วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ - บทที่ 417 โลกของคนสองคน ไม่อยากโดนรบกวน
“ถ้าอยากพากลับไปด้วยก็พากลับไปเลยสิ ยังลังเลอะไรอยู่อีก?” มู่ยวู่ฉีเดินไปพิงพนักของที่นั่งด้วยสีหน้าหยอกล้อ
ในที่สุดก็จับจุดอ่อนของเขาได้สักที ต่อไปสถานะของพวกเขาก็ควรจะต้องเปลี่ยนไป เขาจะกลายเป็นคนที่ไม่ต้องสนใจอะไรอีกแล้ว
เสี่ยวอวี้หลินถลึงตาใส่เขา “จะพากลับไปได้ยังไงกัน? ให้นอนกับนายหรือไง?”
“ฉันยังไงก็ได้อยู่แล้ว ถ้านายเห็นว่าฉันเป็น ก ข ค คืนนี้ฉันไม่กลับไปก็ได้” มู่ยวู่ฉีกางมือออก สีหน้าบ่งบอกว่ารอดูอะไรดี ๆ อยู่
“อืม……ดื่ม……”
หญิงสาวที่นอนอยู่บนเก้าอี้พลันลุกขึ้นนั่ง เมื่อเห็นชายร่างสูงใหญ่สองคนตรงหน้า เธอก็รู้สึกสับสนมึนงง แต่ไม่นานสติก็เริ่มเลอะเลือนอีกครั้ง เธอเห็นแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะ
ขณะที่เธอกําลังจะยื่นมือไปหยิบมันมา ก็ถูกเสี่ยวอวี้หลินแย่งแก้วไป และถามเธออย่างเย็นชาว่า “บ้านของคุณอยู่ที่ไหน?”
“ทําไมคุณไม่……ให้ฉันดื่มล่ะ?”
สมองของหญิงสาวสับสนไปหมด เธอไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูดเลย รู้เพียงว่าแก้วของตัวเองถูกเขาแย่งไปแล้ว ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์
เสี่ยวอวี้หลินสูดหายใจเข้าลึกแล้วถามอีกครั้งว่า “ผมถามคุณว่า บ้านคุณอยู่ที่ไหน?”
“หืม……บ้าน?” หญิงสาวเอียงศีรษะครุ่นคิดเล็กน้อย “อยู่ตรงข้ามแมคโดนัลด์”
เสี่ยวอวี้หลินขำ ทําไมถึงได้มีผู้หญิงแบบนี้ได้ เมืองนี้มีแมคโดนัลด์ตั้งมากมาย จะให้เขาไปหาทีละแห่งหรือไง?
“พวกเรามาดื่มกันเถอะ……”
เสี่ยวอวี้หลินหันกลับไปมองมู่ยวู่ฉี ก็เห็นเขาเม้มปากสื่อว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่เขา
เขาวางแก้วลง แล้วเดินไปข้างหน้าโดยไม่รอให้หญิงสาวได้ทันตอบสนอง เขาอุ้มเธอขึ้นมาแล้วเดินจากไปท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาอย่างงุนงนของทุกคน
เรื่องแบบนี้พบเห็นได้เป็นธรรมดาในผับบาร์ ชะตากรรมของผู้หญิงที่เมามาย ถ้าไม่ถูกข่มเหงรังแก ก็ถูกผู้ชายพาตัวไป ส่วนจะพาไปทำอะไร ทุกคนก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
แต่การพาคนออกไปอย่างโจ่งแจ้งแบบเสี่ยวอวี้หลินนั้นพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ทั้งนี้พวกเขาต่างรู้สถานะของเขาดี คนที่มาเที่ยวบาร์เป็นประจำต่างก็ไม่แปลกใจเลย พวกเขาจะไม่ทำให้คนรวยขุ่นเคืองเพียงเพราะคนแปลกหน้าคนหนึ่งแน่
“หยุดนะ!”
อย่างไรก็ตาม ทุกเรื่องย่อมมีข้อยกเว้น มีบางคนไม่ได้เชื่อง่าย ๆ เช่นนั้น และเรียกพวกเขาให้หยุดไว้
ทั้งสองหันกลับไปมองเพื่อดูว่าใครกันแน่ที่กล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องส่วนตัว เพียงเห็นโครงร่างลาง ๆ พวกเขาก็ตะลึงงันไป
หนานกงเจามาทําอะไรที่นี่?
เมื่อหนานกงเจาเห็นว่าเป็นพวกเขาสองคนก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ทั้งสามคนมองหน้ากันสักพัก จากสายตาของคนนอก แววตาของพวกเขาราวกับเต็มไปด้วยประกาย
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ คนที่อยู่ในอ้อมแขนของเสี่ยวอวี้หลินก็เริ่มอยู่ไม่สุข ร้องตะโกนออกมาว่าอยากลงมา มันไม่ง่ายที่เขาจะจับเธอให้อยู่นิ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง หนานกงเจาก็อดรนทนไม่ไหวแล้ว
“นี่ฉันยัง……ยังคิดมาตลอดว่าพวกนายสองคนเป็นสุภาพ……สุภาพบุรุษ คิดไม่ถึงเลยว่า……พวกนายกลับ……”
เขาดื่มไปไม่น้อย พูดจาตะกุกตะกัก แต่ก็สามารถเข้าใจความหมายโดยรวมได้
หลังจากพูดจบเขาก็แทบจะทรงตัวไม่ไหวแล้ว เขาไถลไปตามเสาที่ตัวเองจับเอาไว้ มู่ยวู่ฉีขมวดคิ้ว และเดินเข้าไปพยุงเขาไว้
แต่หนานกงเจายกมือขึ้นสบัดเขาออกไป “อย่ามาโดนตัวฉัน ฉันไม่มีเพื่อนอย่างพวกนาย!”
ผู้คนที่มุงดูอยู่ก็รู้ทันทีว่า ที่แท้พวกเขาก็เป็นเพื่อนที่แย่งผู้หญิงกันเอง เดิมทีพวกเขาคิดว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่รู้จักกัน และน่าจะมีฉากฮีโร่ช่วยสาวงามในตอนท้าย!
มีคนในฝูงชนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา มู่ยวู่ฉีเห็นว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต หากเรื่องนี้กลายเป็นข่าว แล้วถูกที่บ้านรู้เข้าก็ไม่อาจจินตนาการผลที่จะตามมาได้
เขาไม่สนใจว่าหนานกงเจาจะเต็มใจหรือไม่ ก็ลากเขาออกไปนอกบาร์ทันที
“ปล่อยฉันนะ!”
เมื่อเดินออกมาจากบาร์ หนานกงเจาก็หมอบลงไปอาเจียนที่ข้างต้นไม้ริมทาง
มู่ยวู่หลินยืนอย่างรังเกียจอยู่ด้านข้าง รอจนเขาอาเจียนเสร็จแล้ว ก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขา “เช็ดซะ น่าขยะแขยงจะตายอยู่แล้ว!”
หนานกงเจารับกระดาษทิชชู่มาเช็ดปากอย่างลวก ๆ และยังคงมองเขาอย่างเหยียดหยาม “เสี่ยวอวี้หลินล่ะ? เจ้าสุภาพบุรุษจอมปลอมนั่น……”
มู่ยวู่ฉีรีบห้ามเขาไว้ “พอได้แล้ว พอได้แล้ว นายก็สร่างเมาแล้ว อย่าบ้าไปอีก!”
“ฉันเมาที่ไหนกัน? รอเจอเจ้าเสี่ยวอวี้หลิน แล้วได้ต่อยสั่งสอนเจ้าเด็กนั่นสักตั้งก่อน พวกเราค่อยกลับไปดื่มกันใหม่!”
มู่ยวู่ฉีตกใจ เมื่อรู้ว่าเขายังไม่สร่างเมา “สภาพของนายในตอนนี้ อย่าเพิ่งมาเป็นฮีโร่เพื่อกอบกู้หญิงงามอะไรเลย ให้ฉันส่งนายกลับก่อนเถอะ!”
หนานกงเจาผลักมู่ยวู่ฉีออกไป “ใคร……ใครอยากให้นายไปส่งกัน? ฉันขับรถมาเอง!”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินโซซัดโซเซไปยังจุดจอดรถของตัวเอง แต่เนื่องจากสายตาที่มองเห็นไม่ชัด ทำให้เขาล้มลงบนทางเท้าหลังจากเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว
“พอเถอะ นายในสภาพนี้ ขนาดเดินยังไม่มั่นคง ยังจะขับรถอีก นายยังรู้จักเบรคกับคันเร่งไหม?”
มู่ยวู่ฉีใช้กำลังดึงเขาขึ้นมา จนตัวเองทรงตัวแทบไม่อยู่เกือบจะถูกเขาลากลงกับพื้นไปด้วยกัน
เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา “บ้าเอ้ย เจ้าบ้าเสี่ยวอวี้หลินเอาแต่หลีสาว ปล่อยให้ฉันต้องมาจัดการกับไอ้หมูโง่ตัวนี้คนเดียว”
“ใครเป็นหมูโง่ นายว่าใครเป็นหมูโง่?” แม้ว่าหนานกงเจาจะเมาอยู่แต่สติก็ยังว่องไว พอได้ยินคําหยาบก็รีบท้วงขึ้นมาทันที
มู่ยวู่ฉีถูกกระชากคอเสื้อ เขาเองก็เริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว และพูดออกมาว่า “กูก็หมายถึงมึงไง!”
“พ่องเอ้ย!” แอลกอฮอล์ในตัวหนานกงเจาก็พุ่งขึ้น เขาโถมตัวเข้าไปที่ใบหน้าของมู่ยวู่ฉีโดยตรง
มู่ยวู่ฉีที่ดื่มไปไม่มาก ก็หลบหมัดของหนานกงเจาได้ จากนั้นเขาก็ต่อยกลับไปเข้าที่ใบหน้าของหนานกงเจาอย่างจัง
เขารู้สึกเจ็บปวดที่ใบหน้า ทันใดนั้นก็เริ่มมีสติขึ้นมา เขาลูบใบหน้าข้างที่ถูกต่อย และมองไปที่มู่ยวู่ฉีอย่างงุนงง “นายต่อยฉันทําไม?”
“นายยังจะถามฉันอีก? ใครเป็นคนเริ่มก่อนกันแน่?” ความโกรธของมู่ยวู่ฉียังคงคุกรุ่นอยู่ แต่เมื่อเห็นท่าทางของหนานกงเจา ก็รู้ว่าเขาได้สติแล้ว ก็ยิ่งโกรธขึ้นไปอีก
หนานกงเจาเช็ดเลือดที่มุมปาก และไม่โทษว่าเขาลงมือหนักเกินไป และเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ทําไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ”
“ฉันก็มาเที่ยวน่ะสิ แต่นายน่ะ ทำไมถึงไม่อยู่กับเย่ชูวเสวีย แต่กลับมาเมาอยู่ที่นี่ได้ นี่มันไม่เหมือนนายเลย”
ความโมโหของมู่ยวู่ฉีลดลงบ้างแล้ว เมื่อเห็นสายตาอ้างว้างของหนานกงเจา ก็พอจะเดาอะไรออกบ้าง
เจ้าเด็กนี่ต้องทะเลาะกับเย่ชูวเสวียอีกแน่!
เมื่อพูดถึงเย่ชูวเสวีย หนานกงเจาก็ยิ้มเจื่อน ๆ “อย่าพูดถึงเลย หัวใจของผู้หญิงนั้นราวกับเข็มใต้มหาสมุทร ฉันถือว่าได้มีประสบการณ์สักที!”
“พี่ชายมีเวลาพอดี ไหนลองพูดสถานการณ์ของพวกนายมาสิ” มู่ยวู่ฉีเอนตัวพิงรถหรูของตัวเอง ทําท่าฟังอย่างตั้งใจ
หนานกงเจานวดขมับที่ปวดของเขา นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน แล้วเล่าออกมาอย่างคร่าว ๆ
หลังจากที่มู่ยวู่ฉีฟังจบแล้วก็หัวเราะเสียงดังออกมา “ว่านายเป็นตาทึ่มก็ไม่ยอมรับ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย ก็แค่อารมณ์เล็กน้อยของผู้หญิง แค่นี้ก็ทนไม่ได้แล้วต่อไปจะทำยังไง?”
“แต่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ไม่รู้ว่าฉันทำผิดตรงไหนถึงทำให้เธอโกรธขนาดนี้……” หนานกงเจายิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก แค่พูดออกไปไม่กี่คำ ทำไมเขาถึงถูกไล่ออกมา?
“นายยังไม่เข้าใจสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้หญิงอีกเหรอ? พวกเธอมีอารมณ์แปรปรวนซะยิ่งกว่าอะไร การที่ยิ่งใส่อารมณ์กับนายมากเท่าไหร่ก็แปลว่าเธอยิ่งชอบนายมากเท่านั้น!”
“จริงเหรอ?” หนานกงเจาไม่ค่อยเข้าใจ เขามีชีวิตอยู่มายี่สิบกว่าปี ประสบพบเจอผู้หญิงมาก็ไม่ใช่น้อย แต่ทำไมเมื่อถึงคราวเย่ชูวเสวียทุกอย่างถึงดูยุ่งเหยิงไปหมด?
“นายก็โง่เกินไป เย่ชูวเสวียเองก็น่าเป็นทุกข์อยู่เหมือนกัน นายแค่ขอโทษ แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาดีเหมือนเดิม”
หนานกงเจาพยักหน้า “งั้นพรุ่งนี้ฉันจะไปหาเธอก็แล้วกัน”
นิ้วที่เปิดประตูรถของมู่ยวู่ฉีก็หยุดชะงัก “พรุ่งนี้? นายยังจะรอจนถึงพรุ่งนี้อีก? สมแล้วที่เธอไม่สนใจนาย!”
“แล้วจะอะไรอีก?” หนานกงเจาปวดหัวมาก วันนี้เขาดื่มเหล้าไปมาก คิดจะกลับไปพักผ่อนสักคืนจะได้มีสติขึ้นในวันพรุ่งนี้
มู่ยวู่ฉีดึงสติกลับคืนมา เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหนานกงเจา แล้วพูดกับเขาด้วยความหวังดีว่า “ฉันไม่รู้จะด่าอะไรนายดีเลยจริง ๆ เวลาทะเลาะกันอย่าให้ข้ามคืน เพราะในตอนกลางคืนเป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงอ่อนไหวมากที่สุด พวกเธอจะคิดมาก จนสุดท้ายก็จะไม่สนใจนาย!”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?” เมื่อได้ยินการวิเคราะห์ของมู่ยวู่ฉี หนานกงเจาก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางผู้หญิงไปเสียเปล่า ไม่เกินไปเลยหากจะให้ฉายานักบุญแห่งความรักแก่เขา
“เชื่อฉันไม่ผิดแน่”
มู่ยวู่ฉีหลอกให้หนานกงเจาเข้าไปในรถของตัวเองสำเร็จจนได้ เพียงแค่เหยียบคันเร่ง รถก็พุ่งออกไปเหมือนดาบที่ถูกชักออกจากฝัก จนมองไม่เห็นร่องรอย
เสี่ยวอวี้หลินนั่งอยู่ในรถของตัวเอง เขาก่ายหน้าผากตัวเองอย่างจนปัญญา สติเขาเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้พาผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาที่รถ
ตอนนี้เธอเมาไม่ได้สติ แล้วพวกเขาจะไปที่ไหนได้?
บ้าน? ไม่ได้แน่นอน!
แม้ว่าจะไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ตั้งแต่หลังจากบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่พวกท่านก็จะมีมาหาบ้างในบางครั้ง ถ้าหากถูกพบเข้าล่ะก็……
เสี่ยวอวี้หลินส่ายหัว สบัดฉากนองเลือดในหัวออกไป อีกอย่าง เขาจะมาเปิดเผยตำแหน่งบ้านของตัวเองให้เด็กสาวที่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามได้อย่างไร ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นใคร ถ้าเป็นคู่แข่งที่แกล้งทำเป็นเมามาสืบหาสถานการณ์ที่บ้านเขาล่ะ……
หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะพาเธอไปที่โรงแรม แบบนี้ทั้งง่ายและทั้งหมดปัญหาไปได้หลายอย่าง
……
ที่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลเย่ มู่ยวู่ฉีบีบแตรรถยนต์ และพ่อบ้านก็ออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นเขา จึงรีบเปิดประตูเหล็กให้
พ่อบ้านโค้งคำนับเขา “คุณชายมู่”
มู่ยวู่ฉีดึงหนานกงเจาที่หลับอยู่ในรถลงมา แล้วถามว่า “พวกคุณน้าล่ะ?”
“อยู่ข้างในครับ” พ่อบ้านชี้ทางให้พวกเขาแล้วถอยออกไป
หนานกงเจาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วมองมู่ยวู่ฉีอย่างลังเล “พวกเราจะเข้าไปจริง ๆ เหรอ?”
มู่ยวู่ฉีกอดอก “มาถึงที่นี่แล้ว นายคิดว่าไงล่ะ?”
“ฉัน……ฉันว่ากลับมาพรุ่งนี้ดีกว่า!” ทั้งตัวเขามีแต่กลิ่นเหล้า หากเข้าไปข้างในจะต้องสร้างความขุ่นเคืองให้มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ ฉันจะให้เวลาสามวินาทีเพื่อตัดสินใจว่านายจะเข้าไปหรือไม่!” มู่ยวู่ฉียืนตัวตรงไม่ได้เดินหน้าต่อ
เขาช่างว่างไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นเสียจริง ทั้งที่เรื่องของตัวเองก็ยังไม่ชัดเจน ยังจะไปกังวลเรื่องของคนอื่นอีก
“ไปกันเถอะ ไม่ต้องคิดแล้ว” หนานกงเจาเห็นมู่ยวู่ฉีใจร้อน ยังไม่ทันจะสามวินาทีเลย เขาก็เดินนําหน้าเข้าไปในบ้านเสียแล้ว
มู่ยวู่ฉีเห็นเขาแสร้งทําเป็นหงุดหงิด หูของเขาก็แดงจนร้อนผ่าว และอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
เย่ชูวเสวียไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่น หนานกงเจากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความผิดหวัง เขาก้มลงทักทายมู่เวยเวยที่นั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา “คุณน้าครับ!”
มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเธอถึงกลับมาได้ล่ะ?”
“อะไรนะครับ?”
“ชูวเสวียบอกว่าเธอกลับบ้านไปแล้ว ทําไมตอนนี้ถึงได้กลับมาอีกล่ะ?”
หนานกงเจามองไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว มู่ยวู่หลินกําลังขยิบตาให้เขา เขาเกาศีรษะด้วยความเงอะงะ “เอ่อคือ ผมมาหาชูวเสวียน่ะครับ เธออยู่หรือเปล่า?”
“อยู่ข้างบน”
มู่เวยเวยที่นั่งอยู่บนโซฟา สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะกุมจมูกแล้วถามหนานกงเจาว่า “นี่เธอดื่มมาเหรอ?”
หนานกงเจาก้มหน้าลงมากยิ่งขึ้น “ดื่มไปนิดหน่อยครับ เพราะว่า……”
“ผมเป็นคนขอให้เขามาดื่มเป็นเพื่อนน่ะครับ ผมอยู่คนเดียวเบื่อ ๆ และเขาก็ว่างพอดี ก็เลยดื่มเป็นเพื่อนผมไปเล็กน้อยน่ะครับ”
เมื่อมู่ยวู่ฉีเห็นหนานกงเจากำลังจะบอกเหตุผลออกไป จึงรีบพูดขัดจังหวะขึ้นมา เพราะกลัวว่าเขาจะพูดความจริงออกมา
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง อย่าว่าแต่ขอให้เย่ชูวเสวียยกโทษให้เลย ยังไม่ทันจะพูดออกมาก็ต้องถูกไล่ออกไปแน่
มู่เวยเวยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงเหรอ?”
มู่ยวู่ฉีหันไปมองหนานกงเจา เขาเข้าใจในทันที และพยักหน้าซ้ำ ๆ “จริงครับจริง!”
“ชูวเสวียอยู่ชั้นบน ฉันจะไปเรียกเธอลงมาให้เอง” มู่เวยเวยลุกขึ้นและไม่ตั้งคำถามว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่อีกต่อไป
“เฮ้! คุณน้า ไม่ต้องหรอกครับ พวกเราขึ้นไปเองได้! ” เมื่อมู่ยวู่ฉีเห็นว่ามู่เวยเวยกําลังจะขึ้นไปข้างบน ก็รีบหยุดเธอไว้
พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อจะคุยกับเย่ชูวเสวียตามลําพัง ถ้ามีมู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินอยู่ใกล้ ๆ แล้วพวกเขาจะกล้าพูดอะไรออกมาได้?
มู่เวยเวยชะงักและหันกลับมา “พวกเธอ? จะขึ้นไปหาชูวเสวีย?”
หนานกงเจารีบพยักหน้า “อืม!”
“จะไปหาเธอทำไม?” มู่เวยเวยมองไปที่หนานกงเจาอย่างระแวดระวัง เขาดูเป็นคนซื่อ ๆ คงจะไม่ทําอะไรผิดแปลกหรอกมั้ง?
“พวกเรา……คือว่า……” หนานกงเจาโกหกไม่เป็น เมื่อถูกมู่เวยเวยถาม เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดตะกุกตะกัก
“คือว่าอะไรล่ะ?”
เมื่อถูกมู่เวยเวยเค้นถาม หนานกงเจาก็ทำได้เพียงหันไปขอความช่วยเหลือจากมู่ยวู่ฉี
มู่ยวู่ฉีเป็นคนสมองไว ในที่สุดเขาก็หัวเราะออกมา “โอ้ คุณน้าครับ เรื่องของพวกเขาสองคน ท่านจะถามซะละเอียดขนาดนั้นไปทําไมกันครับ?”
มู่เวยเวยพยักหน้า “เรื่องพวกเขาสองคน แล้วเธอจะตามขึ้นไปด้วยทําไม?”
“ผม……ผมก็แค่กลัวว่าหนานกงเจาจะไม่รู้ทาง!”
มู่ยวู่ฉีเตะหนานกงเจาไปทีหนึ่ง เขาจึงได้ต่อบทตอบกลับไป”ใช่ครับ ใช่ครับ นานขนาดนี้แล้ว ผมยังไม่รู้ว่าห้องของชูวเสวียอยู่ตรงไหนเลยครับ!”
“ห้องแรกติดบันได!”
“หา?” หนานกงเจาตอบสนองไม่ทัน ทําไมจู่ ๆ มู่เวยเวยถึงเปลี่ยนเรื่องได้
มู่ยวู่ฉีเป็นใคร เขาย่อมเข้าใจในความหมายของมู่เวยเวยได้ทันที จึงโบกมือให้หนานกงเจา “คุณน้าก็บอกให้แล้วว่าห้องอยู่ตรงไหน นายคงไม่โง่จนไปไม่ถูกใช่ไหม? นายขึ้นไปคนเดียวเถอะ!”
“ผม?” หนานกงเจาชี้นิ้วไปที่ตัวเอง ไม่ใช่บอกว่าจะมาเป็นกุนซือให้เขาหรือไง แล้วตอนนี้จะให้เขาขึ้นไปคนเดียว จะทํายังไงดี?
“ก็ใช่น่ะสิ มีเรื่องอะไรก็คุยกันดี ๆ นะ!” มู่ยวู่ฉีส่งสายตาให้เขา หวังว่าเขาจะใช้เวลาสั้น ๆ ไม่กี่นาทีนี้เรียนรู้ที่จะรับมือกับเย่ชูวเสวียที่อยู่ในห้องได้
แต่หนานกงเจาไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น มองอยู่นานก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจอะไรอีก
“ก็ได้ งั้นผมขึ้นไปแล้วนะครับ?”
เขาหันสายตาไปทางมู่เวยเวย เมื่อเห็นเธอพยักหน้า ราวกับได้รับราชโองการจากวังหลวง เขาก้าวขึ้นบันไดไปทีละก้าว
ตลอดระยะทางหนึ่งนาที หนานกงเจาจินตนาการสถานการณ์ที่เย่ชูวเสวียจะเปิดประตูออกมาอยู่หลายรูปแบบ และไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน เขาก็ยังยืนอยู่ที่หน้าประตู โดยไม่กล้าขยับมือ
“เย่ชูวเสวีย! ฉันมาแล้ว! “มู่ยวู่ฉีเห็นหนานกงเจายืนอยู่หน้าประตูเหมือนคนโง่ ก็อดทนไม่ไหวที่จะตะโกนเสียงดังออกมา