองไปรอบ ๆ ห้องนั่งเล่นอีกครั้งก็รู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป เย่ฉ่าวเฉินเดินไปสำรวจดูเท้าของเย่ชูวเสวีย จากนั้นทั้งสองถึงนึกขึ้นได้ว่ามีคนหายไปคนหนึ่ง!
หนานกงเจาอยู่ไหน?
ด้วยความดื้อด้านเขา เขาต้องยืนกรานเข้ามาอยู่ในบ้านของพวกเขาแน่ แล้วเขากลับไปก่อนที่พวกเขาจะกลับมาได้อย่างไรกัน?
“ตื่น ตื่น ตื่นได้แล้ว!” มู่เวยเวยตบที่หน้าเย่ชูวเสวียสองสามที เธออ้าปากหาว แล้วงัวเงียตื่นขึ้นมา
“มีอะไรเหรอคะ?” เย่ชูวเสวียขยี้ตาที่ยังง่วงของเธอ จนเมื่อเธอเห็นชัดว่าคือมู่เวยเวย ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“ไปนอนบนเตียงสิ น้ำลายไหลย้อยถึงพื้นแล้วน่ะ แถมยังไม่ห่มผ้าอีก……” มู่เวยเวยรู้สึกมีอคติต่อหนานกงเจาเล็กน้อย ทั้งที่เธอนอนหลับ ทําไมเขาถึงจากไปโดยไม่ช่วยเธอคลุมผ้าอะไรเลย
เย่ชูวเสวียเช็ดปากของเธออย่างไม่ไยดี “ทําไมถึงพากันกลับมาล่ะคะ?”
“ดึกแล้ว ถ้าเราไม่กลับมาจะให้ไปไหนล่ะ?”
เมื่อได้ยินที่มู่เวยเวยพูด เย่ชูวเสวียก็มองออกไปที่นอกหน้าต่าง ถึงได้รู้ว่าฟ้ามืดแล้ว ไม่รู้ว่าหนานกงเจากําลังทําอะไรอยู่กันนะ……
ถุย ถุย ทําไมถึงคิดถึงเขาขึ้นมาได้ เจ้าสมองที่ไม่เอาไหน!
“ทําไมลูกถึงอยู่ที่นี่คนเดียว? แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ?” ในที่สุดมู่เวยเวยก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ถามออกมาว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร แต่ทุกคนก็รู้ดี เย่ชูวเสวียยักไหล่อย่างไม่แยแส “หนูให้เขากลับไปก่อนค่ะ”
มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินสบตากัน พวกเขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่พวกเขาก็ไม่อยากถามอะไรมาก คนหนุ่มสาวมีความคิดเป็นของตัวเอง การเข้าไปยุ่งมากเกินไปจะยิ่งทำให้ยุ่งยากมากขึ้น
……
มู่ยวู่ฉีขับรถไปตามถนนที่ว่างเปล่า ด้านหลังของเขาคือเสี่ยวอวี้หลินที่กำลังไล่ตามมาอย่างไม่เต็มใจ หลังจากเลี้ยวเข้าโค้งหนึ่ง ทั้งสองก็ขับมาเสมอกัน
“แม่ดาราคนนั้นของนายเป็นยังไงบ้าง?” เสี่ยวอวี้หลินหมุนพวงมาลัย และถามมู่ยวู่ฉีที่กำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการขับรถ
การเคลื่อนไหวของมู่ยวู่ฉีชะงักไป ความเร็วของรถก็ตามหลังเสี่ยวอวี้หลินไปมาก เขายิ้มยียวยขึ้นที่มุมปาก “ดาราน้อยไหนเลยจะอยากมีความรัก ต่อไปก็อย่าได้คิดอะไรกับพวกเธอเลย”
“อะไรกัน? ฟังดูเหมือนอกหักเลย!” เสี่ยวอวี้หลินยิ้มหยอกล้อ จากนั้นก็หาที่ว่างเพื่อจอดรถ
เมื่อมู่ยวู่ฉีเห็นเขาจอดรถ ก็จอดตามหลังเขา “จะบอกว่าอกหักก็คงไม่ใช่ แต่ก็ถือได้ว่าได้เข้าใจอะไรบางอย่าง”
“โอ้? ไหนลองเล่ามาสิ! “เสี่ยวอวี้หลินเลิกคิ้วด้วยความสนใจ
“ก็ถึงมีคำบอกว่าพวกดาราน่ะไม่รักใครจริง ขอแค่นายเงินถึง จะจีบใครก็ได้”
พูดถึงตรงนี้มู่ยวู่ฉีก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “นายว่า หน้าตาฉันดูแย่มากเหรอ?”
เสี่ยวอวี้หลินมองเขาจากบนลงล่าง “หน้าตาก็ดูไม่เลวนะ แต่เมื่อเทียบกับฉันแล้วถือว่ายังแย่กว่ามาก”
“เชี่ยเอ้ย!” เมื่อมู่ยวู่ฉีที่เป็นคนเคร่งขรึมถูกเขาพูดจาแบบนี้เข้าให้ก็ทำท่าทางเตะออกไป
“เธอถึงกับยอมเอาตัวไปนอนกับตาผู้กํากับอ้วนนั่นเพื่อหนังเรื่องเดียว นายว่า……”
มู่ยวู่ฉียังคงรู้สึกโกรธเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ “นายว่าถ้าเธอซื่อสัตย์กับฉัน อย่าว่าแต่หนังเรื่องเดียวเลย จะสิบยี่สิบเรื่องก็ไม่ใช่ปัญหา”
“โอ้ เถ้าแก่มู่ช่างหน้าใหญ่ใจป้ำ!” เสี่ยวอวี้หลินอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ
“พอ พอ พอ อย่ามาพูดจาจิกกัดฉัน” มู่ยวู่ฉีอารมณ์ไม่ดี หลังจากพูดคุยกับเขาเพียงไม่กี่คํา ก็ไม่มีความปรารถนาจะพูดอะไรต่ออีก
แต่เสี่ยวอวี้หลินกลับไม่กลัวเขา เอาแต่หยอกล้อตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงจุดหมายจึงได้หยุดลง
“พอได้แล้ว รู้ว่านายเป็นคนมีวิสัยทัศน์ แต่พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวตอนดื่มกันก็ไม่ต้องพูดแล้ว ได้ยินนายพูดทีไรฉันก็จะอารมณ์เสียทุกที!”
มู่ยวู่ฉีโบกมือ เดิมทีเขาก็เสียใจมากอยู่แล้วเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แต่เสี่ยวอวี้หลินยังเอาแต่สาดเกลือบนบาดแผลของเขาอีก
เสี่ยวอวี้หลินเองก็รู้ถึงความพอดีเหมาะสม ถ้าเขาเองก็ต้องลงเอยเช่นนี้เข้าสักวันล่ะ? เรื่องความรักมันไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริง ๆ
ภายในบาร์ เสียงเพลงที่ดัง แสงไฟที่มีสีสัน และผู้คนที่ขยับไปมาตามจังหวะ
ทันทีที่มู่ยวู่ฉีและเสี่ยวอวี้หลินเข้าไปข้างใน พวกเขาก็ผ่อนคลายลง พวกเขาเดินไปที่บาร์แล้วสั่งวิสกี้มาคนละแก้ว
พวกเขานั่งคุยกันบนเก้าอี้อย่างออกอรรถรรส โดยปกติแล้วในเวลานี้ต่อให้พวกเขาจะนั่งอยู่ที่มุมห้อง ก็จะมีผู้หญิงมากมายมาชวนคุย เพราะผู้ชายสองคนที่มีหน้าตาหล่อเหลาไม่ธรรมดานั้นคือเป้าหมายของผู้หญิงทุกคนในบาร์
เมื่อพวกเขาพูดคุยกันไปได้สักพักหนึ่ง ก็มีผู้หญิงที่แต่งตัวเซ็กซี่คนหนึ่งเดินนวยนาดมาทางพวกเขา
“สองหนุ่มไม่มีเพื่อนคนอื่นมาร่วมด้วยเหรอ อยากให้ฉันดื่มเป็นเพื่อนพวกคุณไหมคะ?” แม้ว่าปากจะพูดอย่างนั้น แต่ตัวเธอก็ได้นั่งลงแล้ว
มู่ยวู่ฉีขมวดคิ้ว ขณะที่กําลังจะพูดอะไรบางอย่างก็ถูกเสี่ยวอวี้หลินรั้งไว้เสียก่อน
เขายกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ได้สิ แต่มาดื่มแก้วนี้ก่อนเถอะ”
หญิงสาวคนนั้นยกแก้วเทลงคอไปทันทีโดยไม่คิดอะไร ทันทีที่เหล้าเข้าไปในปาก เธอก็รู้สึกแปลก ๆ แต่ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา
“คุณให้ฉันดื่มอะไร ทําไมฉันถึงรู้สึกเวียนหัวล่ะ?” หญิงสาวกุมหน้าผากตัวเองไว้ แล้วโซเซจะล้มตัวลงไปบนตัวเสี่ยวอวี้หลิน
เสี่ยวอวี้หลินเอียงตัวหลบเล็กน้อย หญิงสาวก็ล้มลงข้างเคาน์เตอร์บาร์ เธอจับโต๊ะประคองตัวไว้ แล้วพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “คุณมันแย่มาก”
“นายจัดการหล่อนเองก็แล้วกัน!” มู่ยวู่ฉีรู้สึกรังเกียจคนแบบนี้มาก เขาหันตัวและเดินจากไป
“เฮ้?” เสี่ยวอวี้หลินคิดจะเรียกเขาไว้ แต่กลับถูกผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังพันธนาการตัวไว้
“อย่าไปนะ เรามาดื่มกันอีกแก้วเถอะ”
เสี่ยวอวี้หลินรู้สึกตกใจ แก้วที่เธอดื่มไปเมื่อครู่ได้ผสมเหล้าสามสี่ชนิดเข้าด้วยกัน คนธรรมดาถ้าได้ดื่มเข้าไปรับรองว่าเมาจนไม่ได้สติแน่
แต่เขาไม่รู้มาก่อนว่าผู้หญิงคนนี้ดื่มเหล้าแล้วจะเป็นแบบนี้ หลังจากดื่มเสร็จก็เอาแต่กอดแขนเขาไว้ กว่าเขาจะดิ้นหลุดออกมาได้ ก็ไม่เห็นเงาของมู่ยวู่ฉีแล้ว
เขานั่งดื่มอยู่คนเดียวอย่างเบื่อหน่าย และมีสาว ๆ เข้ามายั่วยวนเขาอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่สนใจ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพยายามเข้ามาคุยกับเขาอีก
“คุณอยู่นี่นี่เอง!”
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะของเขา เสี่ยวอวี้หลินก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัยว่าเป็นใคร จากนั้นเบื้องหน้าของเขาก็มืด เงาดำได้ทับร่างของเขาไว้
“เฮ้ คุณเป็นใครน่ะ? ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้นะ!” เสี่ยวอวี้หลินคิดจะผลักเธอออกไป แต่เธอกลับเกาะติดเขาหนึบเหมือนปลาหมึก
“อย่า……อย่าพูด มาดื่มกัน!”
ผู้หญิงนั้นนอนอยู่บนตัวเขา มือสะเปะสะปะคว้าแก้วบนโต๊ะขึ้นมา “ชนแก้ว!”
เสี่ยวอวี้หลินรู้สึกงุนงง “ผมไม่รู้จักคุณ อย่ามาแกล้งทําเป็นเมา รีบลุกขึ้นมาได้แล้ว!”
“ฉัน……ฉันไม่ได้เมา โอ๊ก ~”
ผู้หญิงคนนั้นพูดยังไม่ทันขาดคำก็อาเจียนออกมา สิ่งสกปรกทั้งหมดถูกอาเจียนลงบนตัวเขา
“ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้นะ!” ในที่สุดเสี่ยวอวี้หลินก็ไม่อาจรักษาความเป็นสุภาพบุรุษของเขาไว้ได้ เขาผลักหญิงสาวลงกับพื้นอย่างแรง
เขาถอดเสื้อนอกและโยนมันลงบนเก้าอี้ “ผู้หญิงแบบเธอนี่มัน……เฮ้อ ช่างเถอะ!”
หญิงสาวที่อยู่บนพื้นยังคงงุนงงสับสนอยู่ ปากของเธอขมุบขมิบพูดออกมาไม่เป็นคำ เสี่ยวอวี้หลินก้มหน้าลง ในที่สุดก็เห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจนเสียที
เธอดูไม่เหมือนคนอื่น ๆ ในบาร์ ใบหน้าของเธอถูกแต่งมาอย่างบางเบา ซึ่งแตกต่างจากคนอื่นที่แต่งหน้ามาซะหนาเตอะ
เธอมีคิ้วที่โค้งสวยงาม สวมกางเกงยีนส์ที่เรียบง่ายและสะอาดกับเสื้อยืดสีขาว ดูแล้วไม่เหมือนกับคนที่จะมาเที่ยวในผับบาร์
“คุณจะทําอะไรน่ะ? ฉันทําให้คุณโกรธอีกแล้วเหรอคะ?” เสี่ยวอวี้หลินที่กําลังจะลุกออกไป กลับถูกเธอกอดขาไว้ เขาพยายามดึงอยู่สองครั้ง แต่ก็ดึงไม่ออก
เขาจึงย่อตัวลงมานั่งยอง ๆ พยายามจะใช้เหตุผลคุยกับเธอ “แม่สาวน้อย การที่คุณดึงคนแปลกหน้าในบาร์เช่นนี้มันอันตรายมากนะ!” ”
“คนแปลกหน้าที่ไหนกัน? คุณเป็นแฟนฉันของนะ!” หญิงสาวจับขาเขาไว้อย่างน่าสงสาร ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
เสี่ยวอวี้หลินตกใจ หรือว่าเขาจะมองผิดไป ผู้หญิงคนนี้อาจจะไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างที่เห็น?
เมื่อคิดเช่นนี้เขาจจึงหยิบธนบัตรออกมาจากกระเป๋าสองสามใบและวางลงตรงหน้าเธอ “คุณจำคนผิดแล้ว ถ้าคุณต้องการเงิน ก็ปล่อยผมซะ!”
ใครจะรู้ว่าเมื่อผู้หญิงคนนั้นได้ยินว่าเขาจะให้เงินเธอก็ร้องไห้เสียงดัง “ฉันไม่ต้องการเงินของคุณ ฉันแค่อยากให้คุณกลับมา!”
คราวนี้เสี่ยวอวี้หลินเข้าใจแล้วว่าเธอน่าจะอกหักจากความรัก และมาที่บาร์เพื่อจะเมา จนจำคนผิดเข้าใจว่าเขาเป็นแฟนของเธอ
เสี่ยวอวี้หลินนั้นดีไปหมดทุกอย่าง แต่มีจุดอ่อนอยู่ที่เขาเป็นคนใจอ่อน เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นผู้หญิงร้องไห้ต่อหน้า
ขาของเขาถูกเธอกอดไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นเขาก็นั่งลงกับพื้นและยื่นกระดาษทิชชู่ให้กับผู้หญิงคนนั้น
“คุณอย่าเพิ่งร้องไห้ ไหนเล่าให้ผมฟังสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
ความอ่อนโยนของเขาทําให้ผู้หญิงคนนั้นผ่อนคลายลงอยู่บ้าง “ฉันฝันเห็นคุณไม่ต้องการฉันแล้ว คุณจะเลิกกับฉัน แล้วยังไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่นอีก”
“เอ่อ……” เสี่ยวอวี้หลินไม่รู้จะพูดอะไรดี นี่เป็นผู้หญิงอีกคนที่พบเข้ากับผู้ชายเจ้าชู้สินะ
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่เขาก็ไม่ชอบผู้ชายที่เหยียบเรือสองแคมเอาเสียเลย เพราะการกระทําเช่นนี้ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าผู้ชายนั้นเจ๋งขนาดไหน มีแต่จะลดคุณค่าในตัวเองลง
เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งแล้วยื่นให้ผู้หญิงคนนั้น “หยุดร้องไห้ได้แล้ว ผู้ชายดี ๆ มีตั้งมากมาย ทําไมต้องทําให้ตัวเองเป็นแบบนี้เพื่อผู้ชายเลว ๆ ด้วยล่ะ?”
เสี่ยวอวี้หลินยิ้มแห้ง เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะกลายเป็นที่ปรึกษาด้านความรักให้คนอื่น แถมยังต้องมาสอนวิธีคิดให้หญิงสาวที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
ผู้หญิงคนนั้นคงจะดื่มมากเกินไป เธอมองไปขาของเสี่ยวอวี้หลิน ทำเสียงงุบงิบที่ปากก่อนจะผล็อยหลับไป
“ตามหานายอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็มาจีบสาวอยู่ที่นี่นี่เอง!”
มู่ยวู่ฉีวิ่งเข้ามา และเห็นท่าทางน่าสมเพชของเสี่ยวอวี้หลิน ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ “อะไรกัน เปลี่ยนแนวได้เร็วเหมือนกันนี่ จากสาวเซ็กซี่มาเป็นเด็กสาวไร้เดียงสา! ”
“หยุดพูดจาเยาะเย้ยได้แล้ว รีบช่วยฉันดึงเธอออกไปเร็วเข้า เท้าชาไปหมดแล้ว!” เสี่ยวอวี้หลินมองขอความช่วยเหลือจากเขา
มู่ยวู่ฉีเองก็รู้สึกแปลกใจ เขาหุบรอยยิ้มที่มุมปาก “เกิดอะไรขึ้น? ถูกตามตื้อเหรอ?
“อกหัก แล้วหนีมาดื่มเหล้าที่บาร์อยู่คนเดียวน่ะ แต่สุดท้ายก็จําคนผิด”
เสี่ยวอวี้หลินกางมือออก หรือว่ารูปร่างหน้าตาของเขาจะเป็นที่นิยมจนใคร ๆ ก็ดูคล้ายกับเขาไปหมด?
“ใช่ย่อยนี่ ดวงความรักของนายมาแล้ว!” มู่ยวู่ฉีตบบ่าของและเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ดวงความรักบ้าอะไรกัน” ก็แค่ยัยเด็กกะโปโล เขาไม่มีความสนใจเธอเลยสักนิด
มู่ยวู่ฉีเบ้ปาก “ไม่ใช่หรอกมั้ง!”
“พอได้แล้ว อย่ามัวแต่ชักช้า รีบลากเธอออกไปเถอะ!”
ทั้งสองคนเสียแรงไปไม่น้อยกว่าจะดึงหญิงสาวให้ออกจากเท้าของเสี่ยวอวี้หลินได้ ทันทีที่เสี่ยวอวี้หลินเดินจากไป ก็มีมือคู่หนึ่งโอบเข้าที่เอวของเขา
“คุณอย่าไปนะ……”
เสี่ยวอวี้หลินกลอกตามองเพดานอย่างเบื่อหน่าย วันนี้ก่อนออกจากบ้านลืมดูปฏิทินโหราศาสตร์ เขาถึงได้ดวงซวยถูกผู้หญิงแบบนี้พันธนาการไว้
เขาหันกลับไปขอความช่วยเหลือจากมู่ยวู่ฉี มู่ยวู่ฉีก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ถ้าจะเป็นของนายก็ต้องเป็นของนายอยู่วันยังค่ำ บังคับให้คนอื่นก็ไม่มีประโยชน์ ก็อย่างที่ฉันบอก นายก็ยอมรับชะตาความรักนี้ไว้เถอะ จะได้ไม่ต้องเปลืองแรงมาก”
“ไปเลยไป” เสี่ยวอวี้หลินที่มีเรี่ยวแรงมากกว่าเธอ ก็สามารถดึงเธอออกไปได้อย่างง่ายดาย เขาผลักเธอให้นั่งลงที่เก้าอี้ จากนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมจะจากไป
“เจ็บ……” ผู้หญิงคนนั้นจับมือของตัวเองและร้องออกมาอย่างขุ่นข้องใจ มือของเธอถูกเสี่ยวอวี้หลินทำให้แดงก่ำ จนเธอไม่กล้าที่จะจับมือเขาอีก
เสี่ยวอวี้หลินเพิ่งจะเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว ก็มีอันธพาลคนหนึ่งเดินเข้าไป เขาเหลือบมอง ก็เห็นอันธพาลคนนั้นกำลังจะทำมิดีมิร้ายกับเธอพอดี
สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เขาเดินกลับไป ตะโกนเสียงทุ้มว่า “แกคิดจะทําอะไร?”
อันธพาลคนนั้นหันกลับไปมองอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าเสี่ยวอวี้หลินมีอารมณ์ที่แตกต่างกับคนอื่น ๆ บริเวณนั้น เขาก็ไม่กล้าเอะอะอะไร ได้แต่ค่อย ๆ ชักมือกลับด้วยความขุ่นเคือง แล้วเดินจากไปพร้อมกับการก่นด่า
เสี่ยวอวี้หลินหันกลับไปมองอย่างจนปัญญา เขายืนอยู่เหนือผู้หญิงคนนั้น ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่